Master's Says

เรารู้แจ้งอยู่เสมอมาก่อน และจะรู้แจ้งเสมอ

ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่  
ซานฟรานซิสโก แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา
27 พฤศจิกายน 2536 (ต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ) วิดีทัศน์#397

ความอยากรู้อยากเห็น

เป็นสภาพธรรมชาติของจิตใจ

พวกเราส่วนใหญ่มีคำถามมากมาย และไม่สำคัญว่าเราจะได้รับคำตอบมากมายเพียงไร เราก็ยังคงมีคำถามมากขึ้น เมื่อเราเป็นเด็ก เราถามคำถามมากมายกับพ่อแม่ของเรา คำถามบางคำถามก็ไม่เคยได้รับคำตอบเลย และเมื่อเราโตขึ้นเราก็ถามคำถามมากมายกับครู เพื่อนของเรา และผู้ที่ฉลาดหลากหลายคนเช่นกัน ซึ่งบางคำถามก็ไม่เคยได้รับการตอบด้วย ตัวฉันเองก็เหมือนกัน ก็มีคำถามมากมาย จนกระทั่งฉันรู้แจ้ง และในตอนเริ่มต้นแห่งการรู้แจ้งของฉัน ฉันก็ยังคงมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องที่ไม่สำคัญมากๆ แต่หลังจากผ่านไปเป็นเวลานาน ฉันจึงเข้าใจคำถามเหล่านี้

คำถามบางคำถามที่เราถามตัวเราและพยายามยึดติดกับมัน เป็นคำถามที่ไม่สำคัญมากและสิ่งนี้สร้างความยุ่งยากให้กับเรา แต่ไม่เป็นไร เพราะไม่ช้าก็เร็วความเกี่ยวข้องเหล่านี้จะจางหายไป เมื่อเราเติบโตมากขึ้นทางจิตวิญญาณ เราก็จะสงบนิ่งมากขึ้นในทรรศนะของเราเกี่ยวกับชีวิต ดังนั้นเมื่อมีคนมาถามคำถามมากมาย ฉันก็จะพยายามอย่างดีที่สุดที่จะทำให้พวกเขาพอใจ แต่มันก็ยังคงยากอยู่ดีที่บางคนจะเข้าใจคำตอบทั้ง ๆ ที่เรามีเจตนาที่ดีที่สุด เป็นเพราะว่า พวกเขาใช้ความเข้าใจอันมีขีดจำกัดของพวกเขาเพื่อพยายามจะเข้าใจบางอย่างที่อยู่เหนือความเข้าใจนั้น

ฉันเองก็เคยมีคำถามมากมายเหมือนกัน ฉันจึงเข้าใจผู้ที่มาหาเราและถามคำถามเป็นอย่างดี ดูเหมือนว่าพวกเขาไม่เคยได้รับคำตอบที่เพียงพอเลย แต่นั่นก็เป็นลักษณะของจิตนั่นเอง เรารู้สึกอยากรู้อยากเห็นอยู่เสมอ เพราะจิตมันอยากรู้เสมอ เหตุนี้ทุกๆ วันมันจึงรวบรวมข้อมูลมากมายไม่ว่าจะดีหรือเลว จิตไม่มีพลังที่จะเข้าใจ และความทุกข์ ความไม่พึงพอใจ อุปทานและความแบ่งแยกในหมู่พวกเรา และในเรื่องต่างๆ ในชีวิต ส่วนมากแล้วก็มาจากธรรมชาติอยากรู้อยากเห็นของจิตนี้เอง ซึ่งรับเอาข้อมูลสารพัดชนิดเข้าไปเป็นเจ้าของมัน และทำให้มันกลายเป็นของ ๆ มัน
 

เราควรพิจารณาอย่างระมัดระวังก่อนที่จะเชื่อ

ดังนั้น เราจึงควรระวังในเรื่องที่เราอ่านและได้ยิน เพราะถ้าเราไม่จำแนกแยกแยะให้ดี ความคิด หลักธรรม ปรัชญาของผู้อื่น ซึ่งบางครั้งก็ไม่ค่อยจะถูกต้องนัก จะจมเข้าสู่ความคิดของเราและกลายเป็นของเรา แล้วเราจะคิดว่าเป็นตัวเราที่คิดแบบนี้ ที่ยอมรับเรื่องนี้ เรื่องนั้นและเรื่องอื่นๆ แล้วต่อมาเมื่อข้อมูลอื่นๆ เข้ามาสู่เรา ซึ่งถูกต้องกว่าและเป็นประโยชน์กว่า เราก็จะปฏิเสธหรือสงสัยมัน เพราะเราได้บันทึกความคิดหรือทฤษฎีบางอย่างเข้าไปแล้ว ซึ่งคล้ายกับจะขัดแย้งข้อมูลใหม่นั้น

