ความแตกต่างระหว่างพุทธศาสนาและคริสต์ศาสนา

 

 

ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด, สหรัฐอเมริกา

28 ตุลาคม 1989 (เดิมเป็นภาษาอังกฤษ)

บทความนี้ได้รับการตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ เซ็นทรัล เดลี่นิวส์ฟอร์โมซา พฤศจิกายน 1995

 

 

 พุทธศาสนามีบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับจิตวิญญาณมากกว่าคริสต์ศาสนา

 ดินแดนอันบริสุทธิ์สวยงามแห่งอมิตาภะ

 ศาสนาส่วนใหญ่ไม่ได้แสดงหนทางให้คนได้ทราบ

 ผู้ที่เป็นอาจารย์สามารถเนรมิตสวรรค์ใหม่ให้แก่เรา

 เข้าใจแก่นแท้ของคัมภีร์

 จงสร้างสวรรค์อันสุดประมาณสำหรับตัวเธอเอง

 คำถามและคำตอบ

 

 

เรื่องที่ฉันอยากจะพูดให้พวกท่านฟังในวันนี้ ก็คือ “อะไรคือความแตกต่างระหว่างพุทธศาสนาและคริสต์ศาสนา?” ทุกๆ แห่งที่ฉันไปมักจะบอกคนทั่วไปว่า  “ไม่มีความแตกต่างระหว่างพุทธศาสนาและคริสต์ศาสนา”  โดยพื้นฐานนั้นไม่แตกต่างกัน  แต่ก็ยังมีอะไรบางอย่างที่ต่างกัน  เมื่อพระเยซูเจ้าและพระพุทธเจ้าพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับการรู้แจ้งนั้น ไม่มีอะไรต่างกันเลย 

 

แต่ถ้าพวกท่านอ่านพระสูตรของพุทธศาสนาจะมีสิ่งที่แตกต่างกันมากมาย  พุทธศาสนามีรายละเอียดของเรื่องราวต่างๆ สมบูรณ์กว่าก็เท่านั้นเอง  ถ้าหากพระเยซูคริสต์ได้มีชีวิตเทศน์สอนผู้คนนานกว่าสามปีครึ่ง  ท่านก็คงได้เล่าให้เราฟังเกี่ยวกับระดับชั้นต่างๆ  เหมือนที่พระพุทธเจ้ากล่าวไว้  นั่นแหละคือความแตกต่างระหว่างศาสนาพุทธและศาสนาคริสต์  ทางคริสต์นั้นมีคัมภีร์ไบเบิลเพียงอย่างเดียว  แต่ฉันไม่ได้พูดว่าคริสต์ศาสนาไม่มีแก่นแท้สำคัญอยู่ในนั้นนะ  แก่นแท้นั้นยอดเยี่ยมและก็มีทุกอย่างอยู่ในนั้น

 พุทธศาสนามีบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับจิตวิญญาณมากกว่าคริสต์ศาสนา

 

เพียงแต่ว่าบางคนสนใจพุทธศาสนา  เพราะคัมภีร์ทางพุทธศาสนามีประสบการณ์และการรู้แจ้งภายในให้ศึกษาได้กว้างขวางกว่า  ซึ่งพระเยซูไม่มีเวลาเพียงพอที่จะกล่าวถึง  ดังนั้นจึงมีคนจำนวนมากเข้าใจผิด  คิดว่าพระเยซูไม่ได้มีระดับชั้นสูงส่งเหมือนพระพุทธเจ้า เพราะพระพุทธเจ้าได้ผ่านระดับชั้นของจิตที่แตกต่างกันมากมายหลายอย่าง  ได้พบสิ่งที่เรียกว่าระดับชั้นภายในเป็นจำนวนมาก  ท่านจึงบอกลูกศิษย์ให้จดบันทึกไว้  นอกจากนี้ศิษย์ของพระพุทธเจ้าบางคนก็ไปยังระดับชั้นต่างๆ ด้วยตนเอง และบันทึกประสบการณ์นั้นไว้

 

ดังนั้น  พระสูตรต่างๆ ของทางพุทธจึงมีเรื่องราวอันล้ำค่ามากมาย  ส่วนทางคริสต์ศาสนานั้น  เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่ได้รับการเบียดเบียนทางศาสนา  พระเยซูเองก็มีชีวิตอยู่ไม่นาน เราจึงไม่มีบันทึกอะไรมากเกี่ยวกับประสบการณ์ของลูกศิษย์รวมทั้งของผู้ที่เป็นอาจารย์ด้วย

 

ฉันจะพูดถึงพระสูตรเล่มหนึ่งของพุทธศาสนา  พระสูตรนี้มีชื่อว่า “อมิตาภพุทธ” ในพระสูตรเล่มนี้มีบรรยายถึงประสบการณ์ของศิษย์คนหนึ่งของพระพุทธเจ้า  ศิษย์คนนี้ก็คือราชินีองค์หนึ่งของอินเดียซึ่งถูกขังอยู่ในคุก  ตอนที่เธอถูกขังอยู่ในคุก  เธอก็อยากจะพบอาจารย์ของเธอมาก ซึ่งก็คือ พระศากยมุนีพุทธเจ้าแห่งอินเดียนั่นเอง  เมื่อเธอมีความปรารถนาอย่างแรงกล้า  อาจารย์ของเธอก็ปรากฏตัวมาหาเธอ  ไม่ใช่มาในสภาพร่างกายปกติ  แต่อยู่ในสภาพที่เรียกว่ากายที่เป็นแสงหรือนิรมาณกาย อาจารย์ท่านใดที่มีระดับชั้นสูงมาก ก็จะสามารถจะแสดงนิรมาณกายจำนวนมากให้ศิษย์ในที่ต่างๆ เห็นได้ในเวลาเดียวกัน

 

“อมิตาภะ”  หมายถึง “แสงสุดประมาณ” พุทธะท่านนี้มีแสงสุดประมาณ  แสงซึ่งไร้ขอบเขต  ดังนั้น เมื่อราชินีแห่งอินเดียองค์นี้  ปรารถนาจะพบพระพุทธเจ้ามาก  ท่านก็ปรากฏมาหาเธอในคุก  ท่านปรากฏมาพร้อมกับศิษย์ของท่านคนหนึ่ง  และจับมือของราชินีองค์นั้น  และนำเธอไปยังดินแดนอีกแห่งหนึ่ง

 

ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์ให้เราทราบแล้วว่ายังมีระดับชั้นของความเป็นอยู่อีกมากมายในจักรวาล  บางแห่งก็มีผู้คนอยู่  บางแห่งก็ไม่แน่ชัดว่ามีผู้คนอยู่หรือไม่  พระศากยมุนีพุทธเจ้าได้ทรงค้นพบมานานแล้ว่า  มีระดับชั้นของความเป็นอยู่จำนวนมากที่มีผู้คนอาศัยอยู่เหมือนกับบนโลกของเรา  บางแห่งก็แตกต่างจากโลกของเรา  บางแห่งมีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ากว่า  บางแห่งมีอารยธรรมความเจริญสูงกว่า  บางแห่งก็ไม่เจริญเท่ากับของพวกเรา

 

 ดินแดนอันบริสุทธิ์สวยงามแห่งอมิตาภะ

 

เมื่อพระราชินีองค์นั้นไปถึงดินแดนดังกล่าว  เธอก็พบว่าพื้นของดินแดนแห่งนั้นปกคลุมไปด้วยทองคำ  และแก้วผลึก  บ้านเรือนทุกหลังถูกสร้างอยู่ในอากาศ  ไม่ได้อยู่ติดกับพื้น  และสร้างด้วยอัญมณีอันมีค่าต่างๆ เช่น ไพฑูรย์  แก้วผลึก  ไข่มุก  เพชร  ทับทิม  มรกต  ฯลฯ  เธอจึงรู้สึกว่าดินแดนนี้ช่างสวยงามจริง ๆ และผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นั้นก็มีลักษณะคล้ายคลึงกับเราแต่สวยงามกว่า  เขาไม่ได้เดินหรือต้องมีการเดินทางอย่างพวกเรา  ถ้าเขาต้องการจะไปที่ใดก็บินไป  เมื่ออยากจะกลับก็บินกลับมา  บรรดาเสื้อผ้าหรือสิ่งของต่างๆ นั้น หากเขาต้องการมันเมื่อไรมันก็จะปรากฏขึ้นทันที  ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาแลกเงิน  ออกไปซื้อของ  รอเข้าคิวจอดรถ  หรือมีความยุ่งยากอะไรต่างๆ เหล่านี้

 

นอกจากนี้ ในดินแดนแห่งนี้ ยังมีสระน้ำอมฤต  ถ้าใครได้อาบหรือดื่มกินแม้เพียงเล็กน้อยก็จะรู้สึกเบาสบาย  สดชื่น และมีความเข้าใจที่ลึกซึ้งทางจิตวิญญาณ ในดินแดนนี้บรรดานกและต้นไม้ต่างๆ จะเปล่งคำพูดที่เป็นธรรมะออกมา  คำว่า ธรรมะเป็นภาษาสันสกฤตซึ่งหมายถึง คำสอน  คำสอน ซึ่งเป็นภาษาพูด  บางครั้งคำนี้อาจหมายถึงสรรพสัตว์  หรือปรากฏการณ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นในจักรวาล และความหมายอันลึกซึ้งของคำนี้ก็คือคำสอนที่มองไม่เห็นหรือสัจธรรมนั่นเอง  เพราะฉะนั้นคำนี้จึงสามารถนำมาใช้ได้หลายแบบ

 

ในดินแดนแห่งอมิตาภพุทธ  บรรดานก  ต้นไม้ สายลมจะพูดออกมาเป็นคำสอนแห่งสัจธรรมอันสูงสุด เมื่อผู้คนได้ยินสิ่งที่เรียกว่า ธรรมะ นี้ เขาก็จะมีความเชื่อมั่นมากขึ้นในสิ่งสูงสุด  เชื่อมั่นในพุทธะ  และบรรดาผู้บำเพ็ญ  หรือเหล่านักบุญรวมทั้งคำสอนต่างๆ ของนักบุญ

 

ทีนี้หากเราลองมาคิดถึงดินแดนอมิตาภะนี้ จะรู้สึกว่าเหมือนกับเป็นเทพนิยาย เพราะพื้นดินจะปกคลุมด้วยทองคำได้อย่างไร? บ้านเรื่อนต่างๆ จะสร้างอยู่กลางอากาศโดยไม่หล่นลงมาบนพื้นได้อย่างไร? และผนังกับเพดานจะสร้างด้วยแก้วผลึก  เพชร ทับทิม และบรรดาอัญมณีมีค่าต่างๆ ได้อย่างไร  เราอยู่ที่นี่เราต้องต่อสู้ดิ้นรนเพื่อที่จะได้เพชรขนาดย่อมๆ มาได้สักเม็ดหนึ่ง  เราต้องทำงานอย่างหนักเป็นเวลาหลายสัปดาห์จึงจะสามารถซื้อเพชรเม็ดเล็กๆ ได้สักเม็ด  ฉันอยากจะพูดว่าลักษณะของเพชรก็คล้ายๆ กับน้ำหยดหนึ่งแค่นั้น เพียงแต่เพชรนั้นแข็งกว่าเล็กน้อย  และพวกเราก็ต้องจ่ายเงินเป็นจำนวนมาก  แต่ในดินแดนแห่งนั้นเขากลับใช้เพชร แก้วผลึก  ทับทิม ฯลฯ มาสร้างบ้าน พวกเธอนึกภาพออกไหม?  

