ความรักอันล้ำลึกของผู้ชาย

 ปราศรัยโดย ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ ฌานเจ็ด ที่ศูนย์ซีหู ฟอร์โมซา

5-12 พฤษภาคม 2534 (เดิมเป็นภาษาจีน, ไม่ได้ตัดทอน)

 

 

ฉันรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับผู้ชายที่จะบำเพ็ญ พวกเขามีอารมณ์ปั่นป่วนได้ง่ายกว่า คึกคักกระตือรือร้นมากกว่า ชอบแข่งขันมากกว่า พวกเขามีความรู้สึกด้านความรักมากกว่า ทุกๆ คนคิดว่าผู้หญิงมีอารมณ์ความรักมากกว่า แต่ที่จริงแล้วผู้ชายจะมีอารมณ์ความรักมากกว่า อารมณ์รักของพวกเขาลึกล้ำเกินกว่าที่จะแสดงออกมา ผู้หญิงหลั่งน้ำตาออกมาสักหยดสองหยดก็สบายแล้ว (คนหัวเราะ) ปล่อยอารมณ์ความรู้สึกออกมา หลั่งน้ำตาออกมา “ล้าง”ทุกสิ่งทุกอย่างไป

แต่ผู้ชายร้องไห้ไม่ได้ พูดอะไรออกมาง่ายๆ ไม่ได้ ผู้ชายไม่ค่อยพูดมากนัก พวกเขาซ่อนความรู้สึกของพวกเขาเอาไว้ลึกๆ ภายใน...ลึกและจดจ่อมาก เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงมีความปรารถนาทางเพศมากกว่า ความปรารถนาทางเพศของผู้ชายแรงกว่า

 

เพราะว่าพวกเขาเก็บอารมณ์ความรู้สึกทั้งหมดของพวกเขาเอาไว้ลึกๆ ภายใน ไม่เคยปล่อยมันไป ทุกสิ่งทุกอย่างสะสมอยู่ในนั้น ไม่มีทางออก ทำให้มันเป็นเรื่องที่ยากกว่าสำหรับผู้ชายที่จะบำเพ็ญปฏิบัติ

ทุกแห่งดูเหมือนว่าจะมีผู้บำเพ็ญหญิงเป็นจำนวนมากกว่าผู้บำเพ็ญที่เป็นผู้ชาย ไม่ใช่เพราะว่าผู้ชายเลวเหลวไหล ทำไมผู้ชายถึงกลัวผู้หญิง? ก็เพราะว่าอารมณ์รักของพวกเขานั้นลึกซึ้งมาก ไม่ใช่เพราะว่าผู้หญิงเป็นอันตราย ถึงอย่างไรผู้หญิงก็ไม่อันตราย ฉันเป็นผู้หญิง ฉันรู้ (คนหัวเราะ) ไม่มีอะไรที่เป็นอันตรายเพียงแต่ไม่ค่อยจะสุขุมนิดหน่อย  ฉันหมายความว่าผู้หญิงเพียงพูดอะไรที่อยากจะพูดออกมาแล้วมันก็ไม่สำคัญไม่เป็นไรอีกต่อไป

ถ้าผู้ชายโกรธ ความโกรธของพวกเขาจะคงอยู่นานกว่าและลึกกว่า แต่สำหรับผู้หญิงไม่ค่อยจะเป็นแบบนี้ เราควรจะรู้ข้อบกพร่องของเราและพยายามปรับปรุงตัวเราเองให้ดีขึ้น มันไม่เป็นไรหรอก! เป็นการดีที่ได้รู้อย่างนั้น ในอนาคตถ้าเธอมีอะไรอยู่ในใจก็ร้องไห้ออกมาได้ (คนหัวเราะ) เล่าให้คนที่เธอรักฟังแล้วเธอก็จะรู้สึกดีขึ้น สบายขึ้น (อาจารย์หัวเราะ) จริงนะ บางครั้งถ้าเธอพูดออกมา เธอจะรู้สึกสบายขึ้น ไม่ใช่อย่างนั้นหรือ? (ผู้ฟัง : ใช่)
 

ผู้ชายก็ร้องไห้ได้เช่นกัน

ทำไมบางครั้งฉันถึงมีความกดดันมาก? ก็เพราะว่ามีบางเรื่องที่ฉันพูดกับใครไม่ได้ ถ้าฉันบอกเธอ ก็จะทำให้เธอลำบากเท่านั้น และเธอก็จะไม่เข้าใจด้วยเหมือนกัน ฉันไม่มีคู่คิดที่จะพูดคุยด้วย (อาจารย์หัวเราะ) เพราะฉะนั้น ความกดดันจึงหนักมากในบางครั้ง

อย่างไรก็ตาม พวกเธอไม่ควรจะเป็นแบบนี้ ผู้ชายก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน พวกเขาไม่ควรจะแกล้งทำเป็น “ชาย” ไม่ร้องไห้ แต่ว่ายังร้อง “ฮือ-ฮือ”! (อาจารย์เลียนเสียงผู้ชายร้องไห้, คนหัวเราะ) เธอไม่เสียหน้าหรอก ถ้าร้องไห้ออกมา มันจะทำให้เธอรู้สึกสบายมาก พระเจ้าสร้าง “ระบบ”นี้ขึ้นมาเพื่อให้ความไม่พอใจของเราข้างในได้มีทางระบายออก

