ครั้งหนึ่งมีครอบครัวอยู่ครอบครัวหนึ่ง
หัวหน้าครอบครัวมีชื่อว่าอับราฮัม
เขาบำเพ็ญทางจิตวิญญาณได้ดีมากและเป็นเพื่อนของพระเจ้า
อยู่มาวันหนึ่งพระเจ้าบอกเขาให้จากบ้านเกิดของเขาไปโดยสัญญาว่า
ถ้าเธอปฏิบัติตามคำสั่งของฉัน--จากบ้านเกิดของเธอไปและทำในสิ่งที่ฉันบอกให้เธอทำ--ฉันจะทำให้เธอเป็นบิดาของประเทศชาติมากมาย
สิ่งนี้หมายความว่าพระเจ้าจะทำให้เขาเป็นบิดาแห่งชาติของประเทศมากมาย
พระเจ้าได้สัญญาไว้ด้วยว่าจะให้บุตรชายและเด็กอื่นๆ
มากมายแก่อับราฮัมเพื่อทำให้ครอบครัวของเขาเป็นครอบครัวที่ใหญ่มาก
พระเจ้าได้ตรัสว่า เธอจะมีลูกมากมายเหมือนอย่างดวงดาวในท้องฟ้า
อย่างไรก็ตามในเวลานั้นอับราฮัมและภรรยาของเขาแก่มากแล้ว
แม้พวกเขาจะมีศรัทธาในพระเจ้า
พวกเขาก็สงสัยว่า จะเป็นไปได้อย่างไร?
เราแก่เกินไปที่จะมีลูก
หลายปีได้ผ่านไป
เมื่ออับราฮัมมองดูดวงดาวในท้องฟ้าในแต่ละคืน
เขาก็จำคำพูดของพระเจ้าได้และรู้สึกกลัดกลุ้มมาก
เขาคิดว่าพระเจ้าอาจจะล้อเล่น ในที่สุดอับราฮัมและภรรยาของเขาก็ล้มเลิกความหวังโดยสิ้นเชิง
ลูกที่พระเจ้าประทานให้
อย่างไรก็ตามโดยที่ไม่ได้คาดหวัง
ภรรยาของอับราฮัมก็ตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรชาย
พวกเขายินดีต่อการถือกำเนิดของบุตรชายคนนี้และตั้งชื่อว่า
ไอแซก หลายปีต่อมาไอแซกก็เติบโตขึ้น สูงใหญ่
แข็งแรงและเป็นเด็กที่หล่อเหลา
แล้วพระเจ้าก็ตัดสินใจที่จะทดสอบอับราฮัม
วันหนึ่งพระเจ้าได้ปรากฏต่ออับราฮัมและตรัสว่า
อับราฮัม
ฉันต้องการให้เธอพาลูกชายอันเป็นสุดที่รักยิ่งของเธอและเป็นลูกชายคนเดียวของเธอไปยังเผ่นดินโมริอา
และมอบเขาให้ฉัน คำว่า มอบ
ในที่นี้หมายถึงการฆ่าหรือการบูชายัญ
คนในสมัยโบราณบวงสรวงพระเจ้าหรือผีด้วยวิธีการนั้น
บางครั้งพวกเขาบูชายัญเด็กชายหรือเด็กหญิงเล็กๆ และบางครั้งก็บูชายัญวัว
ม้า หมู ฯลฯ
อับราฮัมไม่อยากเชื่อเรื่องนี้เลย
เขาเฝ้าถามตัวเขาว่า พระเจ้าต้องการที่จะให้ฉันฆ่าบุตรชายคนเดียวของฉันจริงๆ หรือ?
ครั้งหนึ่งพระองค์ได้สัญญาที่จะให้ลูกมากมายแก่ฉัน
พระเจ้าต้องการที่จะเอาบุตรชายคนเดียวไปจากฉันได้อย่างไรกัน?
ภายในของเขาเกิดการต่อสู้ขัดแย้งกัน
อย่างไรก็ตามเขาได้เรียนรู้มาตลอดชีวิตของเขาที่จะเชื่อพระเจ้า
บางคนอาจจะเชื่อในพระเจ้าแค่ 50%
เท่านั้นแต่เขาเชื่อในพระเจ้าเต็มเปี่ยม
ดังนั้นเช้าวันรุ่งขึ้นเขาจึงเตรียมฟืนและไม้ขีดไฟและมุ่งหน้าสู่เมืองโมริอากับบุตรชายของเขา
จากบ้านเขาไปยังเมืองโมริอาใช้เวลา 3 วัน
พวกเขาต้องเดินทางไกล ด้วยกาลเวลาที่ผ่านไป
อับราฮัมก็รู้สึกเจ็บปวดและเศร้าใจมากขึ้นๆ
แม้เขาจะเชื่อในพระเจ้าเขาก็ต่อสู้ขัดแย้งอยู่ภายใน
และไม่มีกระจิตกระใจที่จะเผชิญกับสภาพเหตุการณ์เมื่อไปถึงเมืองโมริอา
แม้เขาจะได้รับความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส
เขาก็ไม่ได้เล่าให้ลูกชายของเขาฟัง
ไม่มีใครรู้เรื่องนี้นอกจากตัวเขา
อับราฮัมถวายบุตรชายของเขาแด่พระเจ้า
เมื่อพวกเขาใกล้ถึงเมืองโมริอา
ไอแซกบุตรชายของเขาได้ถามเขาว่า พ่อ
เราได้เตรียมฟืนและไม้ขีดไฟเพื่อบวงสรวงพระเจ้า
แต่ลูกแกะล่ะ อยู่ที่ไหน?
