เหตุใดจึงต้องมีอาจารย์ผู้รู้แจ้งที่มีชีวิตอยู่?

ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ ณ วังจื้อชิง เมืองอี๋หลัน ฟอร์โมซา
31 มีนาคม 2532 (ต้นฉบับเป็นภาษาจีน)

 
ธรรมวิถีที่แตกต่างกันเสมือนยานพาหนะที่แตกต่างกัน
เหตุใดเราจึงไม่สามารถติดต่อกับพลังที่สูงสุดของจักรวาลโดยตรง?
ธรรมวิถีช่วยโลกที่สูงส่งที่สุด
ปณิธานอันยิ่งใหญ่ของมหาอาจารย์
ธรรมวิถีอันดับ 1 ไม่มี 2
 
 

มีคนจำนวนมากได้ถามอาจารย์ว่า “เหตุใดจึงต้องหาอาจารย์ผู้รู้แจ้งที่มีชีวิตอยู่ เพื่อที่จะสามารถถ่ายทอดพลังพรของพระเจ้าให้กับโลกมนุษย์ของเรา? ได้ยินว่าพระเจ้ามีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ขอเพียงแต่เราได้อธิษฐานถึงพระองค์ พระองค์ก็ควรจะให้พรเราได้ เหตุใดยังต้องอาศัยอาจารย์ผู้รู้แจ้งที่มีชีวิตอยู่?” ถ้าหากเป็นเช่นนี้ได้จริง ฉันเองก็คงดีใจมาก ถ้าหากพลังของพระเจ้าสามารถถ่ายทอดมาให้เราโดยตรง ทำให้พวกเรารู้แจ้ง บรรลุเป็นพุทธะ ทำให้เราได้เข้าถึงนิพพานและทำให้เราเข้าสู่อาณาจักรของพระองค์หรือบรรลุสัจธรรม ได้มาซึ่งอันดับชั้นแห่งความสุขตามที่เราปรารถนา แต่เสียดายที่พระผู้เป็นเจ้าแห่งการสร้างสรรค์มิได้สร้างระบบการถ่ายทอดพลังพรมาเป็นเช่นนี้

ยกตัวอย่างในโลกมนุษย์ของเราถ้าหากต้องการมีลูกจะต้องแต่งงาน พระผู้เป็นเจ้าแห่งการสร้างสรรค์ทางธรรมชาติมิได้ใช้วิธีเสกคาถาโดยท่อง “ฮูลาฮุบ!” สร้างเด็กขึ้นมาคนหนึ่งและจับเขาหรือโยนลงจากบนสวรรค์มาให้พวกเธอ! หากเราต้องการข้าวสารหรือผักเราต้องทำการหว่านเมล็ดพันธ์ก่อน แม้กระทั่งปลูกลงในดินแล้วยังต้องมีชาวนาคอยดูแลมันอีก จึงจะออกผลดีและได้รับผลิตผลดี กฎแห่งการสร้างสรรค์ทางธรรมชาตินี้ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้กำหนดขึ้น แต่ถ้าหากไม่มีกฎแห่งการสร้างสรรค์ทางธรรมชาติเช่นนี้ โลกมนุษย์จะมีแต่ความวุ่นวายสับสน ทุกคนอยากได้อะไรก็จะได้ตามที่ตนปรารถนา สมองแห่งความเป็นปุถุชนของเรามีความไม่เข้าใจอยู่มาก บางครั้งเราอาจเรียกร้องในสิ่งที่ผิดๆ ทำให้ระบบแห่งการดำรงอยู่ของโลกมนุษย์เกิดความวุ่นวายสับสน เพราะฉะนั้น ฉันมีความเห็นว่ากฎเกณฑ์นี้เป็นสิ่งที่ดีสำหรับเรา

 

ยกตัวอย่างเช่น ไส้เดือนมีหน้าที่ทำดินเปรี้ยวและดินที่ไม่อุดมสมบูรณ์ให้กลายเป็นดินที่อุดมสมบูรณ์ เหตุใดพระผู้เป็นเจ้าจึงไม่ลงมือทำเอง? พวกเราไม่มีใครทราบ อย่างไรก็ดีจะต้องมีไส้เดือน ดินจึงจะอุดมสมบูรณ์และเพาะปลูกได้ ดังนั้น ไส้เดือนก็มีประโยชน์แห่งการสร้างสรรค์ของมัน มนุษย์เราก็มีประโยชน์แห่งการสร้างสรรค์ของเรา ยกตัวอย่างเช่น เมื่อมีสามีและภรรยาจึงจะมีลูกได้ มิใช่พระผู้เป็นเจ้าใช้วิธีเสกคาถา “ฮูลาฮุบ!” ท่อง “โอมมณีปามีโฮม” หรือวิธีอื่นๆ สร้างเด็กออกมาให้เราคนหนึ่ง

 

เราได้ยินมาว่า “สรรพสัตว์ล้วนมีธรรมชาติของความเป็นพุทธะอยู่ภายใน” แต่เราไม่ทราบว่าสภาพของความเป็นพุทธะนั้นเป็นอย่างไร เราทราบมาว่าพระเยซูเคยตรัสไว้ว่า “เราเป็นบุตรธิดาของพระเจ้า” แต่เราก็ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดเราจึงเป็นบุตรธิดาของพระเจ้า การที่ว่าเราเป็นบุตรธิดาของพระเจ้านั้นหมายความว่า เราทุกคนมีความสามารถแห่งการสร้างสรรค์เหมือนอย่างที่พระเจ้ามี หากไม่มีพวกเราก็จะไม่มีมนุษย์ ไม่มีเด็กๆ แม้กระทั่งมหาอาจารย์ผู้ช่วยโลกก็ต้องผ่านร่างกายของมนุษย์จึงจะจุติลงมาได้ พวกเธอลองดูซิมนุษย์อย่างพวกเรายิ่งใหญ่มากใช่ไหม? สรรพสัตว์ล้วนแต่มีความสามารถแห่งการสร้างสรรค์โดยธรรมชาติ ซึ่งความสามารถชนิดนี้ก็คือพลังแห่งการสร้างสรรค์ของพระผู้เป็นเจ้า เป็นพลังแห่งความเมตตาของพระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทำให้สิ่งมีชีวิตทุกสิ่งสามารถดำรงอยู่ได้ ทำให้โลกของเรามีสิ่งต่างๆ เต็มไปหมด

 

ในเมื่อเราเป็นบุตรธิดาของพระเจ้าแต่เรากลับไม่สามารถติดต่อกับพระเจ้าได้ด้วยตนเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่เรายอมรับมิได้ แต่กฎแห่งการสร้างสรรค์ของจักรวาลกำหนดมาเป็นเช่นนี้ อย่างเช่น แม้เราจะได้ยินว่าลูกๆ ของเราเป็นพระเจ้า แต่ก็ต้องผ่านการตั้งครรภ์แล้วคลอดออกมาจึงจะได้เป็นเด็ก ยกตัวอย่างอีก เช่น ที่ดินทุกแปลงเหมือนกันหมด แต่เราสามารถปลูกดอกไม้ ผลไม้ และต้นไม้ออกมาหลายลักษณะ หลายชนิด ซึ่งดอกไม้ทุกดอก ต้นไม้ทุกต้น จะเลือกดูดซึมอาหารบำรุงตามที่ตนเองต้องการ จากนั้นจะมีการออกดอกหรือออกผลออกมาต่างต่างกันไปตามแต่ละต้น ในทำนองเดียวกันแม้ว่าพวกเราล้วนแต่ได้กำเนิดมาโดยพระเจ้า แต่หน้าตาทุกคนมีความแตกต่างกัน ทั้งนี้เป็นเพราะเราทุกคนก็เหมือนดอกไม้ ผลไม้ และต้นไม้ ซึ่งได้ดูดซึมอาหารบำรุงที่แตกต่างกัน อาหารบำรุงนี้ก็คือ “เหตุและผลแห่งกรรม” ดังที่ได้เรียกกันในพุทธศาสนา “เหตุและผลแห่งกรรม” คือสิ่งที่มีคุณสมบัติอะไร? มันคือการกระทำของเราในชาตินี้หรือในชาติปางก่อนที่ได้กระทำและสะสมไว้จนกลายเป็นสนามแม่เหล็กชนิดหนึ่งที่ห้อมล้อมตัวเราไว้ ซึ่งสามารถดึงดูดชนิดเดียวกันมาสู่ตัวเรา ทำให้เรากลายเป็นผู้ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