 

นี่แหละเป็นจุดหนึ่งซึ่งชาวคริสต์ หรือศาสนาอื่นๆ ไม่สามารถจะเชื่อถือศาสนาพุทธ  ก็เพราะว่าลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าพูดมากเกินไป  ที่เราเรียกว่า “พูดมาก” นั่นเอง จริง ๆ แล้วพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้พูดเอง  ท่านไม่ได้บอกเรื่องเหล่านี้แก่เรา  แต่เป็นพวกลูกศิษย์ที่ไปได้ยินประสบการณ์ต่างๆ เรื่องราวอันน่าทึ่งต่างๆ แล้วนำมาจดบันทึกไว้ให้ผู้อื่นได้รับรู้         

 

ลูกศิษย์ของฉัน  บางครั้งก็จดเรื่องราวต่างๆ ของเขาว่าอาจารย์พาเขาไปเที่ยวยังดินแดนไหน หรือประเทศไหนของจักรวาล  แล้วก็จดบันทึกประสงการณ์ภายในของเขาไว้เพื่อตรวจสอบความก้าวหน้า เรื่องแบบนี้พวกเราจำเป็นต้องทำ  และเมื่อลูกศิษย์คนนั้นตาย แล้วอะไรจะเกิดขึ้น? อาจจะมีญาติพี่น้อง หลานชาย หลานสาวของเขาบังเอิญได้รับมรดก ได้สิ่งที่เรียกว่า สมุดบันทึกทางจิตวิญญาณนี้ไว้  ซึ่งมีประสบการณ์ภายในบันทึกอยู่มากมาย  เช่น วันนี้ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่พาเขาไปยังดินแดนแห่งพุทธะ แนะนำเขาให้รู้จักกับอาจารย์หรือพุทธะซึ่งอยู่ที่นั้นหรือบางทีอาจจะพาเขาไปหาพระเยซู พระแม่มารีหรือนักบุญคลาร่าหรือใครก็ตาม เขาก็มาเขียนบันทึกไว้ หากบันทึกนั้นอ่านแล้วน่าสนใจ ญาติพี่น้อง หลานชาย หลานสาวของเขาก็อาจจะนำมาตีพิมพ์ แล้วมันก็กลายเป็นเหมือนกับพระสูตรเล่มหนึ่งของพระพุทธศาสนา

 

นี่แหละคือสิ่งที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับเรื่องพระสูตรทั้งหลายในพุทธศาสนา  พระสูตรหรือสิ่งที่เรียกว่าคัมภีร์เหล่านั้นไม่ได้มีการบันทึกหรือรวบรวมไว้  จนกระทั่งหลังจากเหตุการณ์ผ่านไปประมาณหนึ่งร้อยปี ก่อนหน้านั้น เพียงแต่มีการเล่าสู่กันฟัง  และลูกศิษย์ก็ไม่ได้บันทึกเอาไว้  เพียงแต่ฟังเท่านั้น

 

นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้คัมภีร์ของพุทธศาสนามีความกว้างขวาง  และมีอยู่เป็นจำนวนมาก เพราะพระพุทธเจ้ามีอายุยืนนานจนถึงประมาณแปดสิบปี  ลูกศิษย์ของท่านจึงมีจำนวนมาก  จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าเรื่องราวต่างๆ ก็ต้องมีอยู่มากมายด้วย นอกจากนี้ประเทศอินเดียสมัยนั้นมีความสงบสุขมาก  ไม่มีใครเบียดเบียนพระพุทธเจ้าหรือลูกศิษย์ท่าน  พวกเขาจึงอยู่ในช่วงที่มีความรุ่งเรือง  และมีเวลาที่จะจดบันทึกรวมทั้งเก็บรักษาความทรงจำอันล้ำค่าของบรรดาลูกศิษย์เหล่านั้น

 

ในขณะที่พระเยซูคริสต์นั้น ท่านต้องทำงานในที่ลับ ทำงานอย่างหลบๆ ซ่อนๆ ถ้าพวกเธออ่านเรื่องราวต่างๆ เธอก็จะทราบ  ท่านมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักขึ้นมาเพียงเล็กน้อย  หลังจากนั้นเพียงสามปีครึ่ง  เขาก็ฆ่าท่านและบรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายต่างก็ต้องแยกย้ายออกไปคนละทิศละทาง  ไม่สามารถทำงานอย่างเปิดเผยได้  ดังนั้นถึงแม้ว่า พวกเขาจะมีประสบการณ์ภายในก็ไม่สามารถจดบันทึกไว้ได้ หรือหากจดไว้ก็ไม่สามารถเก็บรักษาไว้ได้อย่างดี เพราะรัฐบาลผู้ปกครองในสมัยนั้นจะคอยตามล่า และกำจัดพวกเขาทุกคน  เพราะฉะนั้น เราจึงรู้สึกว่าดินแดนแห่งอมิตาภะเหมือนกับเรื่องราวของเทพนิยาย  ผู้นับถือศาสนาคริสต์บางคนจึงรู้สึกว่าพุทธศาสนาเป็นเพียงจินตนาการ  เป็นเพียงภาพหลอนหรืออะไรทำนองนั้น         

 

อันที่จริง ดินแดนแห่งอมิตาภะมีอยู่จริง ลูกศิษย์ของฉันบางคนเคยไปที่นั่นหลังจากประทับจิตแล้ว  บางคนก็ไปในตอนที่รับการประทับจิตนั้นเอง  เพราะการเดินทางไปยังสถานที่เหล่านี้ไม่ต้องใช้เวลามาก  เพียงแค่หนึ่งวินาที  เธอก็ไปได้แล้ว  และภายในหนึ่งวินาทีเธอก็กลับมาแล้ว  ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับความเปิดกว้างของจิตใจเรา เป็นช่องทางภายในหรือระดับการรู้แจ้งของเรานั่นเอง  ดังนั้น จึงมีความแตกต่างกันระหว่างภาพหลอน  จินตนาการ  ภาพลวงตา  และสิ่งที่มีอยู่จริง  ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเรื่องภายในไม่มีอะไรจะพบจากภายนอก

 

ทีนี้ หากสถานที่ใดเป็นเพียงแค่ภาพหลอน หรือผลิตผลจากจินตนาการ  คนอื่นๆ ก็ไม่สามารถจะไปได้ มีเพียงบุคคลนั้นเท่านั้นที่สามารถไปได้  และสามารถไปได้แค่ครั้งเดียว ไม่ใช่ 2 ครั้ง เพราะมันเป็นแค่ความฝัน เป็นแค่ภาพลวงตาเท่านั้น แต่ถ้าสถานที่ใดมีอยู่จริง ใครๆ ก็สามารถไปได้ทั้งก่อนหน้าเขาหรือภายหลังเขา  ไปได้ทุกเวลา  และสามารถยืนยันได้ว่าสถานที่นั้นมีจริง ดังนั้นหากเราไม่ได้ฝึกหัดวิธีการที่จะไปยังสถานที่เหล่านั้น เราก็ไม่สามารถจะรู้ว่าสถานที่เหล่านี้มีอยู่จริง

 

 ศาสนาส่วนใหญ่ไม่ได้แสดงหนทางให้คนได้ทราบ

 

ศาสนาส่วนใหญ่ในโลกนี้มีพื้นฐานมาจากหลักปรัชญาและการโต้แย้ง เช่น “มีพระเจ้าหรือไม่มีพระเจ้า?”  “ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?” และ “ทำไมจึงไม่เป็นเช่นนั้น?” ส่วนใหญ่แล้วเวลาที่ฉันไปบรรยายธรรม ฉันก็ต้องพูดถึงศาสนาต่างๆ และพูดให้คนเข้าใจว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าพูดไว้เกี่ยวกับพระจันทร์  สิ่งที่เล่าจื๊อพูดไว้เกี่ยวกับเต๋า  และสิ่งที่พระเยซูได้กล่าวไว้เกี่ยวกับสวรรค์นั้น ก็คือสิ่งเดียวกัน  แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ฉันจงใจจะพูด  และไม่ใช่หัวข้อที่ฉันชอบพูด  จริงๆ แล้วมันเป็นเรื่องที่ยาก

 

และเธอทราบอะไรไหม? หลังจากฉันตายไป  คนที่มาภายหลังก็ต้องมาเพิ่มคำพูดบางคำของฉันเข้าไปอีก  เพื่อที่จะเปรียบเทียบและทำให้คนรุ่นหลังเกิดความเชื่อมั่นว่า สิ่งที่อนุตราจารย์ชิงไห่พูดก็คือสิ่งเดียวกับที่พระพุทธเจ้าพูด  เธอไม่จำเป็นต้องโต้เถียง  ฯลฯ มันจะดำเนินต่อไปแบบนี้เรื่อยๆ เราจึงมีศาสนาอยู่มากมายบนโลกนี้  โดยไม่สามารถจะช่วยผู้ที่กำลังใฝ่หาได้เลย  เพราะเรามัวแต่พูดถึงหลักปรัชญา  ไม่ได้แสดงให้เขาทราบถึง “หนทาง”

 

“หนทาง” นั้นไม่สามารถแสดงได้ด้วยหนังสือหรือการพูด  แต่ต้องด้วยประสบการณ์  พระพุทธเจ้าจึงตรัสไว้ว่า “จงมองดูที่นิ้วของฉัน แล้วเธอก็จะพบหนทาง” ดังนั้นเมื่อพระราชินีองค์นั้นติดตามพระพุทธเจ้าไป  เธอจึงได้เห็นดินแดนแห่งพุทธะ  ได้เดินทางไปพร้อมกับท่าน นิ้วในที่นี้หมายถึงคำสอนหรือการติดตาม  เชื่อมั่นในผู้ที่เป็นอาจารย์ และปล่อยให้อาจารย์พาเธอไปที่ใดที่หนึ่งซึ่งเหมาะแก่การบรรลุทางจิตวิญญาณของเธอในตอนนั้น  นี่แหละคือความหมายความคำว่านิ้ว

ราชินีผู้นี้เป็นผู้ที่เชื่อมั่นในพระพุทธเจ้าอย่างแรงกล้า  ยอมปฏิบัติทุกอย่างตามคำสอนของผู้ที่เป็นอาจารย์  ดังนั้น ในคุกวันนั้นเธอจึงอธิษฐานต่อพระพุทธเจ้าด้วยหัวใจที่ปรารถนาอย่างจริงจังว่า โลกนี้ช่างทุกข์ยากเหลือเกิน โอรสของเธอเองเอาเธอมาขังไว้ในคุก  ดังนั้น เธอจึงรู้สึกว่าโลกนี้เต็มไปด้วยความทุกข์ยาก  ไม่มีความสุข  ไม่มีความแน่นอน เธออธิษฐานต่อพระพุทธเจ้าว่า เธออยากจะไปสถานที่บางแห่งในจักรวาลซึ่งมีความมั่นคงกว่า  มีความรักมากกว่าและมีความกรุณามากกว่า  ขอให้พระพุทธเจ้ามานำเธอไปยังดินแดนแห่งนั้น

หลังจากที่เธอกลับมาจากดินแดนอมิตาภะแล้ว เธอก็บันทึกประสบการณ์เหล่านั้นไว้  ต่อมาบันทึกเหล่านี้เกิดการรั่วไหลออกมา มีคนนำมาพิมพ์เผยแพร่  และเราก็ยังคงเก็บรักษามันไว้ในสภาพดั้งเดิมจนกระทั่งทุกวันนี้  มีคนจำนวนมากที่ทราบเนื้อหาในพระสูตรนี้  แต่มีน้อยคนนักที่จะได้รับประสบการณ์ของดินแดนอมิตาภะ