และนี่ก็คือหนึ่งในปัญหาต่างๆ ที่เราเผชิญในชีวิตของเราและในโลกที่ได้ให้กำเนิดสิ่งต่างๆมากมาย เช่น ความเกลียดชัง ความแบ่งแยก ความขัดแย้งระหว่างศาสนา ระหว่างชาติ ระหว่างเพื่อนบ้านและผู้คน ดังนั้นไม่ว่าทฤษฎี หรือคำสอน หรืออุดมการณ์ใดๆ ที่เรารับเข้าไว้ ้อย่างแรกหรืออย่างน้อยที่สุดเราควรตรวจสอบว่า มันมีมูลไหม มีประโยชน์ในชีวิตประจำวันของเรา หรือมีประโยชน์ต่อความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณของเราหรือไม่ มิฉะนั้นแล้ว เราจึงมีความยุ่งยากมากมายในการดิ้นรนต่อสู้ระหว่างอุดมการณ์ต่าง ๆ กลุ่มต่าง ๆ หรือระบบความคิดต่าง ๆ

เราไม่ควรเชื่อถือเรื่องใด โดยปราศจากการพิจารณาหรือข้อพิสูจน์ เราต้องพิสูจน์ทุกเรื่อง แม้กระทั่งเรื่องทางจิตวิญญาณ เพราะมันเป็นวิทยาศาสตร์ มันเป็นวิทยาศาสตร์ที่สูงที่สุด แต่มันก็ยังคงเป็นวิทยาศาสตร์ มหาอาจารย์ในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต คือนักวิทยาศาสตร์ที่รู้สิ่งต่าง ๆ มากมายเกี่ยวกับจักรวาล ซึ่งคนธรรมดาอย่างเรา ๆ อาจจะรู้สึกว่ายากที่จะเข้าใจหรือเชื่อ แต่พวกท่านก็ได้สอนเราหรือชี้ทางให้แก่เราเข้าสู่วิทยาศาสตร์นี้ เพื่อว่าต่อมาตัวเราจะได้กลายเป็นอาจารย์หรือครูด้วยเช่นกัน อย่างน้อยที่สุดก็เป็นนายของตัวเราเอง เพราะการเป็นนายของตัวเราเป็นงานที่ยากที่สุด และการที่จะทำสิ่งนั้นได้ เราจะต้องมีพลังที่แข็งแกร่งที่สุด ซึ่งก็คือพลังของพระเจ้าหรือสติปัญญาของจักรวาล ซึ่งเรามีอยู่แล้ว

เมื่อพระเยซูยังมีชีวิตอยู่บางคนก็กล่าวหาว่าพระองค์โกหกและหมิ่นประมาท เพราะพระองค์ตรัสว่า พระองค์เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า เป็นบุตรของพระเจ้า และพระองค์กับพระบิดาเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่เราได้ลืมไปแล้ว และแม้กระทั่งในปัจจุบันนี้ผู้คนก็ยังคิดกันแบบนี้ เราได้ลืมไปว่า ไม่มีสิ่งใดและไม่มีผู้ใดที่อาศัยอยู่ในวิหารนี้นอกจากพระเจ้า


วิญญาณไม่เคยกลับชาติมาเกิดใหม่
 

“ฉัน” ที่เราถือว่าเราเป็น ไม่เคยมีตัวตนจริง ๆ เพราะแรกเริ่มที่เราเกิดขึ้นมา เราก็ไม่รู้อะไรมากนัก เราไม่มีแม้กระทั่งชื่อ ดังนั้น เราไม่มีแม้กระทั่ง “ฉัน” เพราะถ้าเราสรุปรวมเป็น “ฉัน” ที่มีมานับแต่เราเป็นเด็กทารก แล้วอะไรล่ะที่เธอเรียกว่าเป็น “ฉัน” หรือ “ของหล่อน” หรือ “หล่อน” หรือ “เขา”? มันคืออะไรล่ะ? เธอสามารถพิสูจน์ว่า เด็กทารกเป็นตัวตนใด ๆ ที่เราเรียกว่า “ฉัน” หรือ “เขา” หรือ “หล่อน” ได้ไหม?