ในสมัยโบราณคนฆ่าลูกแกะและเผาไฟเพื่อถวายพระเจ้า
ด้วยเหตุนี้ไอแซกจึงได้ถามอับราฮัมว่าลูกแกะอยู่ที่ไหน
และทำไมจึงมีแต่ฟืนและไม้ขีดไฟ
ในเวลานั้นพ่อของเขาก็ถอนหายใจและตอบว่า ไม่ต้องกังวล
พระเจ้าจะจัดหาลูกแกะมาให้
หลังจากที่พวกเขามาถึงเมืองโมริอาแล้ว
พวกเขาก็สร้างแท่นบูชาและกองฟืนอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
จากนั้นอับราฮัมก็มัดแขนขาของลูกชายเขา
และวางลูกชายของเขาไว้บนแท่นบูชา
เตรียมพร้อมที่จะบูชายัญ เขาบอกไอแซกว่า ลูกคือลูกแกะที่จะบูชายัญพระเจ้าเพราะพระเจ้าต้องการลูก
แล้วเขาก็เงื้อมีดสั้นขึ้นมาจะฆ่าลูกชายเขา
อย่างไรก็ตามในเวลานั้น
อับราฮัมก็ได้ยินพระเจ้าเรียกชื่อเขาและตรัสว่า
อับราฮัม อย่าฆ่าเขา
ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าเธอมีศรัทธาอันแรงกล้าอย่างแท้จริงในตัวฉัน
นี่เป็นเพียงการทดสอบเท่านั้น
ตอนนี้ฉันได้รู้แล้วว่าเธอจะทำตามคำสั่งของฉันแค่ไหน
เธอไม่จำเป็นที่จะต้องฆ่าลูกชายของเธอหรอก
มีลูกแกะอยู่ใกล้ๆ
เธอสามารถที่จะไปเอามันมาบูชายัญฉันได้
พระเจ้าได้เนรมิตลูกแกะขึ้นมา
พระเจ้าได้จัดหาลูกแกะให้กับพระองค์เองโดยการเนรมิตลูกแกะขึ้นมาตัวหนึ่ง
ดังนั้นมันจึงไม่ใช่ลูกแกะจริงๆ
อับราฮัมและลูกชายของเขาดีใจเป็นอย่างมาก
และแสดงความขอบคุณพระเจ้า
นับจากนั้นมาทุกอย่างที่พระเจ้าได้สัญญากับอับราฮัมก็ปรากฏเป็นจริงขึ้นมา
อับราฮัมมีลูกหลานมากมาย รุ่นแล้วรุ่นเล่า
เรื่องราวก็จบลงตรงนี้
เธอคิดว่าอับราฮัมเป็นพ่อที่ดีหรือเปล่า? (ผู้ฟัง:เป็น)
เป็นการดีมากที่จะมีศรัทธาเช่นนั้นในตัวพระเจ้า
เนื่องจากทุกสิ่งถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้า
หากพระเจ้าต้องการคนใดในพวกเขากลับคืนไป
และต้องการคืนพวกเขาให้กับพระเจ้า
เพราะดั้งเดิมแล้วพวกเขาเป็นของพระเจ้า
อับราฮัมและภรรยาของเขาแก่มาก
และไม่มีหวังที่จะมีลูก
แต่ในที่สุดพวกเขาก็มีลูกขึ้นมาได้
ช่างเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์เสียนี่กระไร!
พระเจ้าประทานเด็กมาให้
เนื่องจากเขามาจากพระเจ้า
แล้วทำไมเขาจะไม่สามารถกลับไปสู่พระเจ้าได้ล่ะ?
ถูกต้องไหม? (ผู้ฟัง:ถูกต้อง)
บทเรียนแห่งการไม่ยึดติด
ทำไมพวกเราส่วนใหญ่จึงมีชีวิตอยู่ในความทุกข์?
