นักวิทยาศาสตร์ผู้รู้แจ้งซึ่งยกระดับ ความเจริญของโลก

 
 

 ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่

เกาสง ฟอร์โมซา 10 มกราคม 1990 (เดิมเป็นภาษาจีน)

 

เธอรู้ไหมว่าทำไมจะไม่มีนักบุญถ้าไม่มีสรรพสัตว์? เรามีปัญญาอันยิ่งใหญ่ ความเมตตาอันยิ่งใหญ่และพลังอันยิ่งใหญ่ภายในตัวเราซึ่งจะออกมาเมื่อเราต้องการมันอย่างตั้งใจจริง ปัญญาภายในของเราเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล และหลังจากที่เราเป็นนักบุญแล้วเราจะสามารถทำให้มันปรากฏเป็นรูปแบบใดๆ ก็ได้ที่เราปรารถนาหรือที่สรรพสัตว์ชอบ มันเป็นวิทยาศาสตร์มาก ม่มีอะไรที่เป็นความลับในเรื่องนี้

ในมิติที่สูงกว่า ผู้บำเพ็ญทางจิตวิญญาณผู้ยิ่งใหญ่ได้เข้าถึงข้อมูลและวัตถุมากกว่าเราเป็นล้านๆ เท่า พวกเขาสามารถแปรเปลี่ยนแสงโฟตอนให้เป็นเครื่องมือและสิ่งต่างๆ ที่ต้องการ สิ่งมีชีวิตที่ได้บรรลุสัจธรรมสูงสุดไม่รู้สึกเบื่อจากการที่ไม่มีอะไรทำ หรือเพียงแต่บินไปมาบนก้อนเมฆหรือบนดอกบัว พวกเขามีภารกิจ และด้วยเหตุนี้นักบุญจึงมีชื่อต่างๆ กัน ยกตัวอย่าง ไภสัชคุรุพุทธะได้รับการเคารพมากเพราะท่านเชี่ยวชาญในการค้นคว้าวิจัยยาและรักษาคน เนื่องจากท่านรักที่จะทำการค้นคว้าวิจัยในเรื่องยาก่อนที่ท่านจะกลายเป็นนักบุญ ท่านจึงทำต่อไปหลังจากนั้น แน่นอนท่านก็มีคุณสมบัติอื่นๆ หลังจากที่ท่านได้กลายเป็นนักบุญแล้ว แต่ท่านมีความเหนือกว่าในด้านนี้

ความรู้ทางวิทยาศาสตร์บนดาวที่อยู่นอกเหนือดาวเคราะห์

แม้กระทั่งก่อนที่เราจะบรรลุระดับสูงสุดของการรู้แจ้ง เราก็มีความสามารถอยู่แล้วที่จะทำให้สิ่งต่างๆ มากมายปรากฏขึ้นมา ขอให้สมมุติว่าเรากำลังอาศัยอยู่บนดาวเคระห์ที่เจริญมากหรืออยู่ในประเทศที่ตามนุษย์มองไม่เห็น เมื่อสิ่งมีชีวิตที่สูงส่งกว่าที่นั่นต้องการสร้างบ้าน พวกเขาก็สร้างมันด้วยพลังและปัญญาของพวกเขา บนโลกที่นี่ เราใช้ดินเหนียวมาเผาอิฐ ทำให้หินเป็นผงเพื่อกลายเป็นซีเมนต์ก่อนที่จะสามารถสร้างเป็นบ้านที่สวยงามได้ ในมิติที่สูงกว่าบ้านนั้นสร้างด้วยผลึก

สี่งมีชีวิตที่อยู่บนนั้นไม่ต้องขุด บด หรือทำสิ่งใดให้เป็นผงเพื่อที่จะสร้างผลึกในแบบที่เราทำอิฐและซีเมนต์ มันไม่มีความจำเป็น ทั้งหมดที่พวกเขาต้องทำก็คือใช้จินตนาการของพวกเขา ผลึก เพชรและเพชรนิลจินดาสารพัดชนิดมีอยู่พร้อมแล้วที่บนนั้น หากเธอปรารถนาที่จะสร้างบ้านด้วยผลึก ก็เพียงแต่หยิบผลึกก้อนเล็กๆ ขึ้นมาก้อนหนึ่ง วางมันไว้ข้างหน้าเธอ จากนั้นก็ใช้พลังเหนือธรรมชาติของเธอเพื่อเปลี่ยนมันให้เป็นขนาดใดๆ หรือปริมาณเท่าใดก็ได้ที่เธอต้องการ เหมือนกับเราปลูกต้นไม้หรือดอกไม้ที่นี่ ผลึกก็สามารถปลูกได้แล้วเอาไปใช้สร้างบ้าน

บางครั้งคนก็พูดว่า "หว่านเมล็ดแห่งบุญและเก็บเกี่ยวพระพร" เรื่องนี้จริงแท้แน่นอนที่สุด! บุญอะไรก็ตามที่เราได้หว่านไว้ที่นี่ สิ่งนั้นจะเป็นพระพรที่เราจะเก็บเกี่ยวด้วยครื่องมือที่ทันสมัยมากมายซึ่งพวกเขาใช้ช่วยเหลือสรรพสัตว์ที่อยู่ข้างล่าง

ในบ้านของพวกเขา ไม่มีครัวเพราะพวกเขาไม่ทำอาหาร พวกเขาไม่เคยไปซื้อของชำเพราะจริงๆ แล้วพวกเขาไม่กินอะไรเลย แม้ถ้าพวกเขากิน พวกเขาก็สามารถใช้พลังของจักรวาลได้ การเป็นหนึ่งเดียวกับพลังแห่งการสร้างสรรค์ทำให้พวกเขาอิสระที่จะใช้ทรัพยากรใดๆ ในการสร้างสรรค์หากพวกเขาต้องการสิ่งใด การที่สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ได้ก้าวข้ามไปอยู่ในมิติที่สูงกว่า พวกเขาทุกคนจึงมีความรับผิดชอบมาก ฉลาดและมีปัญญามาก เต็มไปด้วยความรักและกระหายที่จะช่วยเหลือผู้อื่น ไม่มีการคอร์รัปชั่น ไม่มีใครที่ถูกล่อใจด้วยความร่ำรวยของจักรวาลและนำสิ่งต่างๆ กลับมาเก็บไว้ที่บ้าน ไม่มีใครจะใช้ความมั่งคั่งของการสร้างสรรค์ไปในทางที่ผิด