 

ดังนั้น ตามที่เราเคยได้ยินมาว่าอาจารย์ผู้รู้แจ้งโดยสมบูรณ์ท่านหนึ่ง ซึ่งท่านจะต้องผ่านการบำเพ็ญปฏิบัติธรรมมาแล้วทุกภพทุกชาติ หรือได้ทราบจากในคัมภีร์พระสูตรว่าการที่บำเพ็ญปฏิบัติธรรมให้บรรลุเป็นพุทธต้องใช้เวลาหลายพันหมื่นกัลป์กัป อาจเป็นเพราะเราต้องดึงดูดสิ่งที่มีคุณสมบัติที่แตกต่างกันมากมาย และความสามารถที่แตกต่างกันมากมายมาสู่ตัวเรา จากนั้น เราจึ่งจะสามารถกลายเป็นบุคคลที่งดงามอย่างสมบูรณ์แบบได้ เราจึงสามารถมีเพียบพร้อมด้วยทุกสิ่งทุกอย่ง ซึ่งเหตุการณ์ที่กล่าวมานี้เป็นความจริงแต่ว่า ถ้าหากเป็นเช่นนี้แล้วดูเหมือนจะขัดแย้งกับหัวข้อที่ว่า “รู้แจ้งฉับพลัน ชาติเดียวหลุดพ้น” ของอาจารย์เอง! (ผู้คนหัวเราะ) ต้องใช้เวลาถึงหลายพันหมื่นกัลป์กัปจึงจะสามารถบรรลุธรรมได้ ซึ่งจะเป็นการหลอกพวกเธอหรือไม่ เหตุใดอาจารย์จึงได้กล่าวว่า “รู้แจ้งฉับพลัน ชาติเดียวหลุดพ้น”? ทั้งนี้เป็นเพราะวันเวลาอันกำหนดของเรามาถึงแล้วเราจึงรู้แจ้งฉับพลันได้ บุคคลที่ต้องการรู้แจ้งฉับพลันนั้นคือ บุคคลที่ได้ผ่านการปฏิบัติธรรมมาแล้วหลายร้อยพันหมื่นกัลป์กัป!

 

มิฉะนั้นแล้ว เราจะทราบได้อย่างไรว่าเมื่อไรตนเองจะบำเพ็ญได้ครบหลายร้อยพันหมื่นกัลป์กัป ดังนั้น ทุกภพทุกชาติจึงมีมหาอาจารย์ผู้รู้แจ้งโดยสมบูรณ์จุติลงมาในโลก ดังนั้น ทุกภาพทุกชาติจึงมีมหาอาจารย์ผู้รู้แจ้งโดยสมบูรณ์จุติลงมาในโลก เช่น พระเยซู พระพุทธเจ้า อาจารย์เหลาจื่อ อาจารย์จวงจื่อ อาจารย์ขงจื่อ อาจารย์โม่จื่อ ฯลฯ แต่ว่าโลกของเราก็ยังมีมนุษย์เต็มไปหมด นั่นหมายความว่ายังไม่มีใครหลุดพ้น มีบ้างแต่จำนวนน้อยมาก! เราได้เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภูมิ 6 ที่ศาสนาพุทธได้เรียกกัน ภูมิ 6 คืออะไร? ซึ่งหมายถึงเราได้ขึ้นสวรรค์ไปเป็นเทวดาเมื่อเวลาพ้นกำหนด  ตกลงมาเกิดเป็นมนุษย์หรือเกิดเป็นสัตว์ และกลายเป็นเปรตหรือลงไปในนรก ฯลฯ ตราบใดที่เราไม่อาจบรรลุถึงความสามัญสำนึกแห่งอันดับชั้นที่สูงส่งที่สุดได้ ก็หมายความว่าเราไม่สามารถหลุดออกจากการเวียนว่ายตายเกิดในภูมิ 6 ได้ การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารเป็นสภาพการณ์ของไตรภูมิ ไตรภูมิคืออะไร? นอกจากโลกของเราแล้วมีโลกหรือภูมิภพอีก 3 แห่ง เราสามารถขึ้นไปและลงมาจากไตรภูมิได้ แต่ก็เป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะยากลำบาก แม้กระทั่งจะไปดูไตรภูมิก็มิใช่เรื่องง่ายเลย หากต้องการดูโลกของไตรภูมิจะต้องปฏิบัติธรรม

 
ธรรมวิถีที่แตกต่างกันเสมือนยานพาหนะที่แตกต่างกัน
 

ยกตัวอย่างเช่น เราบำเพ็ญนิกายเซน จะมีปุจฉาว่า “ฉันเป็นใคร?” “คุณเป็นใคร?” “ใครสวดมนต์?” เราบำเพ็ญปฏิบัติแบบปุจฉา วิสัจชนา สามารถไปถึงโลกที่ 2 เหมือนกัน เราฝึกโยคะสามารถไปถึงโลกที่ 1 และโลกที่ 2 สูงสุดไปได้ถึงโลกที่ 3 แต่ต้องหยุดอยู่ตรงนั้นไม่สามารถขึ้นไปได้อีก ถ้าต้องการขึ้นไปสูงกว่านี้ ควรจะบำเพ็ญธรรมวิถีที่มีความสูงส่งกว่า นั่นคือการ “รู้แจ้งฉับพลัน” แห่งธรรมวิถีกวนอิม สมมติว่าเราต้องการเดินทางไปเมืองเกาสยง เราสามารถไปได้โดยการขี่รถจักรยานยนต์ หากต้องการไปที่เมืองเผิงหูควรไปทางเรือ ถ้าหากต้องการไปอเมริกาซึ่งเป็นดินแดนที่ไกลกว่า เราต้องเดินทางโดยเครื่องบินจึงจะเร็ว ถ้าหากเราต้องการออกนอกไตรภูมิเราต้องอาศัยเครื่องพาหนะชนิดที่บินออกจากไตรภูมิได้ ไม่ควรใช้ภาษาทางโลกถามกันไปถามกันมา ภาษาทางโลกมนุษย์ไม่ว่าจะมีความฉลาดเพียงใด มันก็ยังคงเป็นภาษามนุษย์อยู่ เสมือนรถยนต์ไม่ว่าความเร็วจะเร็วขนาดไหน มันก็ยังคงวิ่งได้เฉพาะบนถนนเท่านั้น ไม่สามารถข้ามทะเลหรือบินเหนือท้องฟ้าได้

 

