ทำไมอาจารย์ผู้รู้แจ้งจึงโดดเดี่ยวเดียวดาย?
ก็เป็นเพราะว่า ถึงแม้จะมีใครที่เข้าใจสัจธรรม
แต่เขาคนนั้นก็ไม่ได้เข้าใจอย่างสมบูรณ์
เขาจะสามารถเข้าใจได้ก็เฉพาะหลังจากที่ได้บำเพ็ญไปนานๆแล้ว
..ซึ่งจะเป็นเวลาที่นานมาก
อาจารย์ผู้รู้แจ้งต้องให้การศึกษาอบรมและดูแลเอาใจใส่เขาอย่างอุตสาหะพยายามและเหนื่อยยากลำบากกายก่อนที่เขาจะได้รับผล
ก่อนที่จะบรรลุถึงขั้นนี้ คนๆ นี้จะยังไม่มั่นคง
วันนี้เขาอาจจะเชื่อแต่วันรุ่งขึ้นเขาก็อาจจะเปลี่ยนใจได้! ด้วยเหตุนี้มันจึงยากลำบากมากในการเป็นอาจารย์ผู้รู้แจ้ง
เมื่อเราอ่านเรื่องของมิลาเรอปา เราก็รู้ว่าอาจารย์ของเขา
(มาร์ปา) ปฏิบัติต่อเขาแบบที่ดุดันและไม่กรุณามากเลย
อย่างไรก็ตาม
การทำอย่างนั้นอาจารย์ผู้นี้ก็รู้สึกเจ็บปวดมากเช่นกัน
กระทั่งภรรยาของเขาก็ไม่เข้าใจตัวเขาและยังเข้าข้างมิลาเรอปาอยู่เสมอ
เธอยังช่วยเขาหลอกอาจารย์...ที่เป็นสามีของเธอด้วยซ้ำ
เพราะว่าตอนนั้นเขาไม่ยอมถ่ายทอดธรรมวิถีให้มิลาเรอปา
มิลาเรอปาเป็นอาจารย์ผู้รู้แจ้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและมีชื่อเสียงที่สุดของนิกายเร้นลับ
ก่อนจะพบอาจารย์ของเขาคนนี้
เขาเคยฝึกบำเพ็ญมาหลายวิธีแล้ว...วิถีที่ผิดหลักศาสนาและพลังอิทธิปาฏิหาริย์ต่างๆ
เขาทำร้ายคนมามากมายจึงก่อกรรมที่หนักมากเอาไว้
เขามาติดตามมาร์ปาด้วยความนับถืออย่างมาก
ด้วยความกลัวกรรมหนักนั้นเขาจึงตั้งใจมากในการแสวงหาสัจธรรม
เขากระตือรือร้นและร้อนรนใจเร่งให้อาจารย์ของเขาถ่ายทอดธรรมวิถีให้แก่เขา
แต่อาจารย์ของเขากลับปฏิเสธ
เพราะว่าตอนนั้นมิลาเรอปายังไม่บริสุทธิ์
กรรมของเขายังหนักมากจนกระทั่งแม้หากว่าเขาได้รับการสอนธรรมวิถีให้
เขาก็จะไม่สามารถบำเพ็ญได้
ดังนั้นอาจารย์ของมิลาเรอปาจึงทดสอบเขาอยู่เป็นเวลาถึงเจ็ดปีก่อนที่จะถ่ายทอดธรรมวิถีให้เขา
ในช่วงเวลาเจ็ดปีนี้ ตัวอาจารย์ก็มีชีวิตที่ขมขื่น
ทุกวันเขาต้องทำโทษมิลาเรอปา
บอกให้เขาสร้างบ้านเสร็จแล้วก็รื้อลงมาอยู่หลายหลัง
สำหรับอาจารย์ของเขาไม่ว่ามิลาเรอปาจะทำอะไรก็ผิดและไม่ดีไปหมด
และก็ได้รับการดุด่าเฆี่ยนตีเป็นการตอบแทน
เหตุผลนั้นไม่ใช่ว่าเพราะว่าอาจารย์ของเขาเป็นคนโหดร้าย
แต่ว่ากรรมของมิลาเรอปาหนักเกินไป
