พระเจ้าทดสอบอับราฮัม

 
  ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ ศูนย์ซีหู ฟอร์โมซา
10 มิถุนายน 1990 (เดิมเป็นภาษาจีน)
 
 

ครั้งหนึ่งมีครอบครัวอยู่ครอบครัวหนึ่ง หัวหน้าครอบครัวมีชื่อว่าอับราฮัม เขาบำเพ็ญทางจิตวิญญาณได้ดีมากและเป็นเพือนของพระเจ้า อยู่มาวันหนึ่งพระเจ้าบอกเขาให้จากบ้านเกิดของเขาไปโดยสัญญาว่า “ถ้าเธอปฏิบัติตามคำสั่งของฉัน--จากบ้นเกิดของเธอไปและทำในสิ่งที่ฉันบอกห้เธอทำ--ฉันจะทำให้เธอเป็นบิดาของประเทศชาติมากมาย” สิ่งนี้หมายความว่าพระเจ้าจะทำให้เขาเป็นบิดาแห่งชาติของประเทศมากมาย

พระเจ้าได้สัญญาไว้ด้วยว่าจะให้บุตรชายและเด็กอื่นๆ มากมายแก่อับราฮัมเพื่อทำให้ครอบครัวของเขาเป็นครอบครัวที่ใหญ่มาก พระเจ้าได้ตรัสว่า “เธอจะมีลูกมากมายเหมือนอย่างดวงดาวในท้องฟ้า” อย่างไรก็ตามในเวลานั้นอับราฮัมและภรรยาของเขาแก่มากแล้ว แม้พวกเขาจะมีศรัทธาในพระเจ้า พวกเขาก็สงสัยว่า “จะเป็นไปได้อย่างไร? เราแก่เกินไปที่จะมีลูก”

หลายปีได้ผ่านไป เมื่ออับราฮัมมองดูดวงดาวในท้องฟ้าในแต่ละคืน เขาก็จำคำพูดของพระเจ้าได้และรู้สึกกลัดกลุ้มมาก เขาคิดว่าพระเจ้าอาจจะล้อเล่น ในที่สุดอับราฮัมและภรรยาของเขาก็ล้มเลิกความหวังโดยสิ้นเชิง ลูกที่พระเจ้าประทานให้ อย่างไรก็ตามโดยที่ไม่ได้คาดหวัง ภรรยาของอับราฮัมก็ตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรชาย พวกเขายินดีต่อการถือกำเนิดของบุตรชายคนนี้และตั้งชื่อว่า ไอแซก หลายปีต่อมาไอแซกก็เติบโตขึ้น สูงใหญ่ แข็งแรงและเป็นเด็กที่หล่อเหลา แล้วพระเจ้าก็ตัดสินใจที่จะทดสอบอับราฮัม

วันหนึ่งพระเจ้าได้ปรากฏต่ออับราฮัมและตรัสว่า “อับราฮัม ฉันต้องการให้เธอพาลูกชายอันเป็นสุดที่รักยิ่งของเธอและเป็นลูกชายคนเดียวของเธอไปยังเผ่นดินโมริอา และมอบเขาให้ฉัน” คำว่า “มอบ” ในที่นี้หมายถึงการฆ่าหรือการบูชายัญ คนในสมัยโบราณบวงสรวงพระเจ้าหรือผีด้วยวิธีการนั้น บางครั้งพวกเขาบูชายัญเด็กชายหรือเด็กหญิงเล็กๆ และบางครั้งก็บูชายัญวัว ม้า หมู ฯลฯ

อับราฮัมไม่อยากเชื่อเรื่องนี้เลย เขาเฝ้าถามตัวเขาว่า “พระเจ้าต้องการที่จะให้ฉันฆ่าบุตรชายคนเดียวของฉันจริงๆ หรือ? ครั้งหนึ่งพระองค์ได้สัญญาที่จะให้ลูกมากมายแก่ฉัน พระเจ้าต้องการที่จะเอาบุตรชายคนเดียวไปจากฉันได้อย่างไรกัน?” ภายในของเขาเกิดการต่อสู้ขัดแย้งกัน อย่างไรก็ตามเขาได้เรียนรู้มาตลอดชีวิตของเขาที่จะเชื่อพระเจ้า บางคนอาจจะเชื่อในพระเจ้าแค่ 50% เท่านั้นแต่เขาเชื่อในพระเจ้าเต็มเปี่ยม ดังนั้นเช้าวันรุ่งขึ้นเขาจึงเตรียมฟืนและไม้ขีดไฟและมุ่งหน้าสู่เมืองโมริอากับบุตรชายของเขา