เป็นเพราะเราเกลียดทีจะจากสิ่งใดๆ
ไป
เราไม่สามารถแม้กระทั่งจะละจากรองเท้าคู่ที่ขาดวิ่น
ไม่ต้องพูดถึงลูกของเราเลย
ดังนั้นเมื่อเราถูกพรากจากคนรักของเราหรือครอบครัวของเรา
เราจึงเจ็บปวดมากและรู้สึกโศกเศร้า
นั่นเป็นเพราะเราไม่เข้าใจว่าไม่ช้าก็เร็วเราทั้งหมดก็จะต้องตายไป
ไม่มีใครที่จะอยู่ค้ำฟ้า แม้ถ้าเราพูดว่า
เรารักบุคคลผู้นั้นมาก ถ้าหากพรุ่งนี้เขาตายไป
เราจะตายไปกับเขาเพราะความรักหรือไม่? (ผู้ฟัง:ไม่)
แน่นอนไม่! เราควรที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป
ในนิทานโรแมนติคโบราณ
มีอยู่เรื่องหนึ่งเกี่ยวกับหนุ่มสาวคู่หนึ่งเป็นมนุษย์
7
ครั้งและต้องการที่จะแต่งงานกันในทุกภพทุกชาติแต่ก็ถูกขัดขวางอยู่เสมอ
ในชาติสุดท้ายที่เป็นมนุษย์ด้วยกัน
แม้พวกเขาจะไม่ถูกขัดขวาง คนหนึ่งก็ตายไปก่อน
และอีกคนหนึ่งเนื่องจากเศร้าโศกเสียใจอย่างสุดซึ้งจึงล้มป่วยลงและได้ตายจากไปในที่สุด
จากนั้นพวกเขาก็กลายเป็นผีเสื้อสองตัว
พวกเขาต้องกลายเป็นผีเสื้อเพื่อที่จะผ่านพ้นอุปสรรค
นั่นเป็นสภาพการณ์ที่ยากมาก
ดังนั้น
หากเรายึดติดกับสิ่งใด
วิญญาณของเราก็จะได้รับอันตรายและอิสรภาพของเราก็จะถูกจำกัด
การเป็นผีเสื้อนั้นดูแล้วเหมือนอิสระเสรี
แต่มีพวกเรากี่คนที่อยากจะละร่างกายมนุษย์อันมีค่าของเราและกลายเป็นผีเสื้อ?
เขาทั้งสองได้กลายเป็นผีเสื้อเพราะพวกเขายึดติดในความรักของพวกเขามากเกินไป
พวกเขามีพลังแห่งเจตจำนงอันแรงกล้ามาก
ดังนั้นพวกเขาจึงเกาะติดกันและกลายเป็นผีเสื้อ
เนื่องจากพวกเขารักกันมากเหลือเกิน
พระเจ้าจึงไม่อาจที่จะแข็งกร้าวกับพวกเขาจนเกินไปนัก
เพราะว่าถ้าหากพวกเขาได้กลับชาติมาเกิดเป็นมนุษย์อีก
พวกเขาก็จะต้องทุกข์ยากอย่างแน่นอนและถูกขัดขวางอีก
โชคชะตาของพวกเขาถูกลิขิตไว้ว่าจะไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ในสภาพที่เป็นมนุษย์
ในเรื่องประเภทนี้
คนที่มีหนี้สินต่อกันหรือมีบุญสัมพันธ์ในการเป็นปฏิปักษ์กัน
มักจะชอบการติดกัน
ในขณะที่คนที่มีความสัมพันธ์ราบรื่นต่อกันจะไม่ชอบกันมากเท่าไร
คนที่อยู่ชิดหน้าเธอๆ
ไม่ชอบเขามากนัก
แต่ชอบคนที่อยู่ในภูเขาไกลออกไปมากกว่า
ยิ่งเรามีบุญสัมพันธ์ที่เลวต่อกันมากเท่าไร
เราก็ยิ่งชอบกันมากขึ้นเท่านั้นนี่คือธรรมชาติของมนุษย์
คนชอบสิ่งที่ซับซ้อนหรือสิ่งที่พวกเขาต้องต่อสู้เพื่อให้ได้มา
แบบนั้นพวกเขาถึงจะคิดว่าสิ่งเหล่านั้นมีค่า
เหตุผลที่ว่าทำไมโลกจึงเต็มไปด้วยความทุกข์
ก็เพราะคนไม่เข้าใจว่าจริงๆแล้วไม่มีความทุกข์เลย
แม้กระทั่งเมื่อเราสูญเสียชีวิตของเราไป
เราก็ไม่ควรรู้สึกโศกเศร้า
ไม่ต้องพูดถึงเมื่อคนอื่นสูญเสียชีวิตของเขาไป
ชีวิตแล้วชีวิตเล่าเรามีลูกมากมาย
รวมทั้งชีวิตแล้วชีวิตเล่าเรามีคู่สมรสมากมายเช่นกัน
แม้ถ้าเราไม่มีเลยพระเจ้าก็จะหาคนหนึ่งมาให้เรา
เธอจะเห็นได้ว่าประชากรโลกมีจำนวนผู้ชายและผู้หญิงสมดุลกันมายาวนานแล้ว
