ทำไมเราจึงควรได้รับการประทับจิต |
|
|
ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ ผิงตง
ฟอร์โมซา
วันที่ 11 เมษายน 2532 (ต้นฉบับภาษาจีน)
|
|
|
|
|
ในทำนองเดียวกัน เราได้อ่านจากคัมภีร์ต่างๆ ถึงเรื่องที่ว่าสาวกของพระศากยมุณีพุทธเจ้าและพระเยซูคริสต์ได้เห็นแสง
ได้ยินเสียงดนตรี ได้เห็นพุทธะหรือพระเจ้าและมีประสบการณ์ในสวรรค์ชั้นที่ 3
ดุสิต สวรรค์ชั้นที่ 4 และสรวงสรรค์ที่พิเศษอื่นๆ อีกมากมาย
เราเคยได้ยินเกี่ยวกับโพธิสัตว์ระดับ 8 พระอรหันต์ หรือพระโสดาบัน
แต่เราไม่รู้ว่าพระโสดาบันคืออะไร
หรือบุคคลคนหนึ่งเปลี่ยนแปลงไปได้อย่างไรหลังจากที่ได้บรรลุระดับโสดาบันหรือระดับอรหันต์
เขาได้รับอะไรข้างใน? เขาคิดอย่างไรและเขาได้เห็นอะไร?
เขามีพลังหรือมีปัญญาที่แตกต่างจากพวกเราหรือซึ่งทำให้พวกเขาได้รับการเคารพยกย่องว่าเป็นพระอรหันต์?
|
|
สมมติว่าในโลกนี้มีบุคคล 2 คนซึ่งดูแล้วเหมือนๆ กัน
แต่คนหนึ่งเรียนวิทยาศาสตร์และอีกคนหนึ่งเรียนวิชาช่างไม้
แน่นอนพวกเขาแตกต่างกัน
ช่างไม้รู้ว่าหมอนั้นมีอาชีพที่ดีมากและมีสติปัญญาฉลาดเฉลียวและสามารถช่วยชีวิตคนได้
ฯลฯ แต่เขาก็ไม่รู้ว่าจะทำหน้าที่หมอได้อย่างไร
เขาไม่รู้ว่าภายในของหมอนั้นได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
ว่าหมอช่วยชีวิตคนได้อย่างไร
ว่าหมอวินิจฉัยคนไข้ของเขาได้อย่างไรโดยเพียงแค่มองดูคนไข้
หรือว่าหมอรู้ว่าคนไข้นั้นป่วยหนักได้อย่างไรโดยเพียงแค่คลำชีพจรของคนไข้
ช่างไม้ทำแบบนั้นไม่ได้ ไม่อย่างนั้นแล้วเราจะเรียกหมอว่าหมอทำไม?
เขามีความเชี่ยวชาญและมีความรู้ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากความรู้ของช่างไม้
เราไม่สามารถพูดว่าการตัดต้นไม้ก็เหมือนกับการผ่าตัดช่องท้อง
เพียงเพราะว่าการกระทำทั้ง 2 อย่างนั้นใช้เครื่องมือที่มีคม มันไม่เหมือนกัน!