บ้านของนักบุญและชาวสวรรค์ส่วนใหญ่ไม่มีเครื่องเรือน เพราะพวกเขาไม่ต้องการเครื่องเรือนใดๆ ทั้งหมดที่พวกเขามีก็คือเครื่องมือที่ทันสมัยมากมาย  ซึ่งพวกเขาใช้ช่วยเหลือสรรพสัตว์ที่อยู่ข้างล่าง  เธออาจถามฉันว่า "ทำไมนักบุญและชาวสวรรค์จึงยังต้องการเครื่องมือ?" เป็นเพราะความแตกต่างอย่างใหญ่หลวงระหว่างระดับของพวกเขาและของเรา! จำเป็นที่จะต้องมีเครื่องมือที่เป็นสื่อกลางเพื่อทำให้ความแตกต่างละลายหายไปและเป็นกลาง เพื่อว่าคนที่นี่จะได้รับพวกเขาได้หรือรับสิ่งที่พวกเขาต้องการให้ได้ มิฉะนั้นเราจะไม่สามารถรับสิ่งใดจากมิติที่สูงกว่ามิติของเรามากๆ ได้

ยกตัวอย่าง ความแรงของกระแสไฟฟ้าในโลกของเราซึ่งจะต้องแจกจ่ายผ่านหม้อแปลง เพื่อลดความดันของกระแสไฟฟ้าให้ใช้กับบ้านได้ เราไม่สามารถใช้กระแสไฟได้ถ้าความดันของมันสูงเกินไป! (เสียงปรบมือ) ทำไมเธอจึงปรบมือ? เธอไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนหรือ? เรื่องนี้ไม่สลับซับซ้อน เมื่อนักบุญต้องการติดต่อกับเรา พวกเขาจะต้องมีกายเนื้อซึ่งก็เป็นหนึ่งในเครื่องมือมากมายของพวกเขาเช่นกัน ยกตัวอย่าง ในแดนปัจฉิมหรือในโลกที่เหนือกว่าอื่นๆ ของนักบุญ พวกเขาสามารถสร้างเครื่องมือโดยใช้วัสดุจากจักรวาล อย่างไรก็ตาม นั่นก็ไม่จำเป็นเสียด้วยซ้ำ เพราะมีแผนกมากมายซึ่งเชี่ยวชาญเฉพาะในการผลิตกายเนื้อ ก็เหมือนอย่างโรงงานมากมายที่ผลิตเสื้อผ้าขายให้กับคนในโลกนี้นั่นเอง มันไม่ใช่เป็นความรับผิดชอบของประธานาธิบดี รัฐมนตรีมหาดไทยหรือรัฐมนตรีต่างประเทศ ฉันไม่ได้พูดว่าพวกเขาไม่มีความสามารถที่จะทำเรื่องนี้ พวกเขาสามารถทำได้ถ้าพวกเขาต้องการที่จะทำ แต่มันเกินขอบข่ายหน้าที่ของพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่จำเป็นที่จะต้องทำมัน

สมมุติว่าเธอต้องการเดินทางระยะทางสั้นๆ ไปยังโลกที่อยู่ข้างล่างหลังจากที่เธอได้กลายมาเป็นนักบุญแล้ว การเดินทางระยะสั้นๆนี้จะกินเวลาหลายร้อยปี เพราะหน่วยของเวลานั้นแตกต่างกัน! ไม่มีแนวคิดในเรื่องระยะทางและกาลเวลาที่ข้างบนนั่น ซึ่งไม่เหมือนกับวิธีที่เราถูกปิดขังในกรงของระยะทางและกาลเวลาในโลกนี้ บางครั้งนักบุญอาจต้องการเดินเล่นในกรงนี้ แต่การจะทำเช่นนั้น พวกเขาจะต้องเอาเสื้อผ้ามาสวมใส่ด้วยเสื้อผ้าที่เป็นร่างมนุษย์นี้ พวกเขาสามารถเลือกชุดๆ หนึ่งจาก "โรงงาน"เหล่านั้นแล้วก็วิ่งไป! เรื่องนี้ไม่มีอะไรเลย! สำหรับพวกเขามันเร็วเสียยิ่งกว่าแบบนี้! (ท่านอาจารย์ดีดนี้วของท่าน) เร็วเสียยิ่งกว่าพริบตา! อย่างไรก็ตาม ในโลกมนุษย์สิ่งนี้เท่ากับเวลา 9 เดือนในมดลูก 12 ปีในการเติบโต และ 6 เดือนหรือ 6 ปีในการแสวงหาสัจธรรม หลังเรียนจบแล้วผู้นั้นก็ใช้เวลาเป็นสิบๆ ปีเพื่อเผยแพร่สัจธรรม สำหรับนักบุญแล้วสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดใช้เวลาน้อยกว่าชั่วพริบตา

สมมุติว่าเธอได้กลายเป็นนักบุญและขึ้นไปยังมิติที่เหนือกว่ากับอาจารย์ของเธอ เธอจะเรียนรู้งานอะไรก็ตามที่เธอเคยสนุกเพลิดเพลินกับมันต่อไป ขณะที่เรียนรู้ที่จะเป็นนักบุญ เธอก็เรียนความถนัดเฉพาะดั้งเดิมของเธอเพิ่มมากขึ้นด้วย เพื่อเธอจะได้ช่วยเหลือได้ในภายหลัง ที่ข้างล่างนี้ เราเรียนคอมพิวเตอร์หรือวิทยาศาสตร์อะตอมและช่วยคนด้วยความรู้ในภายหลัง เมื่อเปรียบเทียบกับภูมิภพที่อยู่สูงกว่า เทคโนโลยี่ทางวิทยาศาสตร์ของโลกนี้นับว่าด้อยกว่า

ถ้าเราเรียนอยู่ในมิติที่เหนือกว่า เราจะได้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่ก้าวหน้ากว่าและกลายเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงเมื่อเรากลับมายังโลกนี้ เราสามารถสอนนักวิทยาศาสตร์ที่นี่ที่เก่งน้อยกว่าและยกระดับของพวกเขาขึ้นมาหน่อย จากนั้นเราก็สามารถพาเขาขึ้นไปฝึกในขั้นที่สูงกว่าเพื่อพวกเขาจะได้กลายเป็นผู้รอบรู้ช่ำชองในสาขาเฉพาะทางของพวกเขา นั่นก็คือวิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต พวกเขาจะฉลาดขึ้นและมีความสามารถมากขึ้นในการทำสิ่งต่างๆ มากมาย

นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ในโลกของเราถูกพาไปยังภูมิภพที่สูงกว่า ไม่ว่าพวกเขาจะทราบหรือไม่ทราบก็ตาม เพื่อเรียนบทเรียนบางอย่างขณะที่เขานอนหลับในตอนกลางคืน นักวิทยาศาสตร์บางคนในมิติที่สูงกว่าเป็นห่วงเป็นใยมากในเรื่องการพัฒนาของโลกเรา ดังนั้นพวกเขาจึงมาพานักวิทยาศาสตร์ของเราขึ้นไปที่ข้างบนเพื่อฝึกหัดอยู่บ่อยๆ บ่อยครั้งมากที่มันไม่เป็นการง่ายเลยที่จะพานักวิทยาศาสตร์ขึ้นไป ดังนั้นนักวิทยาศาสตร์หัวกระทิบางคนจึงถูกเบื้องบนส่งลงมา อย่างไรก็ตามเมื่อพวกเขาอยู่ที่นี่ ปัญญาของพวกเขาก็ลดน้อยลงเมื่อเปรียบเทียบกับเมื่อพวกเขาอยู่ข้างบน

พวกเขาดูเหมือนว่าใช้ชีวิต 2 ชีวิตพร้อมๆ กัน - ชีวิตหนึ่งที่นี่และอีกชีวิตหนึ่งที่ข้างบน ร่างกายทางจิตวิญญาณของพวกเขาอาศัยอยู่ที่ข้างบนโน้น และร่างกายเนื้อของพวกเขาอาศัยอยู่ที่ข้างล่างนี่ ร่างกายทั้ง 2 ร่างมีการเชื่อมโยงระหว่างกัน ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถปรับความคิดและร่างกายของพวกเขาจากข้างบนได้ และสั่งให้มันทำงาน กายเนื้อมีประโยชน์อะไร? มันมีไว้เพื่อใช้ติดต่อสื่อสารกับมนุษย์คนอื่น มีสรรพสัตว์อยู่หลายระดับที่ทำงานในงานอาชีพต่างๆ มากมาย ในบรรดางานอาชีพเหล่านี้ นักวิทยาศาสตร์มีอิทธิพลที่ยิ่งใหญ่กว่าในโลก ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องฝึดหัดพวกเขาให้เปลี่ยนแปลงโลกนี้

นักวิทยาศาสตร์ที่รู้แจ้ง

นักบุญส่งชาวสวรรค์บางคนลงมาที่นี่มาเป็นนักวิทยาศาสตร์หัวกะทิ และมีการติดต่อกับนักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆ โดยผ่านพวกเขา เนื่องจากได้มีการติดต่อนี้เกิดขึ้น นักวิทยาศาสตร์ก็จะสามารถถูกพาไปยังภูมิภพที่สูงกว่าด้วยความยินยอมของพวกเขาเพื่อรับการฝึกหัดในเวลากลางคืน พวกเขาได้รับอิทธิพลไม่มากก็น้อยจากนักวิทยาศาสตร์หัวกะทิที่ติดต่อพวกเขา ดังนั้น ทัศนคติภายในของพวกเขาก็ได้เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย

นักวิทยาศาสตร์บางคนไม่เคยก้าวหน้าเลย พวกเขามาที่นี่ชีวิตแล้วชีวิตเล่า แต่พวกเขาก็ติดอยู่ที่ใดที่หนึ่งและไม่สามารถก้าวหน้าได้ เพราะมีทฤษฎีหรือกฎบางอย่างที่พวกเขาไม่ยอมรับ จากนั้นนักวิทยาศาสตร์ชั้นหัวกะทิซึ่งรู้แจ้งก็มาให้ข้อพิสูจน์แก่พวกเขา อธิบายและชักชวนพวกเขาให้ยอมรับทฤษฎี เมื่อพวกเขาเชื่อแล้ว สิ่งกีดขวางทางจิตใจของพวกเขาก็จะหายไป พวกเขาจะมีจิตใจที่เปิดกว้างมากขึ้น เริ่มต้นที่จะพัฒนาก้าวหน้าและค่อยๆยอมรับกฎและทฤษฎีที่ก้าวหน้ามากกว่า

ดังนั้น จึงมีความจำเป็นที่เราจะต้องมีนักบุญและชาวสวรรค์อยู่ที่นี่ตลอดเวลา แม้ว่าพวกเขาจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยวิธีการที่ต่างออกไปตามระดับของสรรพสัตว์ นอกเหนือจากทางด้านวิทยาศาสตร์แล้ว นักบุญและชาวสวรรค์ก็ยังเก่งในเรื่องต่างๆหลายเรื่องด้วย พวกเขาได้เรียนรู้ทุกอย่าง ยกตัวอย่าง หากเธอต้องการเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่เก่งมาก เธอจะต้องเรียนเป็นเวลามากกว่าพันปี ก่อนที่เธอจะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญ -- “อาจารย์” --ในสาขานี้ หลังจากผ่านไปเป็นล้านๆ ปีและหลายๆ ชาติ เธอก็จะรอบรู้ในวิชาต่างๆ มากมายและกลายเป็นนักบุญ

นี่เป็นขบวนการที่น่าเบื่อหน่ายมากในการเรียนรู้สิ่งต่างๆ มากมายจากการเวียนว่ายตายเกิดซ้ำๆกั นก่อนที่เธอจะได้รับการรู้แจ้งที่ยิ่งใหญ่ นักบุญที่ได้บรรลุการรู้แจ้งที่ยิ่งใหญ่สามารถเข้าใจสิ่งต่างๆ ด้วยการมองเพียงแวบเดียว พวกเขาไม่จำเป็นต้องผ่านขบวนการเรียนรู้ที่ยากลำบาก นักวิทยาศาสตร์หัวกะทิเหล่านั้นที่มีสถานภาพการรู้แจ้งที่ต่ำกว่าแค่เพียงทำงานให้กับนักบุญเท่านั้นซึ่งนักบุญเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องทำสิ่งเหล่านี้ เครื่องมือในบ้านของนักบุญจะถูกใช้เพียงเพื่อเปลี่ยนพลังที่เหนือกว่าเท่านั้น เพื่อว่าโลกที่ต่ำกว่าของเราจะสามารถรับมันได้