อย่าคิดว่ามีผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ไม่ใช่
ไม่จริงเลย
เป็นไปได้ที่มีผู้หญิงมากกว่าในสถานที่แห่งนี้
และน้อยกว่าในสถานที่แห่งนั้น
แต่จำนวนรวมทั้งหมดของผู้หญิงและผู้ชายในโลกนี้นั้นสมดุลกัน
ยกตัวอย่าง มีผู้หญิงมากกว่าในประเทศหนึ่ง
ในขณะที่มีผู้ชายมากกว่าในอีกประเทศหนึ่ง
จะไม่มีปัญหาอีกต่อไปถ้าพวกเขาสามารถมาอยู่ร่วมกันได้
แต่มีปัญหาเกิดขึ้นเพราะคนในโลกไม่มีอยู่ร่วมกัน
ไม่ใช่ว่าพระเจ้าไม่ให้ในสิ่งที่เราต้องการ
กล่าวกันว่าในระหว่างสงครามผู้ชายจำนวนมากถูกฆ่าตายไป
แต่ผู้หญิงอีกเป็นจำนวนมากก็จะตั้งครรภ์และให้กำเนิดทารกที่เป็นชายมากขึ้น
จริงไหม? (ผู้ฟัง:จริง)
นี่เป็นข้อสรุปทางสถิติซึ่งได้มาหลังจากการค้นคว้าเป็นระยะยาวนาน
ดังนั้นจึงมีผู้ชายหนึ่งคนสำหรับผู้หญิงหนึ่งคนอยู่เสมอ
เหตุนี้พระเจ้าจึงได้สร้างกฎขึ้นมาว่าห้ามมีคู่สมรสมากกว่าครั้งละหนึ่งคน
เพราะหากเรามีสองคน คนอื่นก็จะไม่มีเลย
หรือถ้าเธอโลภเกินไปและมีคู่สมรสสองคนในชาตินี้
เธอก็อาจไม่มีเลยในชาติหน้าเพราะเธอจะต้องชดเชย
ดังนั้นพระเจ้าจึงตรัสว่าแต่ละคนควรมีคู่สมรสเพียงคนเดียวเท่านั้น
เพื่อเขาหรือหล่อนจะมีคู่สมรสได้ในชาติหน้าของเขาหรือหล่อน
เป็นไปได้ที่ว่าเหลียงซันโปและจูเองไตมีคู่สมรส
2 หรือ 3 คนในชาติก่อนๆ
ของพวกเขา จากผลของกฎแห่งกรรม
พวกเขาจึงไม่สามารถที่จะมีคู่สมรสได้อีกในชาติต่อๆมาของพวกเขา
พวกเขาไม่สามารถแม้กระทั่งจะสมรสกับคนที่เป็นที่รักที่สุดได้
อันนี้เนื่องมาจากกฎแห่งกรรม
หากพวกเขาต้องการหลุดพ้นจากกฎแห่งกรรมนี้
พวกเขาก็จะต้องเป็นสรรพสัตว์ชนิดอื่น
เนื่องจากพวกเขามีพลังแห่งเจตจำนงอันแรงกล้าที่จะหลุดพ้นจากกฎแห่งกรรมนี้
พวกเขาจึงได้กลายเป็นผีเสื้อ
ศีลก่อให้เกิดชีวิตที่สมดุลย์แก่เรา
ศีลมีเพื่อทำให้เราสามารถมีชีวิตที่สมดุลย์และไม่ทำให้มีทุกอย่างมากเกินไปในชาตินี้และน้อยเกินไปในชาติหน้า
เรื่องนี้นำไปใช้ในเรืองการกินหรือการใช้จ่ายเงิน
อย่าบริโภคสิ่งใดมากเกินไปเพราะพรุ่งนี้มันอาจจะหมดไป
อะไรก็ตามที่เราใช้
เราควรใช้ในปริมาณพอเหมาะพอควรเท่านั้น
ในทำนองเดียวกัน
ศีลถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำให้เราสามารถทำให้เกิดความสมดุลย์ในระหว่างยินและหยาง
มันถูกออกแบบมาเพื่อช่วยเราให้พ้นจากความทุกข์ยาก
ไม่ใช่มากดขี่หรือผูกมัดเรา
ในนิทานเรื่องแรกที่ฉันได้อ่านให้เธอฟังเกี่ยวกับอาดัมและอีฟ
ทำไมพระเจ้าจึงไม่ให้แอปเปิลแก่พวกเขา?
เพราะพวกเขามีสิ่งต่างๆมากเกินไปอยู่แล้ว
สวนอีเดนทั้งสวนถูกมอบให้พวกเขา
สวนอีเดนหมายถึงสวรรค์ซึ่งมีสิ่งต่างๆ มากมายหลายชนิด
อาดัมและอีฟไม่ต้องทำงานหรือหาสิ่งใดๆ
พวกเขามีทุกอย่างพอเพียงอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม
การกินแอปเปิล 1 ลูกทำให้พวกเขาทุกข์ยากมากมาย
พวกเขาต้องการเป็นเหมือนพระเจ้า
ฉันไม่รู้ว่ามันดียังไงที่เป็นเหมือนพระเจ้า
เป็นไปได้ไหมที่พระเจ้าเป็นคนที่มีความทุกข์?
