เหนือมาตรฐานทางศีลธรรม

 
ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ ณ ศูนย์เทียนซัน ฮ่องกง
1 เมษายน 1994 (เดิมเป็นภาษาจีน)
 

ครั้งหนึ่งพระเยซูกำลังพูดอยู่ในที่สาธารณะ แล้วในทันใด คนจำนวนมากมายที่เรียกว่ามีชื่อเสียง มีสติปัญญาและมีความรู้ก็มากับผู้ที่ได้รับความเคารพยกย่องอย่างสูงในโบสถ์ อย่างเช่น บาทหลวง เป็นต้น พวกเขาได้ลากผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งได้กระทำผิดประเวณี ในตอนนั้นผู้หญิงคนใดที่ได้กระทำผิดประเวณี จะต้องถูกขว้างปาด้วยก้อนหินจนถึงแก่ความตาย มีวิธีการ 3 อย่างในการฆ่าคนบาปในตอนนั้น วิธีการหนึ่งก็คือขว้างปาพวกเขาด้วยก้อนหิน อีกวิธีหนึ่งก็คือโยนพวกเขาลงไปในกรงสิงโต และอีกวิธีหนึ่งก็คือตรึงกางเขนพวกเขา พระเยซูถูกตรึงกางเขน แต่ผู้หญิงคนนี้จะต้องถูกขว้างปาด้วยก้อนหินจนถึงแก่ความตาย

พวกผู้ชายที่มีเกียรติพวกนั้นได้ท้าทายพระเยซูโดยถามว่า “ตามกฎของโมเสส ผู้หญิงคนนี้ควรจะถูกปาด้วยก้อนหินให้ตาย ท่านคิดอย่างไร?” พระเยซูไม่ตอบอะไร เพียงแต่เขียนลงบนทรายด้วยนิ้วของพระองค์ว่า “กลุ่มคนโกหก” ผู้คนเหล่านั้นเฝ้ารุกเร้าพระองค์ ดังนั้นในที่สุดพระองค์จึงพูดว่า “ใครคนใดในพวกเธอที่ไม่เคยทำบาป แล้วเห็นว่าตัวเองเป็นผู้ที่บริสุทธิ์ที่สุดและศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ก็ขอเชิญขว้างก้อนหินก้อนแรกได้เลย” เมื่อได้ยินเรื่องนี้ ทุกคนก็ค่อยๆ หลบออกไปอย่างเงียบๆ และอย่างรวดเร็ว (ท่านอาจารย์และผู้ฟังหัวเราะ) สุดท้ายพระเยซูก็ถูกปล่อยให้อยู่คนเดียวกับผู้หญิงที่ได้ทำบาปนั้น พระองค์ถามหล่อนว่า “คนที่กล่าวร้ายเธออยู่ที่ไหน?” ไม่มีผู้ชายคนใดที่กล่าวโทษเธอหรือ

หล่อนตอบว่า “ไม่มีชายใด” แล้วพระเยซูก็พูดกับหล่อนว่า “ฉันก็ไม่ต้องการที่จะกล่าวโทษเธอเหมือนกัน ตอนนี้เธอกลับไปบ้านได้แล้วละ”

(ท่านอาจารย์ถอนหายใจ) เรื่องนี้ย้ำเตือนพวกเราบางอย่าง ไม่มีใครในโลกนี้ที่ไม่เคยทำบาป นอกจากนั้น ไม่ว่าคนนั้นจะเคยทำบาปหรือไม่ก็ตาม ก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ภูมิหลังและระดับการรู้แจ้งของเธอ สิ่งที่เรียกว่าศีลธรรมและจริยธรรมของโลกนี้นั้นแตกต่างจากการมองของนักบุญที่แท้จริง ผู้ที่ได้บรรลุถึงระดับสูงสุดของการรู้แจ้ง มองไม่เห็นสิ่งเหล่านี้ พวกเขาไม่แม้กระทั่งจินตนาการหรือคิดถึงคำเหล่านี้ ฉันไม่รู้ว่าจะอธิบายระดับนี้ให้เธอฟังได้อย่างไร

เมื่อเธอเริ่มต้นบำเพ็ญทางจิตวิญญาณเป็นครั้งแรก เธอเห็นความแตกต่างระหว่างดีและเลว แต่ความแตกต่างค่อยๆ จางหายไปเมื่อเธอบำเพ็ญมากขึ้น นี่เป็นเรื่องที่แปลกมาก และยากที่จะอธิบายให้คนอื่นฟัง เธอเพียงแต่รู้มัน และเธอจะไม่คิดมากว่าอะไรคือดีหรือเลว ยกเว้นเมื่อเธอสอนลูกศิษย์ของเธอ เพราะพวกเขาอยู่ ณ ระดับนั้นที่เธอจะต้องอธิบายคำเหล่านั้นให้พวกเขาฟัง มิฉะนั้นแล้วจริงๆ แล้ว เธอไม่ต้องการที่จะพูดเกี่ยวกับเรื่องเหล่านั้นเลย และไม่มีอะไรที่สำคัญกับเธอเลยจริงๆ  เพราะเธอมีมุมมองที่ต่างออกไป

สิ่งที่เราเรียกว่าดีหรือเลวในตัวบุคคลนั้นคือนิสัยความเคยชินหรือพฤติการณ์ ไม่ใช่ดวงวิญาณในบุคคลผู้นั้น ดวงวิญญาณของเราสามารถรู้หลายสิ่งหลายอย่าง แต่ฉันไม่อาจที่จะบอกได้ทั้งหมดเพราะมันยากที่จะบรรยาย แม้ว่าฉันจะรู้ในเรื่องนั้นเป็นอย่างดีมาก เกี่ยวกับเรื่องสิ่งที่เรียกว่าอาชญากรรมที่หนักหนาสาหัสในสังคมของเรา ฉันก็มีมุมมองที่ต่างออกไป แต่ฉันไม่สามารถที่จะบอกรายละเอียดทุกแง่มุมให้เธอฟังได้หลายคนจะไม่เข้าใจ และฉันก็ไม่สามารถพูดได้อย่างกระจ่างชัดเช่นกัน

เหตุนี้ฉันถึงได้บอกให้เธอทำสมาธิทุกวัน แล้วเธอก็จะตระหนักรู้ด้วยตัวเธอเอง ฉันเพียงแต่ให้ภาพมองรวมๆ แก่เธอเพื่อนำเธอไปสู่การตระหนักรู้ทางจิตวิญญาณของเธอ เมื่อเธอไปไกลขึ้นเธอก็จะค่อยๆ เข้าใจว่าทำไมฉันจึงพูดว่าเราจะไม่แบ่งแยกระหว่างดีและเลว เมื่อเราได้รับผลมากขึ้นจากการบำเพ็ญทางจิตวิญญาณ

เมื่อเราเป็นอิสระจากการแบ่งแยกนี้ เราจะยกโทษให้กับศัตรูของเราได้อย่างง่ายดาย แล้วเราก็จะไม่โกรธคนที่ทำให้เราเจ็บปวด เราจะลืมทุกอย่างอย่างรวดเร็วมากและจะไม่รู้สึกแย่นัก แม้ถ้าเรารู้สึกแย่ ก็จะเป็นความรู้สึกแย่สำหรับผู้อื่นแทนที่จะเป็นการรู้สึกแย่สำหรับตัวเรา