ในทางคริสต์ศาสนาก็เช่นเดียวกัน ถ้าเราไม่อุทิศตนอย่างจริงใจ ถ้าเราไม่ได้มีพรสวรรค์มาตั้งแต่ชาติต่างๆ ในอดีตที่จะโน้มเอียงมาทางด้านจิตวิญญาณ ก็เป็นการยากทีเดียวสำหรับผู้นับถือคริสต์โดยเฉลี่ยทั่วไป  ที่จะมีประสบการณ์ถึงสวรรค์ระดับที่สอง  สวรรค์ระดับที่ 3  แสงแห่งพระเจ้า หรือเสียงแห่งพระเจ้าที่มีกล่าวไว้ในคัมภีร์ไบเบิลได้

ในคริสต์ศาสนา ก็มีพูดถึงประสบการณ์บางอย่างเกี่ยวกับอาณาจักรของพระเจ้าที่อยู่ภายใน เช่น เมื่อพระเยซูได้รับการล้างบาป  ท่านก็ได้เห็นแสงสีขาวจากสวรรค์  พระจิตจากสวรรค์ลงมาเหมือนกับนกพิราบสีขาว ในปัจจุบันนี้มีพวกเรากี่คนที่ได้รับศีลล้างบาปแล้วมีประสบการณ์อันสูงส่งเช่นนั้นในตอนนั้น หรือตอนที่โมเสสไปที่ภูเขาซีนาย  ท่านก็เห็นพระเจ้าปรากฏมาเป็นไฟดวงใหญ่  เป็นแสงขนาดใหญ่  คัมภีร์จึงเพียงแต่กล่าวว่าพระเจ้าคือแสงสว่างอันยิ่งใหญ่  และเสียงของพระเจ้าคล้ายกับเสียงฟ้าร้อง  คล้ายกับเสียงน้ำมากมาย   จอห์นก็ได้ยินเสียงของทรัมเป็ตในสวรรค์  และยังมีบางคนซึ่งขึ้นไปถึงสวรรค์ระดับที่สาม ฯลฯ

ในปัจจุบันนี้มีใครที่ได้รับประสบการณ์เหล่านี้บ้าง? เธอจะเห็นว่ามีน้อยมาก  แต่ก็พอจะมีนักบุญบางองค์ที่สูงส่งมากในคริสต์ศาสนจักร พวกเขาก็เคยได้รับประสบการณ์คล้ายกับที่มีกล่าวอยู่ในคัมภีร์ไบเบิลเหล่านี้  แต่ชาวคริสต์หรือแม้แต่ชาวพุทธโดยเฉลี่ยทั่วไปไม่สามารถจะมีประสบการณ์เหล่านี้เลย  ดังนั้น ศาสนาทั้งมวลก็ดูเหมือนสูญเปล่าไปถ้าปราศจากประสบการณ์จริงๆ

 

ดังนั้นผู้ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นผู้รู้แจ้ง  ก็คือ บุคคลซึ่งสามารถไปยังดินแดนที่เป็นแสง  โลกที่เป็นแสงเหล่านั้นได้ตามใจปรารถนา  อย่างน้อยพวกลูกศิษย์ของฉันก็ได้ชื่อว่า รู้แจ้ง  เพราะเขามีประสบการณ์ทางด้านแสง คำว่า รู้แจ้ง (En-light-en-ed) หมายถึงว่า เธอต้องมีแสง (light) ด้วย เข้าใจไหม?

 

แสงนั้นอยู่ในตัวเธอ  ในคัมภีร์ไบเบิลของชาวคริสต์มีกล่าวไว้ว่า จงระวังให้ดี  ดูแลแสงในตัวเธอ  มิให้กลายเป็นความมืด  และยังมีกล่าวด้วยว่า ถ้านัยน์ตาของเธอเป็นหนึ่งเดียว  ร่างกายทั้งหมดของเธอก็จะเต็มไปด้วยแสง  คัมภีร์ไบเบิลพูดถึงแสงอยู่เสมอ  นอกจากนี้ยังพูดถึงเสียงของพระเจ้าชนิดต่างๆ หลายอย่าง เช่น เสียงฟ้าร้อง  เสียงของน้ำมากมาย  เสียงของทรัมเป็ตแห่งสวรรค์ เสียงพิณ เสียงของสิ่งต่างๆ เหล่านี้

 

ถ้าหากเราไม่ได้เห็นพระเจ้าเลย อย่างน้อยเราก็ควรต้องเห็นแสงของพระเจ้าบ้าง  เห็นการแสดงออกของพระเจ้าหรือได้ยินดนตรีแห่งสวรรค์  ซึ่งสะท้อนมาจากสวรรค์เพื่อเราจะได้มั่นใจว่าเราอยู่ใกล้สวรรค์มาก  ถ้าหากเราไม่ได้เห็นอมิตาภพุทธ  หรือไม่เคยถูกพาไปยังดินแดนแห่งนั้น อย่างน้อยเราก็ได้เห็นแสงของอมิตาภพุทธบ้าง เพราะ “อมิตาภะ” หมายถึง “แสงสุดประมาณ” หรืออย่างน้อยเราก็ได้ยินเสียงต่างๆ จากดินแดนของอมิตาภะ  เสียงของนกที่ร้องเพลง เสียงของใบไม้ เสียงของสัตว์ทุกชนิด หรือเสียงของพุทธะกำลังเทศน์คำสอนอันศักดิ์สิทธิ์  อย่างน้อยเราก็ได้ยินอะไรบ้างจากที่ไกลๆ เราจะได้รู้ว่าเรากำลังอยู่ใกล้ดินแดนแห่งพุทธะนั้น หรือเรากำลังอยู่ติดพรมแดนของดินแดนพุทธะ  มิฉะนั้นแล้ว เราจะรู้ได้อย่างไรว่าพระเจ้ามีอยู่จริง พุทธะมีอยู่จริง หรือดินแดนแห่งพุทธะนั้นมีจริง?

 

ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ฉันอยากจะกล่าวถึงเกี่ยวกับท่านอมิตาภพุทธ  มีกล่าวไว้ในพระสูตรว่า ท่านอมิตาภพุทธนั้น ในขณะที่ท่านยังอยู่ในร่างกายเนื้อ  คือ ขณะที่ท่านกำลังบำเพ็ญตนเป็นนักบุญเป็นโยคีอยู่นั้น  ท่านมีปฏิญญาอยู่ 48 ข้อ  ปฏิญญาข้อหนึ่งของท่านก็คือ ถ้าผู้ใดที่เคยได้ยินชื่อของท่าน  สวดอธิษฐานถึงท่านแม้แต่เพียงครั้งเดียว  ในช่วงเวลาที่เขากำลังจะตาย  แน่นอนว่าจะต้องสวดอธิษฐานด้วยความจริงใจ  ด้วยความปรารถนาอันแรงกล้าเต็มที่ของบุคคลนั้น  ท่านก็จะนำบุคคลนั้นไปยังดินแดนอมิตาภะ หรือดินแดนของท่าน  แต่ดินแดนของท่านนี้  ตามที่กล่าวในพระสูตรนั้น มิใช่ดินแดนที่สร้างไว้พร้อมอยู่แล้วหรือซื้อมาจากสำนักงานบ้านและที่ดินหรือเป็นดินแดนว่างเปล่าที่มีอยู่ก่อนและรอเราอยู่  ดินแดนนี้สร้างขึ้นจากพลังจิตของท่าน  จากความมีระเบียบวินัย  และการบำเพ็ญอย่างเคร่งครัดของท่าน

 

นี่แหละคือสิ่งที่ทำให้พุทธศาสนาดูแตกต่างตรงข้ามกับคริสต์ศาสนา  ที่เป็นเช่นนี้เพราะพระคริสต์ไม่มีเวลามากมายที่จะอธิบายรายละเอียดให้เราทราบได้ในข้อความที่สั้นๆ ขนาดนั้นว่า ท่านหมายถึงอะไร หรือบางทีท่านอธิบายไว้ แต่ข้อมูลเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ศาสนจักรไม่สามารถทนรับได้จึงตัดทิ้งไป  ผู้มีอำนาจในสมัยนั้นได้ลบข้อความนั้นทิ้งไป  อะไรๆ ก็อาจเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น

 

 ผู้ที่เป็นอาจารย์สามารถเนรมิตสวรรค์ใหม่ให้แก่เรา

 

ฉันจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับอมิตาภพุทธให้ฟังต่อ ในขณะที่ท่านบำเพ็ญสมาธิอย่างเคร่งครัด  และมีคุณธรรมนั้น  ท่านปฏิญาณไว้ว่า  ดินแดนที่ท่านสร้างขึ้นจะบริสุทธิ์เหมือนแก้วผลึก  ล้ำค่าหมือนดังเพชร  และทุกๆ คนสามารถไปที่นั้นได้ตลอดเวลา  ถ้าผู้นั้นมีความปรารถนาอย่างจริงใจ  ฉันเล่าเรื่องนี้ให้เธอฟังทำไม? เหตุผลก็คือ : มหาอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งมีคุณธรรม และพลานุภาพสามารถจะพาเราไปยังดินแดนของท่านได้  ท่านสามารถจะเนรมิตสวรรค์แห่งใหม่ให้เราได้ด้วยซ้ำ ก็เหมือนกับที่พระเยซูกล่าวไว้ว่า ในบ้านพระบิดาของเรามีคฤหาสน์อยู่มากมาย  ลองคิดดูซิว่า บ้านต่างๆ เหล่านี้มีไว้ทำไม? คงไม่ใช่เป็นบ้านว่างๆ เตรียมไว้คอยพวกเราซึ่งหนักอึ้งเต็มไปด้วยบาป

 

ฉันจะบอกให้ว่า โลกนี้มีประชากรที่เชื่อมั่นในคริสต์ศาสนา  เชื่อในพุทธศาสนา  บางคนก็เป็นชาวมุสลิม  บางคนก็เชื่อในศาสนาฮินดู  ฯลฯ  พวกที่ถือคริสต์อาจจะมีอยู่ประมาณหนึ่งในสี่ของโลกหรือย่างน้อยก็หนึ่งในห้า  ใช่ไหม? ทีนี้ถ้าหากผู้ที่ถือคริสต์เหล่านี้  ซึ่งเชื่อมั่นในพระเยซูคริสต์ ได้รับความรอดกันหมด  แล้วทำไมประชากรในโลกของเราจึงไม่ลดปริมาณลงสักหนึ่งในห้าเล่า? เข้าใจไหม?   พวกเขาไม่ได้ไปสวรรค์หรอก  บ้านและคฤหาสน์ของพระบิดายังคงว่างเปล่าอยู่เหมือนเดิม  ถ้าคฤหาสน์เหล่านั้นมีจริงก็ยังคงว่างอยู่เพราะยังไม่มีใครขึ้นไป

 

นอกจากนี้ ก็มีคนจำนวนมากที่เชื่อมั่นในพุทธศาสนา  อย่างน้อยก็สัก 1 ใน 6 ของโลกนี้  เพราะพุทธศาสนาก็โด่งดังมากมีคนนับถือมาก  แต่โลกของเราก็ไม่ได้มีประชากรลดน้อยลงไปเลย  ไม่ว่าจะเป็น 1/6,  1/5,  1/10 หรือหนึ่งในเท่าไรก็ตาม  แต่กลับมีประชากรเพิ่มมากขึ้นด้วยซ้ำ  มีหลายคนที่นับถือศาสนาฮินดู  อย่างน้อยพวกชาวอินเดียทั้งหลายก็น่าจะหลุดพ้นไปแล้ว  แต่เราก็ไม่ได้เห็นว่ามันเป็นแบบนั้น ชาวอินเดียยังเพิ่มปริมาณมากขึ้นๆ

 