ฉันคิดว่าพระองค์เป็นเช่นนั้น
เพราะพระองค์ต้องสร้างทุกอย่างและดูแลโลกทั้งโลก
คนทุกคนและสรรพสัตว์ทั้งหลาย
พระองค์จะต้องเหน็ดเหนื่อย
คนที่ต้องการเป็นพระเจ้าจะต้องเป็นคนที่โง่ที่สุด
ดังนั้น
ฉันจึงขอแนะนำเธอว่าเธอไม่จำเป็นต้องกลายเป็นพระเจ้า
และเธอก็ไม่จำเป็นที่จะต้องกลายเป็นพุทธะตราบเท่าที่เธอมีความสุขและมีความสงบสุข
มีชีวิตแบบสายกลายและมีชีวิตด้วยจิตใจที่เป็นธรรมดา
ทำไมเธอจะต้องสวดขอความสุขที่จีรังยั่งยืนตลอดกาล
เพื่ออะไรกัน?
ยิ่งเราละโมบเราก็จะยิ่งทุกข์มากขึ้น
ความปรารถนาอยากได้สิ่งใดๆ นั้นเจ็บปวด
เพราะการละโมบในสิ่งที่เราขาด
ยิ่งเราละโมบเราก็ยิ่งรู้สึกเจ็บปวดมากขึ้นเท่านั้น
ดูเรื่องรักของเหลียงซันโปและจูเองไตเป็นตัวอย่าง
หากพวกเขาไม่ปรารถนาที่จะแต่งงานกัน
พวกเขาก็จะไม่ต้องทุกข์ยาก
ทำไมจึงสำคัญนักที่จะต้องแต่งงาน?
พวกเขาอาจใช้เวลาในการมองหาใครบางคน
ถ้าหากพวกเขาหาไม่ได้การที่จะเป็นพระสงฆ์หรือแม่ชีก็นับว่าดีสำหรับพวกเขา
พวกเขาทุกข์ยากเพียงเพราะพวกเขาปรารถนาอยากได้ซึ่งกันและกัน
จะลำบากไปทำไมกัน?
ในทำนองเดียวกัน
พวกเราผู้บำเพ็ญทางจิตวิญญาณไม่ควรที่จะขอมากเกินไป
เราควรที่จะบำเพ็ญเป็นขั้นๆ
ไป เมื่อถึงเวลาเราก็จะได้รับผล
แน่นอนเราจะต้องบำเพ็ญอย่างขยันขันแข็ง
อย่างไรก็ตามความจริงใจของเรานั้นสำคัญที่สุด
พุทธะอยู่ในใจของเรา เมื่อเราจริงใจ
พุทธะก็จะปรากฎออกมา
ถ้าเราทำทุกอย่างและแสวงหาการบำเพ็ญทางจิตวิญญาณเพื่อพระองค์แล้ว
ในที่สุดเราก็จะได้รู้จักพระองค์และเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์
ผู้บำเพ็ญสามชนิด มีผู้บำเพ็ญทางจิตวิญญาณอยู่
3 ชนิด
ชนิดแรกเชื่อในพระเจ้าและเชื่อฟังพระเจ้า
ชนิดที่สองทำงานให้พระเจ้าและชนิดที่สามซึ่งเป็นชนิดที่สูงที่สุดในบรรดาทั้งหมดคือชนิดที่กลายเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า
คนที่เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าหรือเป็นพระเจ้าบรรลุถึงสภาพนี้อย่างเป็นธรรมชาติ
ไม่ใช่เพราะพวกเขาคาดหวังมันไว้
แน่นอนพวกเขาจริงใจมาก
แต่พวกเขาไม่ได้คาดหวังสิ่งใดๆ
ความจริงใจต่างจากความคาดหวัง
ฉันไม่รู้ว่าจะบอกพวกเธอยังไงถึงความแตกต่างระหว่างทั้งสองนี้
แต่มันมาอย่างเป็นธรรมชาติ
เป็นการยากที่จะอธิบายเรื่องนี้ด้วยคำพูด
บางครั้งเราอาจรู้สึกสับสนและคิดว่าความคาดหวังคือความจริงใจ
แต่จริงๆแล้วมันแตกต่างกัน
ผู้บำเพ็ญทางจิตวิญญาณชนิดแรกชอบที่จะบูชาพระเจ้าและเชื่อฟังพระเจ้า
แค่นี้พวกเขาก็พอใจแล้ว
พวกเขามีความสุขที่สามารถบูชาพระเจ้าทุกๆ
วันและคิดว่ามีพระเจ้าซึ่งสูงกว่าพวกเขาและกำลังดูแลพวกเขาอยู่
หากพวกเขาสามารถที่จะสวดถึงพระองค์ได้ทุกวัน
พวกเขาก็มีความสุขและไม่ขอสิ่งอื่นใด
นี่คือบุคคลประเภทแรก
ผู้บำเพ็ญทางจิตวิญญาณประเภทที่
2 ตระหนักในพระเจ้า