งานหนึ่งเกี่ยวข้องกับต้นไม้ อีกงานหนึ่งเกี่ยวข้องกับมนุษย์
ต้นไม้นั้นไม่ซับซ้อนแต่ภายในร่างกายมนุษย์มีอวัยวะมากมายที่จะต้องจัดการอย่างระมัดระวัง
การผ่าตัดศัลยกรรมไม่ใช่เป็นเพียงการผ่าง่ายๆ ด้วยมีด! |
|
ในทำนองเดียวกัน คนเป็นจำนวนมากที่สามารถอ่าน ท่อง และอธิบายคัมภีร์ต่างๆ
ได้ พวกเขาสามารถบอกได้ว่าคัมภีร์นั้นได้ถูกเขียนขึ้นเมื่อไร
ได้ถูกเขียนขึ้นโดยใครและความหมายที่อยู่ในคัมภีร์นั้น
อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่ได้เข้าใจอย่างแท้จริงเพราะพวกเขาไม่มีประสบการณ์
พวกเขาไม่มีประสบการณ์ในการเป็นพระอรหันต์ เป็นโพธิสัตว์ระดับ 8
เป็นโพธิสัตว์ระดับ 10 เป็นพุทธะ
หรือแม้กระทั่งระดับเบื้องต้นที่สุดคือระดับโสดาบัน สาวกหรือปัจเจกพุทธเจ้า
ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องบำเพ็ญธรรมวิถีกวนอิม
มิฉะนั้นแล้วเราจะต้องมาลำบากฝึกฝนทางด้านจิตวิญญาณทำไม? |
|
|
ผู้คนดีใจที่ได้ยินว่าทุกคนมีธรรมชาติพุทธะ พวกเขาคิดว่าแค่นี้ก็พอแล้ว
ไม่ใช่เลย! เราไม่รู้ว่าธรรมชาติแห่งพุทธะนั้นคืออะไร
เราจะต้องบำเพ็ญธรรมวิถีกวนอิมเพื่อที่จะตระหนักถึงธรรมชาติแห่งพุทธะหรืออรหันตผล
เพื่อที่จะรู้ว่าเรารู้สึกอย่างไร เราจะได้รับพลังหรืออำนาจอะไร
หรือเราจะช่วยคนได้ถึงจุดไหนเมื่อเราได้บรรลุระดับของโพธิสัตว์ระดับ 8
เป็นแบบเดียวกันสำหรับการเป็นหมอ ยิ่งเขาเรียนมากเท่าไหร่
เขาก็จะยิ่งสามารถช่วยชีวิตคนได้มากขึ้นเท่านั้น
หมอบางคนไม่จำเป็นต้องสัมผัสชีพจรของเธอเลยด้วยซ้ำ
เขาสามารถบอกได้ว่าเอป่วยเป็นอะไรเพียงแค่มองดูเธอ |
|
|
อาจารย์ผู้รู้แจ้งช่วยจัดการกรรมให้กับเรา |
|
การฝึกฝนทางด้านจิตวิญญาณก็เป็นแบบเดียวกัน
ผู้บำเพ็ญทางจิตวิญญาณมากมายไม่จำเป็นต้องตรวจสอบชะตากรรมของเราเพื่อที่จะช่วยเรา
เราไม่จำเป็นต้องแสดงประวัติบรรพบุรุษของเราให้พวกเขาทราบ
หรือบอกพวกเขาว่าเราเคยบำเพ็ญวิถีอะไรมาก่อน
หรือเล่าให้พวกเขาฟังว่าเราเคยทำความดีความชั่วอะไรมา
เราไม่จำเป็นต้องพูดอะไรสักคำ
พวกเขาจะทราบทุกสิ่งทุกอย่างโดยเพียงแค่ชำเลืองมองดูเรา
พวกเขาจะทราบทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับตัวเรา
นับตั้งแต่ตอนที่เราลงมายังโลกนี้เป็นครั้งแรก
ทราบการกระทำทุกอย่างของเราในชาติก่อนๆ และเราเคยเป็นสัตว์ป่า พระราชา
มนุษย์ ข้าราชการ ผู้ชาย หรือผู้หญิงมาหรือเปล่า
แบบนี้พวกเขาจึงจะสามารถจัดการกับตาข่ายกรรมอันซับซ้อนนั้นให้กับเราได้เลย
คนที่สามารถทำนายโชคชะตาก็นับว่าเก่งแล้ว
แต่พวกเขาสามารถบอกเราให้เราทราบเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ร้อยปีที่ผ่านมาเท่านั้น
หรืออย่างมากที่สุดอดีตที่ผ่านมา 2,000 3,000 ปี นั่นไม่เห็นมีอะไรเลย
พวกเขาไม่สามารถอ่านกรรมที่ได้สะสมในอดีตชาติทั้งหมดของเรา |
|
|
ในเวลาประทับจิตฉันได้แนะนำเธอว่า เราควรละเว้นจากการใช้พลังอิทธิปาฏิหารย์
เพราะมันไม่สำคัญแม้แต่นิดเดียวและมันมีขีดจำกัดมาก
คนที่สามารถอ่านอดีตชาติ
สามารถย้อนรอยกรรมที่คนได้สะสมในอดีตอย่างมากที่สุดก็ 200-300 ปี หรือ
2,000 3,000 ปี พวกเขาไม่สามารถมองเห็นไปถึงเวลาแรกเริ่มสุด
เมื่ออะตอมถูกแปรเปลี่ยนเป็นสรรพสัตว์
และเขาหรือหล่อนได้ผ่านการเวียนว่ายตายเกิดนับพันๆ ล้านปีอย่างไร
มีเพียงพุทธะหรืออาจารย์ผู้รู้แจ้งเท่านั้นที่สามารถอ่านประวัติบุคคลเช่นนั้นได้
อาจารย์เช่นว่านี้เท่านั้นที่มีอำนาจ (เสียงปรบมือ)
บันทึกกรรมถูกเก็บไว้ในสถานที่พิเศษแห่งหนึ่ง ซึ่งมนุษย์ธรรมดา
หมอดูระดับปานกลาง และคนที่มีความสามารถอ่านอดีตชาติเข้าไปไม่ได้
คนเหล่านี้ไม่มีบัตรประจำตัว!
