สภาวะตถาคต

 

ปราศรัยโดย ท่าน Suma Ching Hai, ศูนย์ซีหู, ฟอร์โมซา
4 สิงหาคม 2534 (เดิมเป็นภาษาจีน)
 
 

แรงสั่นสะเทือนภายในและแสงภายในของธรรมวิถีกวนอิมเปลี่ยนแปลงเซลล์ทุกเซลล์ในร่างกายของเรา มันทำให้ความถี่ของการสั่นสะเทือนของเราเร็วขึ้นๆ ยิ่งการสั่นสะเทือนของเราเร็วขึ้น เราก็ยิ่งเข้าใกล้ระดับตถาคตมากขึ้น มิฉะนั้น, เราจะกลายเป็นพุทธะ(ผู้ที่รู้แจ้งอย่างสมบูรณ์)ได้อย่างไร?

เรารู้ไหมว่าทำไมจึงเรียกว่า “ตถาคต”? ความหมายของตถาคตคือผู้นั้นทั้งไม่มาและก็ไม่ไปไหน ทำไมจึงเป็นเช่นนี้? เหตุผลก็คือว่าตถาคตมาและก็ไปเร็วมากๆ แต่มันดูเหมือนกับว่าเขาไม่เคยมาหรือไปเลย ด้วยเหตุนี้ เขาจึงสามารถไปในที่หลายๆแห่งได้ในเวลาเดียวกัน และก็กลับมาได้ในเวลาเดียวกันด้วย ถึงแม้ว่าจะไม่มีทางเห็นว่าเขาไปไหน แต่ก็มีผู้เห็นเขาได้ในทุกมุมของจักรวาลไม่ว่าในเวลาใดก็ได้ ดังนั้นเขาจึงถูกเรียกว่าตถาคต

ตอนเราเด็กๆ เราเล่นเกมเอาลูกบอลลูกเล็กๆ ใส่ในหมวกไม้ไผ่สาน และก็ทำให้ลูกบอลกลิ้งไปเรื่อยๆ ในหมวกนั้น พอมันกลิ้งช้าลง เราก็สามารถจะเห็นการเคลื่อนไหวของลูกบอล แต่ถ้าลูกบอลกลิ้งเร็วมากๆ มันก็ดูราวกับว่าไม่มีลูกบอลอยู่ นี่เป็นเรื่องของความเร็วของลูกบอล พอบุคคลคนนั้นกลายเป็นพุทธะแล้ว การสั่นสะเทือนของเขาจะแตกต่างไป เขาไปมาได้อย่างรวดเร็วมาก แต่ดูเหมือนกับว่าเขาไม่ได้ไปหรือมาเลย เขาเร็วกว่าแสง เร็วกว่าสิ่งใดๆ แม้กระทั่งเร็วกว่าความคิดของเรา

 เราทุกคนคิดว่า ความเร็วของแสงเป็นสิ่งที่เร็วที่สุดในโลกนี้ ถ้ามีฟ้าแลบฟ้าร้องที่ไหน เราจะสามารถเห็นแสงไฟแลบภายในหนึ่งวินาที เพราะว่าความเร็วของแสงนั้นไวมาก ยกตัวอย่างเช่น จักรยานมีความเร็วช้ามาก และเครื่องบินก็ไวกว่ามาก ทุกคนรู้ว่าความเร็วของแสงไวมาก แต่พุทธะและโพธิสัตว์ไวกว่าแสงอีก อย่างไรก็ตาม, พวกท่านก็ไม่จำเป็นต้องเคลื่อนไหวร่างกาย

บางครั้งเธออาจจะดูภาพยนตร์กังฟูทางทีวีหรือรายการแสดงกังฟูที่พวกเขามักจะตั้งใจแสดงท่าให้ดูช้าๆ เพื่อให้เราสามารถเห็นเทคนิคที่ใช้ในท่ากังฟูที่สวยงาม แต่ถ้าการเคลื่อนไหวนั้นเร็วเกินไป เราจะเห็นมันได้ไม่ชัด ท่ากังฟูของบางคนช้ามาก บางคนก็เร็วมาก อย่างเช่น การเคลื่อนไหวของบรูซ ลี ไวมาก ปกติ, ก่อนที่เราจะเห็นเขาเริ่มลงมือ เขาก็จัดการเสร็จไปแล้ว บางคนสามารถรำดาบหรือทำอะไรได้เร็วแบบนั้นเหมือนกัน

พุทธะยิ่งเร็วกว่าอีก คนธรรมดาจึงไม่สามารถเห็นท่าทางการเคลื่อนไหวของพวกท่านเวลาที่พวกท่านไปมา ด้วยเหตุนี้เราจึงเรียกพวกท่านว่าตถาคต ดังนั้นจึงมีกล่าวไว้ว่า “เซ็นอยู่ในการเดิน, การใช้ชีวิต, การนั่งและการนอน”

