วิธีไปถึงดินแดนแห่งพุทธะ
ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ มหาวิทยาลัย โคลัมเบีย นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา
วันที่ 4 พฤศจิกายน 1989 (เดิมเป็นภาษาอังกฤษ)

1 - 2 

นักบุญผู้รู้แจ้งมีอยู่ในทุกยุคสมัย

การได้พบอาจารย์แบบนี้ก็นับว่าเป็นสิ่งที่ยาก เพราะว่าพวกเขาค่อนข้างจะเหมือนคนธรรมดามากเกินไปเข้าใจไหม?  เหมือนคนปกติมากไป เขาอาจจะไม่ได้สวมชุดนักบวชเลยก็ได้ อาจจะสวมเสื้อผู้ธรรมดาๆ  แต่ยิ่งธรรมดามากเท่าไรก็อาจจะยิ่งใหญ่มากขึ้นก็ได้  บางครั้งเราเดินอยู่บนถนนเราอาจจะเห็นพระโพธิสัตว์จำนวนมากก็ได้ เขาเป็นนักบุญแต่เราอาจจะไม่รู้ พวกเขาทำงานกันเงียบๆ  ในพระสูตรทางพุทธศาสนาซึ่งเราเรียกว่า ปุณฑริกสูตรนั้น พระศากยมุนีพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ไม่ว่าจะอยู่แห่งหนใด พระโพธิสัตว์...ซึ่งหมายถึงนักบุญผู้ยิ่งใหญ่ เป็นนักบุญที่รู้แจ้ง จะปรากฏอยู่ในโลกนี้เสมอ เพื่อปกป้องคำสอนอันยิ่งใหญ่ ปกป้องคุ้มครองธรรมะ

เพราะฉะนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่เราจะจำบุคคลเหล่านี้ได้ทุกครั้ง  เพราะพวกเขามีอยู่เป็นจำนวนมากทำงานในสาขาต่างๆ ด้วยวิธีการต่างๆ กัน  เธออาจจะเห็นเป็นวิศวกร หรือบางทีอาจจะเป็นแพทย์ หรือคนขับแท็กซี่ แต่พวกเขาเป็นนักบุญยิ่งใหญ่  เพราะฉะนั้นจึงควรเคารพบุคคลอื่นไม่ว่าเธอจะไปเจอกับใคร ทัศนคติที่ดีที่สุดก็คือ มองทุกสิ่งให้เป็นพุทธะเป็นนักบุญแล้วเธอก็อาจจะมีประสบการณ์อันมหัศจรรย์ยิ่งใหญ่  อาจมีการเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่เกิดขึ้นในชีวิตของเธอ

ฉันเคยพูดเอาไว้แล้วว่า เธอไม่จำเป็นต้องไปที่เทือกเขาหิมาลัย หรือโกนศีรษะของเธอเพื่อจะได้รู้แจ้ง  ฉันเคยทำแบบนี้มาแล้วเพราะว่ามันเป็นหนทางของฉัน เข้าใจไหม?  เป็นสิ่งที่ถูกกำหนดไว้แล้วถึงกระนั้นฉันก็ยังไม่รู้แจ้ง จริงไหม?  และตอนนี้ สมมุติว่าฉันรู้แจ้งแล้ว สมมุตินะ สมมุติว่าฉันรู้แจ้ง และฉันเป็นนักบวชอยู่ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าฉันปล่อยให้ผมมันยาวออกมามากๆ แล้วฉันก็นุ่งกางเกงยีนส์ และเที่ยววิ่งไปโน่นไปนี่  พวกเธอคิดว่าฉันจะสูญเสียการรู้แจ้งนั้นไปไหม? ไม่หรือ? ถูกต้อง ก็ยังคงเหมือนเดิมทุกประการ

ไม่ว่าเธอจะทำอะไรในโลกนี้  ไม่ว่าเธอจะมีภาระหน้าที่กี่อย่างที่เธอจะต้องดูแล  ถ้าหากเธอรู้แจ้งแล้วเธอก็จะรู้แจ้งตลอดไป เพราะฉะนั้นเธอจึงต้องการกุญแจสู่การรู้แจ้งเท่านั้น ยิ่งรู้แจ้งได้เร็วขึ้นก็ยิ่งเป็นวิธีที่ดี  แน่นอนเราไม่มีเวลามาก เราอยู่ในยุคสมัยใหม่ เราไม่สามารถจะมานั่งอยู่นานหลายๆ ปี และคอยให้เกิดการตื่นขึ้นอย่างฉับพลัน  ถ้าเราไม่เคยได้ลิ้มรสมาก่อน ก็เป็นการยากมากสำหรับในยุควิทยาศาสตร์นี้ ที่ผู้คนจะยอมเชื่อในสิ่งที่เขาพิสูจน์ไม่ได้ เพราะฉะนั้นผู้ที่เป็นอาจารย์ในยุคปัจจุบัน จึงต้องมอบหลักฐานเกี่ยวกับระดับชั้นของจิตที่สูงขึ้นไปให้คนได้รับรู้อย่างเปิดเผย  ต้องให้พวกเขาได้มีหลักฐานเกี่ยวกับอาณาจักรของพระเจ้า หรือแสงแห่งพุทธะ เพื่อให้พวกเขาได้มีข้อพิสูจน์บ้างจะได้เชื่อมั่น มีอะไรที่ยึดถือได้และพัฒนาให้ก้าวหน้าขึ้นได้

เพียงแต่ว่าจะมีการรู้แจ้งในระดับที่แตกต่างกันเท่านั้นแต่เมื่อเธอรู้แจ้งแล้วเธอก็รู้แจ้ง  เธออาจจะเลือกทางเดินให้มีความเจริญพัฒนายิ่งใหญ่มากขึ้น หรือเธออาจจะเลือกที่จะอยู่เฉยๆ ไม่ไปไหนก็ได้ เข้าใจไหม?  เพราะฉะนั้น เมื่อเธอได้รับการประทับจิตแล้วเธอก็จะกลายเป็นคนใหม่ มีระดับชั้นต่างไปจากเดิมเข้าใจไหม? คล้ายๆ กับเธอเรียนจบชั้นมัธยม เมื่อลงทะเบียนเข้าในวิทยาลัยแล้วเธอก็กลายเป็นนักศึกษาของวิทยาลัย ถูกไหม? ไม่มีการย้อนกลับมาใหม่ ไม่มีใครเรียกเธอว่านักเรียนอนุบาลหรือเป็นนักเรียนมัธยมอีกต่อไป  แต่เธออาจจะเลือกเรียนให้สูงขึ้นจนได้รับปริญญาเอก หรือเธออาจจะเลือกอยู่ที่เดิมไม่ยอมเรียนเพิ่มเติมแล้วก็ลาออกไป เข้าใจไหม?  อย่างไรก็ดี เธอก็ยังเป็นนักศึกษาของวิทยาลัย หรือเคยเป็นนักศึกษาจะไม่ใช่นักเรียนมัธยมอีกแล้ว

เพราะฉะนั้นเมื่อเธอได้รับการรู้แจ้งโดยอาศัยพระพรของอาจารย์ท่านหนึ่ง และโดยอาศัยความพยายามของตัวเธอเอง เธอก็จะรู้แจ้งตลอดไป เธอจะไม่เป็นเหมือนก่อนหน้านี้อีก  หลังจากนี้จึงขึ้นอยู่กับว่าเธอขยันบำเพ็ญปฏิบัติหรือไม่  ไม่ใช่ว่ารู้แจ้งเพียงแค่แวบเดียวแล้วจะทำให้เธอกลายเป็นพุทธะ ถูกไหม? ไม่ใช่ว่าเธอลงทะเบียนเรียนในวิทยาลัยแล้วไม่เคยได้เรียนอะไรเลย  แล้วจะกลายเป็นหมอไปได้ ไม่ใช่ๆ ไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก

ในวิทยาศาสตร์แขนงอื่นๆ ก็เหมือนกันเราจำเป็นต้องใช้ความพยายามอย่างต่อเนื่อง และฝึกฝนอย่างขยันขันแข็ง  แต่เราก็ยังต้องได้รับการรับรองจากครู ต้องได้รับความช่วยเหลือจากท่านด้วย บางครั้งเราอาจจะลื่นล้มลงหรืออาจจะไม่รู้ว่าได้รับความก้าวหน้าแล้ว  บางครั้งเราไม่รู้ว่าหลุมพรางอยู่บนหนทางแห่ง บางครั้งการบำเพ็ญนั้น ซึ่งแนวทางนี้เป็นหนทางที่ยาวไกลและยากยิ่งเราจึงต้องการเพื่อน ซึ่งเป็นผู้ซื่อสัตย์ไม่เห็นแก่ตัวและมีปัญญาเพื่อช่วยนำทางเรา  เพื่อช่วยเราในขณะที่กำลังเดินทางแต่เราต้องเป็นผู้เดินด้วยตัวเอง เพื่อนอาจจะเป็นเพียงผู้ช่วยเหลือเท่านั้น เข้าใจไหม? ช่วยให้สิ่งต่างๆ รวมทั้งการเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่นรวดเร็วและได้รู้แจ้งมากขึ้น เข้าใจไหม?  ดังนั้น ครูจึงเป็นเพื่อนที่ดี คอยเดินอยู่ข้างๆ เธอ ช่วยเหลือเมื่อเธอล้มลง ใช่ไหม?  คอยปรุงอาหารให้เธอยามเจ็บป่วย ช่วยเหลือยามเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า คอยให้กำลังใจเมื่อเธอหมดความกระตือรือร้น  แต่ครูไม่สามารถรู้แจ้งแทนเธอครูคอยช่วยให้เธออยู่บนหนทางเท่านั้น จากนั้นเราก็สามารถเดินไปได้

เอาละฉันจะหยุดการบรรยายไว้เพียงเท่านี้ เพราะเวลาที่เธอถามคำถาม ฉันจะมีแรงบันดาลใจในการพูดได้มากขึ้น และช่วยทำให้ข้อสงสัยของเธอทั้งหมดได้รับความกระจ่าง เพราะฉะนั้น กรุณาถามคำถามได้ถ้าต้องการเราจะหยุดเพียงแค่นี้
อะไรคือธรรมวิถีที่ถูกต้อง
ถ : เราจะทราบได้อย่างไรว่า ธรรมวิถีใดเป็นธรรมวิถีที่ถูกต้อง?  ท่านทราบได้อย่างไรว่าธรรมวิถีนั้นๆ เป็นธรรมวิถีสูงสุดและเหมาะสมต่อการเรียนรู้ของท่าน?
อ : ธรรมวิถีใดก็ได้ที่นำเธอให้เข้าใกล้พุทธะมากขึ้น ใกล้ธรรมชาติแห่งพุทธะของเธอ นำเธอกลับไปสู่พระเจ้าแสดงให้เธอรู้ว่าเธอมีพลังของพระเจ้า ให้รู้ว่าเธอมีแสงของพระเจ้า แสงแห่งพุทธะ นั่นแหละคือธรรมวิถีที่ถูกต้อง โอเค?
ถ : เราจะทราบได้อย่างไรว่า เราได้เข้าถึงธรรมชาติแห่งพุทธะของเราแล้วในตอนที่ได้รับการประทับจิต?
อ : เธอจะเข้าถึงสิ่งนั้นโดยทันทีไม่จำเป็นต้องถามว่าเกิดขึ้นอย่างไร เธอจะรู้ได้ทันที ยกตัวอย่างเช่น อาจารย์ท่านหนึ่งให้ผลแอปเปิ้ลแก่เธอๆ ก็รู้ทันทีว่านี่คือแอปเปิ้ลและเธอก็กินมันทันที เธอไม่มีเวลาจะมาถามว่า “ฉันจะรู้ได้อย่างไรว่านี่คือแอปเปิ้ล?”
: ฉันเป็นชาวพุทธมานาน 3 ปีแล้ว แต่ไม่มีความก้าวหน้าอะไรเลยปัญหานี้เกิดจากอะไร?
อ : ปัญหาก็คือ เขาเอาแต่อ่านประสบการณ์ของคนอื่น และไม่เคยมีประสบการณ์ด้วยตัวของเธอเอง ยกตัวอย่างเช่น ในพุทธศาสนา เรามีคัมภีร์ซึ่งบรรยายถึงดินแดนแห่งท่านอามิตาภพุทธะ ซึ่งมีความสวยงามต่างๆมากมาย พื้นก็ปูลาดด้วยทอง แม้แต่นกยังสามารถร้องเพลงเป็นคำสอนอันยิ่งใหญ่ มีพระราชวังสวยงามมากมาย ผู้คนที่นั่นใช้ดอกบัวบินไปในอากาศ ฯลฯ มีสระน้ำอันสวยงามซึ่งมีน้ำอมฤต เมื่อเธอได้ดื่มมันเธอก็จะมีกำลังมาก มีพลังและสติปัญญา ฯลฯ แต่เขาไม่เคยไปที่นั่นเลย