อาจารย์ผู้รู้แจ้งชั้นสูงที่เกี่ยวข้องกับสถานที่เหล่านี้เท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปได้
หมอดูไม่สามารถบอกสิ่งที่อยู่ในบันทึกเหล่านี้ได้ แม้ว่าถ้าพวกเขารู้
พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้ |
|
|
ยกตัวอย่าง
หมอดูบางคนอาจจะช่วยเปลี่ยนแปลงกรรมปัจจุบันของเราได้บ้างนิดหน่อย
พวกเขาอาจจะบอกเราว่า โอ! คุณนายหวัง เธอกำลังถูกครอบงำด้วยพลังทางลบ!
มีบางอย่างที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับฮวงจุ้ยในบ้านของเธอ
ให้รีบจัดการย้ายตำแหน่งทิศทางบ้านของเธอแล้วทุกอย่างก็จะดีเอง!
เธอควรที่จะทำบุญด้วย เพื่อที่จะได้รับพระพรหรือผลประโยชน์ในอนาคต
บางครั้งก็ทำแบบนั้นได้
เพราะบุคคลคนนั้นสามารถอ่านกรรมที่เราได้ก่อขึ้นในชาติก่อนของเรา
ซึ่งทำให้เราตกอยู่ในมุมมืดในขณะนี้ เขาสามารถมองเห็นมันได้
และเขาสามารถช่วยเราคลายปมกรรมที่หลงเหลือมาจากชาติก่อน อย่างไรก็ตาม
บางครั้งกรรมของเราอาจจะได้ก่อขึ้นเมื่อนานมาแล้วหลายพันปีก่อน
และผลแห่งกรรมนั้นยังไม่สุกงอม ดังนั้น
แม้ถ้าหมอดูจะทราบเรื่องนี้พวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้ที่จะช่วยเราให้หลุดพ้นจากกฎแห่งกรรมอันไม่พึงปรารถนานี้
พวกเขาไม่สามารถทำอะไรได้ |
|
|
มีเพียงอาจารย์ผู้รู้แจ้งเท่านั้นที่สามารถเข้าไปยังสถานที่เหล่านี้
ซึ่งบันทึกที่สมบูรณ์ได้ถูกเก็บรักษาไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
มันเป็นงานของอาจารย์เหล่านี้ที่จะล้างกรรมเก่าๆ ให้หมดไปอย่างสิ้นเชิง
มิฉะนั้นแล้วก็จะเป็นการไร้ประโยชน์ที่เราจะบำเพ็ญทางจิตวิญญาณเพื่อการหลุดพ้น
จะต้องใช้เวลาเป็นพันกัปกัลป์ที่จะลบล้างกรรมทั้งหมด! กระนั้นก็ดี
มันก็ยังไม่ถูกลบล้างไปโดยสมบูรณ์ ทำไม?
เพราะแต่ละครั้งที่เรากลับมาเราก็จะสร้างกรรมใหม่ขึ้นมาถูกผูกมัดอีก
ก่อนที่เราจะสามารถล้างกรรมที่เราได้สะสมมาออกไปอย่างสมบูรณ์
เราก็จะรับเอากรรมใหม่ๆ เข้ามามากขึ้น
ไม่มีหมอดูหรือบุคคลใดที่มีพลังเหนือธรรมชาติ
หรือมีความสามารถที่จะอ่านอดีตชาติจะสามารถเข้าไปยังสถานที่เหล่านี้
เพราะเขาไม่มีพลัง
เขาไม่สามารถทำอะไรที่จะช่วยลูกค้าของเขาให้จัดการกับกรรมที่มีอายุเก่าแก่นี้ได้
เนื่องจากว่าอาจารย์ผู้รู้แจ้งมีพลังสุดประมาณจึงจะสามารถชำระล้างกรรมทั้งหมดในชาติก่อนๆ
ของเราได้ในชั่วพริบตา พลังของพวกท่านนั้นเหลือเชื่อ!