ในทำนองเดียวกันการบำเพ็ญปฏิบัติก็มีวิถีธรรมการบำเพ็ญอยู่มากมาย เมื่อวานอาจารย์ก็ได้เสนอวิถีการบำเพ็ญบางวิถีให้พวกเธอเพื่อจะได้กลับไปฝึกฝนตนเองถ้าหากพวกเธอชอบ เป็นเพราะเมื่อวานนี้มีคนต้องการทำให้จิตใจสงบ ซึ่งยังมีวิถีธรรมแห่งการบำเพ็ญอีกมากมาย ถ้าหากอาจารย์จะสอนให้ก็คงสอนไม่จบ! พวกเธอต้องการบำเพ็ญปฏิบัติวิถีธรรมแบบไหนฉันสามารถสอนได้หมด แต่ว่าวิถีธรรมบางวิถีที่เสี่ยงต่ออันตรายอย่างมาก บางวิถีมีความปลอดภัยมาก ธรรมวิถีการปฏิบัติธรรมที่อาจารย์ได้สอนให้เมื่อวานนี้เป็นธรรมวิถีที่ปลอดภัยที่สุด ซึ่งปลอดภัยที่สุดสำหรับสภาพการณ์ที่ยังมิได้ติดต่ออาจารย์โดยตรง ส่วนธรรมวิถีอื่นถ้าหากมิได้อยู่รอบข้างอาจารย์ทุกวันก็ไม่ควรบำเพ็ญ เพราะหลังจาการบำเพ็ญไปช่วงหนึ่ง จะทำให้สติฟั่นเฟือน จิตใจผิดปกติร่างกายไม่แข็งแรง ทุกสิ่งทุกอย่างจะวุ่นวายสับสนไปหมด  ดังนั้น อาจารย์จึงไม่สอนให้พวกเธอ

 

ในประเทศอินเดียทุกวันนี้ยังมีคนบำเพ็ญวิถีธรรมที่ซับซ้อนบางวิถี เนื่องจากพวกเขาบังเอิญได้พบอาจารย์ที่สอนวิถีธรรมแบบนั้น จึงได้ปฏิบัติตามวิถีธรรมดังกล่าวต่อไป ยกตัวอย่างเช่น พวกเขาใช้ผ้าที่สะอาดผืนหนึ่ง ซึ่งมีสภาพนุ่มนิ่มและยาวประมาณ 5 เมตร จากนั้นพวกเขาได้ม้วนผ้าเป็นทรงเกลียวและทำการกลืนลงไปในท้องโดยอาศัยน้ำช่วยนิดหน่อย จนกว่าจะกลืนผ้าเกือบจะหมดคงเหลือปลายเล็กน้อย จากนั้นจึงได้ทำการดึงผ้าออกมาจากท้องหลังจากที่ได้กลืนผ้าลงไปในท้องแล้วก็จะทำกิจกรรมเข้าจังหวะบางอย่างโดยการเขย่าท้องไปมา เพื่อล้างลำไส้และกระเพาะให้มันสะอาด

 

ยังมีวิถีการปฏิบัติธรรมที่แปลกประหลาดอีกมากมายฉันไม่กล้าเล่าเพราะมันไม่ใช่สิ่งที่น่าฟัง ยกตัวอย่างเช่น บำเพ็ญปฏิบัติแบบเพ่งที่อวัยวะเพศ ฉันไม่กล้าจะพูดที่นี่เกรงว่าคุณยายทั้งหลายจะวิ่งหนีกลับบ้านกันหมด! (อาจารย์และผู้คนหัวเราะ) บางครั้งพวกเขาเอาผ้าสอดเข้าไปในจมูกจากนั้นค่อยๆ เอาออกมาเพื่อล้างจมูก พวกเขาต้องการล้างทุกส่วนของร่างกายให้สะอาด ซึ่งการกระทำเช่นนี้ก็เป็นการล้างกรรมเช่นกัน แต่ฉันคิดว่าการจะล้างกรรมควรล้างด้วยบุญกุศล ล้างด้วยคุณธรรม ล้างด้วยจิตใจที่งดงาม ล้างด้วยอานิสงส์จากการปฏิบัติธรรมจึงจะสามารถล้างให้สะอาดได้ เนื่องจากกรรมเป็นสิ่งไร้รูปและถูกสร้างขึ้นด้วยจิตใจ ดังนั้นเราจึงต้องอาศัยจิตใจไปล้างจึงจะสะอาดได้

 

ในประเทศอินเดียปัจจุบันที่อยู่บนเทือกเขาหิมาลัย ยังมีคนหลบซ่อนตัวบำเพ็ญอย่างเงียบๆ อยู่มากมาย สถานที่บางแห่งซึ่งไม่เคยมีรอยเท้าของผู้คนที่เดินผ่านปรากฏ ที่นั่นหนาวมากทั้งสูงมาก พวกเขาจะลงมาจากเทือนเขาหิมาลัยมาเดือนละ 1 หน หรือมีคนคอยเอาเสบียงอาหารขึ้นไปให้พวกเรารับประทาน พวกเขาได้บำเพ็ญอยู่บนเขาด้วยความตั้งใจสูงไม่ลงจากเขาเด็ดขาด หากเราต้องการไปถึงสถานที่นั้น จะต้องใช้เท้าเดินหรือบินหรือใช้วิชาตัวเบา พวกเขาเดินก็เหมือนบินผู้อื่นจะตามไม่ทัน ยังมีอีกหากต้องการไปสถานที่เหล่านั้น เราไม่นำข้าวของเครื่องใช้ติดตัวไปได้ ดังนั้น จึงควรฝึกวิชา “ดึงพลังความร้อน” ก่อน โดยวิธีดึงความร้อนจากสะดือเพื่อให้กระจายไปทั่วร่างกายทำให้ร่างกายอบอุ่น ไม่ต้องใส่เสื้อผ้าหรือใช้ผ้าบางๆ ผืนหนึ่งคุมตัวเอาไว้ จากนั้นจึงจะเดินทางขึ้นไปได้ เนื่องจากเส้นทางยางไกลเหลือเกินไม่อาจนำของติดตัวไปได้มากนัก ที่นั่นไม่มีรถจักรยานยนต์ให้ขี่ เนื่องจากสภาพทั่วไปเป็นภูเขาหิมะไปหมด ถ้าหากเธอเดินทางโดยไม่ระวังตัวก็จะเสี่ยงต่อการที่จะตกลงไปในช่องแคบแม่น้ำคงคาซึ่งมีความลึกมาก เมื่อเวลานั้นไม่ต้องท่องคาถาไปหลุดพ้นเพราะมันไม่ทันแล้ว ร่างกายกลายเป็นผงขี้เถ้าไปแล้ว ซึ่งสถานที่นั้น จะต้องเป็นบุคคลที่ฝึกวิชาการหลายอย่างจึงจะอยู่ได้

 

ดังนั้น ผู้นำศาสนานิกายมี่ ท่านมิลาเรอปาซึ่งเป็นผู้นำทางศาสนาที่มีชื่อเสียงโด่งดังท่านหนึ่ง ท่านมิลาเรอปาเคยฝึกวิถีธรรมอื่นๆ มาแล้วหลายอย่างก่อนจะมาบำเพ็ญกับอาจารย์ของท่าน จึงทำให้สามารถมีชีวิตอยู่บนเทือกเขาหิมาลัยได้ ยกตัวอย่างเช่น ท่านสามารถใช้วิชาตัวเบาเดินอยู่เหนือพื้นดินและสามารถบินเหนือท้องฟ้าได้ ยกตัวอย่างเช่น ท่านสามารถใช้วิชาตัวเบาเดินอยู่เหนือพื้นดินและสามารถบินเหนือท้องฟ้าได้ ท่านมิลาเรอปาเคยฝึกวิชาการดึงความร้อนจากสะดือเพื่อทำให้ท้องอุ่นและกระจายไปส่วนอื่นๆ ของร่างกาย เนื่องจากท่านไม่มีเสื้อผ้าใส่ และบางครั้งหิมะถล่มทำให้ถนนตัดขาดไม่มีคนที่จะให้ท่านบิณฑบาต ท่านจึงมิได้รับประทานอาหารเป็นเวลา 3 เดือน 4 เดือน ในสมัยโบราณระบบการคมนาคมไม่สะดวกการใช้ชีวิตเรียบง่าย ดังนั้น จึงสามารถฝึกวิธีการบำเพ็ญปฏิบัติได้หลายอย่าง