ดังนั้นอาจารย์จึงต้องชำระล้างกรรมของเขาให้ถี่ถ้วนโดยตลอดก่อน
ด้วยการสั่งสอนให้เขาฝึกแบบทรมานร่างกาย
ด้วยการทำให้อับอาย ด้วยการดุด่าและเฆี่ยนตีเขา
และด้วยการปล่อยให้เขาทำงานอย่างเหนื่อยยากลำบากกาย
วิธีนี้ทำให้กรรมหนักและนิสัยที่ชั่วร้ายของเขาถูกชำระล้างไป
หลังจากนั้นอาจารย์ของเขาจึงถ่ายทอดธรรมวิถีให้
อย่างไรก็ตาม มิลาเรอปาก็รู้สึกเจ็บปวดเป็นที่สุด
ระหว่างเวลา 7 ปีนี้
ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ไม่สามารถจะทำให้อาจารย์ยินดี
และทำให้เขาถ่ายทอดธรรมวิถีให้เขาได้
มองจากสายตาของคนภายนอก
มันดูเหมือนกับว่าอาจารย์ของมิลาเรอปาโหดร้ายมาก
ความจริงก็คือ อาจารย์ของเขาเองนั้นก็เจ็บปวดมากเช่นกัน
เขาไม่ชอบทำโทษลูกศิษย์
แต่ว่าเพื่อจะล้างกรรมหนักของมิลาเรอปา
เขาก็ต้องใช้วิธีที่ดุดันมากวิธีต่างๆ
แม้ว่าภายในจะเจ็บปวดมาก แต่เขาก็ต้องทำต่อไป
แม้กระทั่งภรรยาของเขาก็ไม่เข้าใจวิธีการของเขาและตำหนิเขาทุกวัน
เธอบอกว่า มิลาเรอปาทำงานหนักออก
และเขาก็ดีมีศรัทธาแก่กล้ามาก
ทำไมท่านยังไม่ยอมถ่ายทอดธรรมวิถีให้เขาอีก
และก็กลับปฏิบัติต่อเขาอย่างรุนแรงถึงขนาดนี้?
ตรงนี้เราจะเห็นได้ว่าอาจารย์ผู้รู้แจ้งโดดเดี่ยวเดียวดายขนาดไหน
ภรรยาของมาร์ปาอยู่กับเขามาตลอดชีวิตและก็บำเพ็ญร่วมกัน
เราก็คงคิดว่าหล่อนน่าจะเข้าใจเขา, ใช่ไหม? (ผู้ฟัง: ใช่!)
สุดท้าย กระทั่งตัวหล่อนก็ไม่สามารถจะเข้าใจได้
ไม่ต้องพูดถึงคนภายนอกหรือลูกศิษย์คนอื่นๆ ทั้งหลาย
ด้วยเหตุนี้ พระศากยมุนีพุทธเจ้าจึงกล่าวว่ามีแต่พุทธะเท่านั้นที่สามารถเข้าใจในปัญญาของพุทธะ
แม้แต่โพธิสัตว์ก็ไม่สามารถจะเข้าใจ
เฉพาะโพธิสัตว์ที่ระดับชั้นสูงเท่านั้นจึงจะสามารถเข้าใจได้นิดหน่อย
พระเยซูคริสต์ก็กล่าวเช่นกันว่า อย่าให้ไข่มุกกับหมู
พระองค์บอกลูกศิษย์ว่า สำหรับพวกเธอคนที่เข้าใจ
ฉันจะอธิบายให้เข้าใจชัดเจนด้วยคำพูดและวิธีการต่างๆ
ฉันจะไม่บอกกับพวกคนภายนอกพวกนั้น
ฉันจะเพียงแต่เล่าเรื่องต่างๆให้พวกเขาฟัง
เพื่อช่วยให้พวกเขาเข้าใจ
แต่ฉันจะไม่บอกทุกสิ่งทุกอย่างแก่พวกเขา
ฉะนั้นพระเยซูคริสต์ก็โดดเดี่ยวเดียวดายเช่นกัน
พระศากยมุนีพุทธเจ้ากล่าวว่าเฉพาะพุทธะเท่านั้นที่สามารถเข้าใจพุทธะ
แต่ในโลกนี้เธอจะหาพุทธะได้สักกี่คนกัน?