ดังนั้น ศาสนาช่วยอะไรเราได้ล่า? ตอนนี้เธอคงจะรู้แล้วว่า ศาสนาเป็นสิ่งที่ดี  ทุกๆ ศาสนาต้องการจะช่วยผู้คนให้รอดพ้นจากความทุกข์ยาก  จากความทุกข์ทรมาน  และนำพวกเขาไปสวรรค์  แต่โลกของเรากลับมีประชากรเพิ่มมากขึ้น  มีความทุกข์ยากเพิ่มมากขึ้น  ทั้งนี้ก็เพราะแก่นแท้ของศาสนาขาดหายไป  อาจารย์ผู้รู้แจ้งขาดหายไป

 

สมัยที่พระพุทธเจ้ายังมีชีวิตอยู่นั้น  ท่านเป็นแสงของโลกนี้  ท่านเป็นแก่น  และเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของพุทธศาสนา  ดังนั้นหลังจากที่ท่านตายจากไป  เราจึงเรียกตัวเราว่า “พุทธศาสนิกชน” ซึ่งหมายความว่าเรานับถือพระพุทธเจ้า  เมื่อพระเยซูคริสต์ยังมีชีวิตอยู่  ท่านก็เป็นจุดศูนย์รวมทุกสิ่งทุกอย่างของคริสต์ศาสนา  ท่านเป็นพระคริสต์   ผู้สูงสุด    และมีอยู่ผู้เดียวในสมัยนั้น   เป็นอาจารย์ผู้สูงสุด  ดังนั้นหลังจากท่านตายจากไปหรือแม้แต่ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่  ก็มีคนเรียกตนเองว่าคริสต์ศาสนิกชน  ซึ่งเป็นเครื่องหมายว่าเขานับถือพระคริสต์  ก็เหมือนกับชาวพุทธซึ่งนับถือพระพุทธเจ้า

 

เมื่อเล่าจื๊อยังมีชีวิตอยู่  ผู้ที่นับถือท่านก็เรียกตนเองว่า ชาวหลาว  ชาวเต๋า หรือผู้นับถือเต๋า  เมื่อขงจื๊อยังมีชีวิตอยู่ก็มีคนนับถือท่าน  และแยกตัวออกจากคนอื่นๆ ซึ่งไม่มีอาจารย์  เรียกตนเองว่า ผู้นับถือขงจื๊อ  ในหมู่คนเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นลูกศิษย์ของขงจื๊อ  พระพุทธเจ้าหรือพระคริสต์  เขาก็บอกว่าเขามีอาจารย์  ส่วนคนอื่นๆ นั้นแตกต่างจากเขา  คนอื่นๆ อาจจะถือตามคำสอนอะไรบางอย่าง  แต่ไม่มีอาจารย์ที่รู้แจ้งอย่างแท้จริงเหมือนเขา  เขาจึงต้องการจะแยกตัวออกให้เห็นเด่นชัดว่าเขาเป็นลูกศิษย์ของเล่าจื๊อ  พระพุทธเจ้า  พระเยซูคริสต์  พระโมฮัมเหม็ด  ฯลฯ  พวกนี้ก็เรียกตนเองว่า  ผู้นับถือโมฮัมเหม็ดด้วยเช่นเดียวกัน

 

ดังนั้นเราจึงมีศาสนาต่างๆ มากมาย  ที่กล่าวมานี้คือ มหาอาจารย์ผู้รู้แจ้งทั้งหลาย  เช่นพระพุทธเจ้า พระคริสต์  พระโมฮัมเหม็ด  เล่าจื๊อ  ขงจื๊อ  ฯลฯ ท่านเหล่านี้คือแสงสว่างของยุคนั้น  แล้วเขาก็ทำให้ท่านเป็นที่รู้จักกันทั่วโลก  ด้วยวิธีการบางอย่าง  ด้วยเป้าหมายบางอย่าง  หรืออาศัยความช่วยเหลือของบางสิ่งบางอย่าง  เป็นการประกาศศาสนาของพวกลูกศิษย์นั่นเอง

 

ถ้าหากฉันเกิดมีชื่อเสียงแบบนั้นบ้าง บางทีฉันอาจจะมีชื่ออยู่ในประวัติศาสตร์  และบางทีคนอาจจะตั้งเป็นนิกายหนึ่งขึ้นมาก เรียกว่า “นิกายชิงไห่” หรืออะไรทำนองนั้น ดังนั้นคนก็จะรู้จักชื่อของฉันไปอีกนานหลังจากฉันตายไปแล้ว และพวกเขาก็กลายเป็นผู้นับถือนิกายชิงไห่  ผู้ถือศาสนาชิงไห่  อะไรแบบนั้น  อาจจะเป็นเช่นนั้นก็ได้ นี่แหละคือวิธีการที่พระพุทธเจ้า  พระคริสต์  ขงจื๊อ  และเล่าจื๊อ  โด่งดังขึ้นมาในประวัติศาสตร์

 

ยังมีอาจารย์ผู้รู้แจ้งที่มีชื่อเสียงอื่นๆ อีกมาก แต่พวกเขาอาจจะไม่เป็นที่รู้จักมากนัก  บางทีคำสอนของเขาอาจจะมีอยู่น้อย  ไม่มีใครเอาคำสอนของเขามาพิมพ์  ไม่มีใครประกาศข่าวสารอันสูงส่งของเขา  เขาจึงไม่ได้มีชื่อเสียงมากนัก  อาจารย์ท่านใดที่มาภายหลังพระคริสต์  พระพุทธเจ้า  เล่าจื๊อ  ขงจื๊อ  หรือพระโมฮัมเหม็ด  ก็ต้องถูกบดบังอยู่ในเงาของบุคคลเหล่านั้น เพราะท่านเหล่านี้มีชื่อเสียงไปทั่วโลก  และฝังแน่นอยู่ในใจของคนจำนวนหลายล้านคน ดังนั้นอาจารย์ท่านใดที่มาภายหลังท่านเหล่านี้  จึงต้องอ้างถึงคำพูดของท่านเพื่อที่จะแสดงว่าคำสอนของตนนั้นเป็นคำสอนที่แท้จริง   เพื่อจะพิสูจน์ว่าคำสอนในปัจจุบันนั้นสอดคล้องกับคำสอนในอดีต แต่มันก็เป็นเรื่องที่ยากมาก

 

เมื่อพระเยซูลงมาในโลกนี้  ท่านก็มีความยากลำบากในเรื่องนี้  ท่านต้องคอยอ้างถึงอาจารย์ในอดีตอยู่เสมอว่า โมเสสพูดว่าอย่างนี้ คนนั้นคนนี้เคยกล่าวไว้อย่างนั้นอย่างนี้  แล้วท่านยังยังต้องปกป้องตัวท่านและคำสอนของท่านด้วย  ท่านกล่าวว่า ดูสิ เรามิได้มาเพื่อทำลาย เราเพียงแต่มาทำให้สมบูรณ์ ท่านเพียงแต่มาเพื่ออธิบายคำสอนต่างๆ ที่เก่าแก่เหล่านั้น แต่คนในยุคนั้นก็ไม่ใจจุดมุ่งหมายของท่าน  ไม่ทราบว่าท่านเป็นใคร  คิดว่าท่านเป็นพวกนอกลู่นอกทาง  เป็นการแสดงออกของพลังทางด้านลบหรืออะไรทำนองนั้น

 

คนเราก็แปลกเหลือเกิน ผู้ที่สอนในสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์ดีงามจะเป็นพวกทางด้านลบหรือทางด้านเลวร้ายได้อย่างไรกัน? เขาจะเป็นลูกน้องของซาตานหรือของปิศาจได้อย่างไรถ้าเขาสอนคนว่า เธอต้องไม่ฆ่า  เธอต้องไม่ผิดประเวณี  เธอควรจะรักเพื่อนบ้านของเธอ เธอควรจะให้อภัยศัตรูของเธอ  ฯลฯ? เขาจะเลวร้ายได้อย่างไรถ้าเขาสอนแบบนี้? ถึงแม้ว่าเขาจะไม่มีพลังของพระเจ้าเลย  แต่ถ้าเขาสอนแบบนี้เขาก็ไม่มีทางชั่วร้ายได้เลย? ไม่ใช่หรือ? ดังนั้น บางครั้งเมื่อเราสืบสาวเรื่องราวในประวัติศาสตร์ยุคใดยุคหนึ่ง ก็จะรู้สึกประหลาดใจมากว่า ความไม่รู้หรืออวิชชาของฝูงชนนั้นบางครั้งช่างเหลือเชื่อจนไม่อาจจะเข้าใจได้จริง ๆ

 

พระพุทธเจ้าก็เช่นเดียวกัน เมื่อพระพุทธเจ้ายังมีชีวิตอยู่ ท่านสอนผู้คนว่าอย่าไร? ก็เหมือนๆ กันคือ เธอต้องไม่ฆ่า  เธอต้องไม่พูดปด เธอต้องไม่ลักขโมย เธอต้องไม่ทำร้ายผู้อื่น จงรักเพื่อนบ้านของเธอ  จงมีความเมตตามาก ๆ ฯลฯ  แต่ในสมัยพุทธกาล  ก็ยังมีหลายคนที่คัดค้านท่าน กล่าวว่าท่านเป็นพวกนอกลู่นอกทาง  นอกหนทางที่ถูกต้อง ฯลฯ ฉันจะสามารถเข้าใจความโง่เขลาหรืออวิชชาของคนจำนวนมาก  ซึ่งพบได้ไม่ว่ายุคสมัยไหน  ได้อย่างไรกัน? นี่แหละคือความยากลำบากในการนำผู้คนกลับสู่สวรรค์เพราะเขามีความคิดยึดติดอยู่ในความคิดเก่าๆ มากเหลือเกิน  มีอคติมากมาย  มีอวิชชาอยู่มาก  มีความเห็นอันโง่เขลามากเหลือเกิน  มีการยึดติดอยู่กับสิ่งเดิมๆ มีแนวคิดที่ล้าหลัง รวมทั้งไม่เข้าใจในแนวคิดเก่าๆ อย่างถูกต้อง

 

 เข้าใจแก่นแท้ของคัมภีร์

 

ถ้าหากคนเข้าใจคัมภีร์จริงๆ ก็เป็นสิ่งที่ดีแต่เขาไม่เข้าใจกัน  นี่แหละคือความแตกต่างระหว่างบุคคลที่รู้แจ้งและบุคคลที่อวิชชา ผู้ใดที่รู้แจ้งก็เป็นหนึ่งเดียวกับพระคัมภีร์  เขาจะเข้าใจคัมภีร์ได้อย่างทะลุปรุโปร่งและถูกต้อง  ส่วนผู้ที่ไม่รู้แจ้งนั้นไม่ว่าเขาจะอ่านคัมภีร์นานสักแค่ไหน  ไม่ว่าเขาจะท่องจำคัมภีร์ได้มากสักเพียงใด  เขาก็ไม่มีวันรู้อะไรเลย  แต่กลับจะติดอยู่ที่นั่น  ติดอยู่กับแนวคิดและความเชื่อที่ผิดๆ ของแนวคิดเหล่านั้น

 