 

ในยุคสมัยปัจจุบันถ้าหากเราต้องฝึกก็ได้ แต่เนื่องด้วยคนในยุคปัจจุบันร่างกายอ่อนแอ จิตใจเหนื่อยและอ่อนล้าจึงไม่มรความอดทนพอที่จะเดินทางไกลแบบนั้น และฝึกวิธีการบำเพ็ญที่ซับซ้อนแบบนั้นได้ น้อยคนมากที่ทนสภาพดินฟ้าอากาศบนเทือกเขาหิมาลัยได้ ยกตัวอย่างตอนที่ฉันอยู่บนภูเขาหิมาลัยฉันไม่สามารถหุงข้าวรับประทาน อาจกล่าวว่าจะหุงข้าวก็ได้ เพียงแต่สุกช้ามาก ช้าเหลือเกิน เนื่องจากความดันอากาศไม่พอ หุงต้มนานเท่าใดก็ยังเย็นเหมือนเดิม ฉันได้แต่มองดูมันๆ ก็มองดูฉัน มันจะไม่เดือด จากนั้น ฉันจึงต้องรับประทานแบบดิบๆ นำไปล้างที่แม่น้ำคงคาแล้วรับประทานเข้าไปซึ่งอร่อยเหมือนกัน แม้ว่าเทือกเขาหิมาลัยจะหนาวมากแต่ก็ยังมีผักสดขึ้นตามเขาอีก ซึ่งฉันเองตกใจมากไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดจึงแปลกประหลาดเช่นนี้ พวกเธอสามารถนำผักสดนั้นมารับประทานได้ แต่หากรับประทานผักชนิดนี้มากเกินไปตัวเราก็จะมีสภาพเหมือนผักชนิดนี้ ร่างกายจะเขียวไปหมดและมีขนงอกออกมาตามตัว (อาจารย์หัวเราะ)

 

ดังนั้น เมื่อเวลาที่ท่านมิลาเรอปาอยู่บนเทือกเขาหิมาลัย ร่างกายของท่านมีขนสีเขียวยาวๆ งอกตามตัว เมื่อผู้คนพบเห็นท่านมักจะถามท่านว่า “คุณเป็นปู้ต๋าหรือเปล่า?” คำว่า “ปู้ต๋า” ภาษาทิเบตแปลว่า “ผี” (อาจารย์และผู้คนหัวเราะ) ท่านมิลาเรอปาได้ตอบว่า “เปล่านะ! ฉันเป็นคน!” ซึ่งบุคคลที่พบเห็นท่านถามต่อไปอีกว่า “คนทำไมมีสภาพเช่นนี้? ทำไมมีขนสีเขียวยาวๆ งอกตามตัวล่ะ?” ถูกต้อง! เมื่อเรารับประทานอะไรเข้าไปเราก็จะกลายเป็นเช่นนั้น

 

ซึ่งระบบนี้เกี่ยวข้องกับทางร่างกาย ส่วนทางด้านจิตใจของเราเมื่อเราคิดอะไรเราก็จะกลายเป็นลักษณะนั้นตามที่เราคิด เรื่องนี้คิดว่าทุกคนคงเคยได้ยินมาแล้ว แต่แล้วทำไมทุกคนจึงไม่คิดจะให้ตนเองบรรลุธรรมล่ะ จากนั้นก็ได้บรรลุธรรมดั่งที่เราปรารถนาซึ่งเป็นเรื่องที่ง่ายมากไม่ใช่หรือ หลังจากที่พวกเธอกลับไปแล้วให้ลองไปคิดแบบนี้ดู คิดทุกวันว่าฉันบรรลุธรรมแล้วๆ ๆ ลองดูว่าจะได้บรรลุธรรมหรือไม่ แท้จริงไม่ต้องท่องว่าฉันบรรลุธรรมแล้วการท่องแบบนี้ไม่มีประโยชน์ ถ้าหากไม่มีมหาอาจารย์ผู้รู้แจ้งโดยสมบูรณ์แล้ว เราท่องก็ไม่ได้เกิดประโยชน์ ดังนั้น มีคนจำนวนมากได้ท่องอมิตะพุทธทุกวันแต่เขาไม่อาจเป็นอมิตาภพุทธได้ แต่หากเราได้พบอาจารย์ท่านหนึ่งที่ได้บรรลุธรรมแล้ว เมื่อเวลานั้นเราพูดกับท่านจึงจะมีประโยชน์

 
เหตุใดเราจึงไม่สามารถติดต่อกับพลังที่สูงสุดของจักรวาลโดยตรง?
 

เหตุใดจึงมีความแปลกประหลาดเช่นนี้? ซึ่งเมื่อสักครู่อาจารย์ได้กล่าวว่ามีคนมากมายมาถามอาจารย์ว่า “เหตุใดจึงต้องมีอาจารย์ที่รู้แจ้งโดยสมบูรณ์ที่มีชีวิตจึงจะสามารถถ่ายทอดธรรมให้พวกเราได้ เหตุใดพลังที่สูงสุดของจักรวาลจึงไม่ทำการถ่ายทอดให้พวกเราโดยตรง ท่านกวนอิมโพธิสัตว์สามารถปรากฏกายได้ทุกหนทุกแห่งตามคำอธิษฐานของสรรพสัตว์ แล้วเหตุใดพลังที่สูงสุดจึงไม่ปรากฏให้เห็นโดยตรง กลับต้องไปผ่านร่างกายของปุถุชน?” คำตอบก็คือ ท่านกวนอิมโพธิสัตว์อยู่ทุกหนทุกแห่งจริง แต่เราจะไม่สามารถเห็นท่านได้แม้ว่าท่านจะมายืนอยู่ต่อหน้าเราก็ตาม ทั้งนี้เนื่องจากความนึกคิดและแรงสั่นสะเทือนของเรามีความหยาบมากแต่ท่านไม่เหมือนกัน บุคคลซึ่งรู้แจ้งโดยสมบูรณ์แล้วแรงสั่นสะเทือนและร่างกายของท่านจะละเอียดอ่อนมากๆ จนเราไม่สามารถมองเห็น

 

ในหนังสืออัตชีวประวัติของโยคีท่านปรมาอาจารย์ โยคะนันทะ เป็นนักฝึกโยคะที่มีชื่อเสียงของอินเดีย ท่านบำเพ็ญดีมาก อาจารย์ปู่ของท่านคือ ท่านบาบาจี ซึ่งมีอายุพันกว่าปีแล้ว อายุยืนนานมาก ท่านสามารถมีชีวิตอยู่บนเทือกเขาหิมาลัยได้นานมาก ไม่ตาย! มีวันหนึ่ง อาจารย์ปู่ได้เดินทางมาเยี่ยมอาจารย์ของท่าน อาจารย์ของท่านตื่นเต้นมากรีบไปต้มน้ำชาให้อาจารย์ปู่ของท่านดื่ม ปรากฏว่าตอนออกไปไม่เห็นท่านบาบาจี! เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้? เพราะท่านบาบาจี ได้หลบซ่อนตัวอยู่ในแสงอาทิตย์ ซึ่งนิทานเรื่องนี้อาจารย์เคยเล่าให้ฟังมาแล้ว เราจะหลบซ่อนตัวไว้ในแสงอาทิตย์ได้อย่างไร? พวกเธอไม่อาจคาดคิดว่าคนจะหลบซ่อนตัวอยู่ในแสงอาทิตย์จนทำให้หาตัวไม่พบ แต่เรื่องที่เกิดขึ้นนี้เป็นความจริงสำหรับผู้ที่ไม่บำเพ็ญจะไม่เข้าใจ ซึ่งจะเหมือนเมื่อสักครู่ที่เพื่อนบำเพ็ญของเราได้รายงานว่าบางครั้งอาจารย์หายตัวไป อาจารย์จะหายไปไหน? ร่างกายนี้มีน้ำหนักหลายสิบกิโล ทำไมจึงสามารถวิ่งเร็วขนาดนั้น? เป็นไปไม่ได้ว่าจะลอยตัวไปในชั่วพริบตา! ท่านได้หลบซ่อนตัวไว้ต่างหาก ท่านหลบเข้าไปในแสงอาทิตย์ก็จะหาไม่พบ!

