ตั้งแต่โบราณกาลมา
อาจารย์ผู้รู้แจ้งที่สั่งสอนสัจธรรมจะเดียวดายเสมอ

ปราศรัยโดย ท่าน อนุตราจารย์ชิงไห่ ไถตง, ฟอร์โมซา
27 พฤษภาคม 2531 (เดิมเป็นภาษาจีน, ไม่ได้ตัดทอน)
 
 

ทำไมอาจารย์ผู้รู้แจ้งจึงโดดเดี่ยวเดียวดาย? ก็เป็นเพราะว่า ถึงแม้จะมีใครที่เข้าใจสัจธรรม แต่เขาคนนั้นก็ไม่ได้เข้าใจอย่างสมบูรณ์ เขาจะสามารถเข้าใจได้ก็เฉพาะหลังจากที่ได้บำเพ็ญไปนานๆแล้ว ..ซึ่งจะเป็นเวลาที่นานมาก อาจารย์ผู้รู้แจ้งต้องให้การศึกษาอบรมและดูแลเอาใจใส่เขาอย่างอุตสาหะพยายามและเหนื่อยยากลำบากกายก่อนที่เขาจะได้รับผล ก่อนที่จะบรรลุถึงขั้นนี้ คนๆ นี้จะยังไม่มั่นคง วันนี้เขาอาจจะเชื่อแต่วันรุ่งขึ้นเขาก็อาจจะเปลี่ยนใจได้!  ด้วยเหตุนี้มันจึงยากลำบากมากในการเป็นอาจารย์ผู้รู้แจ้ง

เมื่อเราอ่านเรื่องของมิลาเรอปา เราก็รู้ว่าอาจารย์ของเขา (มาร์ปา) ปฏิบัติต่อเขาแบบที่ดุดันและไม่กรุณามากเลย อย่างไรก็ตาม การทำอย่างนั้นอาจารย์ผู้นี้ก็รู้สึกเจ็บปวดมากเช่นกัน กระทั่งภรรยาของเขาก็ไม่เข้าใจตัวเขาและยังเข้าข้างมิลาเรอปาอยู่เสมอ เธอยังช่วยเขาหลอกอาจารย์...ที่เป็นสามีของเธอด้วยซ้ำ เพราะว่าตอนนั้นเขาไม่ยอมถ่ายทอดธรรมวิถีให้มิลาเรอปา

มิลาเรอปาเป็นอาจารย์ผู้รู้แจ้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและมีชื่อเสียงที่สุดของนิกายเร้นลับ ก่อนจะพบอาจารย์ของเขาคนนี้ เขาเคยฝึกบำเพ็ญมาหลายวิธีแล้ว...วิถีที่ผิดหลักศาสนาและพลังอิทธิปาฏิหาริย์ต่างๆ เขาทำร้ายคนมามากมายจึงก่อกรรมที่หนักมากเอาไว้ เขามาติดตามมาร์ปาด้วยความนับถืออย่างมาก ด้วยความกลัวกรรมหนักนั้นเขาจึงตั้งใจมากในการแสวงหาสัจธรรม เขากระตือรือร้นและร้อนรนใจเร่งให้อาจารย์ของเขาถ่ายทอดธรรมวิถีให้แก่เขา แต่อาจารย์ของเขากลับปฏิเสธ เพราะว่าตอนนั้นมิลาเรอปายังไม่บริสุทธิ์ กรรมของเขายังหนักมากจนกระทั่งแม้หากว่าเขาได้รับการสอนธรรมวิถีให้ เขาก็จะไม่สามารถบำเพ็ญได้

ดังนั้นอาจารย์ของมิลาเรอปาจึงทดสอบเขาอยู่เป็นเวลาถึงเจ็ดปีก่อนที่จะถ่ายทอดธรรมวิถีให้เขา ในช่วงเวลาเจ็ดปีนี้ ตัวอาจารย์ก็มีชีวิตที่ขมขื่น ทุกวันเขาต้องทำโทษมิลาเรอปา บอกให้เขาสร้างบ้านเสร็จแล้วก็รื้อลงมาอยู่หลายหลัง สำหรับอาจารย์ของเขาไม่ว่ามิลาเรอปาจะทำอะไรก็ผิดและไม่ดีไปหมด และก็ได้รับการดุด่าเฆี่ยนตีเป็นการตอบแทน