กๆ วันเขาได้แต่ท่องสวดมนต์เกี่ยวกับดินแดนแห่งพุทธะนี้และไม่มีแม้แต่ความอยากที่จะไป เขาอาจจะหิวก็ได้แต่เขาก็ไม่มีอาหารกิน ธรรมวิถีของฉันจะให้อะไรเธอบ้างนิดหน่อยได้ลิ้มรสดินแดนแห่งพุทธะ เธอจะได้รู้ว่าเธออยู่บนหนทางที่ถูกต้องและมีกำลังใจที่จะเดินต่อไป เธอก็จะรู้ว่าเธอได้รับความสำเร็จหรือเปล่า มิฉะนั้นแล้ว ถึงเธอจะศึกษานาน 30 ปีก็ยังไม่ได้รับความสำเร็จอยู่ดีไม่ต้องพูดถึง 30 ปีเสียด้วยซ้ำ 3 ปีนี่นับว่าสั้นมากแล้ว บางคนรอนานถึง 30 ปี ก็ยังไม่เคยเห็นดินแดนแห่งพุทธะ ไม่เคยเห็นแสงของพุทธะแม้แต่แวบเดียว ไม่เคยได้ยินเสียงดนตรีแห่งพุทธะเลยแม้แต่น้อย เป็นเรื่องที่ยากมากถ้าเธอไม่มีครูที่ถูกต้อง ไม่รู้จักหนทางที่ถูกต้องจะไม่มีวันได้รับความสำเร็จเลย

ก็เหมือนกับมีใครพาเธอไปที่ร้านอาหาร  เธอหิวมากและอยากจะหาร้านอาหารสักแห่งหนึ่ง ถ้าอย่างน้อยบุคคลนั้นเขาพาเธอมาบนถนนที่ถูกต้อง ถึงแม้ว่าเธอจะยังเดินทางมาไม่ถึงร้านอาหาร เธอก็รู้แล้วว่าเธออยู่บนถนนที่ถูกต้องสามารถเดินต่อไปข้างหน้าเรื่อยๆ ได้ เธอสามารถได้กลิ่นอาหารลอยมาจากครัวนิดๆหน่อยๆ  ถึงแม้ว่าจะเป็นกลิ่นที่มาจากไกลๆ เธอก็รู้แล้วว่าใช่แน่ๆ เธออยู่บนหนทางที่ถูกต้องแน่ๆ  มิฉะนั้นแล้ว เธออาจจะเดินนานตั้งหลายวันเปลี่ยนไปถนนโน้น ถนนนี้หลายสายก็แล้วแต่ยังไม่เคยได้อะไรเลย

ถ : ฉันไม่ได้นับถือศาสนาอะไรและไม่ได้สังกัดอยู่ในกลุ่มของศาสนาไหนเลย  ฉันเพียงแต่นั่งสมาธิด้วยตัวเองฉันจะรู้แจ้งได้หรือไม่?
อ : นี่แสดงว่าเธอยังไม่รู้แจ้งนั่นเอง ถ้าเธอรู้แจ้งเธอก็ต้องรู้แล้ว อย่างน้อยเธอก็ต้องรู้สึกมันมีความมั่นคงมากกว่านี้ เราไม่จำเป็นต้องสังกัดอยู่ในกลุ่มหรือศาสนาไหนเลยในการที่จะได้รับการรู้แจ้ง เราไม่จำเป็นต้องมีความเชื่อก่อนที่เราจะเห็นด้วยซ้ำ แต่เมื่อเราได้เห็นเราก็ต้องเชื่อจริงไหม? เมื่อเธอมาอยู่ต่อหน้าพระเจ้าหรือพุทธะหรือว่าเธอได้ไปที่ดินแดนแห่งพุทธะ  เธอก็จะรู้เองว่าใช่แล้วมีพุทธะจริงตอนนี้ฉันเชื่อแล้ว

การไม่นับถือพระเจ้านั้นไม่เป็นไรหรอก (อาจารย์หัวเราะ) แต่ก็ไม่ดีนักที่จะเป็นแบบนั้นไปเรื่อยๆ ตลอดชีวิต เราต้องหาข้อพิสูจน์ตราบใดที่เราสามารถจะหาได้ และต้องพยายามสุดความสามารถของเรา  ถ้าไม่มีใครให้ข้อพิสูจน์แก่เธอได้ก็ไม่มีใครสามารถจะมาตำหนิเธอ ในการที่เธอไม่นับถือศาสนาได้เลย แต่ถ้ามีใครยื่นข้อพิสูจน์ให้แก่เธอ  อย่างน้อยเธอก็จะให้โอกาสตัวเองได้พิสูจน์ว่าโลกที่อยู่เหนือขึ้นไปนั้นมีจริง จากนั้นเธอก็สามารถจะเชื่อได้ว่ามีพุทธะ มีพระเจ้า หรือมีนักบุญอื่นๆ อยู่

ถ : กรุณาอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับความทุกข์ทรมานของคนจำนวนมากๆ  พวกเขาเคยมีความผิดมาก่อนหรือ เขาจึงต้องมาทนทุกข์แบบนี้?
อ : ไม่มีใครบริสุทธิ์หรอกฉันบอกเธอแล้วตั้งแต่เมื่อวานนี้ แต่สิ่งเหล่านี้เป็นบทเรียนที่เราต้องเรียนรู้ฉันไม่ได้ต้องการจะประณามใคร ทุกๆ อย่างคือบทเรียน แต่การเรียนรู้ก็อาจจะเจ็บปวด  แต่เมื่อเธอตื่นขึ้นเธอก็ได้เห็นสิ่งต่างๆ ในแสงสว่างที่ต่างไปจากเดิม  และเธอก็รู้ว่ามันเป็นเพียงบทเรียนทั้งสิ้น

ดูการฆ่าหมู่ที่พวกเราทำกันอยู่ทุกวันเพื่อให้ร่างกายของเรามีอายุยืนยาวได้ถึง 100 ปีสิ  มีชีวิตกี่ชีวิตแล้วที่ถูกฆ่าไปทั้งปลา, กุ้ง, ไก่, หมู, วัว, ควาย? เธอคิดว่าพลังงานเหล่านี้จะละลายหายไปโดยไม่เกิดมีสงคราม ความทุกข์ยาก หรือความเจ็บไข้ได้ป่วยอย่างนั้นหรือ?

ทุกๆ สิ่งที่เราทำถูกบันทึกไว้ในอากาศเรียบร้อยแล้ว ไม่มีอะไรสูญหายไป มันจะเจือจางลงได้ก็โดยอาศัยพลังงานชนิดหนึ่งที่แตกต่างออกไปเท่านั้น มันจะถูกหักลบกลบหนี้ไปได้ก็โดยอาศัยการกระทำที่ต่างออกไป แต่มิใช่สูญหายไปเฉยๆ ยกตัวอย่างเช่น ไอน้ำกลายมาเป็นน้ำแข็งได้ก็ต้องเปลี่ยนแปลงมาจากน้ำ ทีนี้ ถ้าเธออยากจะให้น้ำแข็งมันหายไปเธอก็ต้องใช้แสงอาทิตย์ แสงไฟ แสงสว่างหรือความร้อนเพื่อทำให้มันกลับกลายเป็นอากาศอีกครั้งหนึ่ง เพราะฉะนั้น ถ้าเธอเคยฆ่าสิ่งต่างๆ จำนวนมากอยู่ตลอดเวลา  ทำให้สัตว์เหล่านี้ได้รับความทุกข์ทรมานสัตว์พวกนี้มีจิตสำนึก คิดได้ และมีพลังงานแห่งความเกลียดชังอยู่ ความเกลีดชังและความกลัวเหล่านี้ ก็จะรวมตัวกันเป็นพลังงานที่ทำงานได้ลอยอยู่ทั่วไปในอากาศ  เมื่อมีมากเกินไปก็จะทำให้เกิดความทุกข์ยากในคนจำนวนมาก

เราจะต้องจ่ายคืนทุกสิ่งทุกอ่างที่เราใช้ไปในจักรวาลนี้ทั้งหมด ดังนั้นบรรดาอาจารย์ทั้งหลายจึงเน้นย้ำถึงเรื่องอาหารมังสวิรัติ ซึ่งเป็นการสูญเสียน้อยที่สุดต่อความเป็นอยู่ของสิ่งต่างๆ สัตว์มีชีวิต พืชก็มีชีวิต แต่เป็นการสูญเสียที่น้อยที่สุด เข้าใจไหม? ก็เหมือนกับเธอทำงานหาเงินได้ 100 เหรียญ แล้วเธอใช้ไป 200 เหรียญแน่นอนเธอต้องเป็นหนี้เธอก็จะเกิดความยุ่งยาก  แต่ถ้าเธอพยายามซื้อของถูกๆ ซึ่งทำให้เธอมีชีวิตอยู่ได้โดยใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เธอก็ไม่ต้องกังวลเรื่องหนี้สิน เพราะฉะนั้นเราจึงเลือกทานอาหารมังสวิรัติ ผลไม้ เมล็ดพืช นม หรือเนย.... สิ่งต่างๆ เหล่านี้สร้างบาปน้อยกว่าเป็นสิ่งที่มีจิตสำนึกต่ำในตัวของมันเอง

ถ้าเธอรีดนมจากวัวๆ จะตายหรือไม่? ไม่ เข้าใจไหม? ถูกต้อง ถ้าเธอเอาเมล็ดพืชจำนวนหนึ่งมาจากต้นไม้ ต้นไม้ก็ยังคงมีเมล็ดอีกมากมายพอที่จะงอกขึ้นมาเป็นต้นใหม่ได้เป็นพันๆ ต้น เข้าใจไหม? มันจะไม่สูญหายไป ถ้าเธอตัดดอกไม้สักดอกหนึ่งหรือตัดผักมาสักก้านหนึ่ง ก็จะยิ่งเกิดการงอกออกจากก้านมากขึ้น เกิดเป็นพืชผักมากขึ้น  เพราะฉะนั้น เราจึงรู้ว่าอาหารมังสวิรัติมีอันตรายน้อยกว่า ทำให้เกิดการสูญเสียน้อยกว่า

รูปลักษณะที่ไม่สามารถจะมองเห็นได้
ถ : ร่างกายของคนปกติสามารถกลายเป็นพุทธะได้หรือไม่?
อ : ทำไมจะไม่ได้ล่ะ ฉันบอกเธอแล้วเมื่อวานนี้ว่า ไม่มีใครเป็นคนธรรมดาๆเลย พุทธะอยู่ภายในหัวใจของเธอ ธรรมชาติแห่งพุทธะอยู่ภายในตัวเธอ ผู้ที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ คือพุทธะ เข้าใจไหม? จริงๆแล้ว เธอก็คือพุทธะ ไม่มีใครเป็นคนธรรมดาเลย เพียงแต่ว่าเธอไม่ต้องการจะรู้จักตัวเธอเอง และเธอลืมไปว่า เธอเป็นพุทธะ คนธรรมดาอยู่ที่ไหนบ้าง? ฉันไม่เห็นมีคนธรรมดาอยู่เลย พุทธะอยู่ภายในหัวใจของเธอ หมายความว่า ผู้ที่อยู่ภายในตัวเธอก็คือพุทธะ สิ่งที่อยู่ข้างนอกเป็นเพียงแค่บ้าน แต่เสื้อผ้าเท่านั้น เราคือพุทธะ เธอไม่รู้หรอกหรือ?
ถ : ในการนั่งสมาธิบางครั้งสิ่งที่ฉันเห็นอาจเป็นความจริงขึ้นมาได้ ฉันได้เป็นดินแดนแห่งพุทธะมีต้นไม้ที่งามสง่าอยู่ 7 ต้น ทุกๆ คนบอกว่าต้นเหล่านี้เป็นต้นไม้ที่มีค่า ใต้ต้นไม้ฉันเป็นสิ่งมีชีวิตอยู่ 7 ตน ทั้ง 7 ตนนี้มีความหมายว่าอย่างไร? ฉันจะขึ้นไประดับชั้นที่สูงลึกซึ้งกว่านี้ได้อย่างไร?
อ : ใครถามคำถามนี้ เธอได้รับการประทับจิตแล้วหรือยัง?
ถ : ยัง!
อ : ยังไม่ได้รับการประทับจิตหรือ โอเค! เอาละฉันพยายามอธิบายตามแนวทางของเธอๆ อาจจะไม่เข้าใจคำศัพท์ของฉันๆ จึงต้องถามก่อนว่าเธอได้รับการประทับจิตแล้วหรือยัง เธอนั่งสมาธินานเท่าไรแล้ว? เธอควรจะพยายามปฏิบัติต่อไปแล้วเธอก็จะรู้ว่าผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง 7 นั้นคือใคร เธอต้องบอกให้ฉันรู้ว่าพวกเขามีลักษณะอย่างไร  ฉันจึงจะบอกเธอได้ว่าพวกเขาเป็นใคร พวกเขามีแสงหรือเปล่า?  มีแสงอยู่รอบๆ ตัวเขาหรือเปล่า? ลองบอกฉันมาซิ
ถ : ฉันไม่มีอาจารย์ ฉันเป็นโรคเบาหวาน ดังนั้นฉันก็เลยไม่สามารถนอนหลับได้ในตอนกลางคืน ฉันได้เรียนรู้มาจากหนังสือเล่มหนึ่งว่าฉันจะนอนหลับได้ดีขึ้น ถ้าฉันนั่งสมาธิก่อนเข้านอน นับแต่นั้นมา ฉันก็เริ่มหัดนั่งสมาธิเป็นพักๆ มาเป็นเวลา 4 -5 ปีแล้ว