ดังนั้นพวกเขาจึงชอบที่จะทำงานให้พระเจ้า
อะไรก็ตามที่พวกเขาทำก็เพื่อพระเจ้า
อย่างไรก็ตาม
หลังจากที่พวกเขาทำงานไปได้ระยะหนึ่ง
พวกเขาก็ชอบงานของพวกเขามากกว่าพระเจ้า
ดังนั้นพวกเขาจึงเริ่มที่จะหางานทำมากขึ้นๆ
และลืมไปว่าเป้าหมายของพวกเขาก็คือทำงานให้พระเจ้า
ผู้บำเพ็ญประเภทนี้จะได้บุญมากมาย พวกเขาสามารถที่จะทำสิ่งดีๆ มากมายเพื่อทำให้สรรพสัตว์หลุดพ้น
เช่น บรรยายธรรม
สร้างวัด เป็นพระสงฆ์หรือแม่ชี ฯลฯ
อย่างไรก็ตาม
หลังจากที่พวกเขาทำงานเป็นเวลานาน
คนก็อาจจะบูชาพวกเขา
ชื่นชมพวกเขาและคิดว่าพวกเขาเป็นคนดี
คนอาจจะเฝ้าสรรเสริญพวกเขา
ยิ่งมีคนสรรเสริญพวกเขามากขึ้นเท่าไร
พวกเขาก็ยิ่งทุ่มเทให้กับงานของพวกเขามากขึ้นเท่านั้น
พวกเขาก็จะค่อยๆยึดติดกับการทำความดีและด้วยเหตุนี้จึงไม่สามารถที่จะกลายเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าได้
ผู้บำเพ็ญทางจิตวิญญาณทั้งสองชนิดนี้ไม่สามารถที่จะบรรลุถึงระดับสูงสุดได้
เพราะประเภทหนึ่งยึดติดในการบูชาพระเจ้า
และอีกประเภทหนึ่งยึดติดกับการทำงานเพื่อทำให้พระเจ้าพอใจ
ผู้บำเพ็ญทางจิตวิญญาณชนิดที่
3 อาจจะบูชาพระเจ้าด้วยเช่นกัน
และทำความดีเพื่อให้พระเจ้าพอใจ
แต่พวกเขาทราบว่าสิ่งเหล่านี้เป็นแค่เรื่องรองเท่านั้น
สิ่งที่พวกเขาสนใจมากที่สุดก็คือ ใครคือพระเจ้า?
พวกเขาไม่เพียงแต่ต้องการบูชาพระเจ้าเท่านั้น
ไม่เพียงแต่ต้องทำงานให้พระเจ้าเพื่อให้พระองค์พอใจเท่านั้น
แต่ยังต้องการที่จะรู้ว่าใครคือพระเจ้าด้วยเช่นกัน
เพื่อให้ได้มาซึ่งพระองค์
ผู้บำเพ็ญทางจิตวิญญาณประเภทนี้ในที่สุดก็จะได้กลายเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า
อย่างไรก็ตามมีคนเป็นจำนวนน้อยมากที่สามารถบรรลุถึงระดับนี้ได้
เป็นการง่ายที่จะพูดเรื่องนี้
แต่ยากที่จะตระหนักถึงมัน
สิ่งที่เราเห็นในการนั่งสมาธิของเราทุกวันเป็นตัวแทนของคุณสมบัติภายในของเรา
หากเราเห็นแสงเราก็รู้ว่าเราคือแสง
หากเราเห็นความมืด
เราก็รู้ว่าคุณสมบัติภายในของเรายังคงอยู่ในความมืด
ดังนั้นเราจึงไม่สามารถที่จะหยุดการบำเพ็ญทางจิตวิญญาณของเราได้แม้เพียงวันเดียว
เราจะต้องค้นหาต่อไปเหมือนอย่างที่เราต้องกินทุกๆ วัน
และไม่สามารถหยุดกันได้แม้เพียงวันเดียว
การไม่กินหนึ่งวันอาจจะไม่เป็นไร
แต่ไม่ใช่เป็นเวลาหลายวัน
ทำนองเดียวกันกับการบำเพ็ญทางจิตวิญญาณ
เราอาจคิดว่าเป็นการน่าเบื่อที่จะเป็นมังสวิรัติและนั่งสมาธิสองชั่วโมงครึ่งทุกวัน
อย่างไรก็ตามเรากินทุกวัน
ทำไมเราจึงไม่เชื่อที่จะกินล่ะ? อาหารก็คล้ายๆ
กันทุกวัน แต่เราก็ยังคงกินมัน
เพราะร่างกายของเราต้องการมันเพื่อที่จะเติบโตและเซลของเราก็ต้องการมันเพื่อบำรุงเลี้ยง
ในทำนองเดียวกัน
เรานั่งสมาธิสองชั่วโมงครึ่งทุกวัน
เราทำแบบเดียวกันทุกวันเพราะวิญญาณของเราต้องการสิ่งนี้เพื่อพัฒนา