เหตุผลนั้นไม่ใช่ว่าเพราะว่าอาจารย์ของเขาเป็นคนโหดร้าย แต่ว่ากรรมของมิลาเรอปาหนักเกินไป ดังนั้นอาจารย์จึงต้องชำระล้างกรรมของเขาให้ถี่ถ้วนโดยตลอดก่อน ด้วยการสั่งสอนให้เขาฝึกแบบทรมานร่างกาย ด้วยการทำให้อับอาย ด้วยการดุด่าและเฆี่ยนตีเขา และด้วยการปล่อยให้เขาทำงานอย่างเหนื่อยยากลำบากกาย วิธีนี้ทำให้กรรมหนักและนิสัยที่ชั่วร้ายของเขาถูกชำระล้างไป หลังจากนั้นอาจารย์ของเขาจึงถ่ายทอดธรรมวิถีให้

อย่างไรก็ตาม มิลาเรอปาก็รู้สึกเจ็บปวดเป็นที่สุด ระหว่างเวลา 7 ปีนี้ ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ไม่สามารถจะทำให้อาจารย์ยินดี และทำให้เขาถ่ายทอดธรรมวิถีให้เขาได้ มองจากสายตาของคนภายนอก มันดูเหมือนกับว่าอาจารย์ของมิลาเรอปาโหดร้ายมาก

ความจริงก็คือ อาจารย์ของเขาเองนั้นก็เจ็บปวดมากเช่นกัน เขาไม่ชอบทำโทษลูกศิษย์ แต่ว่าเพื่อจะล้างกรรมหนักของมิลาเรอปา เขาก็ต้องใช้วิธีที่ดุดันมากวิธีต่างๆ แม้ว่าภายในจะเจ็บปวดมาก แต่เขาก็ต้องทำต่อไป

แม้กระทั่งภรรยาของเขาก็ไม่เข้าใจวิธีการของเขาและตำหนิเขาทุกวัน เธอบอกว่า “มิลาเรอปาทำงานหนักออก และเขาก็ดีมีศรัทธาแก่กล้ามาก ทำไมท่านยังไม่ยอมถ่ายทอดธรรมวิถีให้เขาอีก และก็กลับปฏิบัติต่อเขาอย่างรุนแรงถึงขนาดนี้?” ตรงนี้เราจะเห็นได้ว่าอาจารย์ผู้รู้แจ้งโดดเดี่ยวเดียวดายขนาดไหน

ภรรยาของมาร์ปาอยู่กับเขามาตลอดชีวิตและก็บำเพ็ญร่วมกัน เราก็คงคิดว่าหล่อนน่าจะเข้าใจเขา, ใช่ไหม? (ผู้ฟัง: ใช่!) สุดท้าย กระทั่งตัวหล่อนก็ไม่สามารถจะเข้าใจได้ ไม่ต้องพูดถึงคนภายนอกหรือลูกศิษย์คนอื่นๆ ทั้งหลาย

ด้วยเหตุนี้ พระศากยมุนีพุทธเจ้าจึงกล่าวว่ามีแต่พุทธะเท่านั้นที่สามารถเข้าใจในปัญญาของพุทธะ แม้แต่โพธิสัตว์ก็ไม่สามารถจะเข้าใจ เฉพาะโพธิสัตว์ที่ระดับชั้นสูงเท่านั้นจึงจะสามารถเข้าใจได้นิดหน่อย

พระเยซูคริสต์ก็กล่าวเช่นกันว่า อย่าให้ไข่มุกกับหมู พระองค์บอกลูกศิษย์ว่า สำหรับพวกเธอคนที่เข้าใจ ฉันจะอธิบายให้เข้าใจชัดเจนด้วยคำพูดและวิธีการต่างๆ ฉันจะไม่บอกกับพวกคนภายนอกพวกนั้น ฉันจะเพียงแต่เล่าเรื่องต่างๆให้พวกเขาฟัง เพื่อช่วยให้พวกเขาเข้าใจ แต่ฉันจะไม่บอกทุกสิ่งทุกอย่างแก่พวกเขา ฉะนั้นพระเยซูคริสต์ก็โดดเดี่ยวเดียวดายเช่นกัน