ไม่ใช่ว่า คัมภีร์ทางศาสนาเป็นสิ่งที่ไม่ดี ไม่ใช่ว่าพุทธศาสนาไม่ดี  ไม่ใช่ว่าคริสต์ศาสนาไม่มีอะไรดี  ทุกศาสนาล้วนดีเลิศหมด  เพียงแต่ผู้คนไม่เข้าใจแก่นแท้ของศาสนา  ไม่เข้าใจแม้แต่ความหมายที่แท้จริงของประโยค  ยิ่งความหมายที่แฝงเร้นอยู่ในประโยค หรือสิ่งที่อยู่เบื้องหลังของประโยคต่างๆ เขาจะยิ่งไม่รู้เรื่องมากขึ้นไปอีก ยกตัวอย่างเช่น พระเยซูกล่าว่า ฉันคือแสงสว่างและหนทางของโลกนี้  ตราบใดที่ฉันมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ พวกเขาก็ติดค้าอยู่ตรงนั้น ชาวคริสต์จะกล่าวว่า  “พระเยซูเป็นแสงสว่างเพียงดวงเดียว  เป็นแสงสว่างและหนทางของโลกนี้อยู่ตลอดไป” ไม่ใช่อย่างนั้น ท่านกล่าวว่า ตราบใดที่ฉันมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ และหลังจากท่านไปแล้วท่านก็จะส่งผู้ช่วยเหลือมาหาเรา  ซึ่งหมายความว่า ยังมีคนอื่นๆ ที่กำลังจะมา ยังมีประกาศกท่านอื่นๆ อีก

 

ชาวคริสต์ส่วนใหญ่ติดค้างอยู่ตรงนั้นและเชื่อแต่พระเยซูเพียงคนเดียว การเชื่อถือพระเยซูเป็นสิ่งที่ดี  แต่เราต้องยกตัวเราให้ขึ้นไปอยู่ในระดับเดียวกับพระเยซู  จึงจะเข้าใจในสิ่งที่ท่านหมายความจริงๆ สามารถติดต่อกับท่านได้จริงๆ และจากนั้นก็ให้ท่านนำเรากลับไปสู่อาณาจักรแห่งพระเจ้า  ถ้าเราอยู่ที่นี่และพระเยซูอยู่ทางโน้นตลอดเวลา  และเราไม่ได้ติดต่อกับท่าน  ท่านก็ไม่สามารถจะช่วยใครได้  พระเยซูจะไม่สามารถช่วยอะไรเราได้เลย  ถ้าเราไม่ได้ติดต่อกับท่าน

 

ตอนที่พระเยซูยังมีชีวิตอยู่  เราสามารถติดต่อกับท่านได้อย่างง่ายดาย  เราสามารถ “ลงทะเบียนชื่อ” ของเราไว้กับท่าน  และบอกกับท่านว่า “ดูสิ พระเยซู, ฉันเชื่อมั่นในพระเจ้า, โปรดกรุณาพาฉันกลับไปบ้านด้วย” ท่านก็จะรู้  ท่านจะสัญญาว่า โอเค ใครที่เชื่อมั่นในตัวฉันก็จะได้กลับบ้าน นี่แหละคือสิ่งที่ท่านสัญญา  แต่เมื่อท่านจากโลกนี้ไปแล้ว สนามแม่เหล็กของท่านก็ถูกดึงออกไปไกลจากตัวเรา  ตอนนี้ท่านไปอยู่ในโลกอื่นซึ่งท่านไปสอนลูกศิษย์กลุ่มอื่นอยู่  อาจจะเป็นพวกที่ก้าวหน้ามากกว่าเรา  เป็นเผ่าพันธุ์ที่ดีกว่าเรา

 

ถ้าเราเชื่อมั่นในพระเยซูจริงๆ และต้องการจะเห็นท่าน เราก็สามารถไปได้  แต่เราต้องขึ้นไปถึงระดับที่ท่านอยู่ในขณะนี้  ซึ่งสิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเราปฏิบัติอย่างมานะบากบั่น  อาศัยการทำสมาธิและคำสวดอธิษฐาน  และอาศัยพระพรจากอาจารย์ที่ยังมีชีวิตอยู่  เพราะว่าผู้ที่เป็นอาจารย์  ซึ่งมีร่างกายเนื้ออยู่นั้นก็มีจิตวิญญาณด้วย  จะสามารถติดต่อได้ง่ายกว่า  แต่ผู้ที่อยู่ในสภาวะของจิตวิญญาณแต่เพียงอย่างเดียวไม่สามารถจะอยู่ในร่างกายได้ เข้าใจไหม?

 

จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมอาจารย์ที่ยังมีชีวิตอยู่  มีความสำคัญมากกว่าอาจารย์ที่เป็นเพียงจิตวิญญาณ ก็ว่าเพราะเธอมองไม่เห็น  เธอไม่สามารถจะขึ้นไปยังระดับนั้นได้  อาจารย์ที่ยังอยู่ในร่างกายก็อยู่ในวิญญาณด้วย ดังนั้นเมื่อพระเยซูยังอยู่ในโลกนี้ ท่านกล่าวไว้ว่าอย่างไร? เราและพระบิดาของเราเป็นหนึ่งเดียวกัน  ท่านยังอยู่ในโลกยังมีกายเนื้อ ต้องกิน เดิน ดื่มเหมือนคนอื่นๆ แต่ท่านกล่าวไว้ว่า เราและพระบิดาของเราเป็นหนึ่งเดียวกัน ท่านไม่ได้พูดปด ท่านพูดความจริง  เพราะว่าท่านอยู่ในร่างกายและในจิตวิญญาณ  ท่านมีเครื่องมือทั้งสองอย่างสำหรับช่วยผู้คนที่ยังอยู่ในกายเนื้อ รวมทั้งผู้คนที่เป็นจิตวิญญาณด้วย

 

พระพุทธเจ้าก็เช่นเดียวกัน เมื่อท่านยังอยู่ในกายเนื้อ  ท่านก็สามารถไปสวรรค์ได้  ท่านพาลูกศิษย์ของท่านไปยังสวรรค์ต่างๆ มากมาย ถ้าเราอ่านคัมภีร์ต่างๆ ของทางพุทธ  เราจะพบสวรรค์หลายแบบแตกต่างกันหรือดินแดนแห่งพุทธะ, อาณาจักรพระเจ้า ฯลฯ ดังนั้น ในเวลาเดียวกันท่านจึงสอนลูกศิษย์ซึ่งอยู่ในที่ต่างๆ กัน  อยู่ในระดับชั้นต่างๆ กัน  และสามารถนำคนไปยังสวรรค์ต่างๆ ได้ด้วย  นี่แหละคือพลังของอาจารย์ที่ยังมีชีวิต  อาจารย์ที่แท้จริงที่ยังมีชีวิตควรจะต้องมีพลังแบบนี้  ถ้าไม่มี ก็ไม่ใช่อาจารย์ที่มีชีวิต

 

ดังนั้น สำหรับพระเยซูแล้ว  ท่านไม่ได้มีร่างกายเนื้ออย่างเดียว หลังจากที่ท่านเสียชีวิตท่านก็กลับฟื้นขึ้นมาใหม่ ท่านบินขึ้นไปบนสวรรค์ แต่นั่นไม่ใช่ร่างกายเนื้อจริงๆ เป็นกายแสง...กายทิพย์นั่นเอง

 

คัมภีร์ไบเบิลนั้นสั้นเกินไป ประสบการณ์ต่างๆ ก็มีอยู่ไม่มากหาพบได้ยาก  ดังนั้น เราจึงไม่สามารถจะเข้าใจได้มากนักความคล้ายคลึงระหว่างประสบการณ์ของทางคริสต์ และประสบการณ์ของทางพุทธ  แต่จากที่ฉันเข้าใจ และจากประสบการณ์ของตัวฉันเอง ฉันรู้ว่าพระเยซูมีพลังแบบเดียวกับพระพุทธเจ้า  สามารถปรากฏตัวที่ไหนก็ได้เวลาไหนก็ได้  กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ท่านได้บรรลุถึงความเป็นพุทธะแล้วนั่นเอง

 

คำว่า “พระคริสต์” เป็นชื่อเรียกในภาษาฮิบบูร  ซึ่งหมายถึง “พุทธะ”  ส่วนคำว่า “พุทธะ” ก็เป็นชื่อเรียกของภาษาสันสกฤตซึ่งหมายถึง “พระคริสต์”   ความหมายของคำทั้งสองก็คือ บุคคลผู้รู้แจ้ง  นักบุญผู้รู้แจ้ง  อาจารย์ผู้มีชีวิตอยู่  องค์แห่งสัจธรรม,  แสง และการช่วยให้รอด เมื่อใดที่เธอบรรลุถึงระดับของความเป็นพุทธะหรือพระคริสต์  เธอก็จะสามารถช่วยเหลือคนจำนวนมากมายที่มาหาเธอได้ ไม่ว่าใครมาขอความช่วยเหลือจากเธอ  เธอก็สามารถช่วยเขาได้ พลังของเธอไม่มีขีดจำกัด 

 

สิ่งที่ยากมีอยู่เพียงอย่างเดียวคือ คนที่มาหาเธอจะมีอยู่ไม่มาก  ไม่ใช่มากันหมดทั้งโลก  เพราะคนส่วนใหญ่จะถูกปกคลุม  บดบังด้วยอวิชชาของตน  ด้วยความเข้าใจผิดๆ ว่าพุทธะต้องเป็นเช่นนั้น  พระเจ้าควรจะเป็นเช่นนี้ มีภาพหลอนมากเกินไป  ยึดอยู่กับหลักทฤษฏีคำสอน และความเชื่อที่ดันทุรังมากเกินไปทำให้คนเหล่านั้นอยู่ไกลจากองค์ความจริงที่ยังมีชีวิตอยู่  ถ้าเธอนับถือพุทธศาสนา  เธอก็จะติดอยู่กับพุทธศาสนา  และเอาแต่สวดอธิษฐานต่อพระพุทธรูป  โดยหวังว่าเธอจะได้รับความรอดหลังจากเธอตายไปแล้ว

 

ถ้าเธอมีความจริงใจอย่างแท้จริง เธอก็คงได้รับแน่นอน  ถ้าเธอเรียกชื่อท่านอมิตาภพุทธซ้ำไปซ้ำมาอย่างจริงใจจริงๆ ความบริสุทธิ์ในก้นบึ้งของหัวใจของเธอก็จะเข้าถึงวิญญาณของท่าน  และท่านจะช่วยให้เธอหลุดพ้นได้หลังจากที่เธอตายไปแล้ว เรื่องนี้ไม่ต้องสงสัยเลยหรือแม้แต่ในชีวิตนี้ก็ยังได้  แต่มีน้อยคนนักที่จะมีความบริสุทธิ์ด้วยตนเองได้มากถึงขนาดนั้น ดังนั้น พุทธะ พระคริสต์  หรือบรรดานักบุญจึงต้องลงมาในโลกนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า  เพื่อปรากฏตัวอยู่ในร่างกายให้พวกเขาเห็น  จะได้ติดต่อโดยตรงกับคนเหล่านั้น  และช่วยพวกเขาให้กลับไปบ้านได้

 

ดังนั้น เราจึงเห็นได้ว่า ในยุคสมัยต่างๆ จึงมีพระพุทธเจ้าลงมา  พระคริสต์ลงมา  พระโมฮัมเหม็ดลงมา ฯลฯ บุคคลเหล่านี้เราเรียกว่าประกาศก  หรือผู้สื่อข่าวสารของพระเจ้า  เขาเป็นผู้สื่อข่าวสารของพระเจ้าจริง ๆ เขาสามารถติดต่อกับพระเจ้าในสวรรค์  และติดต่อกับโลกนี้ได้ด้วย ก็เหมือนกับเธอเป็นเจ้านายใหญ่ในบริษัทขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง  เธอมีสำนักงานอยู่ทุกแห่ง  มีตัวแทนอยู่ทุกแห่ง  และตัวแทนเหล่านั้นก็สามารถดูแลปัญหาต่างๆ ของผู้คน เมื่อคนเหล่านั้นมาที่บริษัทของเธอ  แต่ถ้าเธอไม่มีตัวแทนอยู่ในออสเตรเลีย  ยกตัวอย่างนะ ก็จะเป็นการยากที่คนจะรู้ว่าตัวเธออยู่ในเยอรมันหรือในอเมริกา...ยากที่จะรู้ว่าบริษัทของเธอขายโน่นขายนี่อยู่ในอเมริกา  และการมีปัญหาจุกจิกเล็กๆ น้อยๆ มากมายนั้น เธอจะต้องติดต่อโดยตรงเพื่อจะได้แก้ปัญหาเหล่านั้นได้