เหมือนกับแท็งค์น้ำมีช่องมีรูอยู่แห่งหนึ่ง ถ้ามีน้ำเต็มเกินไปมันก็จะไหลออกมา อ่างล้างหน้าหรือล้างชามก็มีรูข้างในเหมือนกัน ถ้าน้ำเต็มเกินไป ถึงแม้จะมีอะไรอุดตันตรงก้นอ่าง น้ำก็ยังไหลออกไปได้ ระบบไหนๆ ก็คล้ายๆ กับเรื่องนี้ เพราะฉะนั้นถ้าเธอมีอะไรในใจ ก็น่าจะหาเพื่อนคุยด้วยสักคนจะดีกว่า หรือเล่าให้คนที่เธออยากจะเล่าให้ฟัง ไม่สำคัญว่าพวกเขาจะเห็นด้วยกับเรื่องนั้นหรือไม่ เพียงแต่พูดออกมาเท่านั้นเอง ฉันหมายความว่า, ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเธอมีความรู้สึกที่รุนแรงมากอย่างหนึ่งต่อใครคนหนึ่ง ก็เพียงแต่พูดออกมา อย่างน้อยเธอก็จะได้รู้ว่าหล่อนยอมรับเรื่องนั้นหรือไม่ ถ้าเธอเพียงแต่เก็บมันไว้ในใจ มันก็จะลำบากใจมากกว่า

เวลาเราโกรธใครบางคน เรารู้สึกอายเกินไปที่จะบ่น ก็แบบเดียวกับเวลาที่เธอโกรธภรรยาของเธอ บอกหล่อนไปเถอะ บางครั้งเธอเข้าใจผิดหล่อน หรือว่าบางครั้งหล่อนเข้าใจเธอผิด ถ้าเธอพูดออกมา หล่อนก็จะเข้าใจดีขึ้น บางทีหล่อนอาจจะไม่ได้เข้าใจในทันที แต่หลังจากนั้นไป หล่อนอาจจะคิดได้ว่า “โอ, เธอพูดถูก!” แล้วสถานการณ์ก็จะเปลี่ยนไป เธอควรจะลองดู

ผู้ชายส่วนมากไม่เข้าใจตัวเอง พวกเธอรู้หรือเปล่า? พวกเขาคิดว่าตัวเองเฉยเมย ไม่แยแส ไม่มีความรู้สึกเพราะว่าพวกเขาไม่สามารถจะร้องไห้หรือแสดงความรู้สึกออกมา เปล่าเลย, ผู้ชายมีอารมณ์ความรักมากที่สุด ปกติคนจะคิดว่าผู้ชายเป็นพวกทรยศ ละทิ้งครอบครัวไปง่ายๆ ไม่จริงหรอก หมายความว่า มันเป็นเรื่องที่ง่ายกว่าที่ผู้ชายจะทิ้งครอบครัว ไม่ใช่หรอก! คนส่วนใหญ่ที่หนีจากครอบครัวและทิ้งลูกๆ เอาไว้ตามลำพังไม่ใช่ผู้ชายหรอก แต่เป็นผู้หญิง (อาจารย์หัวเราะ) ตรวจดูสถิติดูเถอะ ฉันไม่ได้ตรวจหรอกแต่นั่นเป็นสิ่งที่ฉันสังเกตเห็น ผู้ชายมีความรู้สึกในเรื่องความรับผิดชอบมากกว่า แม้ว่าบางครั้งพวกเขาจะไม่ได้รักภรรยามากมายอะไรนัก พวกเขาก็ยังอยู่ที่บ้าน ผู้หญิงส่วนมากจะชอบต่อล้อต่อเถียง มีอารมณ์และหึงหวงอยู่เสมอ ปฏิกิริยาของพวกหล่อนจะรุนแรงกว่า

ความรู้สึกของผู้ชายจะลึกล้ำกว่า ส่วนมากผู้ชายเป็นฝ่ายที่ขัดขวางภรรยาไม่ให้บำเพ็ญ บางคราวผู้หญิงบางคนก็แอบออกไปหรือหนีออกจากบ้านไป สามีของพวกหล่อนไม่อยากจะให้หล่อนออกไปด้วยซ้ำ ไม่ใช่เพราะว่าพวกเขาเป็นเผด็จการ แต่เพราะพวกเขารักภรรยามาก ไม่มีสามีคนไหนที่ไม่รักภรรยา หายากที่จะพบผู้ชายที่ไม่รักภรรยาไปตลอดชีวิต

บางครั้งพวกเขาออกไปนอกบ้านเพื่อมองดูผู้หญิงอื่น แน่นอน ถ้าพวกเขาเห็นผู้หญิงสวยๆ พวกเขาก็จะคอยจ้องมองหล่อนเหมือนกัน แต่พวกเขาจะไม่ให้ความรักต่อหล่อนไปง่ายๆ นัก มักจะเป็นผู้หญิงเสมอที่วิ่งกลับไปหาพ่อแม่ ผู้ชายไม่ทำอย่างนั้น หายากมากที่ผู้ชายจะวิ่งกลับไปหาพ่อแม่, จะเป็นผู้หญิงเสมอ (คนหัวเราะ) ไม่ใช่อย่างนั้นหรือ? (ผู้ฟังตอบ: ใช่!) หมายความว่าอารมณ์ของผู้ชายหนักแน่นมั่นคงและลึกซึ้งกว่า เขารู้ว่าเขาต้องการอะไร แต่ผู้หญิงสุขุมน้อยกว่า

พวกเธอ (ผู้ชาย) ไม่ต้องเข้าใจตัวเองผิดไป อารมณ์ต่างๆ มีประโยชน์ เธอไม่จำเป็นจะต้องเพิกเฉยไม่สนใจ หรือแอบซ่อนอารมณ์ความรู้สึกหรอก ถ้าเรามีอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ มาก พลังในตัวเราก็จะมีมากมาย อารมณ์ต่างๆ มีประโยชน์มาก เราสามารถเพ่งรวบรวมมันในการบำเพ็ญ แล้วมันก็จะดีมาก ด้วยเหตุนี้ ผู้เป็นอาจารย์ส่วนใหญ่จึงเป็นผู้ชาย โชคชะตาของฉันนั้นแย่ ฉันก็ไม่รู้ว่าทำไมคนอย่างฉันซึ่งมีคุณสมบัติต่างๆ ของผู้หญิงถึงเป็นอาจารย์ได้? ก็เพราะว่าฉันมีคุณสมบัติของผู้ชายด้วยเหมือนกัน ไม่ใช่เฉพาะของผู้หญิง