มีอยู่ครั้งหนึ่ง ฉันเห็นสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งฉันคิดว่าคงเป็นสวรรค์แดนปัจฉิม ฉันจะเรียกที่นี่ว่าโลกวิญญาณก็แล้วกันเป็นโลกแห่งวิญญาณ ฉันรู้ว่ามันเป็นโลกวิญาณโลกหนึ่ง ในโลกวิญญาณแห่งนี้ การติดต่อสื่อสารไม่ได้ใช้คำพูด แต่ใช้คลื่นสมอง ตอบสนองโดยการส่งผ่านอีเล็คตรอน ครั้งหนึ่ง ฉันได้เห็นดินแดนที่ห่างไกลออกไปมากพื้นดินเป็นสีทอง มีคนจำนวนมากกำลังฟังคำสอนแห่งสัจธรรม และพวกเขาแต่งตัวด้วยชุดของราชวงศ์ต่างๆ กัน ตอนนั้นฉันอยู่ห่างออกมามากแต่ฉันก็สามารถรู้สึกได้ว่านี่คือสวรรค์แดนปัจฉิม ฉันเป็นต้นไม้ 7 ต้นอยู่ใกล้ๆ ตัวฉัน มีใบคล้ายๆ กับต้นชะเอมแต่ใบใสหมด ฉันยังหยิบเอามาไว้ในมือเพื่อสำรวจดูเลยเพราะฉันอยากรู้อยากเห็นมาก จากนั้นฉันก็เห็นบุคคล 7 คน ซึ่งมีทั้งพระภิกษุ, พระของทางเต๋า และยังมีคนอื่นๆ อีกซึ่งฉันเรียกชื่อไม่ถูก คนเหล่านั้นคล้ายกับเป็นอมตะกำลังนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง ฉันไม่เคยมีประสบการณ์แบบนี้มาก่อนในชีวิตจริงๆ เลย เดิมฉันเป็นชาวคริสต์เพราะฉะนั้นฉันจึงรู้สึกแปลกๆ นอกจากนี้ ทุกครั้งที่ฉันนั่งสมาธิฉันก็จะบีบนวดตามร่างกายโดยอัตโนมัติ และคอยมองหาจักร มือทั้งสองของฉันจะทำท่าทางขึ้นมาโดยอัตโนมัติ มือของฉันจะเคลื่อนไหวเองและแสดงท่าทำมือซึ่งฉันก็ไม่เข้าใจ

อ : เธอไม่สามารถบังคับมันได้หรือ?
ถ : ถ้าฉันบังคับให้มันหยุด มันก็หยุด อย่างไรก็ดี เนื่องจากฉันเป็นชาวคริสต์ปรากฏการณ์นี้จึงเป็นสิ่งที่แปลก และไม่สามารถอธิบายได้ด้วยคัมภีร์ของทางคริสต์ ดังนั้น ฉันก็เลยค้นหาเอกสารอ้างอิงจากคัมภีร์ของโรงเรียนเวทมนตร์ลี้ลับหลายแห่ง ซึ่งมีเรื่องเกี่ยวกับการแสดงท่าทำมือต่างๆ ในคัมภีร์ เหล่านั้นฉันก็พบว่าท่าทำมือหลายอันที่คล้ายคลึงกันฉันยังคงเสาะแสวงหามาจนกระทั่งทุกวันนี้ แต่อย่างไรก็ตาม ฉันหวังว่าจะได้พบอาจารย์ที่ดีๆ สักคนในไม่ช้าที่สามารถอธิบายได้ว่า มันเกิดอะไรขึ้นกับฉัน
อ : โอเค! เธอเคยอ่านคัมภีร์ของนิกายเทียนไท หรือเปล่า?
ถ : ไม่เคย!
อ : เธอจะสามารถหาคำอธิบายได้ในคัมภีร์ของนิกายเทียนไท เวลาเราฝึกปฏิบัติไปจนถึงระดับหนึ่งไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นระดับที่สูงมาก จักระของระบบพลังงานภายในของเราจะถูกเปิดออก บางครั้งจะมีกระแสพลังอย่างหนึ่งไหลเวียนอยู่ภายในทำให้ร่างกายของเราเคลื่อนไหวได้ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องพิเศษอะไร! อย่าคิดว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก! นี่เป็นคำตอบของคำถามแรกของเธอ คำถามที่สองเกี่ยวกับการเห็นภาพของเธอนั้นนั่นเป็นระดับที่สูงขึ้นกว่านั้นพอควร ที่เรียกกันว่าแดนบริสุทธิ์ แต่มันเป็นแค่ครั้งเดียวหรือ? เธอเคยเห็นระดับนี้อีกบ้างหรือเปล่า?
ถ : ฉันเห็นระดับอื่นๆ บางทีฉันยังเห็นพวกผีด้วย มีผีตนหนึ่งของร้องให้ฉันสวดท่องคัมภีร์ให้เขาฟัง แต่ฉันบอกไปว่าฉันสวดไม่ได้
อ : ช่างเป็นผีที่ดีจริงๆ! หาได้ยากมาก! โอเค เรื่องมันเป็นเพราะว่าเธอยังไม่ได้รับการประทับจิตจากอาจารย์ เธอจึงไปรู้วิธีที่จะแยกระหว่างของจริงและของปลอม อย่างไรก็ตามอาจารย์จะบอกเคล็ดลับที่จะใช้แยกนะ โอเค? นี่ค่อนข้างจะเป็นเคล็ดลับที่เบื้องต้นมันมีวิธีที่ดีกว่านี้อีกหลายวิธี แต่ฉันบอกเธอไม่ได้ เพราะว่าเธอยังไม่ได้ประทับจิต และเธอก็ไม่สามารถจะเข้าใจอยู่ดีเพราะว่าระบบมันต่างกัน ฉันสามารถบอกเคล็ดลับนี้ได้ภายใน 5 นาที มันเป็นอย่างนี้คือ ถ้าเวลาที่เธอกลัวมาหลังจากได้ไปเห็นระดับต่างๆ เห็นพุทธะหรือเห็นแดนพุทธะแล้ว ร่างกายของเธอรู้สึกผ่อนคลายมาก จิตใจของเธอสูงขึ้นมีความปลื้มปีติ ก็หมายความว่าสิ่งที่เธอเห็นหรือสถานที่ที่เธอไปนั้นเป็นจริง ถ้าเวลาที่เธอกลับมาหลังจากได้ไปเห็นอะไรแล้วเธอรู้สึกง่วงซึม อ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรงก็หมายความว่าเธอถูกนำไปผิดทางไปสู่โลกของอสูร....สิ่งลวงตา... มันจะดูดพลังของเธอไป เข้าใจไหม?

นอกจากนี้ เวลาเธอเห็นตัวตนบางอย่าง ถ้าดวงตาของเขาใหญ่และสดใส และมีความเมตตามากก็หมายความว่าผู้ที่เธอเห็นนั้นเป็นสิ่งที่แท้จริง ถ้าดวงตาของเขาไม่มีแสง ไม่มีความเมตตานั่นก็คือผีปีศาจที่แปลงตัวมา โอเค? มันมีทั้งปรากฏการณ์หรือโลกที่แท้จริงและก็ของปลอม เวลาที่พระศากยมุนีพุทธเจ้ากล่าวว่า “ปรากฏการณ์ทั้งหมดทุกอย่างไม่ใช่ของจริง! ท่านหมายความถึงปรากฏการณ์ในโลกของเราที่นี่ เข้าใจไหม? ไม่ใช่ว่าไม่มีปรากฏการณ์ที่เป็นจริงข้างบนนั้น มันจะไม่มีโลกที่แท้จริงได้อย่างไร? ถ้าอย่างนั้นเราควรจะไปไหนกันล่ะ? ถ้าทุกอย่างมันว่างเปล่าไปหมด เราก็จะถูกแช่แข็งตายน่ะซี! เข้าใจไหม?

: (อาจารย์อธิบายเป็นภาษาอังกฤษ) ชายคนนั้นบำเพ็ญสมาธิมา 5 ปีแล้วโดยที่ไม่มีอาจารย์  เขาบอกว่าเขาตั้งใจจะแสวงหาอาจารย์สักคน ถ้าเขาพบอาจารย์ที่ดีๆ เอาละแม้ว่าจะไม่มีอาจารย์เขาก็พยามยามทำสมาธิเอง และบางครั้งเขาก็ประสบกับสิ่งแปลกๆ หลายอย่าง บางครั้งเขาเห็นพระพุทธเจ้า บางครั้งเขาก็เห็นภูตผีปีศาจ ฯลฯ  และครั้งหนึ่งเขาเห็นสิ่งที่เรียกว่าดินแดนพุทธะ และเห็นบางคนที่นั่นเห็นพระสงฆ์ทางพุทธ 7 องค์นั่งสมาธิอยู่ใต้ต้นไม้ เขาสงสัยว่าเนื่องจากเขาเป็นคนคาทอลิก เป็นชาวคริสต์ แล้วทำไมเขาจึงเห็นดินแดนของพุทธะ?

ฉันก็บอกเธอแล้วว่าดินแดนของพุทธะ หรืออาณาจักรของพระเจ้านั้นก็มีคุณลักษณะคล้ายๆกันนั่นแหละต่างคนก็เรียกชื่อมันต่างกัน เช่นคุ้กกี้, พายน้ำผึ้ง ฯลฯ ฉันอธิบายไปแล้ว ฉะนั้นถึงแม้ว่าเธอจะเป็นชาวพุทธ เป็นชาวคาทอลิค เป็นชาวคริสต์ หรือเป็นมุสลิม ถ้าเธอถือปฏิบัติตามระเบียบวินัยที่เรากล่าวไว้ และทำสมาธิด้วยวิธีเฉพาะอย่างหนึ่ง เธอก็จะไม่ผลแบบเดียวกัน แล้วเธอก็จะรู้ว่าพระเจ้า หรือธรรมชาติพุทธะนั้นเป็นสิ่งเดียวกัน เต๋าก็คล้ายคลึงกัน มันเป็นสิ่งเดียวเท่านั้น เธอจะรู้ว่าสวรรค์และแดนพุทธะมีลักษณะอย่างเดียวกันเลย เธอสามารถจะไปถึงแดนพุทธะตะวันออก หรือแดนพุทธะตะวันตกก็ได้ มันก็เป็นแดนของพุทธะทั้งนั้น

ก็เหมือนกับเธอเข้าไปในห้องต่างๆ ในบ้านของเธอมันก็เป็นบ้านของเธอทั้งนั้นเพียงแต่ความต้องการใช้งานต่างกันไป บางครั้งเธออยากจะไปห้องนอน บางครั้งเธออยากจะไปห้องนั่งเล่น นอกจากนี้เขายังอยากรู้ว่าพระพุทธเจ้ากล่าวว่าปรากฏการณ์ทุกย่างเป็นสิ่งที่ไม่แท้จริง หรือไม่ หรือปรากฎการณ์ที่แสดงให้เห็นนั้น และโลกต่างๆ นั้น เป็นสิ่งที่ไม่จริงใช่หรือไม่? ฉันก็บอกเขาไปว่ามันมีทั้งสิ่งที่จริงและสิ่งที่ไม่จริง ถ้าเธอตื่นขึ้นจากการทำสมาธิแล้วร่างกายของเธอผ่อนคลายดี และสุขใจ ก็หมายความว่าสิ่งที่เธอเห็นและสถานที่ที่เธอได้ไปมาเป็นความจริง แต่ถ้าเธอรู้สึกง่วงซึมเซา อ่อนเพลีย หมดแรง ก็หมายความว่าเธอถูกนำไปผิดทางไปสู่โลกอสูร...สิ่งลวงตา... มันดูดพลังของเธอไป แต่ไม่ว่าในกรณีใดๆ ถ้าเธอฝึกปฏิบัติโดยไม่ได้รับการชี้แนะแนวทางบางครั้งมันก็อันตราย แต่ถ้าหัวใจของเธอบริสุทธิ์มาก ความคิดความตั้งใจของเธอถูกต้องมากเธอก็จะได้รับการปกป้องค้มครองจากเทวดา จากโพธิสัตว์ทั้งหลาย จงพยายามรักษาความคิดความตั้งใจของเธอให้บริสุทธิ์และจริงใจ และก็ใช้ชีวิตอย่างมีคุณธรรม