 

ดังนั้น ผู้สื่อข่าวสารของพระเจ้าหรือที่เรียกว่านักบุญผู้รู้แจ้งก็คือตัวแทนของพระเจ้านั่นเอง  ถ้าเราได้ติดต่อกับท่าน  เราก็ได้ติดต่อกับพระเจ้า  และเป็นการติดต่อสายตรงเลย     เวลาเราได้รับการรู้แจ้ง  เราก็จะสร้างสวรรค์แห่งใหม่ขึ้นมา  และเวลาเราทำความผิดหรือทำบาปเราก็สร้างนรกแห่งใหม่ขึ้นมา  อย่าคิดว่ามีนรกอยู่แล้วรอคอยให้เราตกลงไป  ไม่ใช่อย่างนั้น เราเป็นคนสร้างมันขึ้นมาเอง ไม่ว่าสวรรค์หรือนรกเราก็สร้างเองทั้งสิ้น

 

 จงสร้างสวรรค์อันสุดประมาณสำหรับตัวเธอเอง

 

ฉันจะเล่าเรื่องจากเทพนิยายของฮินดูให้ฟังเรื่องหนึ่ง  มีชายคนหนึ่งซึ่งร่ำรวยมาก เมื่อเขาตาย เขาก็ไปอาศัยอยู่ในคฤหาสน์ใหญ่โตสวยงามแห่งหนึ่งในสวรรค์  เขาอาศัยอยู่ที่นั่นสบายไม่มีปัญหา  ทุกสิ่งทุกอย่างสวยงาม  เป็นคฤหาสน์ทองคำสำหรับเขา  เขาอาศัยอยู่ที่นั่นหลายวัน  แต่ไม่พบใครเลย  ไม่มีใครอยู่แถวนั้นเลย  ดังนั้น เขาจึงเดินทางออกไปไกล  และคอยถามเทวดาองค์หนึ่งว่า “เกิดอะไรขึ้นกับคฤหาสน์ของฉันน่ะ? ฉันไม่มีคนรับใช้เลย  ไม่มีใครอยู่ด้วยเลย  ไม่มีญาติพี่น้อง  ไม่มีอะไรเลย  ไม่มีใครรักฉันเลย  ทำไมล่ะ?”

 

เทวดาก็ตอบว่า “ก็เพราะตอนที่เธออยู่ในโลกนั้น เธอไม่ได้รักใครเลย เธอไม่ได้ปฏิบัติต่อคนรับใช้ของเธออย่างดี ดังนั้น เธอจึงไม่มีใครอยู่ด้วยที่นี่”  ชายคนนั้นก็กลับไปยังคฤหาสน์ที่พักของเขาด้วยความทุกข์ใจอย่างมาก  และเฝ้าคิดถึงเรื่องนี้ เขากล่าวว่า “ถ้าฉันกลับมาใหม่ในคราวหน้า ฉันจะรักผู้คน จะได้ทำให้คนอยากมาอยู่กับฉัน เพราะตอนนี้ฉันเหงามาก”  ในขณะที่เขาครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่นั้น เขาก็เกิดหิวขึ้นมา  จึงเข้าไปหาอาหารในครัว แต่ก็ไม่มีอะไรอยู่ในนั้นเลย  ไม่มีเลย  แม้แต่ขนมปังสักก้อนหรือจาปาตี้สักแผ่น จาปาตี้ก็คือขนมปังของอินเดีย  ดังนั้นเขาจึงนั่งอยู่ตรงนั้น รู้สึกหิวมากและเฝ้าสวดอธิษฐานต่อเทวดาว่า “กรุณามาหน่อยเถอะฉันไม่สามารถไปหาทานได้ในตอนนี้  ฉันหิวมากเดินไม่ไหว  กรุณามาหาฉันด้วยเถิด  ฉันอยากทราบคำตอบอะไรบางอย่าง”

 

เทวดาก็รู้สึกเมตตาสงสารจึงมาหาเขา  ชายผู้นั้นถามเทวดาอีกว่า “เกิดอะไรขึ้นน่ะ?” ฉันไม่มีอาหารเลย ทำไมล่ะ? ฉันคิดว่าในสวรรค์น่าจะมีอาหารมากมาย  ฉันมาที่นี่แต่กลับต้องหิวโหย  ทำไมน่ะ?  เทวดาจึงตอบเขาว่า “เธอก็เป็นคนทำขึ้นทั้งหมดแหละ ตอนที่เธออยู่ในโลก เธอไม่เคยให้อะไรแก่ใครเลย คนที่หิวโหยมาหาเธอ เธอก็ไม่เคยให้อาหารหรือที่พักเลย ดังนั้นตอนนี้เธอก็เลยได้รับแบบเดียวกัน เธอต้องสร้างมันขึ้นมาเองจึงจะสามารถมีสิ่งเหล่านี้ได้ที่นี่”

 

โอ! ดังนั้น ชายผู้นั้นก็เริ่มรู้แจ้งขึ้นมาบ้าง กล่าว่า “เอ้อ นั่นคือสิ่งที่ฉันได้รับจริง ฉันคิดว่าคงเป็นกฎแห่งกรรมนั่นเอง”  และเขาก็ไม่มีอะไรจะดื่มด้วย  เขาจึงรู้ว่าเป็นเรื่องเดียวกัน  เพราะเขาไม่ได้หว่านอะไรไว้ในขณะที่ยังมีชีวิต  เขาจึงไม่สามารถเก็บเกี่ยวอะไรหลังจากเขาตายแล้วได้เลย  หว่านพืชอย่างไรก็ได้ผลอย่างนั้น ตอนนี้เขามีความทุกข์มาก เขาจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “ได้โปรดเถอะ กรุณาให้ผมได้มีเวลาอยู่ในโลกอีกสักหน่อยเถอะ อย่างน้อยสองสัปดาห์ก็ได้ ผมจะได้สร้างสภาพแวดล้อมให้ดีขึ้นกว่านี้  ผมจะได้มีอะไรกิน  มีอะไรดื่มบ้าง”

 

เนื่องจากความจริงใจของเขา  พระเจ้าก็ให้เขามีชีวิตอยู่ได้อีก 2 สัปดาห์  ในช่วงเวลา 2 สัปดาห์นี้  เขาก็ให้อาหาร  เครื่องดื่ม  และความรักแก่คนจำนวนมาก  ดังนั้นเมื่อเขากลับมายังพระราชวังแห่งนั้นอีกครั้งหนึ่ง เขาก็มีคนจำนวนมากมายรับใช้  และรักเขา  รวมทั้งอาหารเครื่องดื่มต่างๆ ด้วย แต่นี่เป็นเพียงเรื่องสั้นๆ เรื่องหนึ่งเท่านั้น  ในการที่จะสร้างสวรรค์อันสุดประมาณ  สวรรค์ที่คงอยู่ตลอดไป  เราจำเป็นต้องมีความมานะบากบั่น  และมีคุณธรรมมากกว่านี้มาก

 

ทีนี้เธออาจจะถามฉันว่า “ฉันมีชีวิตนี้เพียงชาติเดียวเท่านั้น ฉันจะสามารถสร้างสวรรค์อันสุดประมาณให้แก่ตนเองได้อย่างไร?” ถ้าอย่างนั้นเธอก็ต้องไปหาใครสักคนที่สร้างสวรรค์อันสุดประมาณไว้แล้ว และเธอก็ขอไปสวรรค์นั้นพร้อมกับเขา  เธอก็จะอยู่ที่นั่นได้ แต่ตามที่มีกล่าวไว้ในพุทธศาสนา  เรามีการเวียนว่ายตายเกิดอยู่หลายชาติ  เราไม่ได้มีอยู่เพียงชาติเดียว  ดังนั้น เราอาจจะเคยได้สะสมบุญกุศล  และคุณธรรมไว้มากพอแล้วที่จะไปอยู่ในสวรรค์อันสุดประมาณแบบนั้น เหมือนอย่างดินแดนอมิตาภพุทธก็ได้  ดินแดนนั้นท่านอมิตาภพุทธเป็นผู้สร้างขึ้นเอง

 

มีกล่าวไว้เช่นนั้นในคัมภีร์ไบเบิล และก็เป็นความจริง ดังนั้นเมื่อใดที่มีพุทธะผู้มีชีวิตอยู่บนโลก ก็จะมีคนแห่กันไปหาท่านเพื่อที่จะขอที่พึ่งหลบภัย เพราะพวกเขาไม่มีความมั่นใจว่าเขาจะสามารถสร้างสวรรค์ให้แก่ตนเองได้  อย่างไรก็ตาม  ผู้ที่เป็นพุทธะ  หรืออาจารย์ผู้รู้แจ้งก็จะบอกเขาว่า “นี่ เธอเป็นสวรรค์ของตัวเธอเอง เธอสามารถสร้างมันได้ด้วยระเบียบวินัยแบบนั้นแบบนี้ โดยอาศัยคุณธรรมอย่างนั้น การการบำเพ็ญอย่างนี้” เพราะว่าพระพรของพระเจ้าหรือความกรุณาของพุทธะนั้นไม่มีขีดจำกัด  ถ้าเราหันไปพึ่งท่านเพื่อหลบภัย เราก็จะได้รับสิ่งนั้น”

 

พระเจ้าหรือธรรมชาติแห่งพุทธะนั้นคือสิ่งที่เรามีอยู่ภายใน  เป็นพลังอันไร้ขอบเขตซึ่งได้ถูกมอบให้แก่มนุษย์เท่านั้น เราสามารถจะค้นพบพลังอันสุดประมาณนี้  และสร้างสวรรค์อะไรก็ได้ที่เราต้องการ  ลืมเรื่องนรกไปได้เลย  ถ้าเราไม่สร้างนรกเราก็จะไม่มีนรก  เราต้องดำเนินชีวิตตามคำแนะนำของผู้ที่เป็นอาจารย์  ไม่ไปสร้างนรกใหม่ให้แก่ตนเอง  สร้างแต่สวรรค์เท่านั้น

 

 คำถามและคำตอบ

 

: เกณฑ์ในการเลือกอาจารย์  มีอะไรบ้าง?

 

: ถ้าเธอรู้แจ้งอยู่บ้าง  เธอก็จะรู้ทันทีว่าใครกำลังพูดถึงอะไร  ถ้าอาจารย์ท่านใดซึ่งอ้างตนว่าเป็นอาจารย์ที่แท้จริง สามารถทำให้เธอมีประสบการณ์ของแสงและเสียงแห่งสวรรค์ หรือได้เห็นสวรรค์บางอย่างซึ่งอาจารย์ท่านนั้นเคยไปมาแล้ว  สามารถแบ่งปันพลังของท่านบางส่วนให้แก่เธอได้ทันที  ท่านนั้นแหละคือผู้ที่เธอเรียกได้ว่าเป็นอาจารย์ที่แท้จริง

 

นอกจากนี้อาจารย์ที่แท้จริงสามารถปรากฏตัวได้ทุกหนทุกแห่ง  ทุกเวลา  โดยไม่ต้องอาศัยวิธีการทางด้านวัตถุ  ไม่ต้องอาศัยการเดินทาง  นี่คือเกณฑ์ข้อที่สอง  แต่ก่อนที่เธอจะมาถึงจุดนี้ เธอก็ต้องเลือกอาจารย์โดยดูจากคำพูดของท่านว่าตรงกับใจของเธอหรือไม่? มีเหตุผลหรือไม่? ฉลาดเพียงพอหรือไม่? ตอบคำถามของเธอได้ทุกข้อหรือไม่?

