ครั้งหนึ่งพระเยซูกำลังพูดอยู่ในที่สาธารณะ แล้วในทันใด
คนจำนวนมากมายที่เรียกว่ามีชื่อเสียง
มีสติปัญญาและมีความรู้ก็มากับผู้ที่ได้รับความเคารพยกย่องอย่างสูงในโบสถ์
อย่างเช่น บาทหลวง เป็นต้น
พวกเขาได้ลากผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งได้กระทำผิดประเวณี
ในตอนนั้นผู้หญิงคนใดที่ได้กระทำผิดประเวณี
จะต้องถูกขว้างปาด้วยก้อนหินจนถึงแก่ความตาย มีวิธีการ 3
อย่างในการฆ่าคนบาปในตอนนั้น
วิธีการหนึ่งก็คือขว้างปาพวกเขาด้วยก้อนหิน
อีกวิธีหนึ่งก็คือโยนพวกเขาลงไปในกรงสิงโต
และอีกวิธีหนึ่งก็คือตรึงกางเขนพวกเขา
พระเยซูถูกตรึงกางเขน
แต่ผู้หญิงคนนี้จะต้องถูกขว้างปาด้วยก้อนหินจนถึงแก่ความตาย
พวกผู้ชายที่มีเกียรติพวกนั้นได้ท้าทายพระเยซูโดยถามว่า ตามกฎของโมเสส
ผู้หญิงคนนี้ควรจะถูกปาด้วยก้อนหินให้ตาย ท่านคิดอย่างไร?
พระเยซูไม่ตอบอะไร
เพียงแต่เขียนลงบนทรายด้วยนิ้วของพระองค์ว่า กลุ่มคนโกหก
ผู้คนเหล่านั้นเฝ้ารุกเร้าพระองค์
ดังนั้นในที่สุดพระองค์จึงพูดว่า ใครคนใดในพวกเธอที่ไม่เคยทำบาป
แล้วเห็นว่าตัวเองเป็นผู้ที่บริสุทธิ์ที่สุดและศักดิ์สิทธิ์ที่สุด
ก็ขอเชิญขว้างก้อนหินก้อนแรกได้เลย เมื่อได้ยินเรื่องนี้
ทุกคนก็ค่อยๆ หลบออกไปอย่างเงียบๆ และอย่างรวดเร็ว (ท่านอาจารย์และผู้ฟังหัวเราะ)
สุดท้ายพระเยซูก็ถูกปล่อยให้อยู่คนเดียวกับผู้หญิงที่ได้ทำบาปนั้น
พระองค์ถามหล่อนว่า คนที่กล่าวร้ายเธออยู่ที่ไหน?
ไม่มีผู้ชายคนใดที่กล่าวโทษเธอหรือ!
หล่อนตอบว่า ไม่มีชายใด แล้วพระเยซูก็พูดกับหล่อนว่า ฉันก็ไม่ต้องการที่จะกล่าวโทษเธอเหมือนกัน
ตอนนี้เธอกลับไปบ้านได้แล้วละ
(ท่านอาจารย์ถอนหายใจ)
เรื่องนี้ย้ำเตือนพวกเราบางอย่าง
ไม่มีใครในโลกนี้ที่ไม่เคยทำบาป นอกจากนั้น
ไม่ว่าคนนั้นจะเคยทำบาปหรือไม่ก็ตาม
ก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ภูมิหลังและระดับการรู้แจ้งของเธอ
สิ่งที่เรียกว่าศีลธรรมและจริยธรรมของโลกนี้นั้นแตกต่างจากการมองของนักบุญที่แท้จริง
ผู้ที่ได้บรรลุถึงระดับสูงสุดของการรู้แจ้ง
มองไม่เห็นสิ่งเหล่านี้
พวกเขาไม่แม้กระทั่งจินตนาการหรือคิดถึงคำเหล่านี้
ฉันไม่รู้ว่าจะอธิบายระดับนี้ให้เธอฟังได้อย่างไร
เมื่อเธอเริ่มต้นบำเพ็ญทางจิตวิญญาณเป็นครั้งแรก
เธอเห็นความแตกต่างระหว่างดีและเลว แต่ความแตกต่างค่อยๆ
จางหายไปเมื่อเธอบำเพ็ญมากขึ้น นี่เป็นเรื่องที่แปลกมาก
และยากที่จะอธิบายให้คนอื่นฟัง เธอเพียงแต่รู้มัน
และเธอจะไม่คิดมากว่าอะไรคือดีหรือเลว
ยกเว้นเมื่อเธอสอนลูกศิษย์ของเธอ เพราะพวกเขาอยู่ ณ
ระดับนั้นที่เธอจะต้องอธิบายคำเหล่านั้นให้พวกเขาฟัง
มิฉะนั้นแล้วจริงๆ แล้ว
เธอไม่ต้องการที่จะพูดเกี่ยวกับเรื่องเหล่านั้นเลย
และไม่มีอะไรที่สำคัญกับเธอเลยจริงๆ
เพราะเธอมีมุมมองที่ต่างออกไป
สิ่งที่เราเรียกว่าดีหรือเลวในตัวบุคคลนั้นคือนิสัยความเคยชินหรือพฤติการณ์
ไม่ใช่ดวงวิญญาณในบุคคลผู้นั้น
ดวงวิญญาณของเราสามารถรู้หลายสิ่งหลายอย่าง
แต่ฉันไม่อาจที่จะบอกได้ทั้งหมดเพราะมันยากที่จะบรรยาย
แม้ว่าฉันจะรู้ในเรื่องนั้นเป็นอย่างดีมาก
เกี่ยวกับเรื่องสิ่งที่เรียกว่าอาชญากรรมที่หนักหนาสาหัสในสังคมของเรา
ฉันก็มีมุมมองที่ต่างออกไป
แต่ฉันไม่สามารถที่จะบอกรายละเอียดทุกแง่มุมให้เธอฟังได้หลายคนจะไม่เข้าใจ
และฉันก็ไม่สามารถพูดได้อย่างกระจ่างชัดเช่นกัน
เหตุนี้ฉันถึงได้บอกให้เธอทำสมาธิทุกวัน
แล้วเธอก็จะตระหนักรู้ด้วยตัวเธอเอง
ฉันเพียงแต่ให้ภาพมองรวมๆ
แก่เธอเพื่อนำเธอไปสู่การตระหนักรู้ทางจิตวิญญาณของเธอ
เมื่อเธอไปไกลขึ้นเธอก็จะค่อยๆ
เข้าใจว่าทำไมฉันจึงพูดว่าเราจะไม่แบ่งแยกระหว่างดีและเลว
เมื่อเราได้รับผลมากขึ้นจากการบำเพ็ญทางจิตวิญญาณ
เมื่อเราเป็นอิสระจากการแบ่งแยกนี้
เราจะยกโทษให้กับศัตรูของเราได้อย่างง่ายดาย
แล้วเราก็จะไม่โกรธคนที่ทำให้เราเจ็บปวด
เราจะลืมทุกอย่างอย่างรวดเร็วมากและจะไม่รู้สึกแย่นัก
แม้ถ้าเรารู้สึกแย่
ก็จะเป็นความรู้สึกแย่สำหรับผู้อื่นแทนที่จะเป็นการรู้สึกแย่สำหรับตัวเรา
|