จากบ้านเขาไปยังเมืองโมริอาใช้เวลา 3 วัน พวกเขาต้องเดินทางไกล ด้วยกาลเวลาที่ผ่านไป อับราฮัมก็รู้สึกเจ็บปวดและเศร้าใจมากขึ้นๆ แม้เขาจะเชื่อในพระเจ้าเขาก็ต่อสู้ขัดแย้งอยู่ภายใน และไม่มีกระจิตกระใจที่จะเผชิญกับสภาพเหตุการณ์เมื่อไปถึงเมืองโมริอา แม้เขาจะได้รับความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส เขาก็ไม่ได้เล่าให้ลูกชายของเขาฟัง ไม่มีใครรู้เรื่องนี้นอกจากตัวเขา อับราฮัมถวายบุตรชายของเขาแด่พระเจ้า เมื่อพวกเขาใกล้ถึงเมืองโมริอา ไอแซกบุตรชายของเขาได้ถามเขาว่า “พ่อ เราได้เตรียมฟืนและไม้ขีดไฟเพื่อบวงสรวงพระเจ้า แต่ลูกแกะล่ะ อยู่ที่ไหน?” ในสมัยโบราณคนฆ่าลูกแกะและเผาไฟเพื่อถวายพระเจ้า ด้วยเหตุนี้ไอแซกจึงได้ถามอับราฮัมว่าลูกแกะอยู่ที่ไหน และทำไมจึงมีแต่ฟืนและไม้ขีดไฟ ในเวลานั้นพ่อของเขาก็ถอนหายใจและตอบว่า “ไม่ต้องกังวล พระเจ้าจะจัดหาลูกแกะมาให้”

หลังจากที่พวกเขามาถึงเมืองโมริอาแล้ว พวกเขาก็สร้างแท่นบูชาและกองฟืนอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย จากนั้นอับราฮัมก็มัดแขนขาของลูกชายเขา และวางลูกชายของเขาไว้บนแท่นบูชา เตรียมพร้อมที่จะบูชายัญ เขาบอกไอแซกว่า “ลูกคือลูกแกะที่จะบูชายัญพระเจ้าเพราะพระเจ้าต้องการลูก” แล้วเขาก็เงื้อมีดสั้นขึ้นมาจะฆ่าลูกชายเขา

อย่างไรก็ตามในเวลานั้น อับราฮัมก็ได้ยินพระเจ้าเรียกชื่อเขาและตรัสว่า “อับราฮัม อย่าฆ่าเขา ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าเธอมีศรัทธาอันแรงกล้าอย่างแท้จริงในตัวฉัน นี่เป็นเพียงการทดสอบเท่านั้น ตอนนี้ฉันได้รู้แล้วว่าเธอจะทำตามคำสั่งของฉันแค่ไหน เธอไม่จำเป็นที่จะต้องฆ่าลูกชายของเธอหรอก มีลูกแกะอยู่ใกล้ๆ เธอสามารถที่จะไปเอามันมาบูชายัญฉันได้” พระเจ้าได้เนรมิตลูกแกะขึ้นมา พระเจ้าได้จัดหาลูกแกะให้กับพระองค์เองโดยการเนรมิตลูกแกะขึ้นมาตัวหนึ่ง ดังนั้นมันจึงไม่ใช่ลูกแกะจริงๆ

อับราฮัมและลูกชายของเขาดีใจเป็นอย่างมาก และแสดงความขอบคุณพระเจ้า นับจากนั้นมาทุกอย่างที่พระเจ้าได้สัญญากับอับราฮัมก็ปรากฏเป็นจริงขึ้นมา อับราฮัมมีลูกหลานมากมาย รุ่นแล้วรุ่นเล่า เรื่องราวก็จบลงตรงนี้

เธอคิดว่าอับราฮัมเป็นพ่อที่ดีหรือเปล่า? (ผู้ฟัง:เป็น) เป็นการดีมากที่จะมีศรัทธาเช่นนั้นในตัวพระเจ้า เนื่องจากทุกสิ่งถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้า หากพระเจ้าต้องการคนใดในพวกเขากลับคืนไป และต้องการคืนพวกเขาให้กับพระเจ้า เพราะดั้งเดิมแล้วพวกเขาเป็นของพระเจ้า อับราฮัมและภรรยาของเขาแก่มาก และไม่มีหวังที่จะมีลูก แต่ในที่สุดพวกเขาก็มีลูกขึ้นมาได้ ช่างเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์เสียนี่กระไร! พระเจ้าประทานเด็กมาให้ เนื่องจากเขามาจากพระเจ้า แล้วทำไมเขาจะไม่สามารถกลับไปสู่พระเจ้าได้ล่ะ? ถูกต้องไหม? (ผู้ฟัง:ถูกต้อง)