แม้ว่าจะไม่มีอาจารย์ เธอก็จะได้รับการคุ้มครอง เมื่อไรที่เธอพบกับใครบางคนที่น่าหวาดกลัว จงสวดอธิษฐานถึง พุทธะที่สูงสุด หรือถึงพระเจ้าผู้ทรงสรรพานุภาพ แล้วสิ่งที่น่ากลัวนั้นก็จะหายไป ตกลงไหม? แต่ถ้าเธอได้รับการประทับจิตจากอาจารย์ท่านหนึ่ง อาจารย์ท่านนั้นก็จะมีหน้าที่จะบอกให้เธอรู้รายละเอียดทุกอย่างเกี่ยวกับหนทางที่จะเดินไปนั้น และวิธีที่จะจัดการกับสิ่งเหล่านี้ วิธีที่จะแยกของจริงออกจากของปลอม วิธีที่จะป้องกันตัวเธอเอง วิธีที่จะจัดการกับสิ่งเหล่านี้ วิธีที่จะแยกของจริงออกจากของปลอม วิธีที่จะป้องกันตัวเธอเอง วิธีที่จะเรียกหาความช่วยเหลือ และใครที่เธอควรจะเรียก มันจะจำเพาะเจาะจงและปลอดภัยกว่า

ถ : ฉันขอขอบคุณพระเจ้า ที่ฉันได้พบอาจารย์ท่านหนึ่งเข้าแล้วในชีวิตฉันนี้ ฉันรู้ว่าท่านเป็นอาจารย์ท่านหนึ่งแน่ๆ
อ : โอ้! ฉันคิดว่าเธอได้พบกับอาจารย์ที่ยิ่งใหญ่แล้วเสียอีก
ถ : ท่านหมายความว่า จิตวิญญาณ หรือพระเจ้านั้น เป็นธาตุแท้ของร่างกายเราหรือ?
อ : ใช่, ใช่แล้ว พระจิตศักดิ์สิทธิ์ก็คือแก่นสารของร่างกายเรา เรามาจากสิ่งนั้น และเวลาเธอมีปัญญาสูงขึ้น เธอก็จะรู้ว่าร่างกายนี้เป็นจิตวิญญาณด้วย มาจากแรงสั่นสะเทือนที่สูงกว่านี้ มันถูกอัดแน่นกลายมาเป็นรูปร่างนี้เท่านั้นเอง ดังนั้นถ้าเธอบำเพ็ญไปสูงๆมาก หรือมีอาจารย์ที่บำเพ็ญระดับสูง ซึ่งเวลาเธอนั่งสมาธิอยู่ที่นั่นเธอจะมองไม่เห็นอาจารย์ท่านนั้น แต่เธอก็ต้องบำเพ็ญให้สูงขึ้นด้วย หรือว่าอาศัยพระพรของอาจารย์ท่านนั้น เธอจะไม่เห็นอาจารย์ท่านนั้นเลย เห็นแต่มีแสงอยู่เท่านั้น และแสงนี้ก็มีมากมายจนห่อหุ้มผู้ฟังทั้งหมดนี้ ทั้งห้องประชุม เธอจะไม่เห็นใคร เธอจะเห็นว่าไม่มีอะไรอยู่เลยที่จริงแล้วมันว่างเปล่าจริงๆ

นั่นก็คือที่เราเรียกว่าความว่างเปล่า แต่ในความว่างเปล่านั้นเธอก็รู้สึกอิ่มเอมใจ รู้สึกพึงพอใจ ไม่ใช่ว่าความว่างเปล่านั้นทิ้งให้เธอว่างเปล่าและโดดเดี่ยวเหมือนกับความว่างเปล่าธรรมดาของโลกนี้ ยิ่งเธอว่างเปล่าในแง่ทางด้านจิตใจเธอก็ยิ่งอิ่มเอมใจและมีปัญญามากขึ้น มันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ภาษาทางโลกนี้มันแย่จริงๆ ทุกคนถึงได้เข้าใจผิดว่าศาสนาพุทธเป็นลัทธิของการเป็นศูนย์ เป็นความไม่มีอะไรเลย เป็นความว่างเปล่า  มันไม่ใช่อย่างนั้น ถ้าทุกสิ่งทุกอย่างกลับไปสู่ความเป็นศูนย์ กลับไปเป็นไม่มีอะไร ถ้าเป็นอย่างนั้นพระพุทธเจ้าก็จะไม่เน้นหรอกให้เธอรักษาศีล เป็นคนดี มีคุณธรรม มันจะมีประโยชน์อะไรล่ะ? เพราะว่าเธอก็จะกลายเป็นไม่มีอะไรอยู่ดี กลายเป็นความว่างเปล่าไป เข้าใจไหม? เปล่าเลย มันไม่ใช่อย่างนั้น

ถ : ท่านหมายความว่า ความจริงที่อาจารย์ทั้งหลาย ที่พระพุทธเจ้า ที่พระเยซูบอก นั้นเป็นสิ่งเดียวที่ว่าพระเจ้าคือหนึ่งเดียว?
อ : ใช่, ฉันหมายความว่าอย่างนั้น และเธอก็รู้อยู่แล้ว
ถ : จริงหรือไม่ที่ มันไม่จำเป็นจะต้องเป็นชาวพุทธเพื่อที่จะได้รับประโยชน์จากคำสอนของพระโคตมะ และพระพุทธเจ้า?
อ : จริง ไม่จำเป็นต้องเป็นชาวพุทธอย่างเป็นทางการหรอก ชาวพุทธก็คือผู้ที่ถือปฏิบัติตามคุณงามความดี คือผู้ที่ปฏิบัติตามสิ่งที่พระพุทธเจ้าสั่งสอนอย่างถูกต้องแน่นอน ไม่จำเป็นจะต้องไปวัดหรือว่ายึดถือพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง ถ้าเธอทำดีและใช้ชีวิตเป็นไปตามคำสอนของพระพุทธเจ้า แบบนั้นเธอก็เป็นชาวพุทธแล้ว ไม่จำเป็นต้องมาตั้งชื่ออะไรหรอก
ถ : ท่านจะสามารถพิสูจน์ได้อย่างไรว่าชีวิตที่มีร่างกายนี้ หลังจากสิ้นสุดไปแล้วจะยังมีชีวิตอยู่อีก?
อ : เออ ถ้าเธอยังไม่ได้รู้แจ้งเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็ควรจะรู้แจ้งเสียก่อนแล้วเธอก็จะเห็นได้เอง บางคนสามารถจะมองเห็นสิ่งเหล่านี้ โดยที่ไม่ได้มีการรู้แจ้งอย่างเป็นทางการด้วย เป็นเพราะจากความรู้สึกของพวกเขารับรู้ได้มีความสามารถในการมองเห็นที่วิเศษแบบมีตาทิพย์ และบางคนก็ต้องมีอาจารย์เพื่อที่จะมีตาทิพย์ หลังจากรู้แจ้งไปถึงระดับหนึ่งแล้ว เธอก็จะได้รู้สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเองมันง่ายมากที่จะพิสูจน์แต่ว่าเราต้องฝึกบำเพ็ญ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่สัมผัสไม่ได้... เป็นของความรอบรู้ภายในที่ไม่สามารถจะมองเห็นได้ มันเป็นความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติทางวัตถุ เป็นความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติที่มองไม่เห็น ถ้าเธออยากจะพิสูจน์ความรู้ที่มองไม่เห็นนี้ เธอก็ต้องไปศึกษาทฤษฎีไปเรียนโรงเรียนที่มองไม่เห็นและฝึกวิธีที่มองไม่เห็น  เราไม่สามารถจะใชัวัตถุมาพิสูจน์สิ่งที่ไม่เป็นวัตถุได้ แต่เราสามารถจะพิสูจน์มันได้ด้วยวิธีอื่นที่ต่างออกไป
ถ : อะไรคือวิธีของท่านในการได้รับการรู้แจ้ง และจะมีช่วงเวลาเฉพาะอะไรไหมที่เราจะรู้สึกว่ามันเกิดขึ้น?
อ : ไม่ใช่ วิธีของฉันไม่มีวิธีอะไร ในเวลาที่มีการถ่ายทอดนั้นเธอเพียงแต่นั่งอยู่ตรงนั้นและฉันก็จะนั่งอยู่ตรงนั้นด้วย เราจะไม่ทำอะไรเลย ไม่พูดคำใดๆ ไม่ขยับตัวแม้แต่นิ้วเดียวแต่เราจะได้รับแสง  และเราจะได้รับการรู้แจ้ง  เราสามารถออกจากร่างกายนี้ไป เราสามารถไปเที่ยวในสวรรค์ หรืออย่างน้อยเราจะสามารถเห็นแสงแห่งสวรรค์หรือได้ยินวาจาแห่งสวรรค์  ได้ฟังคำแนะนำสั่งสอนของพระเจ้าและก็มีปัญญามากขึ้นทุกวัน

ธรรมวิถีที่ฉันถ่ายทอดให้ไม่ได้เป็นวิธีอะไร เพราะฉะนั้น ฉันจึงไม่สามารถจะเขียนให้เธอได้  ฉันได้แต่เปิดมันให้แก่เธอแต่ละคนแบบที่มองไม่เห็น และไม่มีการทำอะไร ฉันทำโดยที่ไม่ได้ทำ ถ้ามีอะไรที่เกี่ยวข้องกับการกระทำเกี่ยวกับความตื่นเต้น เกี่ยวกับการเคลื่อนไหว มันก็ยังเป็นของโลกแห่งวัตถุและรูปร่าง เพราะฉะนั้นวิธีของเราจึงเป็นวิธีที่ไม่เป็นวัตถุเป็นวิธีที่ไม่มีรูปร่าง  แต่มันสามารถถูกถ่ายทอดได้สามารถรับมันได้ สามารถมีมันเป็นเจ้าของมันได้

ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น? ก็เพราะว่าการรู้แจ้งนั้นอยู่ภายในตัวเธอเอง แสงอยู่ภายในตัวเธอ ธรรมชาติพุทธะอยู่ในตัวเธอ อาณาจักรของพระเจ้าอยู่ในตัวเธอ ฉันเพียงแต่ชี้มันให้เธอว่า อยู่นี่ มองทางนี้แล้วเธอจะเห็น เข้าใจไหม? บางครั้งเธอมีแว่นตาอยู่ในมือของเธอ แล้วเธอก็มองหาไปทั่ว ฉันจึงบอกว่ามันอยู่นี่ อยู่ทางนี้ ฉะนั้นมันจึงไม่ใช่วิธีอะไร เธอมีมันอยู่แล้ว เชื่อฉันสิไม่มีวิธีใดที่จะสามารถนำเธอไปสู่การรู้แจ้งได้ เว้นแต่ว่าเธอจะต้องรู้จักธรรมชาติของเธอเอง และได้ติดต่อกับมันเองนั่นเป็นวิธีเดียวเท่านั้น วิธีใดๆ ที่ทำให้เธอได้เห็นธรรมชาติพุทธะในทันที เห็นอาณาจักรแห่งสวรรค์ทันที นั่นก็คือธรรมวิถีกวนอิม นั่นคือวิธีที่ถูกต้อง เธอจะเรียกชื่อมันว่าอะไรก็ได้แล้วแต่เธอจะต้องการมัน แต่มันไม่มีวิธีอะไร

มันเป็นเพียงพลังของพระเจ้าเท่านั้นที่ลงมาสู่ร่างกายที่บริสุทธิ์และได้รับการคัดเลือกแล้ว และก็เปิดพลังพระเจ้าของตัวเธอเอง พระเจ้านั่นเองที่เป็นผู้ช่วยเหลือพระเจ้า พุทธะนั่นเองที่ช่วยเหลือพุทธะ พุทธะนั่นเองที่ทำให้พุทธะรู้แจ้ง มันเป็นพุทธะที่อยู่ในตัวเธอที่เลือกที่จะถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมา พุทธะในตัวฉันและพุทธะในตัวเธอเป็นหนึ่งเดียวกัน

เพราะว่าเธอยังไม่รู้จักมัน พุทธะในตัวเธอจึงต้องปรากฏร่างมาในร่างภายนอกร่างหนึ่งและปลุกให้มันตื่นขึ้นมา แต่เป็นตัวเธอเองนั่นแหละที่ปลุกตัวเองขึ้นมา เป็นธรรมชาติพุทธะในตัวเธอที่เลือกเวลา นาฬิกาปลุกมันส่งเสียงแล้ว เพราะฉะนั้นจงตืนขึ้น เข้าใจไหม? มันยากนะ ฉันจะไม่สอนอะไรเธอเลย เป็นตัวเธอเองนั้นแหละที่สอนตัวเอง เป็นพุทธะภายในตัวเธอที่ตื่นขึ้นมาและได้ตระหนักว่าเธอเป็นใคร แล้วก็เริ่มทำงานด้วยความสามารถของตัวเธอเอง ด้วยปัญญาของตัวเธอเอง ดังนั้นหลังจากนั้นต่อไป เธอก็ตระหนักว่าไม่มีใครเป็นอาจารย์ทุกคนเท่าเทียมกันหมด ทุกคนมีศักยภาพอย่างเดียวกันเพียงแต่เธอลืมวิธีที่จะใช้มัน คนที่จำได้ คนที่รู้ก็จะเตือนให้รู้ก็เท่านั้นเอง ถ้าเธอมีเงินอยู่ในกระเป๋าของเธออยู่แล้วฉันก็บอกเธอว่าเงินอยู่ตรงนี้ไง ฉันไม่ได้ให้อะไรเธอเลย ฉันเพียงแต่เตือนให้เธอระลึกถึงสิ่งที่เธอลืมไปแล้ว ดังนั้น จึงไม่จำเป็นที่จะต้องใช้วิธีใดๆ เงินนั้นมันเป็นของเธออยู่แล้ว

