บทกวีนี้ท่านคาบีร์ได้กล่าวสรรเสริญเสียงภายใน
ท่านกล่าวว่า ดนตรี บรรเลงอยู่ตลอดภายในเรา
แต่ไม่มีเครื่องดนตรีที่บรรเลง พวกเราทุกคนก็รู้จักดี !(ทุกคนหัวเราะอย่างรู้ดี)
ท่านคาบีร์ยังกล่าวต่อไปว่า เสียงดนตรีนี้สร้างจาก พระวัจนะ
เสียง -- แรงสั่นสะเทือนนี้ละเอียดเบามาก
และมีไว้ให้ทุกคนได้ยิน
เมื่อใดผุ้บำเพ็ญทางจิตวิญญาณได้ยิน
ก็จะอยู่เหนืออุ้งมือของเจ้าแห่งมายา
แล้วก็จะหลุดพ้นและเป็นอิสระ
คนสมัยก่อนมีการพูดถึงอย่างเชื่อมั่นในธรรมวิถีกวนอิม พระวัจนะ
ที่ท่านคาบีร์กล่าวถึง ก็คล้ายคลึงกับ นาม ในบันทึกของ
เหลาชี เกี่ยวกับ นาม ซึ่งมิอาจเอ่ยนาม ซึ่งหมายถึง
เสียง เช่นเดียวกับที่กล่าวถึงในคัมภีร์ไบเบิล ฉะนั้น
ท่านคาบีร์
จึงระบุว่าสิ่งนี้มิใช่ถ้อยคำธรรมดาหรือเสียงทั่วไป
ด้วยพลังแห่งเสียงนี้
โซ่ตรวนที่พันธนาการเราไว้กับวัฏจักรของการเกิดและการตายจะถูกทำลายลง
ความปรารถนาทางโลก
เปลวไฟแห่งกิเลสและอารมณ์จะดับได้หมดสิ้น เมื่อได้พบ
พระวัจนะ หรือ เสียง นี้ สิ่งเหล่านั้นจะต้องตกลงมาตาย! (คนฟังหัวเราะ)
เรื่องนี้ใม่รวมถึงเสียงทางโลก หรือภาษามนุษย์
ที่มีแต่จะนำความทุกข์มาสู่เรา ฉะนั้น
คาบีร์ต้องการให้เราแยกแยะเสียงนี้ออกจากเสียงทั่วไป
ไม่ว่าเสียงดนตรีหรือภาษา
ท่านผู้เขียนพบว่าเป็นเรื่องยากที่จะอธิบายเรื่องนี้
ซึ่งทำให้ท่านบ่นมากเหลือเกิน (อาจารย์หัวเราะ)
ท่านเป็นห่วงว่าเราอาจจะไม่เข้าใจท่าน
เพราะฉะนั้นท่านจึงอธิบายให้เราฟังเสียยืดยาว (อาจารย์หัวเราะ)
เราเข้าใจใช่ไหม (ผู้ฟังตอบ ใช่) พูดกัน 1-2
ประโยคก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องพูดมากขนาดนั้น (ผู้ฟังปรบมือ)
เป็นเรื่องยากที่จะพูดเรื่องนี้อย่างละเอียดลึกซึ้ง
ดังนั้น คาบีร์จึงพูดแล้วพูดอีก
เพื่อจะให้ชัดเจนว่าสิ่งนี้มิใช่เสียงหรือถ้อยคำธรรมดา
การฟังเสียง หรือที่เรียกว่าถ้อยคำ หรือนาม
ในทางโลกนั้นเราจะมิอาจหาความสงบภายใน
หรือความเยือกเย็นทางอารมณ์ได้เลย อย่างที่ท่านกล่าวว่า
ไม่มีทรัพย์สมบัติใดจะเทียบได้กับเสียงที่ประมาณค่ามิได้นี้
มีเพียงผู้บำเพ็ญทางจิตวิญญาณที่แท้จริงเท่านั้นที่จะเข้าใจความจริงข้อนี้