การสร้างด้วยแสง

สมมุติเธอต้องการรู้ว่ามนุษย์ในโลกนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร และร่างกายมนุษย์ถูกสร้างขึ้นมาอย่างไร ทันทีที่เธอรู้แจ้ง อาจารย์ของเธอสามารถพาเธอไปยังสถานที่ที่ร่างกายมนุษย์ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเธอจะได้เห็นได้ด้วยตัวเอง มันง่ายมากและไม่ใช่เป็นเรื่องสลักสำคัญอะไร ทุกสิ่งถูกสร้างขึ้นด้วยแสง ยกตัวอย่าง หากเราต้องการสร้างบางอย่าง อาจจะเป็นถ้วยในโลกนี้ เราจะต้องละลายวัสดุบางอย่างและหลอมมันโดยใช้มือ ความคิดของเราและเครื่องมือ ข้างบนโน้น เราใช้แสง 2 หรือ 3 ลำแสง และปรับมันด้วยเครื่องมือซึ่งเท่าเทียมกับคอมพิวเตอร์ในโลกนี้ อย่างไรก็ตาม เราไม่เคยเห็นคอมพิวเตอร์แบบที่พวกเขาใช้กันข้างบนโน้นในโลกนี้ คอมพิวเตอร์และเครื่องมืออื่นๆในโลกนี้ล้าหลังมาก และไม่มีทางที่จะเปรียบเทียบได้กับเครื่องมือที่อยู่ข้างบนโน้น ดังนั้นฉันจึงไม่สามารถที่จะบอกเธอว่าเครื่องมือที่อยู่ข้างบนโน้นมีหน้าตาอย่างไร

ฉันทำได้ก็แค่บรรยายสั้นๆให้เธอฟังเท่านั้น ขอให้เราลองดูตัวอย่างที่ชาวสวรรค์ซึ่งต้องการสร้างบางอย่างด้วยเครื่องมือที่เขามี เขาบังเอิญเป็นชาวสวรรค์ที่มีระดับต่ำมากกว่าที่จะเป็นระดับสูง ผู้ที่มีระดับสูงไม่จำเป็นต้องผ่านความยุ่งยากลำบากเช่นนี้ ชาวสวรรค์คนนี้ก็กดตรงที่ 2 ที่ แล้วลำแสง 2-3 ลำก็จะมารวมกัน แสงลำหนึ่งอาจเป็นสีแดง อีกลำหนึ่งเป็นสีน้ำเงิน เธอเลือกแสงที่เธอต้องการใช้ ขึ้นอยู่กับว่าเธอต้องการสร้างอะไร เธอไม่จำเป็นต้องใช้แสงสีแดงและสีน้ำเงินตลอดเวลา แสงที่ต่างกันก็มีหน้าที่ต่างกัน คุณสมบัติและระดับของสติปัญญาที่ต่างกัน แสงทุกชนิดมีสติปัญญาซึ่งตรงข้ามกับสิ่งที่เหมือนหินในโลกนี้ ซึ่งไม่มีความรู้สึก แสงทุกชนิดที่ข้างบนโน้นมีความรู้สึก

เมื่อลำแสง 2 ลำรวมกัน มันอาจจะทำให้เกิดสิ่งเล็กๆและบางทีมีสีม่วง แล้วชาวสวรรค์ก็จะใช้พลังของเขาเพื่อขยายมันและหล่อหลอมให้มันเป็นรูปร่างที่เขาต้องการ เขาสามารถใช้ปัญญาของเขาเพื่อปรับมันได้ นี่ก็เหมือนกับวิธีการที่เมื่อเรามีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ที่น้อยกว่า เราเคยใส่ชิ้นเหล็กลงไปในไฟแล้วหลังจากที่มันอ่อนตัวลงเราจะอัดมันและทุบให้แบน ถ้าเราต้องการมันให้เป็นวงกลมเราจะทุบมันให้เป็นรูปทรงกลม ถ้าเราต้องการทำมีดเราจะทุบเหล็กให้เป็นรูปร่างที่ยาว แต่ข้างบนโน้นไม่มีการใช้ค้อนและไม่ต้องใช้แรง ชาวสวรรค์ใช้ปัญญาของพวกเขาเพื่อสร้างอะไรก็ตามที่พวกเขาต้องการ หลายสิ่งทำให้สำเร็จลงได้ด้วยการหลอมรวมของพลังและแสงแห่งจักรวาล

อย่างไรก็ตามนี่ก็ยังอยู่ในระดับที่ต่ำและอยู่ในขั้นตอนแห่งการพัฒนา นักบุญไม่ใช้หรือไม่มีความต้องการเครื่องมือที่ซับซ้อนเช่นนี้ เขาอาจสอนชาวสวรรค์ให้ทำสิ่งเหล่านี้ แต่เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของการฝึกฝนเพราะพวกเขาหลายคนชอบทำงานชนิดนี้ พวกเขาเบื่อเมื่อไม่มีอะไรทำทั้งวัน เธอนึกภาพออกไหม? ชาวสวรรค์ที่อยู่ข้างบนโน้นไม่มีอะไรทำ พวกเขาก็เลยเล่นกับแสง เอาลำแสง 2 ลำมารวมกันแล้วสร้างสิ่งต่างๆ ออกมามายมาย

ทำไมเราจึงทุกข์ทรมานเหลือเกินในโลกนี้? เพราะมันยุ่งยากลำบากที่จะสร้างสิ่งต่างๆ แม้กระทั่งการทำมีดก็ต้องใช้ความพยายาม ในอดีตมันยิ่งยุ่งยากลำบากกว่านี้เสียด้วยซ้ำ สรรพสัตว์ที่ชาญฉลาดมากมายได้ลงมาจากโลกทิพย์ และโลกแห่งเหตุและผลเพื่อสอนมนุษย์ ด้วยเหตุนี้เราจึงฉลาดมากขึ้นและเจริญก้าวหน้า สร้างสิ่งต่างๆ ทางวิทยาศาสตร์เพื่อทำให้โลกของเราสะดวกสบายขึ้นและผู้คนของเรามีความสุขขึ้น เธอนึกถึงภาพสถานที่นั้นออกไหม ที่ที่มีปัญญาสูงกว่าและมีความเจริญก้าวหน้ามากกว่า มีความเหนือกว่าโลกของเราเป็นพันล้าน และล้านๆ เท่า? ด้วยเหตุนี้สถานที่นั้นจึงได้ชื่อว่าแดนปัจฉิม แดนแห่งพุทธะ หรืออาณาจักรของพระเจ้า

ทำไมเราจึงทุกข์ทรมานหลังจากที่เราเกิดมาในโลกนี้? เป็นเพราะเราอยากได้สิ่งต่างๆมากมายซึ่งเราไม่สามารถได้มันมา เมื่อเราต้องการบางอย่าง เราจะต้องใช้ความพยายามใช้พละกำลังของเรา ต้องเหงื่อออกหรือหลั่งน้ำตาก่อนที่จะได้มันมา และบางครั้งเราอาจไม่ได้มันมา เราขาดหลายสิ่งหลายอย่างเราจึงรู้สึกกลัดกลุ้ม โลกนี้แตกต่างจากภูมิภพที่สูงกว่าที่ซึ่งผู้คนสามารถได้สิ่งที่เขาต้องการอย่างรวดเร็ว ดังนั้นจึงไม่ทุกข์ทรมานมาก