พิธีกร : แต่ผู้เป็นอาจารย์เป็นผู้เปิดประตู เปิดจิตปัญญาให้เราจริงๆใช่ไหม?
อ : เอ้อ, เธอจะพูดอย่างนั้นก็ได้ แต่แน่นอนละมันเป็นงานของฉัน ฉันจะอ้างความดีความชอบจากเรื่องนั้นไม่ได้ แต่ทรัพย์สมบัตินั้นมีอยู่แล้วภายในตัวเธอ ถ้าเธอไม่มีทรัพย์สมบัติ มันก็ไม่สำคัญว่าฉันจะเปิดประตูกว้างแค่ไหน มีกุญแจมากมายสักกี่ดอก มันก็จะไม่มีอะไรอยู่ภายใน เข้าใจไหม? เธอเป็นบุคคลที่สูงมากอยู่แล้ว เป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่และมีศักยภาพสูงมากอยู่แล้ว ฉันเพียงอยากจะให้เธอได้รู้จักตัวเองว่าเธอยิ่งใหญ่เพียงใด และก็ทิ้งความทุกข์ยาก ทิ้งความโง่เขลาไม่รับรู้ไป
ถ : สวรรค์ แดนพุทธะ และพุทธะนั้นเป็นเพียงสิ่งที่คิดขึ้นมาในใจเราหรือ? ทุกคนเห็นแดนพุทธะในรูปแบบที่แตกต่างกันไป ไม่มีการดำรงอยู่ที่จับต้องได้แบบนี้ในความเป็นจริงหรือ?
อ : โอ มันไม่ได้เป็นผลิตผลของการคิดวาดภาพเองเองหรอก ดินแดนบางแห่งเป็นสิ่งลวงตา เนื่องจากเกิดประสาทหลอน เวลาเธอขาดอ็อกซิเจน เวลาที่เธอเหน็ดเหนื่อยอ่อยเพลีย เวลาที่เธอติดยาเสพติดหรือแอลกอฮอล หรือกำลังมีความทุกข์ทรมาน เธอก็มีอาการประสาทหลอนได้จริงๆ ดินแดนเหล่านี้ไม่จริง และเธอไม่สามารถจะกลับไปสู่ดินแดนนั้นได้อีก

แต่สิ่งที่เรียกว่าแดนของพุทธะและสวรรค์ที่แท้จริงนั้น มีตัวตนที่ไม่สามารถจะมองเห็นได้จริงๆ และเธอสามารถจะกลับไปอีกเมื่อใดก็ได้หลังจากนั้น ถ้าดินแดนนั้นเป็นจริง เธอจะสามารถไปที่นั่นได้หลายครั้ง ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเห็นดินแดนที่ต่างกัน ลูกศิษย์ของฉันหลายคนเห็นดินแดนเดียวกัน เพราะว่ามันมีดินแดนเยอะแยะมากมาย ฉะนั้นก็แน่นอนที่บางคนอาจจะไปที่นั่น บางคนไปที่นี่ ก็เหมือนกับเรามีประเทศต่างๆอยู่มากมายในโลกนี้ บางคนไปอเมริกา บางคนไปอังกฤษ แบบนั้นมันก็แค่แน่นอนอยู่แล้ว ไม่ต้องสงสัย แต่ประเทศอังกฤษก็มีอยู่จริงๆ และคนสองคนก็สามารถไปที่นั่นได้ภายในเวลาเดียวกัน

ถ : ในโลกนี้มีจิตวิญญาณต่างๆอยู่ หรือว่าเป็นแต่เพียงปรากฏการณ์ทางจิต ที่ไม่เกี่ยวข้องกับระดับของจิตวิญญาณที่สร้างขึ้นในใจของเรา?
อ : มีจิตวิญญาณอยู่ จิตวิญญาณคืออะไร? พวกเหล่านี้คือวิญญาณที่ถูกขังอยู่ไม่ได้รับการหลุดพ้นไม่เป็นอิสระ เราคือวิญญาณที่ถูกจับขังอยู่ในร่างกายเปล่านี้อยู่ในขณะนี้ หลังจากที่เราจากโลกนี้ไป เราก็จากร่างนี้ไป แต่ไม่ได้หมายความว่าเราเป็นอิสระหลุดพ้นแล้วอย่างสมบูรณ์ มันยังมีร่างกายอื่นที่กักขังวิญญาณของเราอยู่อีก เหมือนกับบ้านหลังหนึ่งมีหลายประตู

ตอนที่ฉันไปเยี่ยมเรือนจำแห่งหนึ่งมันมีประตูอยู่ประมาณ 30 บาน เป็นประตูเล็กๆ ประตูเหล็ก มันจะถูกเปิดแล้วก็ล็อคทันทีหลังจากที่ฉันผ่านประตูนั้นไป ฉันเดินผ่านประตูทั้ง 13 บานนั้นเข้าไปเยี่ยมนักโทษ แล้วฉันก็ต้องเดินผ่านประตูทั้ง 13 บานนั้นเพื่อจะกลับออกไปอีก ถ้าเจ้าหน้าที่เรือนจำเปิดประตูสุดท้ายแล้วก็เปิดประตูบานใหญ่ด้านนอกอีกก่อนที่ฉันจะกลับมาสู่โลกที่เป็นอิสระอีกครั้ง

ก็คล้ายๆ กันกับเวลาเราจากร่างกายเนื้อนี้ไป ก็ไม่ได้หมายความว่าเราเป็นอิสระจากร่างอื่นอย่างสมบูรณ์แล้ว เรายังมีร่างอื่นอยู่อีก ดังนั้นวิญญาณที่เราเห็นในบางครั้งด้วยตาอย่างอื่น หรือคนอื่นเห็นด้วยตาทางจิต พวกเหล่านี้ก็คือวิญญาณที่ถูกขังอยู่ในกายทิพย์ บางทีพวกเขาก็ล่องลอยไปมาบางทีก็ทำเรื่องวุ่นวาย บางทีก็ไม่ทำ

ถ : พระสงฆ์ที่ระดับสูงบางองค์สามารถเห็นอดีตและอนาคตได้ หมายถึงชีวิตของคนเราถูกกำหนดไว้แล้ว และมันยากที่เราจะเปลี่ยนชะตาชีวิตของเราหรือ?
อ : การเห็นอดีตและอนาคตไม่ได้เป็นเรื่องที่ยากมาก มันง่ายมาก พวกนี้เป็นเพียงระดับที่ต่ำมากของการพัฒนาไม่มีอะไรที่จะเอามาโอ้อวดและภาคภูมิใจไปหรอก ลูกศิษย์ของฉันทุกคนได้รับการเตือนไม่ให้บอกอดีตและอนาคตของคน ทำให้คนอื่นหัวเราะเยาะตัวเธอว่าระดับของเธอยังต่ำมาก สิ่งที่เรียกว่าโชคชะตาของเรานั้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้จากการมานะพยายาม จากคุณความคิด และจากพลังของการทำสมาธิของเรา แต่เปลี่ยนไปได้ถึงบางระดับเท่านั้น ถ้าเปลี่ยนหมด เธอก็ต้องตาย เธอจะไม่มีข้ออ้างที่จะอยู่ในโลกนี้ต่อไปถ้าเธอไม่มีกรรมแล้ว เธอก็ต้องจากไป เพราะฉะนั้นบางครั้งจึงมีการติดต่ออะไรนิดหน่อยโดยอาศัยกรรม เพื่อที่เธออาจจะยังคงอยู่และทำอะไรต่อไปเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ของเธอ
การล้างบาปที่แท้จริง
ถ : การประทับจิตซึ่งยกเลิกกรรมในอดีตของคน ต่างจากการล้างบาปของทางคริสต์ซึ่งขจัดความผิดของบาปที่มีมาแต่เดิมอย่างไร?
อ : ใช่อย่างนั้นหรือ? มันขจัดจริงหรือ? แล้วทำไมเธอยังต้องไปสารภาพบาปทุกวันทิตย์ด้วยล่ะ? เธอไม่ได้รู้สึกว่าบาปถูกขจัดไปด้วยการล้างบาป การล้างบาปที่แท้จริงมาจากบุคคลที่เป็นเหมือนพระคริสต์ อย่างเช่นนักบุญจอห์น แบ็บติสต์ อย่างพระเยซูคริสต์ มาจากหลังของการกำจัดบาปไม่ใช่จากการทำอาการ ก็เหมือนกับฉันเซ็นเช็คแต่ว่าไม่มีเงินในธนาคาร  มันแตกต่างจากการเซ็นเช็คของฉันโดยที่มีเงินในบัญชีธนาคาร

การล้างบาปเป็นประเพณีที่สวยงามในศาสนาคริสต์ เช่นเดียวกับในพุทธศาสนาเราก็มีการล้างบาป เราเรียกว่าการถือพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง และเวลาที่เธอทำอย่างนั้นพวกเขาจะอ่านออกเสียงดังๆ หลังจากที่เธอถือพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งแล้วกรรมของเธอจะถูกชำระล้างออกไปหมด เธอจะไม่ไปเกิดในนรกและไปเกิดเป็นสัตว์หรือเป็นอะไรอีกแต่ฉันก็ยังเห็นมีหลายคนยังไปนรกอยู่ เธอจะทำอย่างนั้นโดยใช้แต่เพียงคำพูดหรือโดยมีพิธีการอะไรไม่ได้หรอก จะต้องมีพลังพระเจ้าที่ไม่สามารถมองเห็นได้อยู่เบื้องหลังด้วยเพื่อชำระล้างเธอ เพราะว่าบาปเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น

เธอไม่สามารถจะถูกล้างโดยพิธีการ โดยรูปแบบต่างๆ และเสียงมันต้องเป็นพลังที่สามารถจะมองเห็นอย่างหนึ่งในการที่จะล้างสิ่งที่มองไม่เห็น ฟังแล้วมีเหตุผลสำหรับเธอไหม?  ใช่แล้ว มันต้องสมเหตุสมผลในทางปฏิบัติ เราจะตาบอดแล้วก็เชื่อถือตามทุกอย่างที่คนพูดไปอย่างเดียวไม่ได้ เราจะถูกหลอกถูกล้อว่าเป็นตัวตลก เป็นคนโง่ แต่ไม่มีข้อสงสัยที่หลังจากเธอสารภาพบาปของเธอกับใครสักคนแล้ว บางทีเธอก็อาจจะรู้สึกสบายใจขึ้นนิดหน่อย แต่แล้วเธอก็ทำบาปอีกและเธอก็ยังไม่รู้สึกว่าความเบิกบานยินดีอะไร

เวลาที่พระเยซูล้างบาปให้ผู้คน ท่านชำระล้างบาปของคนจริงๆ และเวลาที่นักบุญจอห์นล้างบาปให้คน เขาก็ชำระล้างให้คนจริงๆเช่นกัน ฉะนั้นพวกเขาจึงสามารถเห็นแสงจากสวรรค์ ตอนที่พระเยซูได้รับการล้างบาปจากนักบุญจอห์น ท่านเห็นแสงลงมาจากสวรรค์เหมือนกับนกพิราบ ในเวลาที่ทำการประทับจิตเธอก็จะเห็นแสงทำนองนี้เหมือนกันอย่างน้อยที่สุดก็ทำนองนี้ เพราะฉะนั้นเธอก็จะรู้ว่าเธอได้รับการชำระล้างแล้วและก็รู้ว่าเธอกำลังติดต่อกับสวรรค์อยู่ ไม่อย่างนั้น แล้วเธอจะรู้ได้อย่างไร? และเธอก็จะรู้สึกบรรเทาเบาบางลงไปทันที เหมือนกับภูเขาหล่นลงไปจากบ่าของเธอแล้ว เหมือนกับก้อนหินถูกยกออกไปจากใจเธอแล้ว นั่นคือสัญญาณที่แท้จริงของการชำระล้างและการทำให้บริสุทธิ์  ส่วนอีกอย่างเป็นแค่การพูดและพิธีกรแบบหนึ่งเท่านั้น มันไม่ได้ยกบาปดั้งเดิมทั้งหลายออกไปโดยแค่การทำพิธีล้างบาปเท่านั้น ถ้าพระหรือบาทหลวงนั้นรู้แจ้งในระดับที่สูงมากและมีพลังอำนาจมากจริงๆ ก็ใช่ แต่ถ้าไม่เป็นแบบนั้นก็ไม่ใช่การล้างบาปจริงๆ

ถ : ทำไมการฝึกปฏิบัติการหายใจจึงขัดกับธรรมวิถีของท่าน?
อ : ก็เพราะว่าในร่างกายของเรามีกระแสอยู่ 2 ชนิด ชนิดหนึ่งเรียกว่ากระแสขับเคลื่อนซึ่งสร้างความร้อนในร่างกาย ดูแลการไหลเวียนของโลหิตและระบบการย่อยอาหาร ซึ่งพวกนี้ได้รับการช่วยเหลือสนับสนุนจากการหายใจ  ทีนี้ถ้าเราไปบังคับควบคุมลมหายใจเราก็จะทำให้ระบบที่เป็นระเบียบอยู่แล้วของเราวุ่นวายไป พระเจ้าสร้างร่างกายของเราให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์เรียบร้อยอยู่แล้ว อะไรที่ต้องทำก็ได้รับการดูแลเรียบร้อยแล้วไม่จำเป็นต้องไปยุ่งให้มันวุ่นวายไปหมด  ทั้งหมดที่เราอยากจะทำก็คือการปลดปล่อยวิญญาณของเราให้เราเป็นอิสระ ไม่ใช่ไปยุ่งกับระบบของร่างกายของเราบางครั้งมันก็ทำให้เกิดอันตรายขึ้นมา นอกจากนี้ลมหายใจก็เป็นสิ่งที่ไม่จีรังยั่งยืนด้วย เวลาเธอนอนหลับเธอก็ไม่รู้ไม่ได้ระวังเรื่องการหายใจ เวลาเธอเป็นลมหรือ เวลาที่เธอมีอุบัติเหตุ เธอหมดสติไป เธอก็ไม่รู้เรื่องการหายใจ  แล้วตอนนั้นเธอจะฝึกบำเพ็ญได้อย่างไร? เธอจะยกระดับวิญญาณของเธอได้อย่างไร ในตอนนั้น?