คำอื่นๆ อาจจะสงสัยว่า ก็มันเป็นแค่ถ้อยคำหรือเสียงเท่านั้น
ทำไมถึงจะมีค่ายิ่งกว่าความร่ำรวย? ดังนั้น
ท่านคาบีร์จึงกล่าว่า :
เฉพาะผู้บำเพ็ญทางจิตวิญญาณอย่างแท้จริงเท่านั้นที่จะเข้าใจความหมายอย่างแท้จริง
ทับทิม ไพลิน หรืออัญมณีใดๆ ก็อาจจะหาได้
แต่พระนามแห่งพระเจ้านั้น ยากที่จะหาหรือซื้อจากที่ใด
สำหรับโลกอันทุกข์ยากนี้
เธอจะเห็นฉันหลั่งน้ำตาด้วยความสงสารในโลกอันเสื่อมทรามนี้
เธอจะเห็นฉันอารมณ์เสีย อย่างไรก็ตาม
เฉพาะผู้ที่รู้จักพระวัจนะหรือเสียงนี้เท่านั้น
ที่จะร้องไห้กับฉัน คนอื่นทั้งโลกเขามีความสุขมาก (อาจารย์หัวเราะ)
มีแต่เราที่ร้องไห้ พวกเขาไม่รู้หรอกว่าทำไมเราร้องไห้!
เฉพาะผู้บำเพ็ญธรรมวิถีกวนอิมจึงรู้
และร้องไห้ด้วยสาเหตุเดียวกัน
วัจนะหรือเสียงนี้มีพลังมาก
จนกระทั่งทำให้พระราชาสามารถสละราชสมบัติและออกไปพักผ่อนได้
(ผู้ฟังหัวเราะ) แถวนี้มีพระราชาอยู่หรือเปล่า? (ผู้ฟังหัวเราะ)
เราก็คือพระราชาในพระราชวังของเราเอง (ผู้ฟังหัวเราะ)
ในบ้านของเราเอง ถ้าไม่มีอะไรนอกจากหมูป่าอยู่บนภูเขาละก็
ฉันก็จะได้เป็น เจ้าแห่งภูเขา (ผู้ฟังหัวเราะ)
ใครก็ตามที่สามารถพบความสงบในจิตใจ และพบวัจนะหรือเสียงนี้
นับเป็นคนที่โชคดีและได้รับพระพรมากที่สุดในโลก
ถ้าเธอไม่เคยได้ยินวัจนะหรือเสียงนี้ ไม่ว่าเธอจะไปที่ไหน
โลกก็จะมืดมิดรอบตัวเธอ คนที่ไม่ได้พบประตูไปสู่เสียง --
ซึ่งก็คือธรรมวิถีกวนอิม --
จะอยู่ในสภาพวิญญาณเร่รอนโดยไม่มีบ้านจะผ่อนพัก
ความสงสัยและความไม่มั่นคงได้พัฒนาขึ้นจนยึดครองได้ทั่วโลก
จิตวิญญาณบางดวงอาจยกขึ้นสูงกว่าสิ่งแวดล้อมดังกล่าวของโลก
ซึ่งหมายถึงว่าบางคนสามารถพาตัวเองให้เป็นอิสระได้
ผู้บำเพ็ญทางจิตวิญญาณเพียงหยิบมือเดียวเท่านั้นที่มีชีวิตอยู่อย่างอิสระเสรี
และสุขสบายในโลกนี้
การบำเพ็ญธรรมวิถีกวนอิมเป็นวิธีเดียวที่สามารถผ่านพ้นบรรยากาศของโลกที่ยุ่งเหยิงและอึกทึกได้
สิ่งที่คาบีร์หมายถึงนั้นก็คือว่า
การยุติปัญหามีวิธีเดียวคือต้องหาหนทางที่ผู้บำเพ็ญสดับฟังเสียง
และนี่คือหนทางเดียวที่จะหลุดพ้น
บทกวีของท่านบทนี้เขียนไว้ว่า หนทางเดียวเท่านั้น