บทเรียนแห่งการไม่ยึดติด

ทำไมพวกเราส่วนใหญ่จึงมีชีวิตอยู่ในความทุกข์? เป็นเพราะเราเกลียดทีจะจากสิ่งใดๆ ไป เราไม่สามารถแม้กระทั่งจะละจากรองเท้าคู่ที่ขาดวิ่น ไม่ต้องพูดถึงลูกของเราเลย ดังนั้นเมื่อเราถูกพรากจากคนรักของเราหรือครอบครัวของเรา เราจึงเจ็บปวดมากและรู้สึกโศกเศร้า นั่นเป็นเพราะเราไม่เข้าใจว่าไม่ช้าก็เร็วเราทั้งหมดก็จะต้องตายไป ไม่มีใครที่จะอยู่ค้ำฟ้า แม้ถ้าเราพูดว่า เรารักบุคคลผู้นั้นมาก ถ้าหากพรุ่งนี้เขาตายไป เราจะตายไปกับเขาเพราะความรักหรือไม่? (ผู้ฟัง:ไม่) แน่นอนไม่! เราควรที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป

ในนิทานโรแมนติคโบราณ มีอยู่เรื่องหนึ่งเกี่ยวกับหนุ่มสาวคู่หนึ่งเป็นมนุษย์ 7 ครั้งและต้องการที่จะแต่งงานกันในทุกภพทุกชาติแต่ก็ถูกขัดขวางอยู่เสมอ ในชาติสุดท้ายที่เป็นมนุษย์ด้วยกัน แม้พวกเขาจะไม่ถูกขัดขวาง คนหนึ่งก็ตายไปก่อน และอีกคนหนึ่งเนื่องจากเศร้าโศกเสียใจอย่างสุดซึ้งจึงล้มป่วยลงและได้ตายจากไปในที่สุด จากนั้นพวกเขาก็กลายเป็นผีเสื้อสองตัว พวกเขาต้องกลายเป็นผีเสื้อเพื่อที่จะผ่านพ้นอุปสรรค นั่นเป็นสภาพการณ์ที่ยากมาก

ดังนั้น หากเรายึดติดกับสิ่งใด วิญญาณของเราก็จะได้รับอันตรายและอิสรภาพของเราก็จะถูกจำกัด การเป็นผีเสื้อนั้นดูแล้วเหมือนอิสระเสรี แต่มีพวกเรากี่คนที่อยากจะละร่างกายมนุษย์อันมีค่าของเราและกลายเป็นผีเสื้อ? เขาทั้งสองได้กลายเป็นผีเสื้อเพราะพวกเขายึดติดในความรักของพวกเขามากเกินไป พวกเขามีพลังแห่งเจตจำนงอันแรงกล้ามาก ดังนั้นพวกเขาจึงเกาะติดกันและกลายเป็นผีเสื้อ เนื่องจากพวกเขารักกันมากเหลือเกิน พระเจ้าจึงไม่อาจที่จะแข็งกร้าวกับพวกเขาจนเกินไปนัก เพราะว่าถ้าหากพวกเขาได้กลับชาติมาเกิดเป็นมนุษย์อีก พวกเขาก็จะต้องทุกข์ยากอย่างแน่นอนและถูกขัดขวางอีก โชคชะตาของพวกเขาถูกลิขิตไว้ว่าจะไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ในสภาพที่เป็นมนุษย์

ในเรื่องประเภทนี้ คนที่มีหนี้สินต่อกันหรือมีบุญสัมพันธ์ในการเป็นปฏิปักษ์กัน มักจะชอบการติดกัน ในขณะที่คนที่มีความสัมพันธ์ราบรื่นต่อกันจะไม่ชอบกันมากเท่าไร คนที่อยู่ชิดหน้าเธอ ไม่ชอบเขามากนัก แต่ชอบคนที่อยู่ในภูเขาไกลออกไปมากกว่า ยิ่งเรามีบุญสัมพันธ์ที่เลวต่อกันมากเท่าไร เราก็ยิ่งชอบกันมากขึ้นเท่านั้นนี่คือธรรมชาติของมนุษย์ คนชอบสิ่งที่ซับซ้อนหรือสิ่งที่พวกเขาต้องต่อสู้เพื่อให้ได้มา แบบนั้นพวกเขาถึงจะคิดว่าสิ่งเหล่านั้นมีค่า

เหตุผลที่ว่าทำไมโลกจึงเต็มไปด้วยความทุกข์ ก็เพราะคนไม่เข้าใจว่าจริงๆแล้วไม่มีความทุกข์เลย แม้กระทั่งเมื่อเราสูญเสียชีวิตของเราไป เราก็ไม่ควรรู้สึกโศกเศร้า ไม่ต้องพูดถึงเมื่อคนอื่นสูญเสียชีวิตของเขาไป ชีวิตแล้วชีวิตเล่าเรามีลูกมากมาย รวมทั้งชีวิตแล้วชีวิตเล่าเรามีคู่สมรสมากมายเช่นกัน แม้ถ้าเราไม่มีเลยพระเจ้าก็จะหาคนหนึ่งมาให้เรา