ถ้าเราไม่มีโอกาสที่จะได้พบอาจารย์เหล่านี้
ไม่ว่าเราจะได้รางวัลพระพรมามากเท่าไหร่ก็จะไม่พอเพียง
เพราะกรรมของเรานั้นหนักหนาเกินไปและผลกรรมชั่วของเราก็มีมากเกินไป!
ไม่ว่าเราจะขยันบูชาพุทธะเพียงไรก็จะไม่มีวันพอ
เราอาจจะศึกษาคัมภีร์ทั้งหมดแต่มันก็ยังไม่สามารถเปิดปัญญาของเราได้
เพราะเราถูกห่อหุ้มไปด้วยเมฆอันดำมืดแห่งกรรมจากชาติก่อนๆ ของเรา
เราอาจจะอ่านคัมภีร์ต่างๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่เราก็ยังคงเป็นเหมือนคนตาบอด!
แม้ว่าคัมภีร์เหล่านี้จะเขียนไว้อย่างชัดเจนมาก
เราก็ไม่อาจที่จะเข้าใจความหมายได้เพราะเราตาบอดด้วยขยะและกรรม |
|
|
ความแตกต่างระหว่างผู้ประทับจิตและผู้ไม่ประทับจิต |
|
มีคนเป็นจำนวนมากคิดว่าเป็นการดีพอแล้วเพียงแค่เชื่อในตัวอาจารย์
แต่ไม่ใช่เลย! เธอจะต้องเต็มใจให้ฉันชำระล้างเอให้สะอาด
ฉันทำไม่ได้ถ้าเธอไม่เต็มใจเพราะว่ามันเป็นบ้านของเธอ
ถ้าหากเธอตั้งใจที่เกาะติดกับขยะของเธออย่างเหนียวแน่น
ก็ไม่มีใครสามารถเอามันไปจากเธอได้
นับว่ามีประโยชน์ในระดับหนึ่งสำหรับคนที่มีศรัทธาในตัวฉัน
อ่านหนังสือของฉันหรือบูชารูปถ่ายของฉัน
มันชำระล้างพวกเขาจากภายนอกแต่ไม่ใช่จากภายใน
ผู้ที่รับการประทับจิตได้ยอมให้ฉันทำความสะอาดพวกเขาจากภายในออกสู่ภายนอก
ในขณะที่ผู้ที่ไม่ได้รับการประทับจิตซึ่งมีศรัทธาและอ่านหนังสือ
จะได้รับการชำระล้างเพียงแค่ภายนอกเท่านั้น
ตัวเราคนเดียวไม่สามารถจัดการกับกรรมที่เราได้สะสมมาเป็นเวลาหลายชาติ
มีขยะมากเกินไปและเป็นเวลายาวนานมาแล้วที่มันไม่ได้ถูกกำจัดออกไป
ชีวิตแล้วชีวิตเล่าเราได้เก็บรวบรวมฝุ่นออกไปให้หมดจด
บ้านบางหลังก็เก่ามากจนถึงกับจำเป็นที่จะต้องทำเพดานใหม่
ทาสีผนังใหม่และเอาพรมออกเพื่อทำความสะอาด จะต้องทำความสะอาดทุกซอกทุกมุม
ทำพื้นใหม่และทาสีผนังใหม่ก่อนที่บ้านนั้นจะใช้อยู่อาศัยได้
ในทำนองเดียวกันบ้านที่อยู่ข้างในของเรา
จิตตัวนี้ของเราก็เต็มไปด้วยฝุ่นเช่นกัน พื้นก็พังแล้ว
ความคิดทางด้านคุณธรรมของเราและอุดมการณ์อันสูงส่งของเราก็ได้เสื่อมถอยลง
เหลือแต่ความคิดทางโลกเท่านั้น และความโลภ หลงที่ติดเป็นนิสัย
เราไม่สามารถจัดการมันด้วยตัวเราคนเดียวได้ สำหรับผู้ที่ได้รับการประทับจิต
อาจารย์จะเข้าไปทำความสะอาดข้างในอย่างหมดจด |
|
|
มีคนเป็นจำนวนมากที่มีความคิดผิดๆ