บางคนยังคงไม่เชื่อว่าธรรมวิถีกวนอิมเป็นหนทางเดียว (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ)
พวกเขาจะต้องจุดติมาเกิดเป็นลูกน้องของมายา (คนฟังหัวเราะ)
พวกเขากำลังพูดถ้อยคำของมายา (อาจารย์หัวเราะ)
คัมภีร์ศาสนาต่างๆ ล้วนกล่าวถึงเรื่องเดียวกัน ศาสนาพุทธ
ซิกข์ ฮินดู และคาธอลิก ล้วนพูดถึงวัจนะนี้ นามนี้
เสียงนี้ เมื่อใดที่เรารู้แจ้งโดยการบำเพ็ญธรรมวิถีกวนอิม
ทุกอย่างก็จะชัดเจนสำหรับเรา
เราจะสามารถเข้าใจนิทานของเซ็นได้ง่ายๆ ด้วย
มีเรื่องพระรูปหนึ่งขณะที่กำลังไถนา
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงระฆังดังกังวานขึ้น
พระรูปนั้นดีใจมากจนหยุดไถนา (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ)
ยังมีคำกล่าวอีกว่า วิญญาณในนรกสามารถเป็นอิสระได้
ถ้าได้ยินเสียงระฆังดังกังวาน
เมื่อผู้ตายได้ยินเสียงกังวาน
หรือเสียงกร๋งกริ๋งของระฆังก็จะเป็นอิสระแน่นอน
นี่คือเหตุผลที่พระตีระฆังอยู่ตลอดเวลา (ผู้ฟังหัวเราะ)
บนศีรษะของผู้ตาย ก็เพื่อจะปลดปล่อยเขา (อาจารย์หัวเราะ)
แต่โชคร้าย เขาใช้วิธีการผูกเชือกแทน
เขาผูกเชือกแล้วก็ลากไป (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ)
หนักเกินกว่าจะเคลื่อนไปได้
พวกเขาต้องผูกลากตัวเองจากที่หนึ่งไปที่หนึ่ง
จากโลกมนุษย์ไปนรก
และจากนรกไปสู่วัฏจักรแห่งการเวียนว่ายตายเกิด
นี่คือเงื่อนที่ผูกลาก ไม่ใช่การหลุดพ้น!
คาบีร์ยังได้กล่าวไว้ในบทกวีอีกว่า
อาจารย์ผู้รู้แจ้งได้สร้างสวรรค์ไว้เป็นคฤหาสน์โดยเฉพาะสำหรับผุ้บำเพ็ญทางจิตวิญญาณ
หากเราอยากดูลักษณะของบ้านทางจิตวิญญาณนี้
พระเจ้าได้ให้แสงแก่เราด้วย
คาบีร์บอกว่าเหมือนกับแสงจากไฟฉาย ฉะนั้น
เราจึงมองขึ้นไปข้างบนได้ (อาจารย์หัวเราะ)
เนื่องจากมันไกลมากเราจึงต้องการไฟฉายที่ใหญ่ขึ้นเพื่อส่องจากที่นี่ไปที่นั่น
เหมือนกับพระอาทิตย์ที่ขึ้นมาขับไล่ความมืดของกลางคืน
ในทำนองเดียวกันเมือแสงเข้ามาสู่วิญญาณของเรา
ความสงสัยและความเชื่อที่ผิดๆ ก็จะอันตรธานไปหมด!
นี่คือความหมายที่คาบีร์กล่าวถึง (ผู้ฟังปรบมือ)
ท่านควรค่าแก่การปรบมือให้ ถ้อยคำของท่านไพเราะจริงๆ
 |