เมื่อเราโตขึ้น เราก็ได้รับความรู้มากมายจากครู ญาติ หรือเพื่อนๆ แล้วเราก็เริ่มมีรูปพรรณ กลายเป็นบุคคลแต่ละคน อาจจะเป็นคนที่ถูกบรรยายว่า เป็นคนขี้โมโห มีบุคลิกลักษณะที่หงุดหงิดขี้โมโห หรือ “หล่อน” ที่เต็มไปด้วยความรัก หรือเป็นบุคคลที่ฉลาด แต่บุคลิกที่ฉลาดเต็มไปด้วยความรัก ขี้โมโห มีตัณหา หรือโลภ เหล่านี้มาจากไหน? เราไม่ได้เกิดมาพร้อมกับสิ่งเหล่านี้ มันไม่ได้เป็น “เขา” ที่เกิดมาในตอนเริ่มต้น มันเป็นเพียงสิ่งที่ใส่เข้าไปที่เราเก็บเข้ามา และกลายมาเป็นตัวเรา

ดังนั้น ทฤษฎีการกลับชาติมาเกิดใหม่ จริงๆ แล้วไม่ควรนำไปสอนคน เพราะเราไม่มีรูปพรรณที่กลับชาติมาเกิดใหม่ บางทีสิ่งที่กลับชาติมาเกิดใหม่อาจจะเป็นแนวโน้มนี้ ที่จะยึดเกาะกับข้อมูลนี้ที่เราได้มาไม่ว่าจะดีหรือเลว จากนั้น แนวโน้มที่ยึดเกาะนี้ก็ไปหาเครื่องมืออันแล้วอันเล่า เพื่อทำความพอใจ ให้กับความปรารถนาที่เราไม่ได้รับจากสิ่งที่เรียกว่าการเกิดในครั้งก่อน ๆ

ดังนั้นหลังจากที่ความรู้ ปัญญา หรือตัวตนแห่งพระเจ้าที่อาศัยอยู่ในร่างกายนี้ ออกจากวิหารนี้ไปแล้ว เขา หล่อน หรือมันก็จะผ่านต่อไปยังวิหารอันอื่น เหมือนกับการที่เราไปจากโบสถ์หนึ่งสู่อีกโบสถ์หนึ่ง เราเป็นบุคคลคนเดียวกัน อันที่จริงไม่มีตัวตนหนึ่ง ๆ ที่ดำรงอยู่ในจักรวาล แต่เป็นมวลของพลังงานทั้งก้อนในสนามแห่งความรัก ซึ่งบางครั้งก็แบ่งออกเป็นส่วนต่าง ๆ

เหมือนกับกระแสไฟฟ้าที่อยู่ในหลอดไฟและในสายไฟ มันผ่านไมโครโฟน ซึ่งมีรูปร่างแตกต่างออกไป มันเข้าไปในตู้เย็น ซึ่งมีรูปร่างแตกต่างออกไป และเข้าไปในพัดลมไฟฟ้า ซึ่งมีรูปร่างแตกต่างออกไป แต่กระแสไฟฟ้าที่อยู่ภายในเป็นชนิดเดียวกัน ในทำนองเดียวกัน เราไม่เคยถูกแยกออกจากผู้สูงสุด พลังสูงสุดเลย เราเป็นผู้สูงสุดอยู่เสมอ แต่เป็นเพราะแนวโน้มของเราที่รับเอาข้อมูลเข้ามา และนิสัยที่เราเก็บมาจากสิ่งแวดล้อม และจากสภาพการณ์ต่าง ๆ ของเรา เราจึงมีความเป็นแต่ละบุคคล มีตัวตนที่คิดว่า ตัวเองแยกออกมาจากส่วนรวม