พวกเธอผู้ชายควรพยายามเข้าใจตัวเองให้มากกว่านี้ พวกเธอเข้าใจจิตใจของเธอมากขึ้นนิดหน่อยหรือยังตอนนี้? (ผู้ฟังตอบ: เข้าใจ!) ถึงแม้ว่าฉันจะไม่ใช่ผู้ชาย ฉันก็เข้าใจพวกเธอดีขึ้น แปลกนะ! พวกเธอเคยเข้าใจตัวเองดีมากบ้างไหม? เคยหรือ? (บางคนตอบ: ไม่บ่อยนัก!) เธอไม่เคยจะคิดว่าเธอมีอารมณ์ความรักมาก พวกที่วิ่งกลับไปบ้านพ่อแม่มักจะเป็นผู้หญิงเสมอ ผู้หญิงหงุดหงิดอารมณ์เสียง่าย (อาจารย์หัวเราะ) แต่ผู้ชายสุขุมรู้จักคิดและหนักแน่นมั่นคงกว่า พวกเขารู้ว่าพวกเขารักภรรยา ทำไมพวกเขาจะต้องหนีไปด้วย? พวกเขาคิดว่ามันไม่มีประโยชน์ที่จะหนีไป

ฉันเคยเห็นภรรยาหลายคนที่หนีจากครอบครัว ทิ้งลูกเอาไว้ สามีของหล่อนก็ยังเลี้ยงดูลูกๆ ต่อไป มันเป็นเรื่องที่ยากมาก แต่พวกเขาก็เต็มใจที่จะทำอย่างนั้น แต่เดิมเราคิดว่าเฉพาะผู้หญิงเท่านั้นที่สามารถดูแลลูกๆได้ ไม่จริงหรอก ตราบใดที่เรามีความรักและความเอาใจใส่ เราสามารถจะทำอะไรก็ได้

เหมือนกับในโลกของพวกสัตว์ ใครสอนให้มันดูแลลูกๆ บ้าง? พวกเรามนุษย์สามารถเรียนรู้เรื่องนี้โดยใช้ภาษา เรามีสถานเลี้ยงเด็กหรือวัสดุต่างๆ มากมายสำหรับการดูแลเลี้ยงดูเด็กทารก ผู้หญิงท้องบางคนไปหาที่เรียนวิธีเลี้ยงเด็กก่อนที่จะคลอดลูก พวกหล่อนเรียนรู้ว่าควรจะทำอย่างไร แต่พวกสัตว์ไม่มีระบบแบบนี้ มันพิมพ์หนังสือให้ข้อมูลต่างๆไม่ได้ แต่มันก็สามารถจะดูแลลูกๆได้ดีมากเหมือนกัน, ใช่ไหม? (ผู้ฟัง: ใช่)

สัตว์บางอย่างเช่น พวกลิงที่ไม่มีหาง มันจะยังอุ้มลูกเอาไว้แม้กระทั่งหลังจากที่ลูกของมันตายไปแล้ว ตัวแม่ก็ยังอุ้มลูกที่ตายแล้วจนกระทั่งร่างนั้นเน่าไป แล้วตัวแม่ก็ติดเชื้อและตายไปด้วย เพราะว่ามันรักลูกของมัน

เพราะฉะนั้นอย่าคิดว่ามีแต่ผู้หญิงเท่านั้นที่สามารถดูแลเลี้ยงดูลูก ทำไมผู้หญิงถึงเลี้ยงดูลูกล่ะ? หลังจากคลอดลูกแล้ว, หล่อนคิดว่าลูกเป็นของหล่อน (อาจารย์หัวเราะ) บางครั้งหล่อนก็เห็นว่าสามีเป็นคนภายนอก เป็นบุคคลที่ 3 “มีแต่เรา 2 คนเท่านั้น” (อาจารย์หัวเราะ) เพราะฉะนั้นเมื่อลูกเกิดมา ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาจึงถูกกระทบกระเทือน เพราะว่าภรรยารักลูกมากจนลืมไปว่าใครคือบุคคลที่สำคัญมากที่สุด ทั้งวันทั้งคืนหล่อนเอาแต่ดูแลลูก และก็เกือบจะลืมสามีไป

อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ ปกติผู้ชายจะออกไปทำงาน พวกเขามีจิตใจเมตตามาก คิดว่าภรรยาอ่อนแอหลังจากคลอดลูกแล้ว เพราะฉะนั้นพวกหล่อนก็ควรจะอยู่บ้านขณะที่พวกเขาออกไปทำงานหนักเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว

ด้วยเหตุนี้ตั้งแต่สมัยโบราณมาแล้วที่ผู้หญิงเป็นฝ่ายเลี้ยงดูลูกๆ เสมอ ไม่ใช่เพราะว่าพวกหล่อนสามารถทำอย่างนั้นได้มากกว่า คนส่วนมากเข้าใจผิดในเรื่องนี้ ฉันรู้ว่ามันเป็นเพราะผู้ชายมีจิตใจเมตตามากกว่า ไม่สงสัยเลยว่าทำไมกูรูส่วนใหญ่จึงเป็นผู้ชาย

เพราะฉะนั้นพวกเธอ (ผู้ชาย) ไม่ต้องชังตัวเองหรอก ความรักของผู้ชายไม่เหมือนความรักของผู้หญิง ผู้หญิงสามารถจะเปิดเผยความรู้สึกของพวกหล่อนได้ พวกหล่อนทำอาการสวมกอดร้องไห้คร่ำครวญหวนไห้หรืออะไรต่างๆ นาๆ แต่ผู้ชายมีความเมตตาสงสารที่หนักแน่นมั่นคงกว่า มันปกติธรรมดามาก แม้แต่ตัวผู้ชายเองก็ไม่รู้ถึงความเมตตาของพวกเขาเอง เพราะว่าพวกเขามีมันอยู่แต่เดิมแล้ว (เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงถือว่ามันไม่สำคัญ)