 

มีร่างกายบางชนิดซึ่งมีความละเอียดอ่อนมาก ถ้าหากมิได้เปิดตาทิพย์ก็จะมองไม่เห็น เมื่อมีความนึกคิดทางใจแบบปุถุชนก็จะทำให้พวกเรามองไม่เห็น เหมือนเวลาที่เรานั่งสมาธิแบบบำเพ็ญธรรมวิถีกวนอิม บางครั้งเราได้เห็นดินแดนของพุทธะ จากนั้นเราดีใจมาก พุทธะก็พลอยหายตัวไปด้วย! ท่านกลัวพวกเราใช่ไหม? ไม่ใช่! ทั้งนี้เป็นเพราะว่าจิตใจของเราไม่ปกติ ดังนั้น เราจึงมองไม่เห็นพุทธะ ต่อไปเราบำเพ็ญสูงขึ้นจะมิเพียงแต่ได้เห็นบุคคลที่รู้แจ้งโดยสมบูรณ์เท่านั้น แต่ตัวเราเองจะกลายเป็นบุคคลที่รู้แจ้งโดยสมบูรณ์ ซึ่งสภาพการณ์แบบนี้อยู่ในอันดับชั้นที่สูงมาก นอกจากบำเพ็ญธรรมวิถีกวนอิมแล้วน้อยคนที่จะได้บรรลุถึงอันดับชั้นนี้ ฉันอาจจะกล่าวได้เลยว่าไม่มีใครสามารถบรรลุถึงขั้นนี้ได้นัก! (ผู้คนปรบมือ) แม้กระทั่งบุคคลที่บำเพ็ญธรรมวิถีกวนอิมก็มิใช่ว่าจะสามารถบรรลุถึงอันดับชั้นสูงส่งแบบนั้นได้ทุกคน

 

เมื่อวานนี้เราได้พูดถึงอันดับชั้นของพุทธะภูเขาทองที่มีชีวิตอยู่ว่า พระองค์มีความสามารถในการรักษาโรคที่เหนือมนุษย์ซึ่งมหัศจรรย์มาก พระองค์ใช้อะไรรักษาโรคพวกเธอทราบบ้างไหม? พระองค์ได้รักษาโรคโดยการใช้ฝุ่นละอองจากร่างกายของท่าน หรือใช้น้ำที่ท่านอาบน้ำล้างตัว หรือใช้น้ำลาย น้ำมูก ขี้หู พวกเธออยากรับประทานยาแบบนั้นไหม? (ผู้คนหัวเราะ) แม้กระทั่งมหาอาจารย์ผู้รู้แจ้งมา เราก็ยังยากที่จะได้บุญกุศล เป็นเพราะใจของเรามีความแบ่งแยกมากมาบ ท่านได้กลายร่างกายอันหนึ่งแล้วเราจะไม่ยอมเชื่อท่านอย่างง่ายดายแน่นอน ยิ่งมิต้องพูดถึงร่างกายที่ไร้รูปลอยไปลอยมาที่เราไม่สามารถมองเห็นท่าน ดังนั้น คนส่วนใหญ่เวลาท่องนามของนักบุญทั้งหลาย จึงไม่รวมสมาธิเป็นจิตหนึ่งใจเดียว เพราะว่าเราไม่อาจเชื่อมหาอาจารย์ผู้รู้แจ้งที่เราไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน ซึ่งปัญหาอยู่ตรงนี้! มิได้หมายความว่าเราไม่รักมหาอาจารย์ผู้รู้แจ้งโดยสมบูรณ์ แต่เราไม่อาจเชื่อท่านได้โดยง่ายๆ เนื่องจากเราไม่สามารถมองเห็นท่าน

 

มีวันหนึ่งพุทธะภูเขาทองได้รับนิมนต์ไปรักษาโรคให้กับหญิงคนหนึ่ง ซึ่งผู้หญิงคนนี้เป็นภรรยาของขุนนางชั้นผู้ใหญ่ เมื่อพุทธะภูเขาทองได้เดินทางมาถึงก็ได้จับผู้หญิงคนนั้นมากอดเอาไว้และจูบเธอ ส่งน้ำลายเข้าปากของเธอ คุณผู้หญิงคนนี้ไม่เคยพบพุทธะแบบนี้มาก่อนเลยกลัวจนวิ่งหนีแทบไม่ทัน สามีของเธอโกรธมากรีบนำภรรยาของเขาจากไปโดยด่วน ส่วนคุณผู้หญิงอีกคนหนึ่งทราบเรื่องเข้าก็รำพึงว่า น่าเสียดายพวกเธอไม่ทราบวิธีการรักษาโรคของพระองค์ ทุกสิ่งทุกอย่างในร่างกายของพระองค์เป็นยาทิพย์ทั้งหมด แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ก็ตามก็ไม่ควรโทษพวกเรา เพราะคนทั่วไปเขาดื่มไม่ลงสมมติว่าให้ฉันดื่ม ฉันก็ไม่ดื่มหรอก (ผู้คนหัวเราะ) ฉันต้องขอโทษพุทธะภูเขาทองด้วย! (อาจารย์และผู้คนหัวเราะ) ฉันพูดความจริง!

 
ธรรมวิถีช่วยโลกที่สูงส่งที่สุด
 

ดังนั้นในบางครั้งมหาอาจารย์ผู้รู้แจ้งโดยสมบูรณ์ไม่กล้าออกไปโปรดสัตว์ เป็นเพราะโลกนี้มันกลับตารปัตร สิ่งที่เป็นของดีอย่างแท้จริงพวกเรามักคิดว่าไม่ดี สิ่งที่ไม่ดีหรือยาพิษทำให้เราเกิดความหยิ่งยโส ทรนงตัว ทำให้เราเจ็บป่วย โกรธเคืองเรากลับคิดว่าดี แต่ว่าแม้จะมีสภาพการณ์เป็นเช่นนี้ก็ยังมีมหาอาจารย์ผู้รู้แจ้งบางท่านไม่ใช้วิธีการดังที่กล่าวมานี้ เพราะไม่สามารถทำให้คนส่วนใหญ่ได้ประโยชน์ ซึ่งเราไม่สามารถโทษสรรพสัตว์ได้ พวกเขาโดยปกติมีความคิดที่แตกต่างกัน ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงภายในชั่วขณะเวลานั้นได้ ดังนั้นมหาอาจารย์ผู้รู้แจ้งจึงใช้วิธีการแบบที่สามารถทำให้เกิดความสุขสบายมาโปรดสัตว์ เพราะท่านทราบดีว่าไม่สามารถใช้วิธีการแบบนั้นดังที่กล่าวมา ยิ่งอยู่ในยุคสมัยปัจจุบันจะใช้วิธีแบบนั้นไม่ได้เลย แม้กระทั่งในยุคสมัยโบราณใช้การไม่ได้ ดังนั้นคนส่วนใหญ่จะไม่กล้ามาให้ท่านรักษาโรค โดยต้องอุ้มร่างกายที่เจ็บป่วยกลับไป