พระศากยมุนีพุทธเจ้ากล่าวว่าเฉพาะพุทธะเท่านั้นที่สามารถเข้าใจพุทธะ แต่ในโลกนี้เธอจะหาพุทธะได้สักกี่คนกัน? เพราะฉะนั้นพระองค์จึงเดียวดายจริงๆ หลังจากที่พระองค์บำเพ็ญไปนานมากแล้วเท่านั้น พระองค์ถึงได้พบลูกศิษย์คนแรกของพระองค์คือพระมหากัสสปะ พระองค์ฝึกเขาอยู่นานเพื่อทำให้เขาเป็นพุทธะและเพื่อให้เขาสืบทอดต่อไป ส่วนคนอื่นๆ นั้นไม่ได้เข้าใจเลย

พระอานนท์อยู่ใกล้ชิดกับพระพุทธเจ้ามากที่สุดด้วยการติดตามรับใช้พระองค์อยู่นานกว่า 20 ปี แต่ท่านก็ไม่ได้เข้าใจพระพุทธเจ้า ท่านไม่ได้รับการรู้แจ้งอันยิ่งใหญ่ เว้นแต่หลังจากที่พระศากมุนีพุทธเจ้าจากไปแล้วและท่านถูกพระมหากัสสปะดุว่า ตอนนั้น พระอานนท์ถึงได้ฝึกบำเพ็ญอย่างหนักเพื่อบรรลุการรู้แจ้ง ฉะนั้นแม้แต่ลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดที่สุดของพระศากยมุนีก็ไม่เข้าใจพระองค์ ไม่มีใครเข้าใจเลย

ฉันอ่านจากพระสูตรว่า ตอนที่พระศากยมุนีพุทธเจ้ากำลังจะปรินิพพาน มีแต่พระอานนท์เท่านั้นที่อยู่ข้างกายท่าน พระศากยมุนีพุทธเจ้าบอกท่านว่า ฉันจะเข้าสู่นิพพานในไม่ช้านี้แล้ว! รีบไปบอกพวกศิษย์ทั้ง 500 คนข้างนอกเพื่อที่พวกเขาจะได้กลับมาพบอาจารย์ของพวกเขาเป็นครั้งสุดท้าย พระอานนท์ก็รีบออกไปเรียกพวกเขาเข้ามาชุมนุมกัน ตอนนั้นพวกลูกศิษย์ทั้ง 500 คนนี้กำลังสนุกสนานกันอยู่ข้างนอก ทำอะไรๆ ไป ไม่รู้ว่าอาจารย์ของพวกเขากำลังจะจากโลกไปในไม่ช้าแล้ว พระองค์กำลังจะจากพวกเขาไปแล้ว! พอได้รับข่าวจากพระอานนท์ พวกเขาก็รีบเข้าไปข้างในเพื่ออำลาพระศากยมุนีพุทธเจ้า แล้วก็ออกไปเล่นอีก พวกเขาเหมือนกับเด็กๆ จริงๆ ไม่สนใจทุกสิ่งทุกอย่าง

ขณะที่กำลังอ่านพระสูตรนี้ น้ำตาฉันเกือบจะไหล พุทธะที่ยิ่งใหญ่มาก มีชื่อเสียงมากองค์หนึ่งแม้จนกระทั่งทุกวันนี้ มีแต่พระอานนท์อยู่ข้างกายในขณะที่กำลังจะตาย พระองค์เรียกลูกศิษย์กลับมาชุมนุมกัน แต่ไม่นานพวกเขาก็ออกไปกันอีก!

พระศากยมุนีพุทธเจ้าบอกกับพระอานนท์ว่าพระองค์สามารถจะอยู่ต่อไปในโลกแห่งสังสารวัฏได้ แต่พระอานนท์ก็ไม่ได้เข้าใจความนัยของพระองค์ ดังนั้นจึงไม่ได้ขอร้องให้พระพุทธเจ้าอยู่ต่อ เนื่องจากพระอานนท์ไม่ขอร้อง พระพุทธเจ้าจึงอยู่ต่อไปไม่ได้ พระองค์จึงต้องจากโลกไป

