สองเรื่องเกี่ยวกับเมล็ดพันธุ์

แห่งการบำเพ็ญทางจิตวิญญาณ

 

ปราศรัยโดย ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ ศูนย์ซีหู ฟอร์โมซา
4 กรกฎาคม 1990 (เดิมเป็นภาษาจีน)

 

ผู้คนชอบฟังพระเยซูคริสต์พูด พระเยซูมักจะใช้เรื่องราวสั้นๆ เพื่ออธิบายสัจธรรมให้แก่ผู้ฟังอยู่เสมอๆ ต่อไปนี้เป็นหนึ่งในเรื่องราวเหล่านั้น

ครั้งหนึ่งชาวนาคนหนึ่งได้ออกไปหว่างเมล็ดพืชเพื่อปลูกข้าวโพด ขณะที่เขากำลังหว่าน บางเมล็ดพืชก็ตกไปบนถนน แล้วนกก็มากินมัน บางเมล็ดก็ตกลงไปบนที่ที่เป็นหิน และพระอาทิตย์ขึ้น มันก็ถูกเผาไหม้ไป บางเมล็ดก็ตกลงไปในดงต้นไม้ที่มีหนาม แล้วเมื่อต้นไม้ที่มีหนามสูงขึ้นและทำให้มันหายใจไม่ออก เมล็ดพวกนั้นก็ไม่สามารถเติบโตได้ แต่บางเมล็ดก็ตกลงไปยังดินที่อุดมสมบูรณ์แล้วเริ่มต้นงอกและค่อยๆ กลายเป็นต้นข้าวโพด

พระเยซูคริสต์อธิบายว่า เรื่องนี้เป็นอุปมาในคำสอนของพระเจ้า เมื่อได้ยินคำสอนของพระเจ้า คนเลวบางคนอาจขัดขวางคำสอนและไม่ให้ผู้อื่นได้ล่วงรู้

บางคนอาจจะชอบฟัง แต่หลังจากนั้นสักระยะหนึ่ง เมื่อพวกเขาเผชิญกับยากลำบากและการทดสอบ พวกเขาก็อาจจะสูญเสียศรัทธาของพวกเขาไป คนเหล่านี้เชื่อในคำสอน เมื่อได้ยินมันในตอนแรก อย่างไรก็ตาม หลังจากระยะเวลาหนึ่งพวกเขาอาจรู้สึกว่าความกังวลในชีวิตประจำวันของพวกเขาหรือความรู้สึกของสามีและภรรยาหรือครอบครัวของเขานั้นสำคัญกว่าคำสอนของพระเจ้า ดังนั้นเมื่อพวกเขาถูกความกังวลกดดันหรือถูกผูกมัดกับความรู้สึก พวกเขาก็ลืมคำสอนของพระเจ้า

อย่างไรก็ตาม บางคนก็เหมือนกันเมล็ดข้าวโพดที่ถูกหว่านลงไปบนดินที่อุดมสมบูรณ์ พวกเขาฟังและเข้าใจคำสอนได้อย่างชัดแจ้ง เอาคำสอนที่พวกเขาเข้าใจไปพัฒนาและทำให้คำสอนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตพวกเขา เรารู้เรื่องนี้โดยดูจากกการที่คนเหล่านี้มีชีวิตอยู่อย่างไร เพราะพวกเขาได้ทำให้คำสอนของพระเจ้าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของพวกเขา นั่นก็คือเมื่อรามองดูชีวิตของพวกเขา เราจะสามารถบอกได้ว่าพวกเขาทำสมาธิหรือไม่ ว่าพวกเรารักษาศีลหรือไม่ หรือพวกเขารู้แจ้งหรือไม่ มันชัดเจนมาก และไม่จำเป็นที่จะต้องอธิบายมากมายเลย!