 

อาจารย์ผู้รู้แจ้งบางท่านไม่ใช้วีการเช่นนั้น ท่านไม่ต้องใช้วิธีการใดๆ เลย พวกเราได้ยินมาว่าอมิตาภพุทธะ ท่านกวนอิมโพธิสัตว์ เมื่อเราได้ท่องนามของท่านเท่านั้นเราก็ได้รับประโยชน์แล้ว เราจะได้รับการช่วยเหลือ ซึ่งวิธีการเช่นนี้ดูจะมีความสุขมากกว่าใช่ไหม? ถ้าหากเราท่องนามของท่านกวนอิมโพธิสัตว์เราอยากได้บุตรเราก็จะได้บุตร เราอยากจะเลื่อนตำแหน่งก็ถูกเลื่อนขั้น เราต้องการชีวิตยืนนานก็จะอายุยืน เราต้องการแปลงร่างกายเป็นผู้ชายก็ได้เป็นผู้ชาย แต่มหาอาจารย์ผู้รู้แจ้งเช่นนี้มีน้อยมาก! แม้เราจะเคยได้ยินว่ามีกวนอิมโพธิสัตว์ มีอมิตาภพุทธะ แต่ท่านก็ไม่ได้ลงมาในโลกนี้บ่อยนัก ซึ่งนี่ที่มีบางคนอาจจะไม่เคยได้ยินนามท่านมาก่อนก็ได้! เช่น ชาวแอฟริกา พวกเขาจะทราบนามของกวนอิมโพธิสัตว์ได้อย่างไร? พวกเขาจะทราบนามของท่านอมิตภพุทธะได้อย่างไร? นั่นก็หมายความว่าพวกเขาไม่มีการถูกช่วยตลอดไปใช่ไหม? จะไม่เป็นการน่าเสียดายเกินไปหรือ!

 

เราปล่อยวางท่านอมิตาภพุทธและท่านกวนอิมโพธิสัตว์ไว้ข้างๆ ก่อน เรามาศึกษามหาอาจารย์ผู้รู้แจ้งอีกท่านหนึ่งซึ่งมีความร้ายกาจยิ่งกว่า เราไม่ต้องท่องนามของท่าน ยังไม่ทันรู้จักท่านๆ ก็ได้ช่วยเราแล้ว ซึ่งนั่นคือมหาอาจารย์ผู้รู้แจ้งที่สูงส่งที่สุด มหาอาจารย์ประเภทนี้มีน้อยมาก น้อยเหลือเกิน แม้กระทั่งท่านลงมายังโลกนี้พวกเราก็จะจำท่านมิได้ แม้กระทั่งท่านประกาศว่า “ฉันคือมหาอาจารย์ผู้รู้แจ้ง” พวกเราก็ยังไม่เชื่อท่าน แต่โดยปกติแล้วท่านจะไม่ประกาศตนเองว่า “ฉันเป็นมหาอาจารย์” แน่นอนท่านไม่กล่าวเช่นนั้น ดังนั้นพวกเราจะทราบได้อย่างไร?! เพราะฉะนั้น การที่พบมหาอาจารย์ผู้รู้แจ้งโดยสมบูรณ์ที่มีความสามารถในการช่วยชีวิตคนเป็นเรื่องที่ยากแสนยาก ดังนั้น การที่เราได้ท่องนามของกวนอิมโพธิสัตว์ไปเรื่อยๆ ใช่ว่าจะเกิดประโยชน์กับเราได้เสมอไปเมื่อใด เนื่องจากเรามองไม่เห็นท่าน ได้แต่หวังว่านิรมาณกายของท่านจะกลับชาติมาเกิดในโลกมนุษย์โดยอาศัยกายเนื้อเป็นเครื่องมือเพื่อมาติดต่อกับพวกเรา เวลานั้นเราจึงจะมีความหวัง

 

แต่ว่าเมื่อวานอาจารย์ได้พูดไปแล้วว่า ถ้าหากท่านกลับมาในโลกนี้อีกครั้งหนึ่ง ท่านอาจจะมิได้ใส่เสื้อผ้าแบบเดียวกับที่เราคาดหวังไว้ก็ได้ จากนั้นเราก็ผิดหวังอีกแล้ว เป็นเพราะแม้กระทั่งพระเจ้าเองก็ไม่สามารถทำให้พวกเราพึงพอใจได้ทั้งหมด บางคนชอบให้พระองค์เป็นผู้ชาย บางคนชอบให้พระองค์เป็นผู้หญิง ดังนั้น ทางที่ดีเราควรปรึกษาหารือกับสมองอันเป็นปุถุชนของเราให้ดี พูดกับมันให้รู้เรื่องว่า “ไม่ว่าพระองค์จะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย พระองค์จะตัวใหญ่หรือเล็ก ไม่ว่าพระองค์จะมีรูปลักษณะเป็นอย่างไร เราจะยอมรับพระองค์” เถอะ! ลองดู! (ผู้คนปรบมือ)

 
ปณิธานอันยิ่งใหญ่ของมหาอาจารย์
 

เมื่อตอนที่ฉันมาที่ฟอร์โมซาใหม่ๆ ฉันได้ไปร่วมงานที่เรียกว่าพุทธ 7 งานพุทธ 7 คือ งานที่มีการสวดมนต์ “นโมอมิตาภพุทธะ นโมกวนซืออินผูซา มโม...” โดยท่องชื่อพระโพธิสัตว์ประมาณ 3-4-5 ท่าน จะสวดไม่หยุดตลอดทั้งวัน เมื่องานเลิกกลับไปที่บ้านเสียงก็พลอยหายไปด้วยนั่นก็คืองานพุทธ 7 ตอนฉันสวดมนต์ท่องชื่อของพระโพธิสัตว์ฉันได้ประสบการณ์ดีมาก ในตอนนั้นฉันได้บำเพ็ญธรรมวิถีกวนอิมแล้วแต่รู้สึกเบื่อเพราะไม่มีอะไรทำ จึงถือโอกาสไปดูการบำเพ็ญชองชาวฟอร์โมซาท่านอื่นๆ เพื่อดุว่าพวกเขาบำเพ็ญกันอย่างไร ตอนนั้นมีพระสงฆ์ที่มีชื่อเสียงรูปหนึ่งของฟอร์โมซา ฉันได้เดินทางไปเยี่ยมท่าน ฉันเป็นคนที่ชอบคนบำเพ็ญมากไม่ว่าอันดับชั้นของเขาจะอยู่ตรงไหนก็ตาม ฉันชอบพวกเขาทั้งหมด ชอบในความยึดมั่นในสัจธรรมของพวกเขา ชอบการใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายของเขา และชอบการตั้งปณิธานอันเมตตาเพื่อโปรดสรรพสัตว์ของพวกเขา ฉันชอบมากจริงๆ

 