ดังนั้นหลังจากที่เรารู้แจ้งแล้วด้วยความพยายามของเราเอง หรือโดยผ่านเพื่อนทางจิตวิญญาณ เราก็จะมองเห็นสิ่งต่างๆ ในลักษณะที่แตกต่างออกไป แล้วแม้กระทั่ง เราจะยังคงมีเปลือกของความเป็นแต่ละบุคคล เราก็รู้ว่า เราไม่ใช่สิ่งนั้น และในเวลานั้น คำตอบทั้งหลายของเราก็จะปรากฏขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ หรือไม่เราก็จะไม่มีคำถามอีกต่อไป นั่นคือสิ่งที่ดีที่สุด เพราะการไม่มีคำถามคือคำถามที่ดีที่สุด! เมื่อเรารู้แจ้ง เราก็จะลอยขึ้นไปเหนือตำแหน่งแห่งความดีและความเลว ตำแหน่งของธรรมดาแห่งความแบ่งแยกของจิต แล้วเราก็จะเข้าใจ “อา! นั่นเป็นเพียงเปลือกของฉัน เสื้อผ้าของฉัน ฉันอยู่ที่นี่” มันแตกต่างกัน

ยิ่งเราผูกยึดตัวเรากับความรู้ทางวัตถุ และความเป็นเจ้าของทางวัตถุ เราก็จะยิ่งรู้น้อยลงว่าเรายิ่งใหญ่เพียงไร บางคนที่มีความรู้ทางสติปัญญาพบว่า การนั่งสมาธินั้นยากกว่า และยากยิ่งขึ้นที่จะได้รับปัญญาที่สูงขึ้นกว่าผู้ที่ได้รับการศึกษาน้อยกว่า เพราะผู้คนเหล่านี้มีสิ่งต่าง ๆ ที่จะถูกชำระออกไปน้อยกว่า ที่จะคลายความยุ่ง หรือแก้ปมน้อยกว่า ก็เหมือนกับบ้านของเรา เมื่อมีสิ่งของมากมายเกินไปภายในบ้าน ก็จะใช้เวลานานกว่าในการเก็บกวาด เพื่อจะนำเฟอร์นิเจอร์ใหม่ ๆ เข้าไป แต่ถ้าเรามีของเพียงไม่กี่ชิ้นก็จะรวดเร็วกว่า
 

ผูกมิตรกับจิตของเธอ

ดังนั้นจึงง่ายมากที่จะเชื่อว่า เราสามารถได้รับการหลุดพ้นในชาติเดียว เพราะความจริงเราหลุดพ้นอยู่แล้ว เราได้หลุดพ้นอยู่เสมอมาก่อน และเราจะหลุดพ้นเสมอ สิ่งที่ทำให้เรา รู้สึกถูกผูกมัดไว้ หรือไม่เป็นอิสระก็คือ แนวโน้มที่จะยึดเกาะกับความรู้ หรือนิสัยที่เราเรียกว่า “ฉัน” เพื่อเราจะลืมมองดูของแท้ ฉันคิดว่า พวกเธอหลายคนเข้าใจเรื่องนี้ ความจริงผู้รู้แจ้งหรือผู้ที่ฉลาด มีระดับสูง ไม่จำเป็นต้องได้รับการสอนหรืออธิบายมากมาย เพียงคำ 1 คำหรือ 1 ประโยคก็พอแล้ว และนั่นก็เป็นการรู้แจ้งฉับพลันชนิดหนึ่งเหมือนกัน เราได้รู้แจ้งอยู่เสมอมาก่อน และเรารู้แจ้งอยู่เสมอ เพียงแต่มันคลุมเครือนิดหน่อยเท่านั้นเอง มันไม่ง่ายที่จะเข้าใจความคิด นามธรรมเหล่านี้ ด้วยคำเรียบง่ายธรรมดา ๆ แต่เมื่อเราเข้าใจเรื่องนี้ มันจะอยู่ลึกๆ ภายในตัวเรา และกลายเป็นส่วนหนึ่งของเรา แล้วเราจะรู้สึกสบาย ๆ และเบิกบาน

แต่นั่นเป็นเพียงหนึ่งในการรู้แจ้งทางสติปัญญาเท่านั้น ในการทำสมาธิแบบเซน บางครั้งพวกเขาก็เรียกมันว่า “การรู้แจ้งทันที” หรือ “การรู้แจ้งฉับพลัน” เพราะคำ ๆ เดียวจากครูสามารถทำให้เธอเป็นอิสระได้ส่วนหนึ่ง หรืออาจจะปลดปล่อยให้เธอเป็นอิสระได้อย่างมากหรือทั้งหมด แล้วทำไมเราจึงต้องทำสมาธิ หลังจากที่เรารู้แจ้งแล้ว หรือหลังจากที่เราเข้าใจแล้วในสิ่งที่อาจารย์หรือครูต้องการพูด? เป็นเพราะว่า เรามีนิสัยมากมายเกินไปและความรู้มากมายเกินไปจากอดีต ดังนั้นครั้งเดียวจึงไม่พอเพียงที่จะทำให้เราเชื่อว่าเรารู้แจ้ง พรุ่งนี้หรือวันต่อมาเราอาจจะลืมมันก็ได้