คนที่เพิ่งเริ่มต้นเรียนการทำสมาธิ หรือคนที่ระดับชั้นสูงกว่าผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นนิดหน่อย จะรู้เวลาที่พวกเขาเข้าสู่สมาธิหรืออยู่ในสมาธิ และก็รู้ตอนที่ออกจากสมาธิด้วย แม้กระทั่งคนอื่นก็สามารถสังเกตเห็นได้ด้วย แต่กับคนที่ระดับชั้นสูงมากซึ่งบรรลุถึงสภาวะตถาคตแล้ว เราไม่มีทางบอกได้เลยว่าเขาเข้าหรือออกจากสมาธิเมื่อไหร่ เพราะว่าเขาเข้าและออกทุกขณะ ถึงแม้ว่าเขาจะอยู่ในสมาธิในช่วงเวลาหนึ่ง เราก็บอกไม่ได้ เพราะว่าเขาเร็วมากจริงๆ เพราะฉะนั้นเราไม่มีทางที่จะตัดสินว่าเขาเข้าสู่สมาธิในช่วงหนึ่งแล้วก็ออกมาจากสมาธิแล้ว เราไม่สามารถกำหนดได้ทั้งเข้าและออก เขาเข้าสู่สมาธิและออกจากสมาธิในเวลาเดียวกัน เพราะว่าระดับของเขาสูงมากและความเร็วของเขาก็ไวเหลือเชื่อ

เรากล่าวว่า “เซ็นอยู่ในการเดิน, การใช้ชีวิต, การนั่งและการนอน” แต่ถ้าเรายังไม่บรรลุถึงระดับนั้นที่ “เซ็นอยู่ ในการเดิน, การใช้ชีวิต, การนั่งและการนอน” ก็ไม่มีทางที่เราจะมีนิรมาณกายที่นับไม่ถ้วน และไม่มีทางที่เราจะอยู่ในที่ทุกหนทุกแห่งได้ สำหรับตถาคตแล้ว, ถึงแม้ว่าเขาจะอยู่ทุกหนทุกแห่ง เขาก็เพียงแต่พักอยู่ในที่แห่งหนึ่งเท่านั้น คาดว่าเขาอยู่ในระดับที่ “เซ็นอยู่ในการเดิน, การใช้ชีวิต, การนั่งและการนอน” ซึ่งเขาจะอยู่ทั้งในและนอกสภาวะสมาธิทุกขณะ

 ก็คล้ายๆ กับการเล่นกลิ้งลูกบอลไปรอบๆในหมวกไม้ไผ่ตอนที่เรายังเด็กๆ ลูกบอลกลิ้งไปรอบๆเร็วมากจนเรามองไม่เห็นมัน เราบอกไม่ได้ว่ามันอยู่ตรงนี้หรือตรงนั้นกันแน่ มันกลิ้งไปรอบๆเร็วมาก พอสักพักหนึ่งก็ดูเหมือนกับว่าลูกบอลนั้นหายไปไม่ได้อยู่ในหมวกเพราะว่าความเร็วของลูกบอลมันเร็วมาก

นอกจากนี้, สภาวะตถาคตก็ไม่ได้เป็นแบบเดียวกับการถอดถ่ายกายทิพย์ คนบางคนรู้วิธีเข้าสู่สมาธิแบบหนึ่งดีมาก สามารถกระทั่งคงอยู่ในสภาวะนั้นไปหลายเดือนหรือหลายปี แต่เรื่องนี้ไม่ได้เป็นเรื่องแปลกประหลาดอะไร เพราะว่าเขายังคงอยู่ในระดับที่คนอื่นสามารถแยกแยะได้ว่าบาง ครั้งเขาอยู่ในสมาธิหรือบางครั้งก็ออกจากสมาธิ

ที่ระดับนี้ยังมี “ประตู” ให้เข้าหรือออกจากสมาธิ อย่างไรก็ตาม, เซ็นไม่มี “ประตู”อะไร ดังนั้นระดับนี้จึงสูงจริงๆ เราจึงมักจะเห็นข้อความจารึกว่า “ไม่มีประตูทั้งสอง” เวลาที่เธอไปตามวัดทางพุทธต่างๆ มันหมายความถึงสภาวะที่ไม่มีด้านในและด้านนอก ไม่มีดีไม่มีชั่ว กระทั่งไม่มีโลกและไม่มีพุทธะ แต่เธอต้องบรรลุถึงระดับที่ “ไม่มีประตูทั้งสอง”นี้เสียก่อน

เธอควรจะไปให้ถึงหรือบรรลุถึงสภาวะตถาคตเพื่อที่เธอจะสามารถไปที่ใดก็ได้ทุกเวลา แต่ก็ยังคงอยู่ในที่แห่งหนึ่งเช่นกัน ทุกคนเขียนข้อความว่า “ไม่มีประตูทั้งสอง” หรือว่า “เซ็นอยู่ในการเดิน, การใช้ฃีวิต, การนั่งและการ นอน” แต่ไม่มีใครเข้าใจความหมายของถ้อยคำเหล่านี้ นี่ไม่ใช่เรื่องที่เธอจะสามารถใช้สมองมาคิดให้เข้าใจได้ แต่เธอจำเป็นจะต้องบรรลุถึงสภาวะนี้เอง อย่างไรก็ตามหลังจากที่เธอบรรลุถึงระดับนี้แล้ว เธอก็จะยังคงเป็นคนปกติธรรมดาคนหนึ่ง เธอจะไม่คิดว่าเธอเป็นพุทธะ