จากเรื่องนี้เราจะเห็นได้ว่า ถ้าความอยากของเราหรือแม้กระทั่งความต้องการทางวัตถุหรือความต้องการในระดับที่ต่ำได้รับการตอบสนองอย่างง่ายดาย ก็จะมีความเจ็บป่วยน้อยกว่าเนื่องจากการขาดแคลนวัตถุ ประเทศต่างๆ มากมายในโลกจึงถูกทำลายและคนเป็นจำนวนมากถูกฆ่าตายและถูกปราบโดยประเทศอื่น เพราะสงครามจึงทำให้คนจำนวนมากกลายเป็นทาสและถูกประเทศอื่นควบคุม นี่ก็เป็นความทุกข์ยากชนิดหนึ่งเหมือนกัน ถ้าไม่มีการขาดแคลนสิ่งของทางวัตถุในโลกนี้ มันก็จะได้กลายเป็นสวรรค์ไปแล้วละ

ความแตกต่างระหว่างสวรรค์และโลกนี้

ฉันไม่ได้กำลังใช้สิ่งของทางวัตถุเพื่อดึงดูดใจเธอให้ไปสวรรค์ ฉันเพียงแต่กำลังบอกให้เธอทราบถึงความแตกต่างระหว่างสวรรค์และโลกนี้เท่านั้น และให้เธอรู้ว่าทำไมโลกเราจึงทุกข์เหลือเกิน และทำไมชาวสวรรค์จึงมีความสุข สามารถทำสิ่งต่างๆได้อย่างง่ายดาย และมีความฉลาดมากกว่าและก้าวหน้ามากกว่า ทำไมพวกเราส่วนใหญ่จึงปรารถนาสิ่งต่างๆ มากมาย? เป็นเพราะเรารู้จากภูมิภพที่สูงกว่าและเคยอยู่ที่นั่นมาก่อน เราได้เคยเห็นมันและศึกษาอยู่ที่นั่น ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และระดับของนักบุญถูกบันทึกไว้ในความทรงจำของเรา ถ้าเราเปิดดูความทรงจำของเราจะเห็นสิ่งเหล่านี้อย่างชัดเจนและค่อยๆ เข้าใจว่า “โอ! ฉันเคยมีความสามารถมากมายเหล่านั้น” ทั้งหมดก็มีเท่านั้น

เราลงมาจากภูมิภพของนักบุญลงมายังโลกนี้เพื่อมาดู แต่เราลืมว่าเราเป็นใครหลังจากที่เราลงมาแล้ว อย่างไรก็ตามเราสามารถมองเป็นภูมิภพของนักบุญได้เมื่อเราทำสมาธิ ภูมิภพเหล่านี้มาจากไหนกัน? ฉันซื้อมันมาจากซุปเปอร์มาร์เก็ตเพื่อให้เธอมองดูหรือ? ฉันเปิดทีวีให้พวกเธอดูหรือ? ไม่ใช่! ทั้งหมดอยู่ภายในตัวเธอ มันถูกบันทึกไว้ในความทรงจำของเรา พระเจ้าไม่ได้อยู่ข้างนอก ไม่มีใครนำพระองค์มาให้เธอ มันเป็นเธอต่างหากที่เห็นพระองค์เมื่อเธอเปิดตาของเธอ

ดังนั้น จึงไม่สามารถมีนักบุญโดยปราศจากสรรพสัตว์ พระเจ้าเป็นเพื่อนของเรา เป็นธรรมชาติของเรา พระองค์ไม่ได้อยู่ข้างนอก ถ้าใครกำลังมองหาและบูชาพระเจ้าจากภายนอก ก็เป็นเรื่องที่น่าเศร้ามาก เพราะเขากำลังเดินอยู่บนนอกเส้นทางเดิน ทางที่ผิด เราควรจะมองเข้าไปข้างใน ทุกอย่างอยู่ภายในตัวเรา ตอนนี้เธอก็เข้าใจแล้วนะว่าคำสอนของฉันมีหลักการ (เสียงปรบมือ)

หากใครไม่เห็นด้วยกับฉันหรือไม่ชอบในสิ่งที่ฉันพูด เมื่อฉันพูดว่า “เธอไม่จำเป็นต้องบูชาพระเจ้า เพื่อที่จะกลายเป็นพระเจ้า คนที่บูชาพระเจ้าไม่สามารถกลายเป็นพระเจ้าได้” มันหมายความว่าเขาไม่รู้แจ้งพอเพียงที่จะเข้าใจเหตุผล ตลอดทุกยุคทุกสมัยที่ผ่านมา ไม่เคยมีใครได้ค้นพบพระเจ้าจากข้างนอก ทันทีที่บุคคลผู้หนึ่งได้ค้นพบพระเจ้า บุคคลนั้นก็จะตระหนักว่าทุกอย่างถูกสร้างมาจากความคิด

ชาวพุทธท่องเรื่องนี้เสมอๆเวลาทำวัตรเช้าและวัตรเย็น “หากผู้หนึ่งต้องการมีสำนึกในนักบุญทั้งหลายในอดีต ปัจจุบันและอนาคต ผู้นั้นควรจะเพ่งพิจารณาธรรมชาติอันแท้จริงของตัวเขาและเข้าใจว่าทุกอย่างถูกสร้างมาจากความคิด แม้แต่พระเจ้าก็ถูกสร้างมาจากความคิด เพราะฉะนั้นเราจึงควรหาพระเจ้าจากภายในและไมใช่จากที่อื่น เราไม่ควรบูชาภูเขา แม่น้ำหรือรูปปั้นบูชา