ดังนั้นเราจึงต้องซ้ำประสบการณ์แห่งการรู้แจ้งครั้งแล้วครั้งเล่า จนจิตของเรายอมรับมันด้วย มันไม่พอที่วิญญาณ ตัวตนอันแท้จริงจดจำตัวมันเองได้ เพราะยังไงตัวตนก็รู้จักตัวตนอยู่แล้ว ตัวตนอันยิ่งใหญ่ของเรารู้จักตัวของมันเองอยู่แล้ว แต่เป็นเพราะว่า เราอยู่ในโลกนี้ เราต้องทำทุกอย่างด้วยเครื่องมือ ซึ่งก็คือจิตหรือคอมพิวเตอร์ นั่นคือเครื่องมือที่เราต้องใช้สำหรับการทำงานในโลกนี้ สำหรับการนำพระพร และพลังแห่งความรักมาสู่สภาพแวดล้อมที่ยุ่งเหยิงสับสนของเรา เพื่อทำให้โลกนี้ดีขึ้นสำหรับลูก ๆ ของเราและอีกหลายชั่วอายุคนที่จะตามมา

จิตเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังมาก มันคือสิ่งที่ขัดขวางเราชาติแล้วชาติเล่า เพื่อทำให้เราไม่สามารถรู้จักพระเจ้าได้ และไม่สามารถรู้จักตำแหน่งอันแท้จริงของเราในจักรวาล ดังนั้นเราจึงมองข้ามจิตไม่ได้ เราต้องผูกมิตรกับมัน เราต้องให้มันรู้ว่า ทำไมเราจึงต้องทำสิ่งนี้ และทำไมจึงทำสิ่งนั้น จนกระทั่งจิตยอมรับอย่างสมบูรณ์ และกลายเป็นเพื่อนที่ดีของเรา แล้วเราก็จะมีความสุขมากและผ่อนคลาย มิฉะนั้นแล้ว ถ้าจิตไม่เห็นพ้องด้วย เราก็ลืมเรื่องนั่งสมาธิไปได้เลย มันจะไม่เกิดผลอันใด เพราะเธอนั่งสมาธิ แล้วมันก็เฝ้าถามคำถามเธอว่า “ทำไมเธอนั่งสมาธิ? ทำไปทำไม? ฉันต้องการไปดูหนัง หรือพบแฟนสาว ทำไมเธอจึงนั่งที่นั่นเหมือนคนโง่? กาแฟดีกว่า และเค้กก็ดี” อะไรแบบนี้

ดังนั้น นอกเหนือจากการถ่ายทอดความรู้เงียบของการรู้แจ้งที่แท้จริงแล้ว อาจารย์ทางจิตวิญญาณยังต้องให้คำสอนที่เป็นคำพูดแก่ผู้คน เพื่อให้ความพอใจกับธรรมชาติที่ชอบซักถามของจิต จิตชอบถามคำถามเสมอ และชั่งน้ำหนักสิ่งต่าง ๆ เพราะข้อมูลที่มันได้รับมาก่อนหน้านี้ ขัดแย้งกับข้อมูลที่มันกำลังได้รับในขณะนี้ หรือมันอาจจะไม่เข้าใจข้อมูลใหม่ ๆ แต่มันพูดว่า มันไม่เหมือนเดิม