เมื่อฉันสวดมนต์กับเขาก็มีประสบการณ์ที่ดี สามารถติดต่อกับอมิตาภพุทธะได้ฉันจึงได้ตั้งปณิธานอันหนึ่ง เนื่องจากตอนนั้นฉันรู้สึกว่าสรรพสัตว์มีความทุกข์มากจริงๆ ทำให้ฉันร้องไห้ออกมา เมื่อตอนที่ฉันสวดมนต์ไหว้สำนึกผิดถึงพระอมิตาภพุทธะ ฉันได้ร้องไห้และบอกกับพระอมิตาภพุทธะว่า สรรพสัตว์ทั้งหลายมีความทุกข์มากและมิใช่ว่าทุกคนจะทราบนามของท่าน หากรอแต่การท่องนามของท่านแล้วละก็พวกเขาต้องลงนรกกันหมด ตอนนั้นฉันได้ต่อว่าอามิตาภพุทธะแบบนี้ ฉันกล่าวกับพระองค์ว่า “ถ้าหากฉันบรรลุเป็นพุทธะเมื่อใด ไม่ต้องท่องนามของฉัน ขอเพียงฉันทราบว่าผู้ใดมีความทุกข์ฉันก็จะไปช่วย!” (ผู้คนปรบมือ)

 

เมื่อเราได้ตั้งปณิธานอะไรไว้ขอเพียงเรามีความจริงใจ ก็ส่งผลทำให้เป็นจริงได้ ซึ่งฉันได้ผ่านประสบการณ์เช่นนี้มาด้วยตัวฉันเอง ยังมีอีกเมื่อก่อนอาจารย์ได้ตั้งปณิธานไว้หลายเรื่องล้วนได้สมปรารถนา จึงได้รายงานให้ทุกคนทราบเพื่อจะได้นำไปใช้ประกอบการไตร่ตรองพิจารณา ถ้าหากพวกเธอต้องการช่วยเหลือสรรพสัตว์จะต้องมีความจริงใจซึ่งจะทำให้เราบรรลุธรรมเร็วที่สุด แต่ต้องบำเพ็ญธรรมวิถีกวนอิมด้วย ตอนที่เราบรรลุธรรมความจริงใจของเราทำให้ฟ้าดินซาบซึ้ง เมื่อเราต้องการช่วยให้สรรพสัตว์พ้นทุกข์ ความจริงใจของเราจะทำให้เทวดาซาบซึ้ง จากนั้นการตั้งปณิธานของเราจะสำเร็จเป็นจริง แต่มิใช่ว่าขณะที่เราตั้งปณิธานก็จะส่งผลให้สำเร็จทันทีทันใดนั้น เราต้องมีความพยายามเดินทางไปแสวงหามหาอาจารย์อีก มหาอาจารย์จะปรากฏให้เห็น สรรพสัตว์ที่มีระดับสูงจะมาช่วยเหลือเราทำให้เรารู้แจ้งโดยเร็วและบรรลุธรรมโดยเร็ว!

 

บุคคลที่จะตั้งปณิธานที่ยิ่งใหญ่ได้จะต้องมิใช่บุคคลธรรมดาๆ ก็มีการตั้งปณิธานแบบบุคคลธรรมดา ยกตัวอย่างเช่น ขอลูกฉันเรียนหนังสือได้ที่ 1 หรือขอให้ลูกสาวฉันได้สมรสกับข้าราชการระดับสูง หรือขอให้ฉันได้รับการเลื่อนตำแหน่งไปในขั้นที่สูง หรือขอให้ฉันได้เป็นสาวที่สวยงามที่สุดของโลก ฯลฯ น้อยคนมาที่จะตั้งปณิธานเพื่อผู้อื่นด้วยความจริงใจโดยลืมนึกถึงชีวิตและบุญกุศลของตนเอง การที่ตั้งปณิธานเพื่อผู้อื่นโดยแท้จริง คือบุคคลที่มีการบำเพ็ญปฏิบัติธรรมมาแต่ชาติปางก่อน สามัญสำนึกของพวกเขาได้บันทึกความนึกคิดที่สูงส่งงดงามไว้ซึ่งจะไม่มีใครคอยสอนพวกเขา! และมิใช่ว่าทุกคนจะสามารถสอนเราให้ตั้งปณิธานที่สูงส่งได้ เป็นเพราะมีคนได้ทำหน้าที่สอนเป็นจำนวนมาก

ยกตัวอย่างเช่น สอนเราว่าเราล้วนมีศาสนา คนส่วนใหญ่จะมีการนับถือศาสนาและทราบว่าศาสนาพุทธคืออะไร ท่านกวนอิมโพธิสัตว์มีความเมตตาที่ยิ่งใหญ่เพียงใด พระเยซูท่านมีความรักที่ยิ่งใหญ่เพียงใด ซึ่งทุกคนก็ซาบซึ้งแก่ใจ แต่เราไม่สามารถฝึกเราให้มีจิตสำนึกแห่งความเมตตากรุณาอันเหลือล้นเหมือนอย่างท่านได้ บางครั้งได้ตั้งปณิธานเหมือนๆ กับพระองค์ท่าน แต่เนื่องจากเราขาดความจริงใจ! ซึ่งเรามักจะคิดว่าเราจริงใจแล้ว หลังจากตั้งปณิธานเสร็จก็กลัว รำพึงว่า “ไม่เอาดีกว่า! เมื่อสักครู่ฉันพูดล้อเล่นไปอย่างนั้นเอง” (อาจารย์และผู้คนหัวเราะ) ดังนั้น คนส่วนใหญ่จึงบำเพ็ญไม่สำเร็จ

 

การบำเพ็ญให้สำเร็จเราต้องมีความจริงใจมาก มีความขยันหมั่นเพียรและยังต้องมีมหาอาจารย์ผู้รู้แจ้งโดยสมบูรณ์มาช่วยเราอีกด้วยจึงจะสำเร็จได้ เหตุใดจึงต้องมีมหาอาจารย์ผู้รู้แจ้งคอยช่วย? ซึ่งเมื่อสักครู่อาจารย์ได้กล่าวมาแล้วเวลานี้จะพูดให้ฟังอีกครั้งหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่น เมล็ดข้าว มันสามารถกลายเป็นฟางข้าวได้และออกผลเป็นข้าว แต่ถ้าหากว่าไม่มีคนนำมันไปโปรยลงดินมันจะไม่ออกต้นกล้า หลังจากออกต้นกล้าแล้วยังต้องนำมันแยกออกมาเพื่อไปปลูกในที่นาอีกโดยเรียงกันเป็นแถวๆ จากนั้นยังต้องใส่ปุ๋ยอีก ฉีดยาฆ่าแมลง รดน้ำ มิฉะนั้นแล้วมันมิอาจเติบโตได้ ดังนั้นแม้กระทั่งงานทางโลก เรายังต้องการผู้ดูแลที่มีความชำนาญจึงจะทำให้ได้ผลที่ดี ยิ่งมิต้องเอ่ยถึงการที่จะบรรลุธรรมเลย เราศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองหรือหาปุถุชนคนหนึ่งซึ่งขาดความเชี่ยวชาญในอาชีพมาดูแล แล้วจะได้ผลที่ดีอย่างไร? การที่เราต้องการมหาอาจารย์ที่รู้แจ้งเป็นเพราะว่าแม้หลังจากที่เราได้รับการรู้แจ้งแล้ว เรายังต้องพัฒนาสติปัญญาที่ซึ่งได้ถูกเปิดแล้วอีกต่อไป มิฉะนั้นมันจะขึ้นราและตายไปในที่สุด