ก็เหมือนกับเราผู้บำเพ็ญไม่ได้รู้ถึงความยิ่งใหญ่ของตัวเราเช่นกัน เราเพียงแต่รู้ว่าเราก้าวหน้าขึ้นทุกวันเท่านั้นเอง เราเคยชินไปกับมัน เว้นแต่เวลามีใครมาพูดคุยกับเรา ตอนนั้นเราถึงได้พบว่าระดับของพวกเขาอยู่ต่ำกว่าระดับของเรามาก ตอนนั้นเราถึงรู้ว่าการบำเพ็ญทำให้เราแตกต่างไป แม้ว่าเราจะรู้ถึงความแตกต่าง แต่เราก็ไม่รู้สึกหยิ่งทะนงตน

ก็คล้ายๆ กัน ความเมตตาของผู้ชายนั้นเป็นธรรมชาติมากกว่า เพราะว่าพวกเขามีมันอยู่แล้ว ไม่รู้สึกว่ามีอะไรสำคัญ เวลาผู้หญิงมีความเมตตาอะไรบ้างนิดหน่อย พวกหล่อนก็ขยายมันใหญ่โตเกินจริง พูดมาก และทำให้คนรู้กันไปทั้งประเทศ พวกหล่อนทำดีแค่นิดเดียว แล้วทุกคนก็รู้หมด ก็เหมือนตัวฉันนี่ ฉันมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันทั่วโลก ไม่ใช่แค่ทั่วประเทศเท่านั้น ทุกคนรู้ว่าฉันมีความเมตตา (อาจารย์หัวเราะ, ผู้ฟังปรบมือ) อย่างไรก็ตาม แม้ว่าทั้งประเทศจะรู้อย่างนั้น แต่ตัวฉันเองไม่รู้อะไรเลย มันแตกต่างกัน

บรรลุสัจธรรมด้วยจิตวิญญาณของความเสียสละ

เพราะฉะนั้นฉันคิดว่าตั้งแต่สมัยโบราณมาแล้วที่ผู้บำเพ็ญที่เป็นผู้ชายส่วนใหญ่จะกลายเป็นกูรู เป็นแบบนั้นแน่นอน วันนี้ทรรศนะของเราต้องเปลี่ยนแปลงไปบ้างเล็กน้อย เราไม่ควรจะฟังที่คนพูดกันอยู่เสมอ มันเป็นอย่างนั้น ผู้หญิงน้อยคนจะเสียสละตัวเองและบอกว่า “ให้ฉันออกไปทำงานเถอะ เธออยู่บ้านเลี้ยงลูกไป” พวกหล่อนคิดว่าสามีควรจะเลี้ยงดูครอบครัว แม้แต่ผู้หญิงบางคนที่ยังไม่ได้แต่งงานก็มีความคิดอย่างนี้แล้ว การแต่งงานคือการได้รับการเลี้ยงดูจากใครคนหนึ่ง มีคนที่จะพึ่งพิง ขาดความคิดในเรื่องความเป็นอิสระไม่ต้องพึ่งพาใคร

มันก็ไม่ใช่ความผิดของพวกหล่อนทั้งหมดเช่นกัน อาจจะเป็นเพราะวิธีที่พวกหล่อนคิด หรือร่างกายที่อ่อนแอมากกว่าตามธรรมชาติของหล่อน และลักษณะนิสัยที่ขี้ตกใจกลัวมากกว่าของหล่อน รวมทั้งพวกหล่อนถูกอบรมเลี้ยงดูให้คิดว่าผู้หญิงควรจะพึ่งพาผู้ชาย เพราะฉะนั้นนั่นก็ไม่ใช่ความผิดของผู้หญิงแต่เพียงฝ่ายเดียว แต่ระบบของทั้งโลกทำให้มันเป็นแบบนั้นด้วยเหมือนกัน

ที่จริงผู้หญิงก็มีทัศนคติแบบนี้จริง พวกหล่อนเคยชินกับมัน บางทีความคิดของพวกหล่อนอาจจะแคบกว่า เธอถึงไม่ค่อยเห็นผู้หญิงที่เสียสละมากนัก หายากที่ผู้หญิงจะมีความคิดแบบนี้คือ “ฉันจะออกไปทำงาน และให้สามีอยู่บ้านเล่นกับลูกๆ แบบนี้เขาอาจจะมีความสุขกว่าก็ได้” ถึงแม้ว่ามันจะเหน็ดเหนื่อยในการเล่นกับลูกๆ แต่มันก็สบายใจมากเช่นกัน

ฉะนั้นบางครั้งพวกเราผู้หญิงจึงคิดว่าการดูแลลูกเป็นงานที่หนักมาก และผู้ชายที่ออกไปทำงานนั้นมีอิสระเสรีมาก แต่ว่ามันไม่ได้เป็นแบบนั้น ผู้ชายออกไปทำงานหนักจริงๆ! บางครั้งพวกเขาต้องอดทนกับอารมณ์ของเจ้านาย ทนความกดดันจากงาน ทนความอิจฉาริษยาของเพื่อนร่วมงาน และอะไรต่างๆ แต่เวลาผู้หญิงเราอยู่บ้านเลี้ยงลูก มันน่าสบายมาก เพราะเด็กเล็กๆ จะน่ารักมาก แค่มองดูเธอก็รู้สึกสบายใจมากแล้ว เด็กอ่อนเป็นผู้ที่ใกล้ชิดกับพระเจ้ามากที่สุด นัยน์ตาของพวกเขาจะสดใสมาก ใบหน้าบริสุทธิ์ไร้เดียงสา ผิวพรรณอ่อนนุ่ม มือเล็กๆ ป้อมๆ น่ารักมาก ท่าทางทุกอย่างที่เด็กๆ ทำจะน่ารักมาก เพราะฉะนั้นหลายคนจึงชอบเด็กทารก เราพูดว่าเราเสียสละตัวเองดูแลลูกๆ ที่บ้าน แต่นั่นไม่เป็นความจริง เรารู้ว่าการดูแลเลี้ยงดูลูกๆ เป็นงานที่ให้รางวัลตอบแทนและให้ความพอใจอย่างหนึ่ง