เหตุนี้พวกเรามากมายจึงไม่สามารถเข้าใจได้ว่า ศาสนาหนึ่งไม่ต่างจากอีกศาสนาหนึ่ง มันเป็นเพราะจิต หลังจากที่เรารู้แจ้งแล้ว เราก็จะอยู่เหนือจิต แล้วเราก็จะมองเห็นแตกต่างออกไป และเข้าใจอย่างแท้จริงว่า ไม่มีความแตกต่างใด ๆ เลย มันช่างเป็นเรื่องที่เรียบง่ายมาก จนกระทั่งหลังจากการรู้แจ้ง เราก็สั่นหัว และไม่เชื่อว่าเราไม่เข้าใจมันมาก่อน มันง่ายเหมือนการมองเห็นกันและกันในตอนนี้ แต่เรามองไม่เห็นกันและกันโดยปราศจากการรู้แจ้ง นั่นเป็นสถานการณ์ที่ซับซ้อนมาก ๆ ซึ่งสัตว์แห่งมารสร้างขึ้น เพื่อเก็บคนไว้ในความมืด หลังจากเธอรู้แจ้งแล้ว เธอจะประหลาดใจมากที่ได้ค้นพบหลายครั้งว่า สิ่งนี้ง่ายมากที่จะเข้าใจ ก่อนหน้านี้เธอไม่สามารถเข้าใจได้เลย

คำสอนของครู อาจารย์ หรือเพื่อนทางจิตวิญญาณ คือคำสอนด้วยปากเปล่า ซึ่งคือส่วนที่เป็นทฤษฎีของการบำเพ็ญทางจิตวิญญาณ แต่ส่วนที่สำคัญกว่าคือคำสอนที่ถูกถ่ายทอดในความเงียบ 24 ชั่วโมง หลังจากที่ครูได้ยอมรับบุคคลคนๆนั้น เป็นเพื่อนใหม่ที่อายุน้อยกว่า หรือนักเรียนใหม่ของท่าน

ดังนั้นคำสอนที่เป็นทฤษฎีของอาจารย์ท่านใด ๆ ในอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต เป็นเพียงแค่ส่วนเล็ก ๆ ของส่วนใหญ่ทั้งหมด ถ้าเราเรียนแต่ทฤษฎีเท่านั้น เราก็สามารถรู้แจ้งได้บ้าง หรืออย่างน้อยที่สุดกลายเป็นคนที่มีธรรมะ ยกตัวอย่าง เราจะเข้าใจถึงความจำเป็นในการรักษาศีล ในการเผยแพร่ความรัก แทนที่จะใช้ความรุนแรง ในการที่จะแบ่งปันกับเพื่อนบ้านของเรา แทนที่จะขโมย และอื่นๆ แต่หลังจากที่อาจารย์จากโลกนี้ไปแล้ว คำสอนที่เป็นทฤษฎีก็จะถูกทิ้งไว้เบื้องหลังอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในบันทึกของลูกศิษย์หรือคนอื่น ๆ ที่ได้ฟังคำเทศนาของท่าน แล้วคนในรุ่นต่อ ๆ มาก็จะพึ่งพิงข้อมูลที่บันทึกไว้นี้ บางทีก็เพื่อบำเพ็ญ หรือเพื่อจะได้มีแนวทางว่าจะทำอย่างไรในการค้นหาพระเจ้า เนื่องจากความกระหายในความรู้ของพวกเขา จึงไขว่คว้าทุกอย่างที่จะเข้าใจพระเจ้า และจากสิ่งนั้นศาสนาก็เกิดขึ้น


หัวใจของทุกศาสนาคือสัจธรรมที่เหมือนกัน

ด้วยเหตุนี้ก่อนพระคริสต์ เราจึงไม่มีศาสนาคริสต์ และก่อนพระพุทธเจ้าเราก็ไม่มีศาสนาพุทธ ชาวพุทธมาจากพระพุทธเจ้าหรือโพธิ ซึ่งในภาษาสันสกฤต หมายถึง รู้แจ้งหรือการรู้แจ้ง ดังนั้นจึงเรียกบุคคลผู้รู้แจ้งว่า พุทธะ และพระคริสต์คือชื่อในภาษาฮิบบรู สำหรับคำว่าการรู้แจ้ง บุคคลที่รู้แจ้งได้รับเกียรติให้เป็นพระคริสต์ ดังนั้นหลังจากที่พระคริสต์กลับไปสู่พระบิดา เราจึงตั้งศาสนาขึ้นมาเรียกว่าศาสนาคริสต์ และเป็นแบบเดียวกันหลังจากที่พระพุทธเจ้าจากไปแล้ว