เธอจะเห็นได้ว่าประชากรโลกมีจำนวนผู้ชายและผู้หญิงสมดุลกันมายาวนานแล้ว อย่าคิดว่ามีผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ไม่ใช่ ไม่จริงเลย เป็นไปได้ที่มีผู้หญิงมากกว่าในสถานที่แห่งนี้ และน้อยกว่าในสถานที่แห่งนั้น แต่จำนวนรวมทั้งหมดของผู้หญิงและผู้ชายในโลกนี้นั้นสมดุลกัน ยกตัวอย่าง มีผู้หญิงมากกว่าในประเทศหนึ่ง ในขณะที่มีผู้ชายมากกว่าในอีกประเทศหนึ่ง จะไม่มีปัญหาอีกต่อไปถ้าพวกเขาสามารถมาอยู่ร่วมกันได้ แต่มีปัญหาเกิดขึ้นเพราะคนในโลกไม่มีอยู่ร่วมกัน ไม่ใช่ว่าพระเจ้าไม่ให้ในสิ่งที่เราต้องการ

กล่าวกันว่าในระหว่างสงครามผู้ชายจำนวนมากถูกฆ่าตายไป แต่ผู้หญิงอีกเป็นจำนวนมากก็จะตั้งครรภ์และให้กำเนิดทารกที่เป็นชายมากขึ้น จริงไหม? (ผู้ฟัง:จริง) นี่เป็นข้อสรุปทางสถิติซึ่งได้มาหลังจากการค้นคว้าเป็นระยะยาวนาน ดังนั้นจึงมีผู้ชายหนึ่งคนสำหรับผู้หญิงหนึ่งคนอยู่เสมอ เหตุนี้พระเจ้าจึงได้สร้างกฎขึ้นมาว่าห้ามมีคู่สมรสมากกว่าครั้งละหนึ่งคน เพราะหากเรามีสองคน คนอื่นก็จะไม่มีเลย หรือถ้าเธอโลภเกินไปและมีคู่สมรสสองคนในชาตินี้ เธอก็อาจไม่มีเลยในชาติหน้าเพราะเธอจะต้องชดเชย ดังนั้นพระเจ้าจึงตรัสว่าแต่ละคนควรมีคู่สมรสเพียงคนเดียวเท่านั้น เพื่อเขาหรือหล่อนจะมีคู่สมรสได้ในชาติหน้าของเขาหรือหล่อน

เป็นไปได้ที่ว่าเหลียงซันโปและจูเองไตมีคู่สมร 2 หรือ 3 คนในชาติก่อนๆ ของพวกเขา จากผลของกฎแห่งกรรม พวกเขาจึงไม่สามารถที่จะมีคู่สมรสได้อีกในชาติต่อๆมาของพวกเขา พวกเขาไม่สามารถแม้กระทั่งจะสมรสกับคนที่เป็นที่รักที่สุดได้ อันนี้เนื่องมาจากกฎแห่งกรรม หากพวกเขาต้องการหลุดพ้นจากกฎแห่งกรรมนี้ พวกเขาก็จะต้องเป็นสรรพสัตว์ชนิดอื่น เนื่องจากพวกเขามีพลังแห่งเจตจำนงอันแรงกล้าที่จะหลุดพ้นจากกฎแห่งกรรมนี้ พวกเขาจึงได้กลายเป็นผีเสื้อ

ศีลก่อให้เกิดชีวิตที่สมดุลย์แก่เรา

ศีลมีเพื่อทำให้เราสามารถมีชีวิตที่สมดุลย์และไม่ทำให้มีทุกอย่างมากเกินไปในชาตินี้และน้อยเกินไปในชาติหน้า เรื่องนี้นำไปใช้ในเรืองการกินหรือการใช้จ่ายเงิน อย่าบริโภคสิ่งใดมากเกินไปเพราะพรุ่งนี้มันอาจจะหมดไป อะไรก็ตามที่เราใช้ เราควรใช้ในปริมาณพอเหมาะพอควรเท่านั้น ในทำนองเดียวกัน ศีลถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำให้เราสามารถทำให้เกิดความสมดุลย์ในระหว่างยินและหยาง มันถูกออกแบบมาเพื่อช่วยเราให้พ้นจากความทุกข์ยาก ไม่ใช่มากดขี่หรือผูกมัดเรา

ในนิทานเรื่องแรกที่ฉันได้อ่านให้เธอฟังเกี่ยวกับอาดัมและอีฟ ทำไมพระเจ้าจึงไม่ให้แอปเปิลแก่พวกเขา? เพราะพวกเขามีสิ่งต่างๆมากเกินไปอยู่แล้ว สวนอีเดนทั้งสวนถูกมอบให้พวกเขา สวนอีเดนหมายถึงสวรรค์ซึ่งมีสิ่งต่างๆ มากมายหลายชนิด อาดัมและอีฟไม่ต้องทำงานหรือหาสิ่งใดๆ พวกเขามีทุกอย่างพอเพียงอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม การกินแอปเปิล 1 ลูกทำให้พวกเขาทุกข์ยากมากมาย