จากเรื่องนี้เราก็รู้ว่า แม้แต่ลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดที่สุดก็ไม่สามารถจะเข้าใจผู้เป็นอาจารย์ ไม่ต้องพูดถึงคนภายนอกหรอก ฉะนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผู้บำเพ็ญจะโดดเดี่ยวเดียวดาย แต่อย่างไรก็ตาม พวกเราก็ไม่เคยได้คิดถึงเรื่องนี้ เราคิดว่าการบรรลุความเป็นพุทธะเป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เป็นตำแหน่งที่รุ่งโรจน์ที่สุด มันก็จริงที่พวกเขามีความสุข แต่ตราบใดที่ยังมีสรรพสัตว์ที่เจ็บปวดทุกข์ทรมาน พุทธะก็ไม่สามารถจะมีความสุขได้ พวกเขาจะมีความสุขเวลาที่เข้าสู่นิพพานไป แต่ในโลกแห่งสังสารวัฏนี้ พวกเขาไม่มีทางจะมีความสุขได้ เพราะว่าเวลาสรรพสัตว์ทุกข์ฉันก็ทุกข์ เวลาสรรพสัตว์เจ็บป่วยฉันก็เจ็บป่วย มันมีกล่าวไว้ชัดเจนในวิมลเกียรติสูตร ดั้งเดิม พุทธะและโพธิสัตว์ไม่มีความเจ็บปวดหรือความป่วยไข้ แต่เพราะว่าสรรพสัตว์มีความป่วยไข้ พวกเขาก็ป่วยด้วย

ขณะที่อ่านพระสูตร เราจับจุดสำคัญต่างๆ ไม่ได้หรือไม่เข้าใจความหมายที่ลึกซึ้งในนั้น เราได้แต่บูชาพระพุทธเจ้าและสวดขอความช่วยเหลือและขอพรและอะไรต่างๆ จากท่าน เราไม่เคยสวดขอให้พระองค์ประทานปัญญาของพุทธะให้กับเรา ด้วยเหตุนี้เราจึงไม่ได้รับมัน

คัมภีร์เต๋าเตก็กล่าวเช่นกันว่า สัจธรรมจะอธิบายเป็นคำพูดไม่ได้ แม้ว่าท่านเล่าจื๊อจะเข้าใจมัน แต่เขาก็ไม่สามารถจะอธิบายให้แก่คนมากมาย ได้แต่อธิบายกับคนกลุ่มเล็กๆ เท่านั้น ฉะนั้นท่านเล่าจื๊อก็โดดเดี่ยวเดียวดายเช่นกัน

เวลาที่อาจารย์เต้าเฉิงเทศน์สอน ไม่มีใครฟังท่านเลย กล่าวกันว่ามีคนไม่เกิน 14 คนที่ฟังท่าน ดังนั้น ท่านจึงไปอยู่ป่าเขาและพูดกับก้อนหิน พวกเธอเคยได้ยินเรื่องนี้หรือเปล่า? พวกเธอรู้เรื่องนี้ไหม? (บางคนตอบ: รู้!) คนพูดกันว่าท่านนอกรีตผิดหลักศาสนา อาจารย์เต้าเฉิงเทศน์ให้ก้อนหินบนภูเขาฟัง แล้วก็ถามมันว่า มันเห็นด้วยหรือเปล่า ก้อนหินก็ผงกหัวรับ (อาจารย์และลูกศิษย์หัวเราะ)

เพราะฉะนั้นอย่าคิดว่ามนุษย์เราฉลาดมากที่สุด บางครั้งก้อนหินก็ฉลาดกว่าเรา พวกเรามนุษย์ยังไม่รู้แจ้ง แต่ลูกสาวมังกรกลับรู้แจ้งได้ เราเรียนรู้จากคัมภีร์ทางพุทธว่า เฉพาะมนุษย์เท่านั้นที่สามารถกลายเป็นพุทธะได้, ไม่ใช่อย่างนั้นหรือ? แต่อย่างไรก็ตาม ในบุณฑริกสูตร พระศากยมุนีพุทธเจ้าเล่าเรื่องที่ขัดกับเรื่องนี้ให้เรารู้ พระองค์บอกว่าลูกสาวมังกรก็กลายเป็นพุทธะ เช่นกัน และก็รวดเร็วทันทีด้วย...เร็วขนาดนี้ (อาจารย์ดีดนิ้ว) ลูกสาวมังกรตัวนั้นยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่เลย เธอกลายเป็นพุทธะตอนอายุได้ 8 ขวบ