คำศัพท์สำหรับศาสนาคริสต์ในภาษาเยอรมัน คือ ไครส์ ดังนั้น ศาสนาคริสต์จึงง่ายกว่าที่จะเข้าใจและบอกเล่า พุทธะมาจากโพธิ ดังนั้นเราจึงเรียกคนที่ปฎิบัติตามพระพุทธเจ้า และคำสอนของพระพุทธเจ้าว่า ชาวพุทธ และหลังจากเล่าจื๊อซึ่งสอนเต๋าจากไป ก็เกิดลัทธิเต๋า และเกิดชาวเต๋าขึ้นมา ดังนั้นเราก็มีอย่างน้อย 3 ศาสนาแล้ว แล้วเราก็ตกอยู่ในความยุ่งยาก! มันโอเค ถ้าพวกเราแต่ละคนสามารถเรียนสิ่งที่เขาหรือหล่อนต้องการเรียนและเชื่อ ไม่ว่าจะจริงหรือไม่จริง แต่ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อเราเริ่มต้นถกเถียงกัน และต่อสู้กันเพราะความแตกต่างทางด้านปรัชญา แล้วเราก็ทำให้ตัวเรา และครูที่จากไปแล้วของเราเสื่อมเสียจริง ๆ เพราะท่านเหล่านั้นสอนสันติภาพ ความซื่อสัตย์ และความรัก

ดังนั้นต่อนี้จึงไม่สำคัญว่า เราเชื่อว่าศาสนาคริสต์เป็นศาสนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุด หรือศาสนาพุทธเป็นระบบความเชื่อที่สูงสุดในโลก เราไม่จำเป็นต้องมาเถียงกัน เราควรค้นหาให้รู้จักศาสนาที่แท้จริงของเราต่างหาก ให้รู้จักหัวใจสำคัญอันแท้จริงของศาสนา ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ทิ้งไว้เบื้องหลัง ซึ่งครูของลัทธิเต๋าได้ทิ้งไว้เบื้องหลัง ซึ่งพระคริสต์ได้ทิ้งไว้เบื้องหลัง แล้วเราจะทราบว่า วิธีเดียวเท่านั้นที่ดีที่สุด และรวดเร็วที่สุดก็คือ การรู้แจ้ง


อาจารย์ที่มีชีวิตอยู่เชื่อมต่อเราขึ้นมาใหม่
กับตัวตนที่รู้แจ้งของเรา

คนจำนวนมากสามารถรู้แจ้งได้ในระดับหนึ่งโดยตัวของพวกเขาเอง จากคำสอนของครูหรือด้วยความพยายามของพวกเขาเอง อันเนื่องมาจากความจริงใจและความปรารถนาของพวกเขา แต่คนจำนวนมากทำไม่ได้ และแม้กระทั่งถ้าเราสามารถรู้แจ้งได้ด้วยตัวของเราเอง ก็มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ยังจำเป็นต้องทำให้กระจ่างแจ้ง โดยเพื่อนที่มีชีวิตอยู่ โดยครูที่มีชีวิตอยู่ ซึ่งได้เคยเดินทางไปตลอดเส้นทางนั้นไป ๆ มา ๆ เพราะถนนแห่งจิตวิญญาณนั้น ไม่สามารถมองเห็นได้ แต่มันก็ยังคงเหมือนกับถนนสายอื่น ๆ เราสามารถเรียนรู้จนช่ำชองได้ เราสามารถเดินบนมันได้ และเดินจนจบสมบูรณ์ได้ แต่นี่เป็นเพียงการพูดแบบทางโลกเท่านั้น เพราะปัญญาจักรวาลนั้นกว้างใหญ่ไพศาลมากจนเราไม่สามารถใช้มันได้ทั้งหมดในชั่วขณะหนึ่งหรือแม้กระทั่งในชาติเดียว ดังนั้นแม้ถ้าเราพูดว่า เราได้เดินทางเสร็จสมบูรณ์แล้ว เราก็ยังคงไม่ได้ใช้ปัญญาทั้งหมดของเราทันที ยกเว้นเมื่อเราต้องการมัน