วิธีของเราเป็นวิธีที่ทำให้วิญญาณของเธอมีสติรู้ตัวอยู่ตลอด แม้ยามหลับ มีอุบัติเหตุ เวลาที่หมดสติ ในระหว่างที่มีภัยพิบัติ ก็จะมีสติรู้ตัวอยู่เสมอ เพื่อจัดการกับปัญหาของเธอ จัดการกับธุรกิจของเธอ ดูแลเรื่องการตัดสินใจของเธอ เธอปลุกวิญญาณของเธอเองให้ตื่นขึ้น เราปลุกเจ้านายของบ้านให้ตื่นขึ้นมาและให้เขาทำงานไป แล้วเขาก็จะทำงานไปตลอด 24 ชั่วโมงโดยที่เราไม่ต้องคิดและแม้แต่จะสวดขอก็ตาม เพราะว่าผู้เป็นอาจารย์ตื่นมาแล้ว พุทธะ พระจิตศักดิ์สิทธิ์ภายในตัวเราได้ตื่นขึ้นมาแล้ว ตัวตนที่แท้จริงของเราน่ะ เข้าใจไหม? โดยที่ไม่ต้องไปฟังสมอง....คอมพิวเตอร์โง่ๆนั้น ดังนั้นเราจะทำทุกอย่างอย่างถูกต้อง จะโดยที่รู้หรือไม่รู้เรื่องนี้ก็ตาม  เราจะถูกต้องเสมอเพราะว่าเจ้านายมาควบคุมเองแล้วไม่ใช่คนรับใช้

ถ้าเราไปวุ่นวายอยู่กับการหายใจของเราหรือสิ่งที่เรียกกันว่าจักรของร่างกายใดๆ ก็ตาม เราก็จะไปแทรกแซงกับระบบร่างกายเท่านั้น และมันอาจจะทำให้เกิดภาพลวงหรือภาพหลอน แต่ไม่มีอะไรที่เป็นจริงและเราจะไม่ได้พัฒนาปัญญาอะไรเลยด้วยสิ่งเหล่านี้ เราจะไม่มีวันมีปัญญามากขึ้นฉันเคยลองพยายามแล้ว  และฉันก็เคยเห็นคนหลายคนที่เป็นสุดยอดขอสิ่งที่เรียกว่าการควบคุมลมหายใจแล้ว ก็ยังต้องมาหาฉันเพื่อจะได้รับปัญญา  ฉันสามารถแจ้งชื่อคนเหล่านั้นให้เธอทราบได้ บางคนที่ฝึกปฏิบัติการควบคุมลมหายใจกับอาจารย์ชาวจีนที่มีชื่อเสียงมากที่ฉันบอกชื่อไป สามารถไปถึงระดับที่ไม่มีการหายใจแล้ว เขาสามารถอยู่ได้โดยไม่มีการหายใจ แล้วบุคคลนั้นก็ไม่ได้มีปัญญามากขึ้นแต่อย่างใด เพราะฉะนั้นเขาจึงต้องมารับการประทับจิต ตอนนี้เขาเปลี่ยนไปแล้ว เหมือนอย่างเช่น หัฐทะโยคะ พวกเขาเก็บลมหายใจทั้งหมดไว้ในกระเพาะ ทำให้ท้องพองโตมากแล้วก็เก็บมันไว้สักระยะเวลาหนึ่ง อาจจะ 2 -3 นาทีแล้วค่อยใจออกอีก หรือพวกเขาอาจจะกำหนดลมปราน แต่มันไม่อันตรายหรอกถ้าเธอแค่หายใจลึกๆ สักสองสามครั้งและฝึกออกกำลังไป ตกลงไหม?  มันต่างจากเรื่องนั้น

ถ : ท่านไปศึกษากับใครที่ไหน ในเทือกเขาหิมาลัย?
อ : กับอาจารย์ท่านหนึ่งเป็นอาจารย์ที่ยิ่งใหญ่มาก  แต่ท่านจากร่างกายไปแล้วท่านรับลูกศิษย์แค่คนเดียวคือตัวฉัน  และฉันก็ต้องทำงานของท่านต่อ ท่านมีชีวิตอยู่หลายร้อยปีแต่ว่มีลูกศิษย์เพียงคนเดียว ท่านไม่เคยลงมาจากเขาเลย มันเป็นเรื่องบังเอิญหรือเป็นโชคชะตาที่ทำให้ฉันได้พบกับท่าน ฉันเคยอยู่กับอาจารย์อื่นๆ มาหลายคนแล้ว และมันก็ไม่ใช่ครั้งแรกด้วยที่ฉันได้เรียนธรรมวิถีกวนอิมหรือมีประสบการณ์การรู้แจ้ง  ฉันได้รู้แจ้งมาก่อนหน้านั้นแล้ว ก่อนที่ฉันจะได้พบอาจารย์ท่านนี้ แต่การถ่ายทอดพลังนั้นมาจากอาจารย์ท่านสุดท้ายนี้ และหลังจากที่ท่านถ่ายทอดแล้วท่านก็จากไปบางทีอาจจะเพราะว่าไม่มีอะไรจะทำอีกแล้ว เบื่อแล้วก็เลยกลับบ้าน เพราะฉะนั้นตอนนี้ท่านก็เลยทิ้งงานนี้ไว้กับฉัน ฉันเป็นผู้ที่สมัครเล่นเป็นผู้หญิงที่อ่อนแอและยังเยาว์ ต้องเดินไปรอบโลกพร้อมกับไม้เท้าเพื่อไปพูดกับคนที่พูดคุยด้วยยาก เพื่อช่วยคนที่ยากที่จะช่วย และเพื่อเป็นอาจารย์ของผู้ที่อยากจะเป็นอาจารย์ฉัน
ความแตกต่างระหว่างดินแดนบริสุทธิ์กับโลกของเรา
ถ : อาจารย์ ท่านเริ่มการบรรยายของท่านวันนี้ด้วยการพูดถึงดินแดนของพุทธะและห้องหับทั้งหลายในคฤหาสน์ของพระบิดา กรุณาอธิบายเรื่องนี้โดยละเอียดด้วย ทำไมจึงจำเป็นต้องมีการดำรงอยู่ของดินแดนแห่งพุทธะนี้? ที่เราอยู่ในโลกนี้ไม่ได้เป็นแดนบริสุทธิ์หรอกหรือ ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้ปรากฏตัวมันเองให้บริสุทธิ์อย่างนั้นต่อสายตาของเรา?
อ : ใช่, ดินแดนของเรามันบริสุทธิ์มากจริงๆ สำหรับฉันนะแต่ไม่ใช่สำหรับเธอ เพราะฉะนั้นเธอจึงต้องค้นหาแดนบริสุทธิ์ของเธอเองให้พบ สิ่งที่หมายความอยู่ใน (?) เกี่ยวกับว่าดินแดนแห่งนี้เป็นแดนบริสุทธิ์ก็คือ เธอสามารถจะนั่งอยู่ตรงนี้และเห็นว่าดินแดนนี้บริสุทธิ์ เธอสามารถจะนั่งอยู่ที่นี่และเห็นดินแดนของพุทธะอยู่ที่นี่ตรงนี้ อยู่ต่อหน้าต่อตาของเธอเลย มันหมายความว่าอย่างนั้นที่กล่าวว่า “ดินแดนแห่งนี้คือ แดนบริสุทธิ์”

นั่นเป็นความจริง แต่ไม่ได้จริงสำหรับคนทุกคน มันเป็นความจริงสำหรับฉันเป็นเรื่องจริงสำหรับลูกศิษย์ของฉัน จริงสำหรับผู้ที่รู้แจ้งในระดับที่สูงกว่านี้บางคน แต่ไม่ใช่สำหรับทุกคน  ทุกคนคงมองเห็นขยะทั้งหลายและเห็นภูเขา เห็นแม่น้ำ ฉะนั้นสิ่งที่ฉันพูดเกี่ยวกับแดนบริสุทธิ์ก็คือแบบนี้ มันดำรงอยู่จริงๆ ที่นี่และในขณะนี้ แต่ฉันต้องมีการแบ่งแยกให้แตกต่างกันด้วย ฉันจะไปบอกผู้คนทั่วไปทั้งหลายเสมอไม่ได้ว่า “เธอดูสิ เธออาศัยอยู่ในแดนบริสุทธิ์นะตอนนี้น่ะ เธอไม่จำเป็นต้องขยับตัวทำอะไร ไม่จำเป็นต้องออกกำลัง ไม่จำเป็นต้องทำคุณงามความดีอะไร ไม่จำเป็นต้องทำสมาธิหรอก ดินแดนของเธอเป็นแดนบริสุทธิ์อยู่แล้ว” ฉันพูดอย่างนั้นไม่ได้และมันก็ไม่ถูกต้องด้วย ไม่ใช่อย่างนั้นหรือ? 

นอกจากนี้ แดนบนริสุทธิ์ทั้งหลายของอมิตาภะ และอวโลกิเตศวร ฯลฯ ต่างจากโลกนี้ โลกของเรานี้อย่างไร?  มันแตกต่างมาก มีความแตกต่างมากทีเดียว ดินแดนทั้งหลายเหล่านั้นเราไม่รู้จักความโศกเศร้า เราไม่รู้จักความเกลียดชัง เราไม่รู้จักสงคราม เรารู้จักแต่ความรักและความเคารพซึ่งกันและกันส่วนดินแดนแห่งนี้ เต็มไปด้วยความลำบาก เต็มไปด้วยความโศกเศร้า และความทุกข์ยาก เธอมีความสุขแค่หนึ่งนาที แล้วต่อมาเธอก็ทุกข์ไปสิบนาที มันแตกต่างกันมาก

ที่นี่เธอต้องลงแรงทำงานใช้เวลานานมากที่จะสร้างบ้านขึ้นมาหลังหนึ่ง แล้วมันก็อาจจะพังลงมาเพราะแผ่นดินไหวก็ได้ ทำให้เธอไม่มีบ้านอยู่ ไม่มีไฟฟ้าไม่มีน้ำใช้ไปหลายวัน มีความไม่สะดวกมากมาย เราสร้างสะพานในซานฟรานซิสโกใช้เวลาตั้งหลายปีและใช้เงินทองมากมาย หลายพันล้านดอลล่าร์ ใช้แรงงานมหาศาลแล้วในเพียงแค่ห้าสิบวินาทีมันก็หายไป

ในดินแดนเหล่านั้นไม่เคยมีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น เราจะปลอดภัยมั่นคงอยู่เสมอ อยู่ในความรัก ในแสงและพระพร  มีความแตกต่างกันเยอะมาก เธอไม่จำเป็นต้องหาเงิน ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราต้องการจะมาอยู่ต่อหน้าเราทันที โดยที่ไม่ต้องเคลื่อนไหวหรือไปซูปเปอร์มาร์เก็ตหรือไปแลกเงิน เราจะดินทางจากแดนพุทธะแห่งหนึ่งไปยังอีกแห่งหนึ่งได้โดยไม่ต้องมีความยุ่งยากเรื่องพาสปอร์ต ไม่มีปัญหาพวกระเบียบทางการหยุมหยิม ตอนนี้ถ้าเธออยากจะไปอเมริกา มันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เธออยากจะออกมาก็ไม่ง่ายอีกเหมือนกัน เพราะว่าเธอจำเป็นต้องมีเงิน มีพาสปอร์ต มีความสัมพันธ์อะไรบางอย่างในประเทศอื่นเพื่อจะย้ายไปได้ ในดินแดนของพุทธะไม่เป็นอย่างนั้น เธอจะไปไหนก็ได้ที่เธอต้องการ เธอเป็นอิสระ