พวกเขาต้องการเป็นเหมือนพระเจ้า ฉันไม่รู้ว่ามันดียังไงที่เป็นเหมือนพระเจ้า เป็นไปได้ไหมที่พระเจ้าเป็นคนที่มีความทุกข์? ฉันคิดว่าพระองค์เป็นเช่นนั้น เพราะพระองค์ต้องสร้างทุกอย่างและดูแลโลกทั้งโลก คนทุกคนและสรรพสัตว์ทั้งหลาย พระองค์จะต้องเหน็ดเหนื่อย คนที่ต้องการเป็นพระเจ้าจะต้องเป็นคนที่โง่ที่สุด

ดังนั้น ฉันจึงขอแนะนำเธอว่าเธอไม่จำเป็นต้องกลายเป็นพระเจ้า และเธอก็ไม่จำเป็นที่จะต้องกลายเป็นพุทธะตราบเท่าที่เธอมีความสุขและมีความสงบสุข มีชีวิตแบบสายกลายและมีชีวิตด้วยจิตใจที่เป็นธรรมดา ทำไมเธอจะต้องสวดขอความสุขที่จีรังยั่งยืนตลอดกาล เพื่ออะไรกัน? ยิ่งเราละโมบเราก็จะยิ่งทุกข์มากขึ้น ความปรารถนาอยากได้สิ่งใดๆ นั้นเจ็บปวด เพราะการละโมบในสิ่งที่เราขาด ยิ่งเราละโมบเราก็ยิ่งรู้สึกเจ็บปวดมากขึ้นเท่านั้น

ดูเรื่องรักของเหลียงซันโปและจูเองไตเป็นตัวอย่าง หากพวกเขาไม่ปรารถนาที่จะแต่งงานกัน พวกเขาก็จะไม่ต้องทุกข์ยาก ทำไมจึงสำคัญนักที่จะต้องแต่งงาน? พวกเขาอาจใช้เวลาในการมองหาใครบางคน ถ้าหากพวกเขาหาไม่ได้การที่จะเป็นพระสงฆ์หรือแม่ชีก็นับว่าดีสำหรับพวกเขา พวกเขาทุกข์ยากเพียงเพราะพวกเขาปรารถนาอยากได้ซึ่งกันและกัน จะลำบากไปทำไมกัน?

ในทำนองเดียวกัน พวกเราผู้บำเพ็ญทางจิตวิญญาณไม่ควรที่จะขอมากเกินไป เราควรที่จะบำเพ็ญเป็นขั้นๆ ไป เมื่อถึงเวลาเราก็จะได้รับผล แน่นอนเราจะต้องบำเพ็ญอย่างขยันขันแข็ง อย่างไรก็ตามความจริงใจของเรานั้นสำคัญที่สุด “พุทธะอยู่ในใจของเรา” เมื่อเราจริงใจ พุทธะก็จะปรากฎออกมา ถ้าเราทำทุกอย่างและแสวงหาการบำเพ็ญทางจิตวิญญาณเพื่อพระองค์แล้ว ในที่สุดเราก็จะได้รู้จักพระองค์และเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์

ผู้บำเพ็ญสามชนิด มีผู้บำเพ็ญทางจิตวิญญาณอยู่ 3 ชนิด ชนิดแรกเชื่อในพระเจ้าและเชื่อฟังพระเจ้า ชนิดที่สองทำงานให้พระเจ้าและชนิดที่สามซึ่งเป็นชนิดที่สูงที่สุดในบรรดาทั้งหมดคือชนิดที่กลายเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า คนที่เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าหรือเป็นพระเจ้าบรรลุถึงสภาพนี้อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ใช่เพราะพวกเขาคาดหวังมันไว้ แน่นอนพวกเขาจริงใจมาก แต่พวกเขาไม่ได้คาดหวังสิ่งใดๆ ความจริงใจต่างจากความคาดหวัง ฉันไม่รู้ว่าจะบอกพวกเธอยังไงถึงความแตกต่างระหว่างทั้งสองนี้ แต่มันมาอย่างเป็นธรรมชาติ เป็นการยากที่จะอธิบายเรื่องนี้ด้วยคำพูด บางครั้งเราอาจรู้สึกสับสนและคิดว่าความคาดหวังคือความจริงใจ แต่จริงๆแล้วมันแตกต่างกัน

ผู้บำเพ็ญทางจิตวิญญาณชนิดแรกชอบที่จะบูชาพระเจ้าและเชื่อฟังพระเจ้า แค่นี้พวกเขาก็พอใจแล้ว พวกเขามีความสุขที่สามารถบูชาพระเจ้าทุกๆ วันและคิดว่ามีพระเจ้าซึ่งสูงกว่าพวกเขาและกำลังดูแลพวกเขาอยู่ หากพวกเขาสามารถที่จะสวดถึงพระองค์ได้ทุกวัน พวกเขาก็มีความสุขและไม่ขอสิ่งอื่นใด นี่คือบุคคลประเภทแรก