ฉันได้เล่าภูมิภพนั้นให้เธอฟังเพื่อให้เธอเปรียเทียบมันกับโลกนี้เท่านั้น มันไม่ใช่ภูมิภพที่สูงสุด ที่ซึ่งไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำสิ่งต่างๆเหล่านี้ ฉันเพียงแค่เล่าสิ่งที่อยู่ในระดับต่ำให้เธอฟังเพื่อให้เธอเข้าใจ ถ้าฉันบอกเธอว่าเธอไม่ต้องการอะไรเลยในภูมิภพที่สูงสุด เธอก็อาจจะกลัว เพราะเธอชอบที่จะมีของมากๆ ยิ่งมากยิ่งดี ตอนนี้ถ้าเธอได้ยินว่าเธอไม่ต้องการอะไรเลยในภูมิภพที่สูงสุด เธออาจจะรับมันไม่ได้และอาจพบว่ามันไกลเกินไปจากเธอ พระเจ้ามีทุกสิ่งทุกอย่าง พระองค์ไม่ต้องการเครื่องไม้เครื่องมือใดๆ หรือจำเป็นที่จะต้องปรับลำแสง 2 ลำ พระองค์ไม่จำเป็นต้องทำสิ่งเหล่านั้น พระองค์มีอยู่ทั่วไปทุกหนแห่ง และสามารถเปลี่ยนเป็นอะไรก็ตามที่พระองค์ต้องการเป็น อย่างไรก็ตามบางคนยังยึดอยู่กับรูปร่างหน้าตาบางอย่างและต้องการให้พระองค์มีหน้าตาเป็นแบบนี้แบบนั้น ดังนั้นพระองค์จึงทำตามความปรารถนาของพวกเขา

พวกเราเคยได้ยินว่าหลังจากที่คนได้เป็นนักบุญแล้ว คนคนนั้นก็จะเป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งที่สร้างขึ้นมาทั้งหลาย แต่ทำไมจึงยังคงมีนักบุญคนนี้และนักบุญคนนั้น? พวกเขาเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล แน่นอน แต่พวกเขาก็ยังคงรักษาบุคลิกลักษณะของตัวเองไว้ เนื่องจากเราได้พัฒนาการเป็นเอกัตตบุคคลของเรา เราจึงไม่สามารถกลับไปยังสิ่งที่เราเคยเป็นเมื่อทั้งหลายเป็นหนึ่งเดียวกันและไม่มีลักษณะเฉพาะบุคคล

เรื่องนี้ก็คล้ายกับการมีลูก แม้ว่าลูกนั้นจะมาจากเลือด กระดูกและความรักของเธอ เธอก็ไม่สามารถเอาเขาใส่กลับเข้าไปในตัวเธอได้ เขาได้คลอดออกมาแล้วและกลายเป็นคนหนึ่ง ในทำนองเดียวกัน เนื่องจากเราเกิดมาจากแสงอันยิ่งใหญ่ของจักรวาล เราจึงได้พัฒนาตัวเราแต่ละบุคคล แม้ว่าเราจะเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาลหลังจากที่เราได้พัฒนาตัวเราเป็นเฉพาะบุคคลแล้ว เราก็ไม่สามารถกลายเป็นแสงดั้งเดิม แม้ว่าเรายังคงมีคุณสมบัติ พลัง กำลังและความรักแบบเดิม (เสียงปรบมือ)

เราทั้งหลายมาจากอาณาจักรของพระเจ้า

 เมื่อเรามีชีวิตอยู่ในโลกของนักบุญ แนวความคิด ทรรศนะ สติปัญญา วิธีการทำสิ่งต่างๆและวิธีการคิดของเราจะแตกต่างจากเมื่อเรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ในโลกนี้เราถูกจำกัดโดยข้อจำกัดของระยะทางและกาลเวลาและเราคิดและทำสิ่งต่างๆที่แตกต่างออกไป ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องรู้แจ้งเพื่อที่จะทำลายข้อจำกัดและออกไปดูข้างนอก พวกเราส่วนใหญ่ครั้งหนึ่งเคยเป็นนักบุญ เรามายังโลกนี้เพื่อมาดู มาให้พรโลกนี้ และให้การศึกษากับสรรพสัตว์ สัตว์ พืชและหินที่นี่ เราต้องการสอนพวกเขา ให้พรแก่พวกเขาและยกระดับของพวกเขา แต่หลังจากที่สอนพวกเขามายาวนานเราก็เคยชินกับมันและยึดติดกับสิ่งที่เรากำลังสอนอยู่ เราไม่ยอมปล่อย และด้วยเหตุนี้เราจึงถูกผูกมัดอยู่ที่นี่

ฉันไม่ได้สอนธรรมวิถีใหม่ให้กับเธอ หรือสอนคัมภีร์ใหม่ให้กับเธอ ฉันได้บอกเธอเสมอมาว่าเธอเป็นเหมือนเช่นฉันและเหมือนเช่นพระเจ้า อย่างไรก็ตามเธอจำเป็นที่จะต้องบำเพ็ญเพื่อที่จะให้จำได้ว่าให้เธอเป็นใคร เธอบำเพ็ญอย่างไร? ทุกวันเธอควรมองหาธรรมชาติแห่งพระเจ้าที่อยู่ภายในแล้วมันจะปรากฏให้เธอเห็น หลังจากที่เธอได้เห็นมันเป็นเวลานานภายในของเธอก็จะตื่นขึ้นและเข้าใจ

ยกตัวอย่าง ถ้าเราไม่ได้ใช้มือของเราเป็นเวลานาน เราก็อาจลืมว่าเราจะใช้มันอย่างไร บางครั้งหลังจากที่เราทำสมาธิเป็นเวลานาน เราอาจรู้สึกว่าเราไม่มีมือ ไม่มีร่างกายและเราอาจไม่สามารถเดินได้ หลังจากที่ได้นวดแล้ว เราจึงรู้สึกว่าเรามีมือและสามารถใช้มันได้ บางครั้งถ้าเราถูกปิดล็อคหรือถูกผูกมัดนานเกินไปเราอาจจะตัวชาไปทั่ว ในภายหลังเมื่อเราปลดปล่อยเราอาจไม่สามารถเคลื่อนไหวมือและเท้าของเราได้ นี่คือเหตุผล

เป็นแบบเดียวกันกับธรรมชาติแห่งพระเจ้า ถ้าเราไม่ฝึกฝนที่พัฒนามัน ไม่ปลุกเพื่อใหัมันตื่นขึ้น หรือนำมันออกมาและใช้มัน เราก็จะเป็นเพียงแค่คนธรรมดาๆ แม้ว่าเราจะมีธรรมชาติของพระเจ้าและปัญญาอันยิ่งใหญ่อยู่ภายใน เราจะไม่สามารถใช้มันได้ ถ้าเราไม่นำมันออกมา นี่ก็เหมือนกับการฝากเงินในธนาคาร ไม่ถอนออกมา แล้วก็หิวตาย (เสียงปรบมือ)