ถ : “ชี่” คืออะไร?
อ : คือกระแสความรู้สึกอย่างหนึ่งในร่างกายที่ทำให้เธอรู้สึกร้อนหรือเย็น และย่อยอาหารของเธอ นั่นก็คือ “ชี่”
ถ : สวรรค์เป็นอย่างไร?
อ : เธอกลับไปบ้านแล้วก็ไปอ่าน อมิตาภสูตร ไภษัชคุรุสูตร หรือบุณฑริกสูตรก็ได้ ทั้งหมดนี้บรรยายสภาพของสวรรค์ไว้แล้ว
ถ : ขณะที่ฉันทำสมาธิวันหนึ่งฉันได้เห็นแสง แต่ว่ามันเกือบจะฆ่าฉันแบบเดียวกับถูกไฟฟ้าช็อตเลย และฉันก็คิดว่าฉันคงจะต้องตายแล้ว ฉันไม่เข้าใจเรื่องนี้เลย เราอยากจะเข้าใจให้มากขึ้น หรือว่าหลังจากนั้นแล้วเราจะเข้าใจมากขึ้นเอง?
อ : เธอเห็นแสงซึ่งมีธรรมชาติของไฟฟ้าที่สูงมาก เราอาจจะใช้คำทางโลกก็ได้ ดังนั้นเวลาที่มันมาสัมผัสตัวเรามันจึงมีพลังอำนาจมาก เป็นเหตุผลที่ทำไมเราจึงต้องเป็นมังสวิรัติและใช้ชีวิตที่มีคุณธรรมเพื่อที่เราจะได้ไม่สะทกสะเทือนแบบนี้ ถ้าความถี่ที่สูงมากๆ สัมผัสกับวัตถุที่หยาบมาก ก็แน่นอนที่มันจะต้องเกิดการปะทะต่อสู้กัน  แต่ถ้าวัตถุนั้นไม่หยาบมากขนาดนั้น ทั้ง 2 สิ่งก็จะผสมผสานกันและเธอจะไม่รู้สึกสะดุ้งตกใจแบบนี้

เพราะฉะนั้นมันจึงอันตรายที่จะฝึกปฏิบัติไปโดยไม่มีการชี้แนะนำทางของอาจารย์ที่แท้จริง และไม่มีวินัยทางศีลธรรมจรรยา พวกเนื้อสัตว์และสารพิษทั้งหลายที่เรากินเราเสพเข้าไปจะไปเพิ่มความหยาบของร่างกายเรา ความหยาบของกายเนื้อของเราและยิ่งเราอัดแน่นมากเท่าไร  เราก็ยิ่งผสมกลมกลืนกับความถี่ที่สูงกว่าได้น้อยลงทำให้เกิดการช็อตสะดุ้งขึ้น  ดังนั้นเราต้องพัฒนาทั้งร่างกาย จิตใจ และวาจาของเราเพื่อที่จะได้ให้เข้ากันกับความถี่นั้นได้

เธอเห็นเวลาที่นักบินอวกาศไปอยู่ในอวกาศไหม พวกเขาต้องกินอาหารที่แตกต่างไป และสวมเสื้อผ้าที่แตกต่างออกไป เพื่อที่จะได้เหมาะสมกับความดันอากาศในอวกาศที่สูงขึ้นนั้น พวกเขาจะสวมเสื้อผ้าแบบที่เราสวมอยู่ที่นี่ไม่ได้ หรือเวลาเราลงไปในทะเล เราต้องสวมหน้ากากอ็อกซิเจน เราจะทำตามสบายแบบตอนอยู่บนแผ่นดินไม่ได้บรรยากาศมันแตกต่างกัน เราก็ต้องติดเครื่องมือที่ต่างกันไป มันดีแล้วที่เธอได้อดทนกับประสบการณ์นี้ได้และก็ได้รู้แจ้งมากขึ้น ขอแสดงความยินดีด้วย!

ถ: มันเป็นเรื่องจริงที่การรู้แจ้งในทันทีนั้นสามารถจะบรรลุกันได้ ไม่ใช่เพียงแต่อาศัยพุทธะทั้งหลายหรือการรู้แจ้งเท่านั้น แต่โดยอาศัยนายตำรวจในเมืองคนหนึ่งได้เช่นกัน ซึ่งบังเอิญมาเคาะประตูบ้านเธอย่างไม่ได้คาดฝัน
อ: เป็นความจริง ถ้าหากว่านายตำรวจคนนั้นเป็นพุทธะท่านหนึ่งเขาก็จะสามารถเปิดแสงให้เธอได้  ถ้าอย่างนั้น เขาก็เป็นพุทธะที่รู้แจ้งแล้วท่านหนึ่งเช่นกันในรูปร่างของนายตำรวจ พุทธะต่างๆ มีหลายรูปแบบ ถ้าเธอเป็นนายตำรวจแล้วเธอได้รู้แจ้งอย่างสมบูรณ์อย่างนั้นเธอก็เป็นพุทธะคนหนึ่ง ไม่จำเป็นจะต้องเปลี่ยนแปลงรูปลักษณะภายนอกเลย แต่ว่าปุถุชนธรรมดาทั่วไปอยู่ดีๆ จะมาให้การรู้แจ้งในทันทีแก่เธอไม่ได้หรอก ไม่ว่าจะเป็นประธานาธิบดีหรือเป็นนายตำรวจก็ตาม มันไม่ใช่รูปลักษณะหรือตำแหน่งหรือชนิดของงานที่เป็นสิ่งสำคัญ  แต่มันเป็นพลังที่อยู่ภายในตัวบุคคลนั้น
ถ : อะไรคือวัตถุประสงค์ของศาสนาพุทธ?
อ : บอกให้คนเป็นคนดี รักษาระเบียบในสังคม รักษามาตรฐานศีลธรรมของคน, เพื่อที่จะสามารถอยู่ร่วมกันอย่างสอดคล้องกลมกลืน, เพื่อจะได้รู้แจ้ง....ถ้าเธอมีอาจารย์ทางพุทธที่รู้แจ้งแล้ว ไม่ใช่ว่าเพียงแต่อ่านคำสอนทางพุทธแล้วเธอจะได้รู้แจ้ง, เพื่อจะได้เป็นพุทธะ ใช่แล้ว ถ้าเธอพบกับพุทธะที่มีชีวิตอยู่ท่านหนึ่ง เธอก็สามารถจะได้เป็นพุทธะ ไม่ใช่โดยการอ่านพระสูตรทางพุทธ เพื่อจะกำจัดการกลับมาเกิดใหม่....ก็ใช่เช่นกัน ก็อีกเหมือนกันที่ถ้าเธอพบกับอาจารย์ที่ดี, เพื่อจะได้มีความสุขและมีจิตใจยุติธรรมไม่มีอคติ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปได้ถ้ามีอาจารย์ผู้รู้แจ้งท่านหนึ่ง ไม่ใช่โดยการอ่านพระสูตรทางพุทธไม่ใช่โดยการอ่านเมนูที่เธอจะทำให้เธอหายหิว เธอต้องกินด้วย
ถ : ในระหว่างการประทับจิต การตอบสนองของทุกคนจะแตกต่างกันหรือไม่? มันมีอะไรเกี่ยวข้องกับธรรมชาติพุทธะภายในตัวเราหรือเปล่า?
อ : เปล่า  ธรรมชาติพุทธะในตัวทุกๆ คนเป็นสิ่งเดียวกันหมด ในเวลาที่รู้แจ้งบางที่ทุกคนอาจจะมีประสบการณ์ที่แตกต่างกัน แต่บางทีอาจจะมีหลายคนที่มีประสบการณ์เดียวกัน เพราะว่า ประสบการณ์เหล่านี้เป็นความจริง และสามารถจะถูกประสบพบได้จากทุกๆคน แม้ว่าจะไม่ใช่ในการประทับจิตครั้งนี้ ก็เป็นในครั้งหน้า ดังนั้นหนทางของการรู้แจ้งเป็นเรื่องที่เป็นวิทยาศาสตร์มาก เธอไปถึงที่นั่นเธอก็เห็นอย่างนั้น เธอจะเห็นอย่างชัดเจนมาก เธอสามารถจะวัดระดับของการรู้แจ้งของตัวเธอเองได้ ทีนี้ระดับต่างๆของการไปถึงในระหว่างการประทับจิตนั้น ก็เนื่องมาจากการปฏิบัติของเธอในอดีต จากชีวิตในปัจจุบันจากคุณงามความดี และจากความศรัทธาและความจริงใจของเธอ ต่ออาจารย์ผู้นั้น
ถ : วัชรสูตรกล่าวว่าทุกสิ่งที่มีรูปร่างและเสียงเป็นสิ่งลวงตา ในระหว่างการประทับจิตนั้น สิ่งที่เราเห็นจะเป็นสิ่งลวงตาลวงใจเช่นกันหรือไม่?
อ : สิ่งที่พระพุทธเจ้าหมายความก็คือว่ารูปและเสียงทุกอย่างนั้นเป็นสิ่งลวง เธอไม่ต้องไปยึดติดอยู่กับรูปลักษณะของพระรูปที่เป็นไม้ หรือรูปลักษณะของผู้เป็นอาจารย์ ในกรณีที่จะได้รู้แจ้งมันเป็นสิ่งที่ลวงตาลวงใจทั้งสิ้น แต่สิ่งที่เธอได้เห็นโดยไม่ได้ใช้ตานั้นมันไม่มีรูป เธอไม่สามารถจะเรียกมันว่ารูปซึ่งไม่มีรูป เธอไม่สามารถจะเรียกมันว่าเสียงซึ่งไม่มีเสียง ถ้ามันเป็นเสียงล่ะก็คนอื่นที่นั่งอยู่ติดกับเธอก็จะได้ยินมันด้วย ไม่ใช่ว่าเพียงเพราะเธอสามารถได้ยิน เพียงเพราะเธอสามารถเห็นแล้วสิ่งนั้นจะเป็นความจริง

สิ่งใดก็ตามที่เป็นสิ่งภายนอกเราสามารถจะเปลี่ยนแปลงมันได้ ดอกไม้สามารถจะถูกเปลี่ยนไปเป็นดอกไม้แห้งได้ในเวลาต่อไป หรือเปลี่ยนเป็นสิ่งต่างๆ และก็ผุพังถูกทำลายไป  แต่ประสบการณ์ภายในเหล่านั้นไม่สามารถจะถูกทำลายไปได้ ไม่มีทางถูกขโมย ไม่มีทางถูกเปลี่ยนแปลง เข้าใจไหม? มันเป็นเรื่องที่แตกต่างกันหมด ถ้าทุกอย่างเป็นสิ่งลวง เป็นภาพลวงตา แล้วดินแดนอมิตาภะ แล้วดินแดน (?) ล่ะ?  พระพุทธเจ้าโกหกหรือ? ไม่หรอก! มันมีแดนแห่งพุทธะ มีแดนที่แท้จริง และโลกของเรานี้เป็นดินแดนที่เป็นของปลอม มันหมายความว่าอย่างนั้น

ถ้าทุกแห่งเป็นสิ่งที่ไม่จริงหมดแล้วเราจะไปไหนกัน? เธอจะอยากไปไหน? ก็ทุกอย่างมันเป็นสิ่งลวงหมด เราก็ไม่มีบ้านนั่นก็ไม่ถูกเหมือนกัน ถ้าทุกอย่างปลอมหมด แบบนั้นเธอก็สามารถฆ่าฟัน ลักขโมยต่อไปได้ ไม่จำเป็นต้องมีคุณธรรมอะไรน่ะซี เพราะว่าเธอก็จะไม่ไปที่ไหนนี่ ทุกอย่างปลอมหมด ทุกอย่างเป็นสิ่งลวงหมด เธอไม่มีแดนพุทธะ ไม่มีสวรรค์ ไม่มีอะไรเลย ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกหรือ? เราต้องใช้ปัญญา ใช้บริการแยกแยะของเรา ไม่ใช่ได้แต่ฟังคนพูดแล้วก็เอาพระสูตรมาพูดซ้ำๆ อยู่เสมอมันน่าเบื่อมาก ฉันได้ยินมาทุกประเทศ ทุกรูปทุกนามเป็นสิ่งลวง ทุกนามที่มีรูปเป็นสิ่งลวงตลอดเวลาเสมอเลย เอาแต่ยึดติดอยู่กับประโยคนี้  ฉันไม่รู้จักชาวจีนคนไหนที่ไม่รู้จักประโยคนี้เลย และก็ไม่รู้ว่าพวกเขาใช้ชีวิตอยู่กับประโยคนี้อย่างไร ถ้านั่นเป็นปัญญาอย่างเดียวที่พวกเขามีอยู่ แบบนั้นฉันก็รู้สึกเสียใจจริงๆ

บางครั้งคนถามมาในแบบฉันท์มิตร แต่บางครั้งพวกเขาก็ใช้ประโยคนี้เพื่อโจมตีฉัน เข้าใจไหม? พวกเขาอยากจะยิงฉันให้ตก อยากจะสอนว่ามันเป็นของปลอม สิ่งลวง แย่จริงๆ! คนช่างโง่เขลาไม่ยอมรับรู้อะไรจริงๆ! ฉันถึงได้บอกพวกเธอว่าธุรกิจนี้ไม่ดีเลย ฉันต้องพูดกับคนที่ยากจะพูดคุยด้วย ต้องสอนคนที่อยากจะเป็นอาจารย์ของฉัน อาจารย์ของฉันทำให้ฉันต้องมาทำงานที่ยากมากนี้ ทิ้งธุรกิจทิ้งกิจการที่ยุ่งยากนี้ไว้กับฉัน