ผู้หญิงน้อยคนมากที่ทิ้งลูกไว้ข้างหลังแล้วออกจากบ้านไปทำอะไรนานๆ ยกเว้นแต่ผู้บำเพ็ญธรรมวิถีกวนอิม เราจากบ้านไปหนึ่งหรือสองสัปดาห์เพื่อร่วมฌานเจ็ด แบบนั้นมันแตกต่างกัน แต่ถ้าหล่อนบำเพ็ญไปนานมากขึ้น หล่อนก็จะคิดถึงลูกๆเหมือนกัน และก็จะทนต่อไปนานกว่านั้นไม่ไหว เพราะหล่อนเคยชินกับการดูแลพวกเขา ถ้าพวกเธอผู้ชายถูกขอร้องให้ดูแลเลี้ยงดูลูกๆ เธอก็จะผูกพันยึดแน่นมากแบบนั้นเหมือนกัน จะชอบงานนี้ ไม่มีใครที่ไม่ชอบเด็กๆ

ฉะนั้น ฉันคิดว่าผู้ชายมีอารมณ์ความรักมากกว่า ความรักนั้นก็คือการยอมอุทิศเพื่อเสียสละ ไม่ใช่ความรักเพื่อการกอดรัด ความรักของผู้ชายแตกต่างออกไป เวลาผู้ชายรักใครสักคน เขาจะเสียสละให้หล่อนเพื่อทำให้หล่อนมีความสุข บางครั้งเขาก็มีเสื้อผ้าเพื่อตัวเองไม่มากด้วยซ้ำ แต่เอาเงินไปให้ภรรยาหมด แล้วหล่อนก็ซื้อเครื่องสำอางค์ ซื้อเสื้อผ้าแฟชั่น ซื้อรองเท้าส้นสูงเป็นร้อยๆคู่ เขามีความสุขเมื่อเห็นหล่อนมีความสุข เขาจะดีใจและภาคภูมิใจมากเมื่อเห็นภรรยาพอใจ ฉะนั้นความรักของเขาจึงเป็นความรักที่แท้จริง

วันนี้ฉันรู้ถึงความแตกต่าง แปลกจริง! ทำไมฉันถึงสามารถวิเคราะห์อะไรออกมาแบบนี้ได้นะ? (อาจารย์และผู้ฟังหัวเราะ) ฉันไม่ใช่ผู้ชาย (คนปรบมือ) บางทีฉันอาจจะทำการวิจัยมาแล้ว วิจัยภายในด้วยการได้อยู่ใกล้ชิดผู้ชายบางคนในบางครั้ง มันก็เพื่อการวิจัยของฉัน ศึกษาการ กระทำต่างๆของพวกเขา ศึกษาสภาวะจิตใจของพวกเขา แล้วฉันก็จะสามารถดูแลพวกเธอผู้ชายทั้งหลายได้ดี เพราะว่าฉันจะดูแลผู้หญิงอยู่เสมอไม่ได้ พวกหล่อนได้รับมากพอเกินกว่าที่ฉันจำเป็นต้องดูแลแล้ว

พวกหล่อนมีความสุขที่ฉันเป็นผู้หญิง ‘อาจารย์เป็นผู้หญิง!’ พวกหล่อนรู้สึกมีความสุขและหยิ่งแล้ว เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมากไปกว่านี้ แต่ฉันรู้สึกว่าพวกเธอผู้ชายถูกละเลยมาตลอดนิดหน่อย ฉันไม่รู้ว่าพระ ศากยมุนีพุทธเจ้าดูแลลูกศิษย์ผู้ชายของท่านอย่างไรตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ พระองค์เข้มงวดมาก ฉันเป็นผู้หญิง บางทีฉันอาจจะละเลยพวกเธอไปบ้างเล็กน้อย ฉันถึงได้ศึกษาอย่างหนัก บางทีจากการศึกษาอย่างหนักทำให้คำตอบต่างๆ ผุดออกมา ได้รู้แจ้งขึ้นมา

ฉะนั้นวันนี้ฉันได้ตระหนักในบางสิ่งบางอย่าง พอฉันเห็นพวกเธอ ความคิดต่างๆ เหล่านี้ก็เข้ามาในใจฉันอย่างเป็นธรรมชาติมาก ฉันไม่ได้ตั้งใจจะพูดเรื่องนี้ แล้วก็ไม่ได้วิจัยอะไรมาด้วย ทุกสิ่งทุกอย่างถูกจัดการไว้แล้ว พวกเธอเข้าใจไหม? (ผู้ฟัง: เข้าใจ) ความรักของเธอใกล้เคียงกับความรักของโพธิสัตว์ เธอมีจิตใจที่เสียสละ เวลาเธอรักใคร เธอก็อยากเห็นพวกเขามีความสุข เธอเต็มใจที่จะทำอะไรก็ได้ที่จะทำให้พวกเขามีความสุข หมายความว่าเธอมีจิตใจเห็นแก่ประโยชน์ของผู้อื่น แทนที่จะเห็นแก่ตัวเอง เมื่อมีใครมีความสุข เธอก็มีความสุข นี่คือความรักเพื่อผู้อื่นที่แท้จริง เรียกว่า “การเห็นแก่ประโยชน์ของผู้อื่น”

ไม่น่าสงสัยที่พวกเธอได้ผลที่ดีกว่าเมื่อพวกเธอมาบำเพ็ญ ไม่น่าสงสัยที่ผู้เป็นอาจารย์ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชาย ไม่มีอะไรแปลกประหลาดเลย! นอกจากนี้ ก็มีอิทธิพลพื้นฐานจากสังคมให้ผู้ชายบำเพ็ญด้วยเหมือนกัน แต่ว่าความรักของพวกเธอก็เป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างหนึ่งด้วย