ผู้บำเพ็ญทางจิตวิญญาณประเภทที่ 2 ตระหนักในพระเจ้า ดังนั้นพวกเขาจึงชอบที่จะทำงานให้พระเจ้า อะไรก็ตามที่พวกเขาทำก็เพื่อพระเจ้า อย่างไรก็ตาม หลังจากที่พวกเขาทำงานไปได้ระยะหนึ่ง พวกเขาก็ชอบงานของพวกเขามากกว่าพระเจ้า ดังนั้นพวกเขาจึงเริ่มที่จะหางานทำมากขึ้นๆ และลืมไปว่าเป้าหมายของพวกเขาก็คือทำงานให้พระเจ้า ผู้บำเพ็ญประเภทนี้จะได้บุญมากมาย พวกเขาสามาถที่จะทำสิ่งดีๆ มากมายเพื่อทำให้สรรพสัตว์หลุดพ้น เชน บรรยายธรรม สร้างวัด เป็นพระสงฆ์หรือแม่ชี ฯลฯ

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่พวกเขาทำงานเป็นเวลานาน คนก็อาจจะบูชาพวกเขา ชื่นชมพวกเขาและคิดว่าพวกเขาเป็นคนดี คนอาจจะเฝ้าสรรเสริญพวกเขา ยิ่งมีคนสรรเสริญพวกเขามากขึ้นเท่าไร พวกเขาก็ยิ่งทุ่มเทให้กับงานของพวกเขามากขึ้นเท่านั้น พวกเขาก็จะค่อยๆยึดติดกับการทำความดีและด้วยเหตุนี้จึงไม่สามารถที่จะกลายเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าได้ ผู้บำเพ็ญทางจิตวิญญาณทั้งสองชนิดนี้ไม่สามารถที่จะบรรลุถึงระดับสูงสุดได้ เพราะประเภทหนึ่งยึดติดในการบูชาพระเจ้า และอีกประเภทหนึ่งยึดติดกับการทำงานเพื่อทำให้พระเจ้าพอใจ

ผู้บำเพ็ญทางจิตวิญญาณชนิดที่ 3  อาจจะบูชาพระเจ้าด้วยเช่นกัน และทำความดีเพื่อให้พระเจ้าพอใจ แต่พวกเขาทราบว่าสิ่งเหล่านี้เป็นแค่เรื่องรองเท่านั้น สิ่งที่พวกเขาสนใจมากที่สุดก็คือ “ใครคือพระเจ้า?” พวกเขาไม่เพียงแต่ต้องการบูชาพระเจ้าเท่านั้น ไม่เพียงแต่ต้องทำงานให้พระเจ้าเพื่อให้พระองค์พอใจเท่านั้น แต่ยังต้องการที่จะรู้ว่าใครคือพระเจ้าด้วยเช่นกัน เพื่อให้ได้มาซึ่งพระองค์ ผู้บำเพ็ญทางจิตวิญญาณประเภทนี้ในที่สุดก็จะได้กลายเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า

อย่างไรก็ตามมีคนเป็นจำนวนน้อยมากที่สามารถบรรลุถึงระดับนี้ได้ เป็นการง่ายที่จะพูดเรื่องนี้ แต่ยากที่จะตระหนักถึงมัน สิ่งที่เราเห็นในการนั่งสมาธิของเราทุกวันเป็นตัวแทนของคุณสมบัติภายในของเรา หากเราเห็นแสงเราก็รู้ว่าเราคือแสง หากเราเห็นความมืด เราก็รู้ว่าคุณสมบัติภายในของเรายังคงอยู่ในความมืด ดังนั้นเราจึงไม่สามารถที่จะหยุดการบำเพ็ญทางจิตวิญญาณของเราได้แม้เพียงวันเดียว เราจะต้องค้นหาต่อไปเหมือนอย่างที่เราต้องกินทุกๆ วัน และไม่สามารถหยุดกันได้แม้เพียงวันเดียว การไม่กินหนึ่งวันอาจจะไม่เป็นไร แต่ไม่ใช่เป็นเวลาหลายวัน

ทำนองเดียวกันกับการบำเพ็ญทางจิตวิญญาณ เราอาจคิดว่าเป็นการน่าเบื่อที่จะเป็นมังสวิรัติและนั่งสมาธิสองชั่วโมงครึ่งทุกวัน อย่างไรก็ตามเรากินทุกวัน ทำไมเราจึงไม่เชื่อที่จะกินล่ะ? อาหารก็คล้ายๆ กันทุกวัน แต่เราก็ยังคงกินมัน เพราะร่างกายของเราต้องการมันเพื่อที่จะเติบโตและเซลของเราก็ต้องการมันเพื่อบำรุงเลี้ยง ในทำนองเดียวกัน เรานั่งสมาธิสองชั่วโมงครึ่งทุกวัน เราทำแบบเดียวกันทุกวันเพราะวิญญาณของเราต้องการสิ่งนี้เพื่อพัฒนา