เพราะฉะนั้นพระองค์จึงเดียวดายจริงๆ
หลังจากที่พระองค์บำเพ็ญไปนานมากแล้วเท่านั้น
พระองค์ถึงได้พบลูกศิษย์คนแรกของพระองค์คือพระมหากัสสปะ
พระองค์ฝึกเขาอยู่นานเพื่อทำให้เขาเป็นพุทธะและเพื่อให้เขาสืบทอดต่อไป
ส่วนคนอื่นๆ นั้นไม่ได้เข้าใจเลย
พระอานนท์อยู่ใกล้ชิดกับพระพุทธเจ้ามากที่สุดด้วยการติดตามรับใช้พระองค์อยู่นานกว่า
20 ปี แต่ท่านก็ไม่ได้เข้าใจพระพุทธเจ้า
ท่านไม่ได้รับการรู้แจ้งอันยิ่งใหญ่
เว้นแต่หลังจากที่พระศากมุนีพุทธเจ้าจากไปแล้วและท่านถูกพระมหากัสสปะดุว่า
ตอนนั้น
พระอานนท์ถึงได้ฝึกบำเพ็ญอย่างหนักเพื่อบรรลุการรู้แจ้ง
ฉะนั้นแม้แต่ลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดที่สุดของพระศากยมุนีก็ไม่เข้าใจพระองค์
ไม่มีใครเข้าใจเลย
ฉันอ่านจากพระสูตรว่า ตอนที่พระศากยมุนีพุทธเจ้ากำลังจะปรินิพพาน
มีแต่พระอานนท์เท่านั้นที่อยู่ข้างกายท่าน พระศากยมุนีพุทธเจ้าบอกท่านว่า
ฉันจะเข้าสู่นิพพานในไม่ช้านี้แล้ว! รีบไปบอกพวกศิษย์ทั้ง
500
คนข้างนอกเพื่อที่พวกเขาจะได้กลับมาพบอาจารย์ของพวกเขาเป็นครั้งสุดท้าย
พระอานนท์ก็รีบออกไปเรียกพวกเขาเข้ามาชุมนุมกัน
ตอนนั้นพวกลูกศิษย์ทั้ง 500 คนนี้กำลังสนุกสนานกันอยู่ข้างนอก ทำอะไรๆ ไป
ไม่รู้ว่าอาจารย์ของพวกเขากำลังจะจากโลกไปในไม่ช้าแล้ว
พระองค์กำลังจะจากพวกเขาไปแล้ว! พอได้รับข่าวจากพระอานนท์
พวกเขาก็รีบเข้าไปข้างในเพื่ออำลาพระศากยมุนีพุทธเจ้า
แล้วก็ออกไปเล่นอีก พวกเขาเหมือนกับเด็กๆ จริงๆ
ไม่สนใจทุกสิ่งทุกอย่าง
ขณะที่กำลังอ่านพระสูตรนี้ น้ำตาฉันเกือบจะไหล
พุทธะที่ยิ่งใหญ่มาก
มีชื่อเสียงมากองค์หนึ่งแม้จนกระทั่งทุกวันนี้
มีแต่พระอานนท์อยู่ข้างกายในขณะที่กำลังจะตาย
พระองค์เรียกลูกศิษย์กลับมาชุมนุมกัน
แต่ไม่นานพวกเขาก็ออกไปกันอีก!