มีคนจำนวนมากมารับการประทับจิต และในคนพวกนี้ที่หมดศรัทธาก็เป็นเปอร์เซ็นต์เล็กน้อยเท่านั้น ไม่ว่าอะไรที่ฉันได้หว่านลงไปก็ได้เติบโตขึ้น และมีจำนวนเพียงเล็กน้อยที่ได้ตกลงไปข้างถนนและได้ถูกนกกิน หรือจำนวนเล็กน้อยได้ตกลงไปบนพื้นที่เป็นหินและเติบโตไม่ได้ พวกเธอส่วนใหญ่เติบโตได้ดีทีเดียว ในขณะที่พวกเธอบางคนเติบโตอย่างช้าๆ แต่ก็กำลังพยายามที่จะเติบโต (ท่านอาจารย์และทุกคนหัวเราะ) คนมองเธอไม่เห็น เพราะเธอเห็นถูกพี่ประทับจิตที่สูงกว่าบังไว้ กระนั้นก็ดี เธอก็ยังคงพยายามที่จะเปรียบเทียบ “เพื่อนบ้านทั้งหลายของฉันสูงกว่าฉัน (ท่านอาจารย์และทุกคนหัวเราะ) แต่ก็ไม่เป็นไร! บางคนที่มาหลังฉันก็ตัวเตี้ยกว่าฉัน” ดังนั้นเธอก็เลยเติบโตอย่างมีความสุขและอย่างเชื่องช้า

อย่างไรก็ตามพวกที่เติบโตช้ามากได้สร้างความปวดหัวมากมายให้แก่ฉัน ไม่ว่าฉันจะรดน้ำให้พวกเขามากเท่าไร พวกเขาก็ไม่สามารถที่จะตัวสูงขึ้น ดังนั้นจึงสร้างความเดือนร้อนให้แก่ฉัน บางครั้งฉันรู้สึกเบื่อหน่ายกับพวกเขาและก็หยุดรดน้ำพวกเขา ฉันพูดว่า “เธอเติบโตไปเองก็แล้วกัน!” (ท่านอาจารย์หัวเราะ) พวกเธอบางคนเป็นเหมือนเมล็ดที่ตกลงบนที่ที่เป็นหินหรือตกลงไปบนข้างถนนและถูกนกกินหรือเหี่ยวแห้งไปโดยแสงอาทิตย์ ไม่สามารถที่จะเติบโตได้

ในทำนองเดียวกัน ลูกศิษย์ที่เป็นฆราวาสหรือเป็นนักบวชของเรา เมื่อได้ยินคำสอนของพระเจ้าบางครั้งก็เข้าใจในทันที ดวงวิญญาณของพวกเขาตระหนักรู้และสมองของพวกเขาก็เข้าใจในทันทีด้วย อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นสักระยะหนึ่ง เนื่องมาจากความไม่ระมัดระวังหรือความโง่เขลาของพวกเขา ต้นที่เพิ่งงอกใหม่ก็จะล้มลงเมื่อถูกลมพัดหรือแห้งเหี่ยวเมื่อพระอาทิตย์ขึ้น ความกังวลทางโลก ความทุกข์ยากและบททดสอบใดๆ ก็เหมือนกับพระอาทิตย์ ลมหรือฝน หากเธอไม่แข็งแรงเพียงพอและไม่เติบโตขึ้น เธอก็ไม่สามารถผ่านบททดสอบไปได้

บางครั้งฉันรู้สึกประหลาดใจมากที่ได้เห็นบางคนเปลี่ยนความคิดของเขาอย่างรวดเร็วมาก วันนี้พวกเขาซื่อสัตย์มาก กระตือรือร้นและมีอุดมการณ์ แต่พรุ่งนี้พวกเขาก็เป็นแบบใน “กูๆๆ” (ผู้ฟังหัวเราะ) เหมือนบัลลูนรั่วที่ถูกเข็มทิ่ม เมื่อลูกบัลลูนถูกเข็มเล็กๆ ทิ่ม มันก็จะมีเสียง “ซู่ๆๆ” และเล็กลงมาก” เดิมทีแล้วลูกบัลลูนดูใหญ่ แต่เนื่องจากข้างในมันว่างเปล่า เมื่อถูกเข็มแทง มันก็จะ “ซู่ๆๆ” และหายไป หากขนมปังก้อนใหญ่ถูกเข็มทิ่ม มันก็จะไม่ได้รับผลกระทบ