 

ลองพิจารณาดูคุณธรรมของอาจารย์ท่านนั้น  ดูว่าท่านไม่ต้องการชื่อเสียง  เกียรติยศจริงหรือไม่? ไม่มีความต้องการอะไรเลยหรือ? นี่เป็นลักษณะภายนอก  ส่วนทางด้านภายในจะดูได้ตอนที่เธอประทับจิต  แล้วเธอก็จะรู้ว่าอาจารย์ท่านนั้นมีพลังหรือไม่

 

เมื่อเธอบำเพ็ญอย่างจริงใจ  อาจารย์จะปรากฏมาได้ทุกแห่ง ทุกเวลา เพื่อที่จะช่วยเธอ  และเป็นเช่นนั้นมากขึ้นๆ ทุกวัน มิฉะนั้นแล้ว เธอจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นอาจารย์  ถ้าเขาไม่ได้ให้เงินแก่เธอเลย เธอจะเชื่อหรือว่าเขามีเงิน? เพราะฉะนั้น ถ้าเขารู้แจ้งจริง  เขาก็ควรต้องให้แสงแก่เธอได้บ้าง  ฉันหมายถึงว่า เธอก็ต้องได้รับการรู้แจ้งด้วย

 

: ท่านช่วยกรุณาพูดถึงการนั่งสมาธิหน่อยได้ไหม?

 

: การนั่งสมาธิเป็นการฟังคำแนะนำจากพระเจ้าวิธีหนึ่ง  ฟังข้อแนะนำต่างๆ ของพระเจ้า  ทำไมเราจึงต้องนั่งสมาธิด้วยล่ะ? ก็เพื่อเป็นการสงวนเวลาไว้สำหรับฟังข่าวสารภายในได้บ้าง  ถ้าเราขออะไรบางอย่างอยู่ตลอดเวลา สวดอธิษฐานขออะไรบางอย่าง  เราก็ต้องมีเวลาสำหรับฟังบ้าง  ก็เหมือนกับที่เธอถามคำถามฉันนี่แหละ  เธอก็ต้องเงียบสักพักหนึ่ง  และพยายามฟังสิ่งที่ฉันตอบ

 

ทุกวันเราจะสวดอธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “โอ้ พระเจ้า โอ้ ท่านพุทธะ กรุณาให้สิ่งนี้แก่ฉันด้วยเถิด กรุณาบอกฉันหน่อยว่าควรทำอย่างไร ได้โปรดโน่น ได้โปรดนี่” แล้วเราก็ออกไปข้างนอก  มัวแต่วุ่นวาย ส่งเสียงดังพูดคุยอยู่ตลอดเวลา ไม่ฟังอะไรเลย  เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วการนั่งสมาธิก็ไม่ใช่อะไรอื่น เพียงแต่เป็นกระบวนการเงียบสงบภายใน  นั่งนิ่งๆ และฟังดูว่าพระเจ้าตอบคำสวดอธิษฐานของเราว่าอย่างไร พุทธะแนะนำให้เราทำอะไร ก็มีเท่านั้นแหละ  เป็นเรื่องที่ง่ายมาก เมื่อเธอถามเธอก็ต้องการคำตอบ  และเมื่อเธอต้องการคำตอบ  เธอก็ต้องเงียบและฟังดู  นี่แหละที่เรียกว่าการนั่งสมาธิ

 

: ท่านอาจารย์พูดได้หลายภาษา  และได้เดินทางไปตามที่ต่างๆ ทั่วโลก  ทำไมท่านจึงเลือกดินแดนฟอร์โมซาในการมาสอนคำสอนของท่านเป็นแห่งแรก?

 

: คนฟอร์โมซามีความจริงใจมาก  หัวใจของพวกเขาบริสุทธิ์มาก เขาสวดอธิษฐานกันจริงๆ ขอให้พระเจ้า, ให้พุทธะช่วยเขาให้หลุดพ้น  แน่ล่ะก็มีบางคนเหมือนกันที่ขอแต่เรื่องทางวัตถุ  ขอทรัพย์สมบัติทางโลก  ฯลฯ หรือเพียงขอให้สมปรารถนาของโลกเท่านั้น  แต่คนฟอร์โมซามีหัวใจบริสุทธิ์มาก เขาขอให้ฉันมาช่วยเขา  เขาขออยู่ในใจตั้งแต่ก่อนฉันเดินทางไปหาเขา เขาไม่ได้นั่งสมาธิตามวิธีของฉันหรอก เขาเพียงแต่นั่งสมาธิเท่านั้น ก็คือ เขาคงต้องนั่งนิ่งๆ เงียบๆ และเขาก็เห็นฉันปรากฏมาแล้ว  เพราะฉะนั้น พอฉันไปที่นั่นเขาก็จำฉันได้  เข้าใจไหม? หมายความว่า ฉันมีบุญสัมพันธ์กับคนฟอร์โมซามาก มันเป็นเรื่องง่ายๆ แบบนี้และอาจจะเกิดจากชาติก่อน ๆ ก็ได้ แต่จริงๆ แล้ว ผู้ที่เป็นพุทธะไม่ได้เลือกทำโน่นทำนี่  ท่านเพียงแต่บอกอะไรให้แก่เธอบางอย่าง  เพื่อให้เธอเข้าใจ  พุทธะจะมาเมื่อมีคนปรารถนาให้ท่านมา

 

: เมื่อไรโลกจะถูกทำลาย?

 

: เมื่อเราตาย  นั่นแหละคือการสิ้นโลกของตัวเรา  ไม่ว่าจะเกิดอะไรก็ตาม  สมมุติว่าฉันตายไปในวันพรุ่งนี้นั่นก็คือการสิ้นโลกของฉัน  เพราะฉันไม่สามารถจะเห็นโลกอื่นได้อีกต่อไป  ดังนั้นเราจึงไม่จำเป็นต้องกังวลว่าโลกทั้งโลกจะสิ้นสุดเมื่อไร  เพราะตัวเราก็ต้องสิ้นสุดไป ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง  ไม่ช้าก็เร็ว

 

: จะช่วยโลกให้รอดอย่างไร?

 

: เธอจะทราบเรื่องนี้หลังจากเธอรู้แจ้งเต็มที่แล้ว  ความกังวลหรือความกระวนกระวายใจทั้งหลายของเธอเกี่ยวกับโลกนี้จะหมดสิ้นไป  เธอจะมองสิ่งต่างๆ ด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปจากเดิมแน่นอน  เธอก็จะยังคงเป็นพลเมืองที่ดีอยู่  และพยายามทำสิ่งต่างๆ อย่างเต็มความสามารถ  สิ่งที่เธอทำอยู่ในตอนนี้ก็เป็นการช่วยเหลือโลกด้วยเช่นกัน  เพราะเมื่อเรานั่งสมาธิตามวิธีการที่ถูกต้อง  เราจะแผ่ความรักและแสงออกไปโดยรอบ  ซึ่งจะเกิดประโยชน์แก่คนจำนวนมาก  ในโลกนี้มีคนที่ปฏิบัติบำเพ็ญเกี่ยวกับแสงอยู่ตลอด  ไม่ว่าในยุคไหน  เพราะฉะนั้น  โลกจึงยังคงเป็นอยู่อย่างที่เราเห็นทุกวันนี้  ถ้าไม่มีใครบำเพ็ญคุณธรรมและแสงสว่างกันเลย  โลกเราก็คงกลายเป็นนรกไปแล้ว

 

ดังนั้น สิ่งที่ทำให้โลกนี้ต่างจากนรกก็คือ  มีนักบุญผู้ยิ่งใหญ่  ผู้รู้แจ้งเป็นจำนวนมากในโลก  ซึ่งเปล่งแสง  แผ่ความรัก  และพระพรออกไปโดยรอบ  และสิ่งที่ทำให้โลกนี้แตกต่างออกไปจากสวรรค์ก็คือ เรามีคนเหล่านี้เพียงจำนวนหนึ่งเท่านั้น  ไม่ใช่มีอยู่เต็มไปหมดทั่วโลก  ถ้าทุกคนทั่วโลกบำเพ็ญปฏิบัติ  โลกก็จะกลายเป็นดินแดนแห่งพุทธะ  แต่เนื่องจากเราไม่ได้บำเพ็ญปฏิบัติกันหมดทุกคน  โลกจึงยังเป็นโลกอยู่  แต่ก็ไม่ใช่นรกเพราะเรายังมีคนดีๆอยู่  รวมทั้งมีคนชั่วร้ายด้วย  นี่แหละคือความแตกต่าง  และทำให้โลกเป็นอยู่อย่างที่เราเห็น  ถ้าเธอต้องการจะช่วยเหลือโลก  ก็ต้องบำเพ็ญปฏิบัติคุณธรรม  บำเพ็ญแสง  จะสามารถช่วยได้พอสมควร

 

เรื่องสิ้นโลกหรือไม่สิ้นโลกนั้น ฉันไม่พูดหรอก  มันขึ้นกับหัวใจและความตั้งใจของผู้คนรวมทั้งพระประสงค์ของพระเจ้าด้วย เราไม่รู้หรอกว่าอะไรดีอะไรไม่ดี  ยกตัวอย่างเช่น ถ้าบ้านหลังหนึ่งเก่าทรุดโทรมมาก  อันตรายหรือไม่ปลอดภัยมากเกินกว่าที่จะอาศัยอยู่ต่อไป เธอจะยังคงเก็บรักษามันไว้ในสภาพนั้นต่อไป เนื่องจากเธอชอบของโบราณอย่างนั้นหรือ? คงไม่ใช่  เธอจะต้องรื้อมันทิ้ง  และสร้างบ้านหลังใหม่  หรือมิฉะนั้น เธอก็ต้องทำอะไรบางอย่าง เช่น จัดการบูรณะซ่อมแซมใหม่หมดทั้งหลัง

 

แผนการของพระเจ้าก็เช่นเดียวกัน  เราจะต้องรู้ถึงพระประสงค์ของพระเจ้า ไม่ว่าอะไรที่พระเจ้าปรารถนาจะทำสิ่งนั้นก็คือสิ่งที่ถูกต้อง  ยกตัวอย่างเช่น ถ้าโลกถูกทำลายล้างไปหมด  ก็ยังมีโลกอื่นๆ ที่เราสามารถอพยพไปอยู่ได้ ไม่จำเป็นต้องกังวลในเรื่องนี้

 

หลังจากที่เรารู้แจ้งอย่างเต็มที่แล้ว เราก็จะเข้าใจว่าไม่มีโลก ไม่มีผู้คน มีเพียงแต่แสง ความสุข  ความยินดี  สิ่งอื่นๆ ล้วนแต่เป็นเงาของแสงเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น ฉันอยู่ตรงนี้ แต่เงาของฉันอยู่บนกำแพง  ถ้าเธอทำลายเงานั้นก็ไม่มีความหมายอะไร  เธอสามารถเอาอะไรมาไว้ข้างหลังฉัน  แล้วเธอก็จะไม่เห็นเงานั้นที่กำแพงอีก  แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเงานั้นตายไปแล้ว  เพราะจริงๆ มันไม่ได้อยู่ที่นั่นมาตั้งแต่แรกแล้ว  มันเป็นแค่เงาเท่านั้น  แต่ตัวฉันอยู่ที่นี่ วิญญาณไม่มีวันตายเลย ความหายนะหรือความตายที่เกิดขึ้น เป็นเพียงแค่ภาพลวงตาเท่านั้น

 

: ทำไมบางครั้งเราสวดอธิษฐานแล้ว เราได้รับการตอบสนองจากพระเจ้า  แต่บางครั้งเราก็ไม่ได้รับการตอบสนองเลย?