พระศากยมุนีพุทธเจ้าบอกกับพระอานนท์ว่าพระองค์สามารถจะอยู่ต่อไปในโลกแห่งสังสารวัฏได้
แต่พระอานนท์ก็ไม่ได้เข้าใจความนัยของพระองค์
ดังนั้นจึงไม่ได้ขอร้องให้พระพุทธเจ้าอยู่ต่อ
เนื่องจากพระอานนท์ไม่ขอร้อง
พระพุทธเจ้าจึงอยู่ต่อไปไม่ได้ พระองค์จึงต้องจากโลกไป
จากเรื่องนี้เราก็รู้ว่า
แม้แต่ลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดที่สุดก็ไม่สามารถจะเข้าใจผู้เป็นอาจารย์
ไม่ต้องพูดถึงคนภายนอกหรอก
ฉะนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผู้บำเพ็ญจะโดดเดี่ยวเดียวดาย
แต่อย่างไรก็ตาม พวกเราก็ไม่เคยได้คิดถึงเรื่องนี้
เราคิดว่าการบรรลุความเป็นพุทธะเป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
เป็นตำแหน่งที่รุ่งโรจน์ที่สุด
มันก็จริงที่พวกเขามีความสุข
แต่ตราบใดที่ยังมีสรรพสัตว์ที่เจ็บปวดทุกข์ทรมาน
พุทธะก็ไม่สามารถจะมีความสุขได้
พวกเขาจะมีความสุขเวลาที่เข้าสู่นิพพานไป
แต่ในโลกแห่งสังสารวัฏนี้ พวกเขาไม่มีทางจะมีความสุขได้
เพราะว่าเวลาสรรพสัตว์ทุกข์ฉันก็ทุกข์
เวลาสรรพสัตว์เจ็บป่วยฉันก็เจ็บป่วย
มันมีกล่าวไว้ชัดเจนในวิมลเกียรติสูตร ดั้งเดิม
พุทธะและโพธิสัตว์ไม่มีความเจ็บปวดหรือความป่วยไข้
แต่เพราะว่าสรรพสัตว์มีความป่วยไข้ พวกเขาก็ป่วยด้วย
ขณะที่อ่านพระสูตร เราจับจุดสำคัญต่างๆ
ไม่ได้หรือไม่เข้าใจความหมายที่ลึกซึ้งในนั้น
เราได้แต่บูชาพระพุทธเจ้าและสวดขอความช่วยเหลือและขอพรและอะไรต่างๆ
จากท่าน
เราไม่เคยสวดขอให้พระองค์ประทานปัญญาของพุทธะให้กับเรา
ด้วยเหตุนี้เราจึงไม่ได้รับมัน
คัมภีร์เต๋าเตก็กล่าวเช่นกันว่า
สัจธรรมจะอธิบายเป็นคำพูดไม่ได้ แม้ว่าท่านเล่าจื๊อจะเข้าใจมัน
แต่เขาก็ไม่สามารถจะอธิบายให้แก่คนมากมาย
ได้แต่อธิบายกับคนกลุ่มเล็กๆ เท่านั้น ฉะนั้นท่านเล่าจื๊อก็โดดเดี่ยวเดียวดายเช่นกัน
เวลาที่อาจารย์เต้าเฉิงเทศน์สอน ไม่มีใครฟังท่านเลย
กล่าวกันว่ามีคนไม่เกิน 14 คนที่ฟังท่าน ดังนั้น
ท่านจึงไปอยู่ป่าเขาและพูดกับก้อนหิน
พวกเธอเคยได้ยินเรื่องนี้หรือเปล่า?
พวกเธอรู้เรื่องนี้ไหม? (บางคนตอบ: รู้!)
คนพูดกันว่าท่านนอกรีตผิดหลักศาสนา อาจารย์เต้าเฉิงเทศน์ให้ก้อนหินบนภูเขาฟัง
แล้วก็ถามมันว่า มันเห็นด้วยหรือเปล่า ก้อนหินก็ผงกหัวรับ
(อาจารย์และลูกศิษย์หัวเราะ)
เพราะฉะนั้นอย่าคิดว่ามนุษย์เราฉลาดมากที่สุด
บางครั้งก้อนหินก็ฉลาดกว่าเรา พวกเรามนุษย์ยังไม่รู้แจ้ง
แต่ลูกสาวมังกรกลับรู้แจ้งได้
เราเรียนรู้จากคัมภีร์ทางพุทธว่า
เฉพาะมนุษย์เท่านั้นที่สามารถกลายเป็นพุทธะได้,
ไม่ใช่อย่างนั้นหรือ? แต่อย่างไรก็ตาม ในบุณฑริกสูตร พระศากยมุนีพุทธเจ้าเล่าเรื่องที่ขัดกับเรื่องนี้ให้เรารู้
พระองค์บอกว่าลูกสาวมังกรก็กลายเป็นพุทธะ เช่นกัน
และก็รวดเร็วทันทีด้วย...เร็วขนาดนี้ (อาจารย์ดีดนิ้ว)
ลูกสาวมังกรตัวนั้นยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่เลย
เธอกลายเป็นพุทธะตอนอายุได้ 8 ขวบ |