คนมากมายมาหาฉัน และถามว่าฉันรู้อนาคตของโลกไหม หรือฉันรู้อนาคตของหล่อนหรือเขาหรือไม่ และอื่น ๆ และฉันพูดว่า “ฉันไม่ทราบ!” ฉันไม่ดูอนาคต ฉันดูแต่ปัจจุบันเท่านั้น และทราบว่าฉันต้องทำอะไรในขณะนี้ นั่นเพียงพอแล้วสำหรับฉัน บางครั้งถ้าจำเป็น ฉันก็สามารถแวบเข้าไปดูอนาคต หรือแม้กระทั่งอดีตได้ ถ้าหากเธอต้องการทราบ แต่ก็เฉพาะเมื่อมันจำเป็นจริง ๆ เท่านั้น และเป็นประโยชน์ต่อคนบางคนหรือต่อโลก พระเจ้าก็จะให้ฉันทราบ และนั่นก็เพียงพอแล้ว มิฉะนั้นแล้วเท่ากับเราสร้างภาระให้กับตัวเราด้วยความรู้ที่มากเกินไปว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น

ดังนั้นขออย่าได้มีความหลงผิดเกี่ยวกับการรู้แจ้ง แต่ขอห้มองมันในแบบที่มันเป็น คือ เราได้มีธรรมชาติอันแท้จริงของเราเสมอ และตอนนี้ถ้าเราต้องการทราบมัน ก็มีวิธีการ เพราะมันอยู่ที่ตรงนั้นเสมอ ถ้าเรามีความจริงใจอย่างแท้จริงในการทำสมาธิ คำตอบทุกอย่างจะมาเมื่อเราต้องการมัน เราไม่จำเป็นต้องเขียนจดหมายถึงอาจารย์ เพราะเราเชื่อมต่อกันเสมอ และมากยิ่งขึ้นด้วยซ้ำ หลังจากการประทับจิต เราจะเชื่อมต่อกันตลอดไป จนกระทั่งเธอกลายเป็นอาจารย์

บางครั้งฉันก็พูดมากเกินไป ฉันไม่รู้ว่า เธอเชื่อครึ่งหนึ่งของที่ฉันพูดหรือเปล่า แต่สัจธรรมมักจะปรากฏออกมาเสมอ และบางครั้งฉันก็หยุดมันไม่ได้ เป็นเพราะว่า พระเจ้าตรัสผ่านปากของฉัน และเมื่อฉันลืมที่จะหยุดพระองค์ พระองค์ก็พูดต่อไปเรื่อย ๆ ตลอดเวลาเกี่ยวกับความลับทั้งหลาย ซึ่งบางครั้งคนก็คิดว่า ฉันคุยโม้ แต่มันเป็นสัจธรรมทั้งหมด ถ้าเธอไปหาหมอ เขาควรบอกเธอว่า เขาสามารถรักษาเธอได้ มิฉะนั้นแล้วเราจะไปหาเขาทำไม? ถ้าเธอมาหาเพื่อนเพื่อความรู้แจ้ง เขาควรบอกเธอถึงความสามารถของเขาว่า เขาสามารถช่วยให้เธอจดจำตัวตนรู้แจ้งของเธอได้
 

ไม่ช้าก็เร็วใครคนหนึ่งในพวกเราก็สามารถกลายเป็นผู้ถือคบเพลิงแสงสว่าง เพราะเราเป็นแสงสว่างอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเรามีงานยุ่งมากเกินไปกับข้อมูลทั้งหมดนี้ กับงานทั้งหมดที่เราต้องทำ ปัญหาทางการเงินทั้งหมดที่เราต้องเผชิญ จนเราลืมไปว่าเรายิ่งใหญ่เพียงไร เราลืมใช้ปัญญาอันยิ่งใหญ่ของเรา เพื่อจัดการกับปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ ทั้งหลายเหล่านี้ เราเพียงแต่พยายามแก้ปัญหา เราติดแน่นกับปัญหา และถูกห่อหุ้มเอาไว้ หรือถูกมันกลืนเข้าไป มันจึงยากที่จะแก้ปัญหา แต่ถ้าเรามองย้อนหลัง และรู้ว่าเรายืนอยู่ที่ตรงไหน หรือถ้าแทนที่จะเอาความสนใจทั้งหมดของเราไปไว้ที่ปัญหา เราก็ก้าวถอยออกมา และจำได้ว่าเราไม่ใช่ปัญหา เราก็จะเห็นมันได้ชัดเจนขึ้น เหตุนี้เราจึงต้องนั่งสมาธิ เราต้องกลับเข้าไปสู่ภายใน เพื่อจำได้ว่าใครคือเจ้าของ ใครคือเจ้านาย และเราต้องทำอะไร