อย่าคิดว่าการบำเพ็ญทางจิตวิญญาณจะต้องซับซ้อน และเธอควรทำมือท่านี้ในวันนี้ ทำท่าศีรษะแบบนั้นในวันพรุ่งนี้ และท่าเท้าในวันมะรืนในการบำเพ็ญทางจิตวิญญาณ ไม่เลยเธอไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น ยกตัวอย่างเป็นการดีพอแล้วถ้าอาหารของเราเรียบง่าย ยิ่งอาหารของเราซับซ้อนมากขึ้นเท่าไร เราก็จะสร้างความยุ่งยากให้ตัวเรามากขึ้นเท่านั้น เพราะจุดประสงค์ของการกินก็เพื่อบำรุงหล่อเลี้ยงร่างกายของเรา ยิ่งเรากินอาหารที่ซับซ้อนมากขึ้นเท่าไร เราก็ยิ่งสร้างกรรมมากขึ้นเท่านั้น นอกจากนั้นอาหารที่ซับซ้อนอาจจะไม่ได้ดีจริงๆ ก็ได้ กระเพาะอาหารของเราอาจจะไม่สามารถรับมันได้ ดังนั้นเราจึงไม่ย่อยมัน จากนั้นก็เจ็บป่วย

เมื่อเราเผชิญกับสภาพที่เจ็บปวดซึ่งเราต้องพรากจากสิ่งที่เราทะนุถนอม เราไม่ควรที่จะจมลงไปในความโศกเศร้า ในทางกลับกันเราควรที่จะคิดว่า “ฉันจะตายไหมถ้าฉันไม่มีมัน?” หรือ “มีสิ่งทดแทนอย่างอื่นใหม่ที่อาจจะดีกว่ามัน?” อันที่จริงมีบางครั้งเราคิดว่าคนที่เรามีอยู่นั้นเป็นคนที่ดีที่สุด แต่หลังจากที่เขาจากไป ในที่สุดเราก็จะพบคนอื่นที่ดีกว่าและเหมาะสมสำหรับเรามากกว่า ไม่ใช่เป็นเช่นนั้นหรอกรึ? เมื่อเรายึดมั่นอยู่กับบางสิ่งบางอย่าง เราก็ลืมที่จะมองดูสิ่งอื่นๆ  อันที่จริงแล้วมันอาจจะดีกว่าหากเราใช้เวลาที่จะเสาะแสวงหาสิ่งที่ดีกว่า

การยึดติดเป็นความเคยชินชนิดหนึ่ง ไม่มีอะไรที่เราไม่สามารถละจากไปได้จริงๆ เรายึดติดกับสิ่งของเพราะความเคยชิน และเพราะเราเกาะยึดกับมันมากเกินไป เมื่อเรายืนอยู่ ณ ที่ที่หนึ่ง เราก็เพียงแต่ยืนอยู่ ณ ที่ตรงนั้นและไม่ต้องการเคลื่อนไหว เมื่อเราได้คนหนึ่งๆ มา เราก็ยึดติดกับเขาและไม่ต้องการเปลี่ยนเป็นคนอื่น หากคน 2 คนแต่งงานกันและมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แน่นอนพวกเขาควรที่จะซื่อสัตย์ต่อกัน อย่างไรก็ตามหากมีปัญหาเช่น เขาหรือหล่อนตายไปหรือคนหนึ่งไม่รักอีกคนหนึ่งอีกต่อไป อีกคนหนึ่งก็ควรมีจิตใจที่เป็นธรรมดาและไม่ควรที่จะแพ้ต่อตัวเขาหรือตัวหล่อนเพราะบุคคลคนนั้นหรือเพราะสิ่งใดๆ

เมื่อเราโศกเศร้า ปกติเราจะลืมเรื่องศรัทธาของเราใช่ไหม? ใช่หรือเปล่า? (ผู้ฟัง:ใช่) หากเราโศกเศร้าต่อการจากไปของบุคคลคนหนึ่ง เราอาจลืมไปว่าสรรพสัตว์ทั้งหลายเป็นหนึ่งเดียวกัน ลืมไปว่าไม่เคยมีสิ่งใดดำรงอยู่ และลืมไปว่าทุกอย่างนั้นมาจากแหล่งกำเนิดเดียวกัน เราไม่ควรเกาะยึดกับกายเนื้อของคนๆ หนึ่ง เมื่อร่างกายหายไปบุคคลผู้นั้นก็จะไปยังอีกที่หนึ่งและหาร่างอีกร่างหนึ่งให้ตัวเขา

ยกตัวอย่าง บางครั้งเราชอบกุหลาบหรือดอกไม้ชนิดอื่นมาก เมื่อดอกไม้เหี่ยวเฉาลงเราก็รู้สึกเสียใจ เราทนไม่ได้ที่ต้องพรากจากมันไป และปรารถนาที่จะให้มันดำรงอยู่ตลอดไป อย่างไรก็ตามหากกุหลาบทุกดอกดำรงอยู่ตลอดไปจะมีกุหลาบใหม่ๆ มาได้อย่างไรกัน?