 

: ที่เป็นเช่นนั้นเพราะความจริงใจของเราแตกต่างไป  ความตั้งใจในการสวดอธิษฐานของเรา ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของเรา  เธอควรจะต้องรู้ว่า พระเจ้า เทพเจ้า เทพธิดา หรือพุทธะล้วนอยู่ภายในตัวของเรา  ดังนั้นเมื่อเราสวดอธิษฐาน  ถ้าเราตั้งใจสวดอธิษฐานจริงๆ ด้วยความจริงใจ  คำอธิษฐานของเราจะสัมผัสกับปัญญาส่วนที่ลึกที่สุด  พลังในส่วนที่ลึกที่สุดสัมผัสกับกับพระเจ้าผู้ทรงสรรพานุภาพ  ถ้าเป็นเช่นนั้นเราก็จะได้รับการตอบสนอง แต่ถ้าเราไม่ได้สัมผัสกับส่วนลึกๆ ภายใน  สิ่งนั้นก็ไม่ปรากฎเป็นจริงขึ้นมา

 

ก็เหมือนกับฝนที่ตกไม่หนักมาก  เราเพียงกางร่มหรือใส่เสื้อฝนบางๆ ก็สามารถกันไม่ได้เราเปียกหรือหนาวได้แล้ว  แต่ถ้าฝนตกหนักมาก  และยังมีลมแรง  ถึงแม้บางครั้งเราใส่เสื้อฝน  เสื้อก็ยังถูกลมพัดปลิวไปได้  ดังนั้น  ความตั้งใจในการสวดอธิษฐานของเราคือสิ่งที่ทำให้เกิดผลขึ้นมา  เป็นสิ่งที่ทำให้เราได้รับคำตอบหรือไม่ได้รับ

 

: พลังสร้างสรรค์ทางลบมาจากไหน? มาจากพระเจ้าหรือ? ทำไมพระเจ้าจึงยอมให้สิ่งนี้เกิดขึ้น

 

: มันเหมือนกับโรงละคร  มีทั้งแง่ลบและแง่บวก นี่แหละคือความสนุกละ มิฉะนั้นมันก็ไม่สนุก  อย่างเช่นโลกนี้มีทั้งกลางวันกลางคืน  กลางคืนมีไว้สำหรับให้เราได้พักผ่อน  กลางวันมีไว้ให้เราได้ตื่นตัวและทำงาน  ที่ฉันต้องการจะพูดก็คือ เราจำเป็นต้องมีเวลาสำหรับพักผ่อน  ถ้าเรานอนไม่หลับสักสองสามวันเราจะรู้สึกแย่มาก  ดังนั้น กลางคืนจึงมีไว้ให้ทุกสิ่งทุกอย่างพักผ่อนนอนหลับ  และบูรณะฟื้นฟูขึ้นมาใหม่

 

ฤดูหนาวก็เช่นเดียวกัน  เธอคงเห็นใบไม้ร่วงหล่นลงมาหมด  ทุกสิ่งทุกอย่างดูแห้งแล้งและแย่มาก  แต่กลับฟื้นคืนพลังขึ้นมาใหม่ในฤดูใบไม้ผลิ  เพราะฉะนั้นมันจึงต้องการการพักผ่อน ทุกสิ่งทุกอย่างถูกสร้างขึ้นมาตรงข้ามกัน  สร้างเป็นคู่  เพื่อให้เสริมซึ่งกันและกัน ดังนั้นเราจึงไม่ต้องกลัวพลังทางด้านลบ  เราควรจะต้องรู้ว่ามันทำงานอย่างไร  เพื่อจะได้ควบคุมมันได้ ไม่ตกเป็นเหยื่อของมัน

 

นี่แหละคือเหตุผลที่เราต้องรู้แจ้ง ไม่ใช่ว่าเรารู้แจ้งแล้วเราจะต้องหลีกเลี่ยงพลังงานทางด้านลบหรือต้องเกลียดพลังทางลบหรือพลังแห่งมายา  ฯลฯ   ไม่ใช่แบบนั้น  การรู้แจ้งเป็นการรู้และเข้าใจตลอดทั้งบวกและลบ  แล้วจึงสามารถทำให้มันสอดคล้องกลมกลืนกัน  และดำเนินไปได้ เราจะฝ่าทะลุทั้งบวกและลบด้วยซ้ำ ฝ่าทะลุความ “ไม่มีลบ” และ “ไม่มีบวก” ไปสู่สิ่งสูงสุด ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างกลมกลืนผสมผสานสอดคล้องกัน ไม่มีการแยกแยะระหว่างบวกกับลบเหมือนที่นี่ ทุกสิ่งทุกอย่างมาจากพระเจ้า ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนดีหมด ในความเป็นจริงนั้นมันเป็นแค่การแสดง  เป็นการเสริมซึ่งกันและกัน

 

: ผมเป็นจิตแพทย์และทำวิจัยเกี่ยวกับโรคทางจิต ยังมีคำถามมากมายที่ต้องการคำตอบ เช่น ทำไมบางครอบครัวจึงเกิดโรค สคิสโซฟรีเนีย (Schizophrenia) ซึ่งถ่ายทอดต่อๆ กันมาภายในครอบครัว เรื่องนี้อธิบายด้วยกฎแห่งกรรมได้อย่างไร?

 

คำถามข้อที่ 2 คือ  หลังจากรู้แจ้งแล้ว นักวิทยาศาสตร์มีสิทธิ์ที่จะถามว่า มีคำตอบที่รวดเร็วกว่าจากเบื้องบนเพื่อตอบคำถามเหล่านี้หรือไม่? หรือว่าเขายังต้องใช้วิธีทางวิทยาศาสตร์ต่อไปในการค้นหาคำตอบเหล่านี้?

 

: มีคำตอบซึ่งรวดเร็วกว่าการวิจัยทางวิทยาศาสตร์

 

: และมันสามารถเกิดขึ้นได้โดยตรง หรือเราสามารถหวังให้มันเกิดขึ้นได้?

 

: ใช่ เกิดได้โดยตรง  โดยสัญชาตญาณ  เธอคงทราบว่าเรามีสมองซึ่งเราใช้มันแค่ห้าเปอร์เซ็นต์เท่านั้น  เรื่องนี้ทุกคนทราบดีรวมทั้งนักวิทยาศาสตร์ด้วย  เพราะฉะนั้นจึงยังมีอีก 95 เปอร์เซ็นต์นอนอยู่เฉยๆ ซึ่งมีพลัง  มีข้อมูลและมีความสามารถมาก  เมื่อเธอปลุกพลังสมองของเธอให้มีความสามารถเต็มที่  เธอก็จะได้คำตอบทุกอย่าง  ซึ่งเธออาจจะต้องใช้เวลาทำวิจัยนานหลายๆ ปีทีเดียวกว่าจะได้คำตอบเหล่านี้  และบางครั้งหลังจากวิจัยมาแล้วหลายปียังอาจได้คำตอบผิดๆ ด้วยซ้ำ

 

บางครั้งนักวิทยาศาสตร์พิสูจน์ว่าสิ่งนี้ถูกต้อง  ในปีถัดไปก็พิสูจน์ออกมาอีกทางหนึ่ง  และปีถัดๆไปก็ออกมาอีกแบบหนึ่ง  เพราะว่าเราใช้พลังอันจำกัด  แทนที่จะใช้พลังทั้งหมด  ดังนั้นวิธีการของการู้แจ้งนั้นไม่ใช่อะไรใหม่  ไม่ใช่สิ่งลี้ลับอะไร  เพียงแต่เป็นการปลุกความสามารถทั้งหมดของเธอออกมา  ปลุกพลังสติปัญญาทั้งหมดออกมา  ซึ่งมันยังมีเหลืออีกเก้าสิบห้าเปอร์เซ็นต์  ดังนั้นเธอจะได้รับคำตอบอย่างรวดเร็วจากการนั่งสมาธิ

 

:  ครับ  อีกคำถามหนึ่งก็คือ  เราทราบดีว่ามีโรคหลายชนิดถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์  เรื่องนี้จะอธิบายด้วยกฎของการชดใช้กรรมอย่างไร?

 

: คนที่ได้รับถ่ายทอดโรคนี้มา  ก็มีความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์ซึ่งกันและกันในชาติก่อนๆ อาจจะด้วยการมีเป้าหมายเดียวกัน  มีการกระทำบางอย่างร่วมกันหรือเหมือนๆ กัน ร่วมกันทำอะไรบางอย่าง  ร่วมกันคิดอะไรบางอย่าง และร่วมกันถ่ายทอดอะไรบางอย่าง  เนื่องจากเขยังผูกพันรักใคร่ซึ่งกันและกัน  เขาจึงยังอยู่ใกล้กัน  กลับมาเป็นลูกชายและลูกสาว  และได้รับผลจากอดีตถ่ายทอดมา  เรื่องนี้เกิดขึ้นโดยอาศัยความรัก  และการผูกพันซึ่งกันและกัน  นอกจากนี้ในชาติก่อนๆ เขาทำสิ่งต่างๆ ร่วมกัน  ทำสิ่งซึ่งให้ผลอย่างเดียวกัน  ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากกรรมทั้งสิ้น  ไม่มีข้อยกเว้น

 

: คนที่อาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา  ซึ่งเป็นประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลกนั้น  เขาเคยมีชีวิตที่รู้แจ้งมากในชาติก่อนๆ ใช่ไหม

 

: ชีวิตในอดีตเขาทำบุญไว้มาก  ไม่จำเป็นว่าจะต้องรู้แจ้ง  ความร่ำรวยกับการรู้แจ้งนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง  เธออาจจะรวยแต่ไม่รู้แจ้ง  เธออาจจะจนแต่รู้แจ้งก็ได้นี่เป็นเรื่องจริง  เธอจะเชื่อเมื่อเธอได้เห็น  หลังจากเธอบำเพ็ญสักระยะหนึ่ง  บำเพ็ญสมาธิ...บางอย่าง  ไม่จำเป็นว่าใช้วิธีการเดียวกับฉันก็ได้  เธอก็อาจเข้าถึงความทรงจำในอดีต  และเธอยังจะได้เห็นด้วยตัวของเธอเอง  ว่าโครงสร้างเรื่องกรรมของโ,กนี้ทั้งหมดเป็นอย่างไร  ทำไมบางแห่งจึงยากจน  ทำไมบางคนจึงร่ำรวย  เธอจะเห็นได้ชัดเจนเหมือนกับการอ่านหนังสือหรือดูภาพยนตร์

 

ทุกสิ่งทุกอย่างถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ของกาลเวลาและสถานที่  ไม่มีอะไรถูกลบล้างไปเลย  ไม่มีอะไรสูญหาย  ทุกอย่างแสดงออกมา  และรวมตัวกันอยู่ในรูปแบบของพลังงานอย่างหนึ่ง  และถูกบันทึกไว้ในระดับชั้นของจิตสำนึกที่ต่างไป  เราสามารถจะเห็นได้ด้วยตัวของเราเองด้วย  และเราก็จะไม่มีความสงสัยอีกต่อไป ถ้าเธอจะโต้แย้งกับฉันจนถึงพรุ่งนี้  เธอก็ยังจะสงสัยอยู่ดี  เพราะเธอไม่ได้เห็นจริงๆ ดังนั้น ข้อเสนอของฉันก็คือ ฉันขอเชิญให้เธอเข้ามาในอาณาจักรสวรรค์  อาณาจักรแห่งความรู้ที่มองไม่เห็นและค้นพบด้วยตัวของเธอเอง