อย่าคิดว่าการบำเพ็ญทางจิตวิญญาณจะต้องซับซ้อน
และเธอควรทำมือท่านี้ในวันนี้
ทำท่าศีรษะแบบนั้นในวันพรุ่งนี้
และท่าเท้าในวันมะรืนในการบำเพ็ญทางจิตวิญญาณ
ไม่เลยเธอไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น
ยกตัวอย่างเป็นการดีพอแล้วถ้าอาหารของเราเรียบง่าย
ยิ่งอาหารของเราซับซ้อนมากขึ้นเท่าไร
เราก็จะสร้างความยุ่งยากให้ตัวเรามากขึ้นเท่านั้น
เพราะจุดประสงค์ของการกินก็เพื่อบำรุงหล่อเลี้ยงร่างกายของเรา
ยิ่งเรากินอาหารที่ซับซ้อนมากขึ้นเท่าไร
เราก็ยิ่งสร้างกรรมมากขึ้นเท่านั้น
นอกจากนั้นอาหารที่ซับซ้อนอาจจะไม่ได้ดีจริงๆ
ก็ได้
กระเพาะอาหารของเราอาจจะไม่สามารถรับมันได้
ดังนั้นเราจึงไม่ย่อยมัน จากนั้นก็เจ็บป่วย
เมื่อเราเผชิญกับสภาพที่เจ็บปวดซึ่งเราต้องพรากจากสิ่งที่เราทะนุถนอม
เราไม่ควรที่จะจมลงไปในความโศกเศร้า
ในทางกลับกันเราควรที่จะคิดว่า ฉันจะตายไหมถ้าฉันไม่มีมัน?
หรือ มีสิ่งทดแทนอย่างอื่นใหม่ที่อาจจะดีกว่ามัน?
อันที่จริงมีบางครั้งเราคิดว่าคนที่เรามีอยู่นั้นเป็นคนที่ดีที่สุด
แต่หลังจากที่เขาจากไป
ในที่สุดเราก็จะพบคนอื่นที่ดีกว่าและเหมาะสมสำหรับเรามากกว่า
ไม่ใช่เป็นเช่นนั้นหรอกรึ?
เมื่อเรายึดมั่นอยู่กับบางสิ่งบางอย่าง
เราก็ลืมที่จะมองดูสิ่งอื่นๆ
อันที่จริงแล้วมันอาจจะดีกว่าหากเราใช้เวลาที่จะเสาะแสวงหาสิ่งที่ดีกว่า
การยึดติดเป็นความเคยชินชนิดหนึ่ง
ไม่มีอะไรที่เราไม่สามารถละจากไปได้จริงๆ
เรายึดติดกับสิ่งของเพราะความเคยชิน
และเพราะเราเกาะยึดกับมันมากเกินไป
เมื่อเรายืนอยู่ ณ ที่ที่หนึ่ง
เราก็เพียงแต่ยืนอยู่ ณ
ที่ตรงนั้นและไม่ต้องการเคลื่อนไหว
เมื่อเราได้คนหนึ่งๆ
มา
เราก็ยึดติดกับเขาและไม่ต้องการเปลี่ยนเป็นคนอื่น
หากคน 2 คนแต่งงานกันและมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
แน่นอนพวกเขาควรที่จะซื่อสัตย์ต่อกัน
อย่างไรก็ตามหากมีปัญหาเช่น
เขาหรือหล่อนตายไปหรือคนหนึ่งไม่รักอีกคนหนึ่งอีกต่อไป
อีกคนหนึ่งก็ควรมีจิตใจที่เป็นธรรมดาและไม่ควรที่จะแพ้ต่อตัวเขาหรือตัวหล่อนเพราะบุคคลคนนั้นหรือเพราะสิ่งใดๆ
เมื่อเราโศกเศร้า
ปกติเราจะลืมเรื่องศรัทธาของเราใช่ไหม?
ใช่หรือเปล่า? (ผู้ฟัง:ใช่)
หากเราโศกเศร้าต่อการจากไปของบุคคลคนหนึ่ง
เราอาจลืมไปว่าสรรพสัตว์ทั้งหลายเป็นหนึ่งเดียวกัน
ลืมไปว่าไม่เคยมีสิ่งใดดำรงอยู่
และลืมไปว่าทุกอย่างนั้นมาจากแหล่งกำเนิดเดียวกัน
เราไม่ควรเกาะยึดกับกายเนื้อของคนๆ หนึ่ง
เมื่อร่างกายหายไปบุคคลผู้นั้นก็จะไปยังอีกที่หนึ่งและหาร่างอีกร่างหนึ่งให้ตัวเขา
ยกตัวอย่าง
บางครั้งเราชอบกุหลาบหรือดอกไม้ชนิดอื่นมาก
เมื่อดอกไม้เหี่ยวเฉาลงเราก็รู้สึกเสียใจ
เราทนไม่ได้ที่ต้องพรากจากมันไป
และปรารถนาที่จะให้มันดำรงอยู่ตลอดไป
อย่างไรก็ตามหากกุหลาบทุกดอกดำรงอยู่ตลอดไปจะมีกุหลาบใหม่ๆ
มาได้อย่างไรกัน?