ถ : เราจะสามารถหลุดพ้นและเป็นอิสระจากการกลับมาเกิดใหม่, ไม่กลับมามีชีวิตนี้อีกได้อย่างไร?
อ : รับการประทับจิตเสียสิ
ถ : ธรรมวิถีที่อาจารย์สอนนั้นเป็นของเซ็นหรือของศาสนาใด?
อ : เปล่า, เป็นของฉัน เป็นของเธอ
พิธีกร : หลังจากประทับจิตแล้ว คุณยังสามารถนับถือศาสนาอะไรก็ตามที่คุณเชื่ออยู่ได้?
อ : มันเขียนไว้แล้วในใบสมัครรับการประทับจิต
ถ : จะอธิบายคาถา (บทกวี) นี้ว่าอย่างไร “ แต่เดิมไม่มีสิ่งใด แล้วฝุ่นหาที่เกาะได้อย่างไร?”
อ : ในประเทศจีนพระสังฆปรินายกผู้ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่งชื่อ ฮุ่นเหนิง สังฆปรินายกองค์นั้นหรืออาจารย์เซ็นผู้ยิ่งใหญ่ท่านนั้นก่อนที่ท่านจะมีชื่อเสียง  ก็ได้เขียนคาถา....หมายถึงบทกวี ในการแข่งขันเพื่อรับชุดจีวรของอาจารย์ของท่าน เพื่อรับตำแหน่งอาจารย์ ตอนนั้นอาจารย์ผู้นั้น ซึ่งเป็นอาจารย์ของพระสงฆ์และฆราวาสหลายพันคน ต้องการจะคัดเลือกผู้สืบต่อผู้รับมรดกตกทอดชุดจีวรของท่าน รับความเป็นอาจารย์ต่อไปนั่นแหละ เข้าใจไหม จึงบอกให้คนเขียนอะไรมาให้ดูเพื่อแสดงว่าใครบรรลุถึงระดับไหน มีพระสงฆ์องค์หนึ่งในหลายท่านที่มีชื่อเสียง เป็นพระที่เก่งเป็นที่หนึ่งที่นั่นจึงเขียนมา 4 บรรทัด เป็นทำนองนี้ว่า : กายและใจ แบบนี้ แบบนั้น เป็นเหมือนกระจกเงา เราต้องขัดถูดทุกวันเพื่อให้มันสะอาด แล้วสังฆปรินายกชาวจีนเวียตนามท่านนี้ก็เขียนอีกบทที่แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิงเลยว่า : แต่เดิมไม่มีสิ่งใด แล้วฝุ่นหาที่เกาะได้อย่างไร? เข้าใจไหม? เพราะฉะนั้นก็ไม่จำเป็นจะต้องเช็ดฝุ่น หมายความว่าระดับของท่านสูงกว่าอีกคนหนึ่ง ท่านมองทะลุความไม่เป็นจริงของสิ่งที่มีอยู่ทุกสิ่ง ท่านมองทะลุสิ่งลวงตาทั้งหมดนี้ แต่อีกคนหนึ่งยังติดอยู่กับความคิด ความเข้าใจว่า มีกาย, มีใจ, มีตา, มีฝุ่น, มีกระจกที่เช็ดถู และสิ่งที่สลับซับซ้อนทุกอย่าง

เพราะฉะนั้นสังฆปรินายกท่านที่ 2 นี้จึงรับชุดจีวรไปสืบทอดความเป็นอาจารย์ต่อไป แล้วก็หนีไปซ่อนตัวอยู่ 16 ปีเพราะเกรงการอิจฉาและการกลั่นแล้งรบกวน แน่นอนเมื่ออาจารย์ผู้หนึ่งได้รู้แจ้งและประกาศตัวเองออกมาหรือโดยทางลูกศิษย์ หรือถูกประกาศว่าได้รู้แจ้งแล้วนั้นเป็นเรื่องที่อันตรายต่อชีวิตของพวกเขามาก เข้าใจไหม?  ดูชีวิตของพระเยซูและพระพุทธเจ้าสิว่ามีคนอยากจะฆ่าท่านกี่คน  และก็บรรดาอาจารย์ทุกคนในอินเดียด้วย ใช่ไหม? ปัจจุบันนี้เราปลอดภัยมากขึ้นเพราะว่าเรามีกฎหมาย เรามีการปกป้องคุ้มครอง  แต่ในสมัยก่อนมันอันตรายมากที่กลายเป็นอาจารย์และก็ถูกประกาศอย่างเปิดเผยด้วย ใช่ไหม? เพราะฉะนั้นท่านหมายความว่า ดั้งเดิม ไม่มีการดำรงอยู่ที่แท้จริง  เพราะฉะนั้นเราก็ไม่สามารถจะทำบาปอะไรได้ เข้าใจไหม? ไม่มีบาป แต่เดิมแล้วมันไม่มีบาป

ก็เหมือนกับที่ฉันพูดตอนแรกๆ ตอนเริ่มต้นการบรรยายนั้น ฉันพูดว่าเราบริสุทธิ์อยู่เสมอ เป็นเพียงสิ่งลวงตาลวงใจเท่านั้นที่เราคิดว่าเราบาป  มันล้วนแต่เป็นบทเรียนให้เรียนรู้ และแม้แต่เวลาที่เธอรู้แจ้งแล้ว มันก็ไม่มีบทเรียนอะไรเลยด้วยซ้ำ ไม่มีครู ไม่มีบทเรียน แต่มันยากที่จะพูดอธิบายออกมาเป็นภาษาธรรมดาๆ  ฉันได้แต่ชวนเธอด้วยความคิดที่น่าอัศจรรย์มากบางอย่าง ให้เธอมีความอยากจะได้รับการรู้แจ้งมากขึ้น แต่ฉันทำหน้าที่ ทำงานได้ไม่ดีแลยในการอธิบายมัน ฉันต้องขอโทษด้วย แต่เพราะว่าเธออยากจะรู้ ฉันจึงต้องพูดอะไรบ้าง แต่ว่าอย่ามายึดติดกับคำพูดของฉันว่าเป็นความจริงแต่เพียงอย่างเดียว และเป็นความจริงที่แท้จริง เป็นความจริงที่สุดจริงๆ สิ่งที่ฉันพูดก็เป็นสิ่งลวงเช่นกัน เข้าใจไหม?  มันก็เป็นมายาเช่นกัน... สิ่งที่ฉันพูดไปก็เป็นของปลอมแต่ว่ามันก็ปลอมสำหรับผู้ฟังที่เป็นของปลอม

ถ : ฉันรู้สึกศรัทธาเลื่อมใสและสนใจมากที่สุดในการพัฒนาไปสู่สภาวะที่สว่างกระจ่างชัดขึ้นเอง การรู้แจ้ง ท่านมีสัมมนาอะไรบางอย่างเป็นระยะๆ ไหมที่ฉันสามารถได้เรียนรู้จากท่าน เพื่อทำให้ชีวิตทางจิตวิญญาณของฉันก้าวหน้ามากขึ้น? สุดท้ายนี้ ฉันอยากจะแบ่งปันความรักของฉันกับโลกนี้ และช่วยให้พวกเขาได้รับจิตใจของตนเองนั่นเป็นความตั้งใจที่ดีมาก อย่างน้อยที่สุดฉันต้องเป็นผู้ที่ได้เรียนรู้มาอย่างดีแล้ว เพื่อที่พวกเขาจะดำเนินภารกิจนี้ต่อไปได้ ฉันเข้าใจ ก่อนอื่นต้องเรียนรู้ก่อนแล้วค่อยทำอะไรทีหลัง  ถ้าเป็นไปได้ฉันอยากจะพูดคุยความคิดอะไรที่พิเศษกับตัวท่านเอง
อ : ได้ เธอจะมาก็ได้ เธอเข้าใจไหมว่าหลังจากที่ตัวตนที่แท้จริงของเราถูกปลุกให้ตื่นขึ้นแล้ว อาจารย์ที่แท้จริงภายในตัวเธอเอง พุทธะตื่นขึ้นมาแล้ว  เธอก็สอนตัวเอง แต่ถ้าจำเป็น อาจารย์ภายนอกก็จะปรากฏตัวมาสอนเธอในความฝัน ในเวลาที่ทำสมาธิของเรา ในเวลาที่เธอทำสมาธิ หรือในงานประจำวันของเธอ ไม่จำเป็นที่จะต้องมาอยู่ใกล้ชิดกับตัวฉันไปตลอด  ฉันเดินทางไปทั่วโลกถ้าฉันไม่เดินทางรอบโลกฉันก็จะอยู่ในไต้หวัน ยินดีต้อนรับถ้าเธอจะมา และถ้าฉันอยู่ในไต้หวันทุกสุดสัปดาห์ เธอก็สามารถเอาเต็นท์มาแล้วก็พักอยู่ที่นั่นได้ วันอาทิตย์ วันเสาร์ เรามีการบรรยาย เรามีช่วงถามและตอบปัญหา และเธอสามารถจะศึกษา สามารถจะอยู่ที่นั่นนานเท่าที่เธออยากอยู่ เธอจะมาเป็นพระก็ได้ถ้าเธอต้องการ เธอจะเป็นฆราวาสก็ได้ถ้าเธอต้องการ เธอสามารถจะทำอะไรก็ได้ที่อยากจะทำ เราให้ทุกอย่างฟรี
พิธีกร : (เป็นภาษาจีน) บทกวีจากท่านฮุ่ยเหนิง : “แต่เดิมไม่มีสิ่งใด, เราจะไปรวบรวมฝุ่นอย่างไร” มีอีกสองตอนข้างหน้าตอนนี้ แต่ว่าฉันไม่รู้จักมัน
อ : โอ้! เธออยากจะรู้หรือ? มันเป็นระดับที่สูงมาก เวลาเธอบรรลุถึงระดับที่สูงขึ้นมาก ธอจะมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างบริสุทธิ์และเรียบง่ายไปหมด แต่ว่านี่คือพุทธะ... นี่เป็นการเข้าใจอย่างถ่องแท้ของท่านเอง แม้ว่าท่านจะพูดไว้อย่างนั้นแต่เธอก็ยังไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่จะพูดว่าเธอเป็นอิสระจากฝุ่นแล้ว มันเป็นเพราะว่าเธอยังคงแบกความรู้สึกผิดไว้อย่างหนัก พลังของสิ่งที่เรียกว่ากรรมนี้มันจะกดดันเราทำให้เรารู้สึกไม่สบายใจ และต้องพบกับความเจ็บปวดมากมาย เข้าใจไหม? เราจะมีอารมณ์ไม่ดี รู้สึกไม่มีความสุข เพราะฉะนั้น ทั้งๆ ที่ท่านพูดไว้อย่างนั้นแต่เรายังจำเป็นต้องมีประสบการณ์ของเราเองอยู่ดี โอเค?

อ : (อาจารย์อธิบายเป็นภาษาอังกฤษ) ผู้หญิงคนนั้นถามฉันว่าบทกวีท้ายสุดของท่านฮุ่ยเหนิง อาจารย์เซ็นนั้น  ท่านกระตุ้นให้เราใช้ชีวิตที่เป็นปกติธรรมดา ไม่ให้กังวลเรื่องใดๆ หรือ? ฉันจึงตอบเธอว่า : ใช่, ท่านพูดไว้อย่างนั้น แต่ว่าพูดจากการมองเห็นหรือความเข้าใจอันลึกซึ้งของท่าน ส่วนเรายังคงมีภาระแบกความรู้สึกผิดและบาปอยู่ เพราะว่าเราไม่สามารถจะเชื่อได้ง่ายๆ ว่าเราไม่มีบาป เพราะฉะนั้นการที่จะรู้สึกว่าไม่มีบาปเราก็ยังจะต้องรู้แจ้งก่อน ไม่ใช่เพียงแต่ฟังคำเหล่านั้นแล้วเราจะกลายมาบริสุทธิ์มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก โอเค?  ก็เหมือนกับทุกคนพูดว่า ฉันมีพุทธะอยู่ภายใน ดั้งเดิมฉันเป็นพุทธะ แต่ว่าเธอจะเป็นพุทธะจริงหรือ? เธอรู้จักมันด้วยหรือ?  เธอรู้สึกถึงมันหรอกหรือ? เธอแน่ใจหรือ? เปล่า ไม่แน่ใจหรอก  เพราะฉะนั้นเราจึงต้องรู้แจ้งและก็มีประสบการณ์ของเราเอง เพื่อที่จะรู้ว่าเราเป็นพุทธะจริงๆ ตกลงนะ จบแล้วหรือ?  ขอบคุณมาก ถ้าอย่างนั้นค่อยพบกับเธอพรุ่งนี้ถ้าเธอมานะ ถ้าเธอไม่มาก็ขอให้พระพรของพระเจ้าและพระพรของพุทธะจงมีแก่เธอด้วยความปรารถนาดีที่สุดของฉัน

 

1 - 2