 
ธรรมวิถีอันดับ 1 ไม่มี 2
 

ดังนั้น คนมากมายจึงเข้าใจว่าสวดพุทธะทุกวันก็พอแล้ว ฉันคิดว่ายังไม่เพียงพอ! เมื่อวานนี้อาจารย์ก็ได้สอนให้พวกเธอสวดมนต์ท่องชื่อของพุทธะ สอนวิธีการสวดมนต์ที่มีพลังให้กับเธอ แต่ถ้าหากพวกเธอบรรลุเป็นพุทธะไม่ได้ก็จงอย่าโทษอาจารย์ เพราะสวดมนต์ท่องชื่อของพุทธะไม่อาจทำให้เราบรรลุเป็นพุทธะได้! ทำไมจึงเป็นเช่นนี้ เพราะนี่คือธรรมวิถีที่ “มี 2” ซึ่งมี “พุทธะ” มี “ฉัน” “ฉัน” สวดท่องชื่อของพุทธะ ฉันเคารพนับถือพุทธะ จะเป็นได้เพียงสภาพที่ว่าไม่ใช่ฉันเป็นพุทธะ ถ้าหากต้องการบรรลุธรรมต้องบำเพ็ญอีกธรรมวิถีหนึ่งซึ่งแท้จริงแล้วก็มิใช่ธรรมวิถี แต่เป็นต้นกำเนิดแห่งธรรมเป็นพลังที่ไร้รูปชนิดหนึ่ง เราจะต้องได้รับมาโดยผ่านการถ่ายทอดจากอาจารย์ซึ่งบรรลุธรรมแล้ว หรือว่าจากศิษย์ของอาจารย์ที่บรรลุธรรมแล้ว ซึ่งได้รับการถ่ายทอดธรรมจากท่านมาก่อนและถ่ายทอดให้เราต่อก็ได้เหมือนเราไม่จำเป็นต้องเรียนกับมหาอาจารย์โดยตรง เพียงเราได้เรียนกับลูกศิษย์ของท่านก็พอแล้ว ถ้าหากลูกศิษย์ของท่านเป็นศิษย์ที่ได้รับการถ่ายทอดจากท่านโดยตรงก็ใช้ได้แล้ว ทั้งนี้เป็นเพราะอาจารย์ภายในของเขาได้อนุญาตให้เขาถ่ายทอดต้นกำเนิดแห่งธรรมให้แก่พวกเรา ซึ่งจะสามารถสำเร็จได้เหมือนๆ กัน! จึงเป็นเรื่องที่เราควรจะเชื่อ

 

ตอนที่ท่านมิลาเรอปาได้ไปเรียนกับอาจารย์ของท่านๆ ได้ลงโทษท่านมาเป็นเวลา 7 ปี เพื่อช่วยล้างกรรมที่ผ่านมาที่เขาเคยใช้อิทธิฤทธิ์ดำฆ่าคนตาย หลังจากเวลา 7 ปี ผ่านไปจึงได้ทำการถ่ายทอดธรรมให้ ในระหว่าง 7 ปีที่ถูกลงโทษท่านมิลาเรอปาอยู่ในสภาพจิตใจที่เร่าร้อนมาก ซึ่งเคยได้หลอกอาจารย์ของท่านมาแล้วหลายครั้งเพื่อที่จะขโมยธรรมแต่ไม่สำเร็จ มีวันหนึ่ง ท่านมิลาเรอปาได้วางแผนร่วมกับอาจารย์แม่ของท่านโดยการสร้างจดหมายปลอมฉบับหนึ่ง อาจารย์แม่ของท่านได้ปลอดลายมืออาจารย์ของท่านเขียนจดหมายขึ้นมา 1 ฉบับ ถือโอกาสตอนที่อาจารย์ของท่านนอนหลับได้ขโมยเอาตรายางออกมาประทับตรา

 

เมื่อประทับตราเสร็จท่านมิลาเรอปาได้นำจดหมายฉบับนี้ไปหาลูกศิษย์ของอาจารย์อีกท่านหนึ่งซึ่งอยู่ห่างไกลมาก ลูกศิษย์คนนั้นเป็นศิษย์ที่อาจารย์ของมิลาเรอปาอนุญาตให้ไปถ่ายทอดธรรมแก่ผู้อื่นได้ เมื่อท่านมิลาเรอปาไปถึงก็ได้หลอกเขาว่า “อาจารย์สั่งให้พี่ถ่ายทอดธรรมให้ข้า” ศิษย์เอกผู้นี้เชื่อว่าเป็นความจริงจึงได้สั่งให้มิลาเรอปานั่งลง จากนั้นทำการถ่ายทอดธรรมให้แต่ในที่สุดก็ไม่ได้ผล! จะหลอกอาจารย์ได้อย่างไร? ท่านมิลาเรอปาคิดว่าสามารถหลอกท่านได้แต่มิอาจหลอกสติปัญญาอันล้ำเลิศของมหาอาจารย์ผู้รู้แจ้งได้ ดังนั้น จึงต้องกลับด้วยความเหนื่อยยากลำบากและอ่อนน้อมถ่อมตนคุกเข่ากราบไหว้อาจารย์ของท่านอีก

 

ต้นกำเนิดของธรรมนี้เราสามารถถ่ายทอดให้ผู้อื่นได้ และสามารถทำการตัดขาดโดยเอาพลังคืนได้ เป็นเพราะการถ่ายทอดธรรมนั้นอาจารย์เป็นผู้ถ่ายทอดให้มิใช่คนๆ นั้น ซึ่งจะเหมือนกับเวลาที่อาจารย์ถ่ายทอดธรรมให้กับพวกเธอ จะถ่ายทอดโดยพลังของอาจารย์มิใช่ร่างกายของชิงไห่อันนี้ “อาจารย์” หมายถึง มหาอาจารย์ผู้รู้แจ้งโดยสมบูรณ์ซึ่งเป็นอาจารย์ภายใน เมื่อระดับสติปัญญาภายในของเราได้รับการพัฒนาถึงขั้นงดงามสมบูรณ์แล้ว พร้อมที่จะรับตำแหน่งของความเป็นมหาอาจารย์ได้ ต้องรับพลังจากภายนอกมารวมเข้าด้วยกัน จากนั้นจึงจะถูกเปิดออกมา

 

ตัวอย่างเช่น ไข่สามารถฟักเป็นไก่ได้ แต่ก็ต้องมีแม่ไก่ใช้ความอบอุ่นมาคอยฟักมันทุกวัน ดูแลไข่ทุกวันจึงจะออกเป็นลูกไก่ได้ ในทำนองเดียวกันภายในของเรามีธรรมชาติของความเป็นพุทธะอยู่ มีมหาปัญญา แต่ถ้าหากไม่มีอาจารย์ผู้รู้แจ้งโดยสมบูรณ์ท่านหนึ่งคอยมาช่วยเหลือเราภายนอก เราจะไม่สามารถใช้การได้ ซึ่งนี่คือกฎเกณฑ์แห่งการสร้างสรรค์โดยธรรมชาติของจักรวาล เหมือนกับไข่ต้องมีแม่ไก่คอยให้ความอบอุ่นจึงจะออกเป็นลูกไก่ได้ ถ้าหากไม่มีแม่ไก่คอยให้ความอบอุ่น เราก็ต้องใช้ความอบอุ่นปลอมที่สร้างขึ้นมากเองคอยฟักมัน จึงจะทำให้มันออกเป็นลูกไก่ได้ เพราะแม่ไก่ไม่สามารถอกลูกไก่ออกมาเอง ในทำนองเดียวกันเราได้ยินว่า พวกเราล้วนมีธรรมชาติของพุทธะอยู่ภายใน เราได้ยินมาว่าพุทธะสามารถอยู่ได้ทุกหนทุกแห่งในจักรวาล ซึ่งหมายความว่าพลังของพระเจ้ามีอยู่ทุกทิศทุกทางไร้ขอบเขต แต่ว่าหากเรามิได้พบตัวแทนของท่านที่อยู่ในโลกมนุษย์ เราก็จะไม่สามารถได้ท่านมาครอง