ส่วนมากผู้ชายออกไปทำงานหาเลี้ยงครอบครัว แม้แต่ก่อนจะแต่งงาน พวกเขาก็ต้องดูแลช่วยเหลือพ่อแม่ พี่สาว น้องสาวและครอบครัวเหมือนกัน ผู้ชายนั่นแหละที่มีจิตใจที่เสียสละ

การบำเพ็ญสามารถเป็นประโยชน์ต่อครอบครัว

นอกจากนี้ เวลาประเทศเกิดความยุ่งเหยิงวุ่นวาย ผู้ชายก็ต้องออกไปทำสงคราม พวกเขารู้ว่าพวกเขาอาจจะไม่ได้กลับมา แต่พวกเขาก็ยังไป พวกเขาทิ้งภรรยา ครอบครัว และพ่อแม่ไว้ข้างหลังเพื่อประเทศชาติ แม้ว่าบางครั้งพวกเขาจะถูกบังคับให้ทำอย่างนั้น บางครั้งพวกเขาก็เต็มใจที่จะไปด้วย ถึงแม้ว่าผู้ชายถูกโชคชะตากำหนดมาให้ทำอย่างนี้ มันก็แสดงนัยอยู่ว่าจิตใจที่เสียสละของผู้ชายนั้นมีอยู่แล้ว ความรักนั้นเป็นธรรมชาติมาก มันมีอยู่แล้ว ฉันไม่รู้ว่าทำไมผู้ชายส่วนใหญ่จึงไม่ได้รู้ถึงคุณความดีของพวกเขา

ผู้ชายน้อยคนมากที่จะมีนิสัยโอนเอียงมาทางการบำเพ็ญ บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าพวกเขามีความรับผิดชอบมาก พวกเขาคิดว่าพวกเขาควรจะทำงาน ดูแลครอบครัว ดูแลพ่อแม่ และพี่สาวน้องสาว...ฯลฯ แล้วพวกเขาก็ลืมสิ่งที่สำคัญที่สุดซึ่งก็คือการดูแลจิตวิญญาณของพวกเขา ถ้าเราให้เงินหรือทรัพย์สมบัติแก่พ่อแม่พี่สาวน้องสาวของเราสักเป็นล้านๆ หรือเป็นพันล้าน ก็จะไม่ดีไปกว่าการที่เราบำเพ็ญเพียงวันเดียว มันจะไม่ดีไปกว่าการบำเพ็ญของเราสัก 2-3 นาที หรือหนึ่งชั่วโมงด้วยซ้ำ ไม่ต้องพูดถึงหนึ่งวันหรอก วันเดียวก็มากไป!

แน่นอนที่เราควรจะให้พวกเขามีชีวิตที่สบายถ้าเป็นไปได้ ถ้าไม่มีใครดูแลพ่อแม่ของเราหรือพี่สาวน้องสาวของเราเลย เราก็ควรจะทำหน้าที่ของเรา แต่ถ้ามีคนทำอย่างนั้นแทนเราได้ เราก็ไม่จำเป็นจะต้องทำการดูแลเอาใจใส่ทางด้านร่างกายมากอย่างนั้น เราดูแลจิตวิญญาณของพวกเขาจะดีกว่า ถ้าเราบำเพ็ญ พวกเขาก็จะได้รับประโยชน์มากกว่า แม้กระทั่งชีวิตทางวัตถุของพวกเขาก็จะได้รับการดูแลจากพระผู้สร้างเพราะผลบุญของเรา

มีกล่าวเอาไว้ว่า “เมื่อผู้ใดบรรลุสัจธรรม เก้าชั่วอายุคนจะได้รับการหลุดพ้นไปสู่สวรรค์” สิ่งใดๆที่คนในสมัยโบราณกล่าวไว้เผยให้เห็นปัญญาจากประสบการณ์ของพวกเขาเอง ไม่อย่างนั้น ทำไมผู้คนในทุกประเทศถึงได้พูดแบบเดียวกัน? ในจีน มีกล่าวว่า “เมื่อผู้ใดบรรลุสัจธรรม 9 ชั่วอายุคนจะได้รับการหลุดพ้นไปสู่สวรรค์” ในเอาแลคและอินเดียก็มีกล่าวแบบเดียวกัน ในอินเดียพวกเขาบอกว่า 5 ชั่วอายุคนจะหลุดพ้น พวกเขาเพียงแต่พูดตัวเลข 5 ชั่วอายุคนออกมาแบบไม่มีการเฉพาะเจาะจงอะไร 5 หรือ 9 ก็ไม่มีอะไรแตกต่างกัน

มหาอาจารย์คิดเหมือนกัน

หมายความว่ามีผู้แสวงหาสัจธรรมอยู่ทุกหนทุกแห่ง และการบรรลุปัญญาของพวกเขาก็เกือบจะเหมือนๆกัน พวกเขาถึงได้พูดแบบเดียวกันหมด มหาจิตคิดเหมือนกัน หมายความว่าผู้ที่มีมหาปัญญาปกติจะพูดแบบเดียวกัน บางครั้งที่เธอศึกษาพระคัมภีร์ต่างๆ เวลาอ่านบทที่พระเยซูพูดบนภูเขาไซนาย ก็เป็นแบบเดียวกับในคัมภีร์ทางพุทธเกี่ยวกับ “วิถีทางของโพธิสัตว์”เลย เธออาจจะเปรียบเทียบคัมภีร์ไบเบิลกับคัมภีร์กุรอ่านดูก็ได้ ทั้ง 2 อย่างกล่าวแบบเดียวกัน เธอจะตรวจดูกับหทัยสูตรก็ได้เหมือนกัน เป็นแบบเดียวกันหมด ไม่มีอะไรแตกต่างกัน