ฝึกฝนการใช้ตาที่ 3 ให้เป็นนิสัย

ผู้บำเพ็ญทางจิตวิญญาณก่อนประทับจิตหรือในพวกเราบางคนหลังจากประทับจิตแล้ว ทำไมพวกเราจึงไม่เห็นแสงในบางครั้ง? ทำไมพวกเราบางคนจึงเห็นมันเป็นครั้งคราวเท่านั้น? นี่เป็นเพราะเราไม่ได้ใช้ตาที่ 3 ของเราเป็นเวลานาน แล้วมันก็ขึ้นราและเป็นสนิม แม้ว่าตอนนี้เราต้องการใช้มัน เราก็ไม่เคยชินกับมัน นี่ก็เหมือนกับคนซึ่งฝึกใช้กล้ามเนื้อของเขาทุกวัน แล้วกล้ามเนื้อของเขาก็จะแข็งแรงขึ้นๆ

บางคนกินมากและฝึกใช้กระเพาะอาหารของเขาทุกวัน กระเพาะอาหารของเขาจึงใหญ่ขึ้นๆ (เสียงหัวเราะ) บางคนฝึกใช้ตาที่ 3 ของเขา ดังนั้นตาที่ 3 ของเขาจึงเปิดมากขึ้นและสว่างมากขึ้น และพวกเขาก็สามารถเห็นทุกสิ่ง ถ้าเราสามารถเห็นโลกภายนอกด้วยตาเนื้อของเรา และเห็นโลกภายในด้วยตาที่ 3 ของเรา เราก็จะมีตาทุกชนิดและจะสามารถเห็นได้ทั้งภายในและภายนอก ถึงเวลานั้นเราก็จะรู้อย่างแท้จริงว่าภูมิภพของนักบุญนั้นมีอยู่จริง เหมือนกับมิติทางจิตวิญญาณในระดับสูง

โลกของเราเป็นเพียงหนึ่งในภูมิภพในจักรวาลเท่านั้น มันหยาบและมีความเป็นวัตถุมากกว่า แต่มันมีรูปทรงทางจิตวิญญาณซึ่งคล้ายคลึงกับรูปร่างทางวัตถุของมัน แม้ว่าจะสวยกว่า ละเอียดอ่อนกว่าและสง่าสวยหรูกว่า เราไม่สามารถมองเห็นมันได้ ยกเว้นเราจะมองมันด้วยตาที่สวยงามละเอียดอ่อนและงดงามของเรา ก็เหมือนกับมนุษย์มีทั้งกายเนื้อและดวงวิญญาณ เราอาจจะดอกไม้ที่เป็นวัตถุ แต่มันก็มีรูปทรงที่มีจิตวิญญาณและมีรูปทรงที่สวยกว่า

ผู้รู้แจ้งหรือผู้ที่มีตาปัญญาเปิด ไม่ใช่เป็นเรื่องสำคัญอะไร ถ้าเธอฝึกพุ่งความสนใจของเธอไปยังสิ่งบางอย่าง เธอก็จะได้มัน ถ้าเธอฝึกใช้กล้ามเนื้อของเธอ เธอก็จะมีกล้ามเนื้อขึ้นมา ถ้าเธอฝึกใช้กระเพาะอาหารของเธอ มันก็จะใหญ่ขึ้น ถ้าเธอฝึกใช้สมองของเธอ เธอก็จะฉลาดขึ้น เมื่อตอนเธอเข้าวิทยาลัยและเรียนสิ่งต่างๆมากมายที่นั่นทุกๆวัน เธอก็จะฉลาดมากขึ้นและได้รับความรู้เพิ่มขึ้น นักวิทยาศาสตร์ฝึกใช้สมองของพวกเขาและทำการค้นคว้าวิจัยทุกวัน พวกเขาจึงสามารถประดิษฐ์สิ่งต่างๆ มากมายให้โลกนี้

ในทำนองเดียวกัน เมื่อเราฝึกใช้ตาที่ 3 ของเรา มันก็เหมือนกับการทำงานหรือทำงานอดิเรก เราไม่ควรที่จะละทิ้งภรรยา ลูกชายและครอบครัวของเราเพื่อที่จะฝึกการใช้ตาที่ 3 ของเรา ฉันไม่ได้ละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง ฉันมีลูกชายและภรรยามากมาย (ท่านอาจารย์หัวเราะ ผู้ฟังปรบมือ) ฉันแค่ละทิ้งครอบครัวเล็กๆเท่านั้น ละทิ้งคนคนเดียวเท่านั้น แต่ฉันก็ได้รับผลกรรมตอบสนอง ถ้าเธอคิดว่ามันลำบากเดือดร้อนที่จะมีสามีหรือภรรยาและลูก 2 หรือ 3 คนและพวกเขาเป็นอุปสรรคต่อการบำเพ็ญทางจิตวิญญาณของเธอ เธอก็ดูฉันเป็นตัวอย่างได้ ถ้าเธอละทิ้งครอบครัวของเธอก็จะเป็นเหมือนอย่างฉัน เธอจะต้องดูแลคนมากขึ้นธอไม่สามารถวิ่งหนีไปจากมันได้

ดังนั้น เธอจึงควรที่จะดูแลครอบครัวของเธอในขณะที่ฝึกการใช้ตาที่ 3 ของเธอโดยถือเป็นงานอดิเรกเท่านั้น นี่ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไรหรือเป็นการกระทำที่ลึกลับ นักบุญทั้งหลายได้ถูกบันทึกไว้ในความทรงจำของเธอ พวกเขายังคงอยู่เคียงข้างเธอในขณะที่เธอทำสิ่งต่างๆมากมายชีวิตแล้วชีวิตเล่า เธอจะตระหนักในเรื่องนั้นได้ในเมื่อเธอจดจำพวกเขาได้ เธอควรจะย้ำเตือนตัวเธอเองทุกวัน แล้วในที่สุดเธอจะตระหนักได้ว่า “ฉันก็เป็นนักบุญด้วยเหมือนกัน!”