ว่าเป็นการพอเพียงแล้วในการนำรูปถ่ายของฉันกลับไปบูชาที่บ้าน
นิสัยในการบูชาของเขานั้นฝังรากลึก เขาบูชาพระแม่ธรณีและแม้กระทั่งรุกขเทวดา
เมื่อพวกเขาทราบถึงพลังของฉันพวกเขาก็นำรูปถ่ายของฉันกลับไปบูชาที่บ้านด้วยเหมือนกัน
แบบนั้นก็มีประโยชน์แต่เป็นเพียงแค่ภายนอกเท่านั้น
ฉันได้ทำการเปรียบเทียบให้ฟังอย่างชัดเจนมากแล้วเมื่อสักครู่นี้
เพราะฉะนั้นถ้าเราปรารถนาการหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดจริงๆ
และต้องการที่จะกำจัดจุดที่สกปรกของเราออกไปแล้วละก็ มีเพียงหนทางเดียวเท่านั้น
นั่นก็คือการรับการประทับจิต เพราะฉะนั้นขออย่าได้ถูกชักจูงไปผิดๆ ในเรื่องนี้
ฉันได้พบว่ามีคนเป็นจำนวนมากที่มีความคิดผิดๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้
นับว่าเสียดายมาก ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่มีศรัทธาในตัวฉัน
แต่เพราะพวกเขาเข้าใจผิด |
|
เพราะฉะนั้นในวันนี้ ฉันจึงได้เน้นเป็นพิเศษในจุดนี้
เพื่อให้ความกระจ่างแก่พวกเธอ (เสียงปรบมือ)
ฉันไม่ได้พยายามที่จะบังคับเธอให้รับการประทับจิต
ฉันเพียงแค่ต้องการให้พวกเธอที่ถูกชักนำไปผิดๆ
ให้เข้าใจถึงความแตกต่างที่สำคัญระหว่างการประทับจิตและการไม่ประทับจิต!
แม้กระทั่งคนที่ไม่มีศรัทธาแรงกล้าในตัวฉัน
หลังจากที่ได้รับการประทับจิตไปแล้วก็ยังดีกว่าผู้ที่เชื่อฉันแต่ไม่ได้รับการประทับจิต
มันก็เหมือนกับการรักคนๆ หนึ่งอย่างมากโดยที่ไม่ได้แต่งงานกับเขา
จะมีประโยชน์อะไรกัน?
เรื่องนี้แตกต่างกับเรื่องที่การไม่รักคนๆ หนึ่งเท่าไรนัก
แต่ใช้ชีวิตอยู่กับเขาหรือหล่อนทุกๆ วันมีประสบการณ์ของการแต่งงานและมีความสุขด้วยกันนับว่ามีความแตกต่างอย่างมาก!
จริงหรือเปล่า?
ถ้าหากเธอรักผู้หญิงคนหนึ่งเธออยากที่จะรักเขาจากข้างนอกประตูของเขาทุกๆ วัน
หรืออยากที่จะแต่งงานกับเขา (ผู้ฟัง: แต่งงานกับเขา) ใช่แล้ว!
เพราะฉะนั้นอย่างมาบอกฉันว่าแค่รักผู้หญิงก็ดีพอแล้ว
ว่าเธอรักหล่อนมากกว่าคู่รักของหล่อน
จะมีประโยชน์อะไรในการรักหล่อนมากถ้าเธออยู่ไกลจากกัน?
ถ้าหากเธอต้องการหล่อนจริงๆ แล้วละก็แต่งงานกับหล่อนเสีย
เธอควรที่จะรับการประทับจิตถ้าหากเธอต้องการหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด
ต้องการได้รับความช่วยเหลืออย่างแท้จริงจากอาจารย์
และได้รับประโยชน์พลังพระพรอันยิ่งใหญ่ที่สุดที่มีอยู่! |