พระศากยมุนีไม่ได้ตกลงอะไรกันกับพระเยซู (คนหัวเราะ) ทั้ง 2 ไม่ได้วางแผนที่จะพูดสิ่งเดียวกัน ทั้งคู่ไม่รู้จักกันเลย และยังเกิดคนละเวลา คนละสถานที่ด้วย บางคนเช่นขงจื๊อ เล่าจื๊อ โสเครติสและอาจารย์อื่นๆ จากชาติต่างๆ พวกเขาก็พูดคล้ายๆ กันหมด มันแปลกนะ! บางครั้งเธออ่านหรือฟังที่ฉันพูดไว้ซึ่งไม่ได้ดัดแปลงมาจากคัมภีร์ทั้งหลายเลย แต่หลังจากนั้นฉันมาอ่านคัมภีร์ต่างๆ ดูและก็พบว่า “อา! มันเหมือนกับที่ในคัมภีร์ทั้งหลายกล่าวไว้เลย” (คนปรบมือ) เรื่องต่างๆ ส่วนมากที่ฉันสอนพวกเธอมาจากภายใน

อย่างเช่นวันนี้ มันเป็นครั้งแรกที่ฉันพูดกับพวกเธอเรื่องอารมณ์ความรักของผู้ชายครั้งแรกในโลก (คนปรบมือ) ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกหรือ? (ผู้ฟัง: ใช่) และมันก็เป็นครั้งแรกที่ฉันได้ฟังเรื่องนี้เหมือนกัน (คนหัวเราะ) ฉันไม่เคยคิดถึงเรื่องเหล่านี้เลย ฉันไม่เคยพูดถึงเรื่องพวกนี้มาก่อน วันนี้ฉันเพิ่งจะคิดถึงเรื่องนี้ขณะที่ฉันกำลังพูดกับพวกเธออยู่ มันเป็นครั้งแรก ฉันไม่เคยได้ยินเรื่องเหล่านี้มาก่อนเลย มีกล่าวอยู่เสมอว่าผู้หญิงมีอารมณ์ความรักมากกว่า แต่วันนี้ ฉันไม่รู้สึกแบบนั้น

คนส่วนใหญ่บอกว่าผู้ชายเลว ฉันไม่คิดอย่างนั้น นั่นเป็นเพราะมนุษย์เราไม่พอใจอะไรง่ายๆ ความรักของเราล้ำลึกมาก โดยเฉพาะอารมณ์ความรักของผู้ชาย! มันจะง่ายมากขนาดนั้นได้อย่างไรที่เธอจะมอบตัวเองให้จนหมดตัวแก่ผู้หญิงคนหนึ่งที่ได้เห็นกันครั้งแรก? เพราะฉะนั้นเราก็เก็บความรักของเราไว้เป็นบางส่วนและเพียงแต่ลองดูเท่านั้นเอง (คนหัวเราะ) เมื่อเรารู้สึกว่าคู่คนนี้ไม่เหมาะสมกับเรา เราก็หยุด แล้วเราก็พยายามกับอีกคนหนึ่งเพื่อดูว่าเราจะสามารถให้ความรักของเราทั้งหมดแก่เธอได้หรือไม่ แต่ว่ามันก็ยังคงยากที่จะไว้วางใจใคร เรารู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างผิด แล้วเราก็ไปหาคนใหม่อีกคน มันไม่ใช่ว่าความรักของเราเปลี่ยนแปรไปตลอดเวลา แต่เพราะว่าเรายังไม่พบผู้ที่เราสามารถจะไว้วางใจได้อย่างสมบูรณ์ ผู้ที่เราสามารถให้ความรักที่ล้ำลึกและมั่นคงของเราได้ ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกหรือ? (ผู้ฟัง: “ใช่!” คนปรบมือ)

มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหาคู่ที่ดีเลิศสุดยอด บางครั้งมีคนหนึ่งดูว่าเหมาะดีแล้ว แต่หลังจากที่เธอทั้งคู่คุยกันไปได้พักหนึ่ง เธอก็พบว่ามันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง บางทีมันก็ยังไม่เห็นชัดแจ้งหลังจากที่พูดจากันแล้ว เพราะว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะแสดงความรู้สึกของเราออกมา เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงยังเข้าใจกันผิดอยู่ดี

ยกตัวอย่างเช่น เธอถามคนรักของเธอว่า “เธอชอบเสื้อผ้าสีแดงไหม?” และหล่อนก็ตอบว่า หล่อนไม่ค่อยชอบสีแดงมากนัก เธอก็เลยหยุดพูด ที่จริงเธอควรจะพูดว่า เธออยากให้หล่อนสวมเสื้อผ้าสีแดง (อาจารย์หัวเราะและผู้ฟังปรบมือ) แต่เธอไม่พูดออกมา เธอไม่พูดให้ชัดเจน เธอเพียงแต่ถามว่าหล่อนชอบเสื้อผ้าสีแดงหรือเปล่า แน่นอนถ้าหล่อนบอกว่าไม่, เธอก็คิดว่าหล่อนไม่ชอบชุดสีแดง ฉะนั้นเธอจึงไม่อยากจะบังคับหล่อน เธอทั้งคู่สุภาพมากไป (คนหัวเราะ) และเธอรู้สึกไม่มีความสุขกับเรื่องเล็กๆน้อยๆนี้ เธอก็เลยออกไปมองหาผู้หญิงในชุดสีแดง (คนหัวเราะ) มันช่างเป็นเรื่องที่โง่มาก! เราควรจะบอกว่าเราต้องการอะไร ไม่สำคัญว่าพวกเขาจะชอบหรือไม่ก็ตาม แล้วค่อยมาสาธยายพูดคุยเรื่องนั้นกันต่อทีหลัง พวกเธอรู้วิธีที่จะแสดงความรู้สึกออกมาในอนาคตกันไหม? (ผู้ฟัง: “รู้”!” คนปรบมือ)