 

 
 

 การทำสมาธิและวิทยาศาสตร์: เส้นทางต่างกันสู่เป้าหมายเดียวกัน  

 

ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่  

1 มกราคม 1994 ประเทศไทย (เดิมเป็นภาษาอังกฤษ)

 

มีนักวิทยาศาสตร์ชาวตะวันตกผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งชื่อว่าเทสลา เขาได้พิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ว่าประสบการณ์ที่เรามีในระหว่างการทำสมาธินั้นเป็นความว่างเปล่าอันแท้จริง คนเรียกชื่อมันต่างๆนาๆ พวกเขาเรียกมันว่า พระเจ้า อาณาจักรของพระเจ้า ธรรมชาติของพุทธะ พลังงานหรือทฤษฎีควันตัมมันเป็นจริง ความว่างเปล่านั้นดำรงอยู่เมื่อเราทำสมาธิเราทำตัวเราให้ว่างเปล่าจากทุกสิ่ง และเข้าไปสู่ความว่างเปล่าอันแท้จริงนี้เป็นเนื้อแท้ของทุกสิ่ง

จากความว่างเปล่าก็จะเกิดเป็นสสาร มันไหลเข้าสู่ตัวตนภายในของเรา และทำให้เราดีขึ้นและฉลาดมากขึ้น นั่นคือเรื่องที่เทสลาได้ค้นพบ ความว่างเปล่าอันแท้จริงภายในก็คือที่มาของสรรพสิ่งทั้งหลาย นั่นคือที่มาของเธอและฉัน เนื่องจากเราได้เห็นตัวกลายเป็นรูปร่างนี้แล้ว เราก็สนุกกับมันไปก็แล้วกัน

เทสลาได้พิสูจน์เหมือนอย่างที่นักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆ มากมายได้พิสูจน์ว่าสรรพสิ่งทั้งหลายนั้นไม่ได้เป็นของแข็งเหมือนอย่างที่เราคิดว่ามันเป็น เพราะพระพุทธเจ้าได้พิสูจน์ด้วยเช่นกันว่าร่างกายของเรานั้นเป็นสิ่งลวงตา มันไม่มีอะไรที่เป็นความลึกลับ ทั้งหมดมีความเป็ฯวิทยาศาสตร์มาก เมื่อเรามองเข้าไปข้างใน เราจะไม่พบอะไรเลย เราไม่พบรูปร่างที่เป็นวั้ตถุ ไม่มีสสาร แต่เรากลับพบการดำรงอยู่ที่แท้จริง พลังงานที่แท้จริง เรามาจากที่นั่น ถ้าเราไม่ถือว่าตัวเราเป็นร่างกายที่เป็นนื้อหนังมังสา เราก็จะรู้ว่าเรามาจากที่นั้น นั่นคือพลังงานอันแท้จริงซึ่งทุกสิ่งมาจากพลังงานอันแท้จริงนั้น นั่นคือสิ่งที่เทสลากล่าว

ถ้าเราสามารถติดต่อกับความว่างเปล่าอันแท้จริงนี้ได้ สสารอันแท้จริงนี้และแยกมันออกมา เราจะสามารถใช้มันให้เกิดประโยชน์ได้ และสร้างสิ่งต่างๆ ออกมาจากมันได้ เราจะสามารถขับรถยนต์ เครื่องบินและสิ่งอื่นๆ โดยไม่เสียเงินโดยที่ไม่ต้องใช้น้ำมันหรือถลุงทรัพยากรของโลก

บางทีในอนาคตเราอาจจะมีนักวิทยาศาสตร์จำนวนมากขึ้นที่พิสูจน์ว่าการทำสมาธินั้นเป็นสิ่งที่แท้จริง พวกเขาสามารถใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์เพื่อให้ได้สสารที่แท้จริงออกมาจากความว่างเปล่า ในขณะที่เราใช้ร่างกายที่เป็นเหมือนจักรกลของเราและใช้สมองที่ฉลาดเพื่อให้ได้รับพลังงานจากการทำสมาธิ เราจะตระหนักรู้ว่าเรามาจากที่นั้นและเราควรที่จะกลับไปยังที่นั้น เราจะเข้าใจว่าดั้งเดิมแล้ว และโดยเนื้อแท้แล้วเราไม่ใช่เป็นรูปร่างที่เป็นกายเนื้อ เราจะต้องใช้คำอธิบายทางวิทยาศาสตร์เพื่อให้ความกระจ่างแจ้งในแง่มุมที่ลึกลับของการบำเพ็ญทางจิตวิญญาณ - ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เป็นความลึกลับใดๆ เลยจริงๆ

 
 

 

 เปิดใจเธอให้กับพระพรของพระเจ้า

ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่  ลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา

13 มีนาคม 1996 (เดิมเป็นภาษาอังกฤษ)

(ตัดทอนข้อความมาจากธรรมสาร Suma Ching Hai ฉบับที่ 78 "คำพูดของอาจารย์")

 

มีนักวิทยาศาสตร์ไม่มากนักที่สามารถเสนอสิ่งประดิษฐ์ต่างๆของพวกเขาให้กับโลก เธออาจจะมีชื่อเสียงมากหรืออาจจะได้ประดิษฐ์บางอย่างที่ทำประโยชน์จริงๆ ให้กับมนุษยชาติ แต่สิ่งประดิษฐ์ของเธออาจเป็นผลเสียต่อผลประโยชน์ของนักธุรกิจจำนวนมาก ในทุกวันนี้บางคนยังคงใช้สิ่งประดิษฐ์ของนิโคลาส เทสลา แต่เมื่อตอนที่เขามีชีวิตอยู่ เขาถูกปฏิเสธและเกือบถูกฆ่าตาย ดังนั้นเขาจึงมีชีวิตแบบหลบๆซ่อนๆ และพยายามทำดีที่สุดตามความสามารถของเขา และด้วยเงินทุนที่น้อยนิด ด้วยเหตุนี้ในตอนท้ายของชีวิตเขาจึงยังไม่สามารถทำให้ความคิดของเราเป็นจริงขึ้นมาได้ หากความคิดเหล่านี้กลายเป็นจริงขึ้นมา หลายบริษัทคงต้องประกาศล้มละลาย ดังนั้นพวกเขาจึงหาวิธีการกำจัดเทสลา

บางครั้งเราโทษพระเจ้าที่ทำให้ชีวิตของเราที่นี่ทุกข์ยาก เราโทษพระองค์ในเรื่องความไม่สะดวกสบายต่างๆ และบิลค่าไฟที่สูงลิ่ว และเราบ่นว่าทำไมพระเจ้าไม่ส่งอัจฉริยะลงมาช่วยเหลือเรา แต่เมื่อพระองค์ได้ส่งพวกเขาลงมาและเราก็ฆ่าพวกเขา โจมตีพลังของพวกเขา ทำให้ชีวิตของพวกเขาทุกข์ยาก ทำลายทรัพย์สมบัติและความสามารถพิเศษของพวกเขา และสร้างความยากลำบากให้แก่พวกเขา

พระเยซูคริสต์ได้ลงมาและถูกคนฆ่าตาย พระพุทธเจ้าก็ลงมาและถูกคนมากมายใส่ร้าย ดังนั้นจึงเป็นการยากที่พระองค์จะทำงานให้สำเร็จลงได้ เราไม่ควรโทษพระเจ้าอีกต่อไป เราต้องทำตามที่เราทำได้เพื่อช่วยเร่งวิวัฒนาการของมนุษยชาติและของตัวเรา