อีกตัวอย่างหนึ่ง
สมมติว่ามีมะม่วงผลงามผลหนึ่งและเราเสียดายไม่อยากกินมัน
เราคิดว่าผลมะม่วงที่ออกงามเช่นนี้ควรแกว่งไกวอยู่บนกิ่งตลอดไป
ดังนั้น เราจึงไม่กินมัน อย่างไรก็ตาม
ถ้าเราไม่กินมัน
เมล็ดของมันจะไม่สามารถร่วงหล่นไปยังพื้นดินได้
เมื่อต้นมะม่วงอายุมากมันจะไม่มีลูกอีกต่อไป
และเราก็จะไม่มีต้นมะม่วงอีกต้นมาแทนที่มัน
เรื่องนี้นำมาใช้ได้กับเรื่องอื่นๆ
ทุกเรื่องในโลก
เราไม่ควรโศกเศร้ามากเกินไปเมื่อเราสูญเสียสิ่งใดไป
มีความเป็นไปได้ที่เราจะได้บางอย่างที่มีค่ามากกว่าในวันพรุ่งนี้
มีนิทานจีนอยู่เรื่องหนึ่งเกี่ยวกับผู้ชายแก่ที่อาศัยอยู่ชายแดนซึ่งสูญเสียม้าของเขาไป
พวกเธอทั้งหมดต่างรู้เรื่องนี้ดีมาก
แต่เธอก็ยังคงไม่เห็นคุณค่าของความเจ็บปวดและความทุกข์
แต่ละครั้งที่ฉันต้องเข้ารับการผ่าตัดหรือล้มป่วยลง
กรรมของฉันก็ถูกชำระล้างไปมาก ฉันรู้สึกขอบคุณ!
เธออาจพบว่าเรื่องนี้ยากที่จะเชื่อ
บางครั้งฉันถึงกับพูดว่า
"หากสิ่งนี้สามารถชำระล้างภัยพิบัติ
ความทุกข์และกรรมได้มากมายจริงๆ แล้วละก็
ขอให้ฉันได้เจ็บป่วยมากขึ้นด้วยเถิด"
ฉันรู้สึกดีใจจริงๆ แน่นอนเมื่อฉันเจ็บป่วย
ฉันก็ร้องไห้เพราะมันเจ็บปวดและฉันทนไม่ได้
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าฉันไม่มีความสุขหรือไม่เต็มใจที่จะรับมัน
ไม่ใช่
แม้ถ้าความเจ็บปวดนั้นสาหัสฉันก็ยังคงเต็มใจที่จะรับมัน
เมื่อเราเจ็บป่วย
มันเป็นเวลาอันรุ่งโรจน์ที่สุดในชีวิตของเราอย่างแท้จริง
มันสามารถขจัดความมืดและกรรมหนักของเรามากมายของเราได้
หากชีวิตฉันไม่มีความทุกข์ความเจ็บป่วย
หรือความเจ็บปวด ฉันก็จะทนมันไม่ได้
ฉันจะไม่สามารถย่อยกรรมของสรรพสัตว์ได้
หากบุคคลหนึ่งมีบุญญานิสงส์มากมาย
บุคคลนั้นก็ยังคงไม่สามารถย่อยกรรมที่มากมายเช่นนั้นได้หมดในคราวเดียว
ฉันอาจจะชดใช้มันอย่างช้าๆ
แต่เมื่อไรที่ฉันจะใช้มันได้หมดล่ะ?
มีสรรพสัตว์มากมายฉันไม่มีเวลาพอที่จะทำมันอย่างช้าๆ
ดังนั้น
พระเจ้าจึงมีระบบของพระองค์ๆ
สามารถช่วยเราชำระล้างกรรมของเราได้
เนื่องจากพระองค์ปล่อยให้เรานำ "ขยะ"
มากมายติดตัวไปด้วย
พระองค์ก็จะช่วยเราเป็นครั้งเป็นคราวโดยการส่ง
"พาหนะ" หรือคนเพื่อมาช่วยขน "กระเป๋าเดินทาง"
ของเรา ดังนั้น
เมื่อเธอประสบภัยพิบัติหรือล้มป่วยลงขออย่าได้บ่น
แต่ขอให้ขอบคุณพระเจ้าแทน
ระดับจิตวิญญาณของเราจะไม่ถูกยกระดับให้สูงขึ้นหากปราศจากความทุกข์หรือความเจ็บป่วย
เพราะเรามีกรรมมากเกินไป
แม้ถ้าตัวเราเองไม่มีกรรมก็ตามเราก็ยังคงแบกกรรมของบรรพบุรุษของเรา |