อย่างไรก็ตาม ถ้าหากว่าครอบครัวไม่สอดคล้องปรองดองกัน มันก็เป็นเพราะผู้ชายเช่นกัน เพราะว่าเธอชอบเก็บทุกอย่างเอาไว้ในใจเสมอ เธอไม่พยายามจะพูดสิ่งที่เธอคิดในใจออกมา และเธอไม่พยายามอย่างหนักที่จะปกป้องความรักและชีวิตแต่งงานเอาไว้ เธอคิดว่ามันจะดีขึ้นเอง เพราะว่าเธอมั่นใจในตัวเองมากไป เธอคิดว่ามันมากพอแล้วที่เธอรู้ว่าเธอรักภรรยาของเธอ และคิดว่าหล่อนก็ควรจะรู้เรื่องนี้แน่นอน! เธอคิดแบบนี้ แต่ว่าหล่อนจะรู้ได้อย่างไร?

ผู้หญิงมีความรู้สึกมั่นคงปลอดภัยน้อยกว่า เธอรู้หรือเปล่า? ถึงแม้ว่าเธอจะพูดเป็นร้อยครั้ง หล่อนก็ยังไม่เข้าใจ (คนหัวเราะ) บางครั้งเหตุผลที่ภรรยาของเธอไม่ได้ปฏิบัติต่อเธอดี ก็เป็นความผิดของตัวเธอเองเหมือนกัน เธอไม่เข้าใจจิตใจของผู้หญิง หล่อนถึงได้บ่นอยู่เสมอ ทั้งหมดนี้ก็เพราะว่าหล่อนอยากจะให้เธอพูดว่าเธอรักหล่อนก็เท่านั้นเอง ไม่มีอะไรมากกว่านั้น! ถ้าเธอสามารถพูดแสดงออกมาได้หล่อนก็จะรู้สึกมั่นคง เธอไม่จำเป็นต้องทำอะไรอย่างอื่นเลย

ถ้าชีวิตแต่งงานของเธอไม่มีความสุข
เธอก็ไม่สามารถทำสมาธิได้ดี

ทำไมฉันถึงพูดถึงเหล่านี้...การแต่งงานและความรัก? บางคนอาจจะคิดว่าฉันกำลังทำเกินธุระหน้าที่อาจารย์ของฉันนี้ เปล่าเลย! ถ้าชีวิตแต่งงานของเธอไม่มีความสุข ถ้าเธอเข้ากันไม่ได้ดี เธอก็ไม่มีทางมีสมาธิ ใจของเธอกำลังทุกข์ทรมานทุกอย่างวุ่นวายยุ่งเหยิง เรื่องที่ไม่มีความสุขทั้งหลายนั้นก็จะทำให้เธอลำบากอยู่เสมอ เธอจะไม่มีทางท่องคำพระได้ ไม่ต้องพูดถึงเข้าสู่สมาธิหรอก (คนหัวเราะ) (ใช่!)

เวลานั้นภรรยาของเธอสำคัญกว่าอาจารย์ (คนหัวเราะ) ฉันไม่โทษเธอในเรื่องนี้หรอก มันเป็นความจริงอย่างหนึ่งเท่านั้นเอง เวลานั้นเธอจะโยนสมาธิทิ้งไปด้วยซ้ำ (คนหัวเราะ) เธออาจจะพูดว่า “ฉันไม่สนใจมันหรอก! ฉันไม่ต้องการมัน! ฉันไม่อยากได้อย่างนั้นหรอก!” ถึงแม้ว่าเธอจะอยากได้ เธอก็ไม่มีทางได้อยู่ดีเพราะอารมณ์ที่ไม่ดีของเธอ

ฉันจำต้องเรียนรู้สิ่งต่างๆ เหล่านี้ทั้งหมดเพื่อที่ฉันจะได้สอนพวกเธอได้ ฉันเรียนรู้เรื่องเหล่านั้นแล้ว มันยากที่จะหลีกเลี่ยงหรือควบคุมมันได้ แน่นอน สำหรับผู้บำเพ็ญเรา ยิ่งเราบำเพ็ญ เราก็ยิ่งสามารถควบคุมอารมณ์ความรักของเราได้ดีขึ้น แต่ก็มีบางคนที่ยังคงเดือดร้อนและทนทุกข์ เพราะอารมณ์ความรักของมนุษย์ เพราะฉะนั้นจึงจำเป็นที่ฉันจะต้องพูดเรื่องที่เรียกว่าเรื่องทางโลกบางเรื่องกับพวกเธอไปด้วยอีกประการหนึ่ง เพราะว่าเรื่องทางโลกและการบำเพ็ญไม่มีอะไรแตกต่างกัน

ไม่สำคัญว่าใครจะนำความสุขมาให้เรา เวลาเรามีอารมณ์ดี เราก็อยู่ในนิพพานแล้ว เวลาเรามีความสุข เราก็อยู่ในนิพพาน อยู่ในสวรรค์ เวลาเรามีความสุขเราก็สามารถรักใครก็ได้ เราสามารถจะให้อภัยใครก็ได้ และเราจะเต็มใจที่จะให้อะไรก็ได้ ถ้าเรามีอารมณ์ไม่ดีเราจะไม่อยากทำอะไรเลย เราไม่อยากจะรับผิดชอบอะไรทั้งสิ้น จะไม่มีทางเลยถึงแม้ว่าเราจะอยากรับผิดชอบก็ตาม ไม่มีแรงบันดาลใจเลย เธอจะโยนทุกอย่างทิ้งไปหมดรวมทั้งโลกด้วย ฉะนั้นเราจึงกล่าวว่าหลักคำสอนทางพุทธกับกฎต่างๆทางโลกทำงานไปด้วยกัน ก็เท่านั้นแหละ! ฉะนั้นเธอก็มีประสบการณ์ด้วยตัวเธอเองแล้ว