อีกตัวอย่างหนึ่ง สมมติว่ามีมะม่วงผลงามผลหนึ่งและเราเสียดายไม่อยากกินมัน เราคิดว่าผลมะม่วงที่ออกงามเช่นนี้ควรแกว่งไกวอยู่บนกิ่งตลอดไป ดังนั้น เราจึงไม่กินมัน อย่างไรก็ตาม ถ้าเราไม่กินมัน เมล็ดของมันจะไม่สามารถร่วงหล่นไปยังพื้นดินได้ เมื่อต้นมะม่วงอายุมากมันจะไม่มีลูกอีกต่อไป และเราก็จะไม่มีต้นมะม่วงอีกต้นมาแทนที่มัน

เรื่องนี้นำมาใช้ได้กับเรื่องอื่นๆ ทุกเรื่องในโลก เราไม่ควรโศกเศร้ามากเกินไปเมื่อเราสูญเสียสิ่งใดไป มีความเป็นไปได้ที่เราจะได้บางอย่างที่มีค่ามากกว่าในวันพรุ่งนี้ มีนิทานจีนอยู่เรื่องหนึ่งเกี่ยวกับผู้ชายแก่ที่อาศัยอยู่ชายแดนซึ่งสูญเสียม้าของเขาไป พวกเธอทั้งหมดต่างรู้เรื่องนี้ดีมาก แต่เธอก็ยังคงไม่เห็นคุณค่าของความเจ็บปวดและความทุกข์

แต่ละครั้งที่ฉันต้องเข้ารับการผ่าตัดหรือล้มป่วยลง กรรมของฉันก็ถูกชำระล้างไปมาก ฉันรู้สึกขอบคุณ! เธออาจพบว่าเรื่องนี้ยากที่จะเชื่อ บางครั้งฉันถึงกับพูดว่า "หากสิ่งนี้สามารถชำระล้างภัยพิบัติ ความทุกข์และกรรมได้มากมายจริงๆ แล้วละก็ ขอให้ฉันได้เจ็บป่วยมากขึ้นด้วยเถิด"  ฉันรู้สึกดีใจจริงๆ แน่นอนเมื่อฉันเจ็บป่วย ฉันก็ร้องไห้เพราะมันเจ็บปวดและฉันทนไม่ได้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าฉันไม่มีความสุขหรือไม่เต็มใจที่จะรับมัน ไม่ใช่ แม้ถ้าความเจ็บปวดนั้นสาหัสฉันก็ยังคงเต็มใจที่จะรับมัน

เมื่อเราเจ็บป่วย มันเป็นเวลาอันรุ่งโรจน์ที่สุดในชีวิตของเราอย่างแท้จริง มันสามารถขจัดความมืดและกรรมหนักของเรามากมายของเราได้ หากชีวิตฉันไม่มีความทุกข์ความเจ็บป่วย หรือความเจ็บปวด ฉันก็จะทนมันไม่ได้ ฉันจะไม่สามารถย่อยกรรมของสรรพสัตว์ได้ หากบุคคลหนึ่งมีบุญญานิสงส์มากมาย บุคคลนั้นก็ยังคงไม่สามารถย่อยกรรมที่มากมายเช่นนั้นได้หมดในคราวเดียว ฉันอาจจะชดใช้มันอย่างช้าๆ แต่เมื่อไรที่ฉันจะใช้มันได้หมดล่ะ? มีสรรพสัตว์มากมายฉันไม่มีเวลาพอที่จะทำมันอย่างช้าๆ

ดังนั้น พระเจ้าจึงมีระบบของพระองค์ๆ สามารถช่วยเราชำระล้างกรรมของเราได้ เนื่องจากพระองค์ปล่อยให้เรานำ "ขยะ" มากมายติดตัวไปด้วย พระองค์ก็จะช่วยเราเป็นครั้งเป็นคราวโดยการส่ง "พาหนะ" หรือคนเพื่อมาช่วยขน "กระเป๋าเดินทาง" ของเรา  ดังนั้น เมื่อเธอประสบภัยพิบัติหรือล้มป่วยลงขออย่าได้บ่น  แต่ขอให้ขอบคุณพระเจ้าแทน ระดับจิตวิญญาณของเราจะไม่ถูกยกระดับให้สูงขึ้นหากปราศจากความทุกข์หรือความเจ็บป่วย เพราะเรามีกรรมมากเกินไป แม้ถ้าตัวเราเองไม่มีกรรมก็ตามเราก็ยังคงแบกกรรมของบรรพบุรุษของเรา