มีคนเป็นจำนวนมากชอบที่จะโอ้อวดเรื่องที่ใหญ่โต พวกเขาค่อยๆ ถึงบางเรื่องก่อนที่จะลงมือทำมันจริงๆ เมื่อเขาวิจารณ์คนอื่นที่ไม่สามารถทำมันได้ และคุยโม้ว่าพวกเขาสามารถที่จะทำแบบนี้ๆ ได้ อย่างไรก็ตาม ทันทีที่พวกเขาเผชิญกับอุปสรรค พวกเขาก็ “ซู่ๆๆ” เหมือนบัลลูนที่รั่ว เรื่องนี้ทำให้ฉันประหลาดใจในบางครั้ง!

เธอรู้ไหมว่าทำไมคนเหล่านี้จึงเป็นแบบนั้น? เพราะพวกเขาได้สะสมความประทับใจไว้มากมายในชาติก่อนๆ ของพวกเขา ในหมู่พวกเขามีเมล็ดที่เลวๆ มากเกินไป แล้วมีเมล็ดที่ดีน้อยมาก นี่ก็เหมือนกับเรื่องที่พระเยซูคริสต์ได้เล่า เมล็ดบางเมล็ดตกลงไปในดงต้นไม้ที่มีหนาม มันก็เลยหายใจไม่ออกและไม่สามารถเติบโตได้ แม้ว่ามันจะได้งอกออกมานิดหน่อย มันก็ไม่สามารถแข่งกับต้นไม้ที่มีหนามได้ มันก็เลยตายไป!

สำหรับลูกศิษย์ที่เป็นฆราวาสหรือเป็นนักบวชของเราหรือใครก็ตามที่มาให้ฉันประทับจิตและเป็นลูกศิษย์ฉัน ฉันปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเท่าเทียมกัน และให้สิ่งที่เหมือนกันกับพวกเขาแต่ละคน ก็เหมือนกับชาวนาที่หว่านเมล็ดพืชด้วยความพยายามแบบเดียวกัน และด้วยความคาดหวังแบบเดียวกัน อย่างไรก็ตาม บางเมล็ดก็เติบโตได้ ในขณะที่บางเมล็ดเติบโตไม่ได้

นี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับชาวนา ชาวนาคนนี้เพาะปลูกที่ดินของเขาและปลูกข้าวสาลี อย่างไรก็ตาม ศัตรูของชาวนาได้ทำลายงานของเขา เมื่อชาวนาและครอบครัวของเขากำลังนอนหลับในคืนวันหนึ่ง ศัตรูก็เข้าไปยังที่ดินของเขาและหว่านเมล็ดวัชพืชโดยที่ไม่ให้ใครล่วงรู้ เมื่อวัชพืชเริ่มต้นงอกและโตขึ้น คนรับใช้ของชาวนาก็มาถามเขาว่า “เราควรที่จะดึงวัชพืชออกไปไหม?”

ชาวนาพูดว่า “ไม่ เธอไม่สามารถบอกว่าต้นไหนเป็นวัชพืช และต้นไหนเป็นข้าวสาลี ฉันกลัวว่าเธอจะถอนออกไปทั้งสองอย่าง” จากนั้นเขาก็พูดว่า “ปล่อยให้ทั้งสองอย่างเติบโตจนกระทั่งเวลามาถึง และเราสามารถที่จะถอนวัชพืชออกไปได้และรวบรวมผลเก็บเกี่ยวข้าวสาลีของเราได้”

หลังจากพระเยซูเล่าเรื่องนี้จบลงแล้ว ผู้คนก็จากไป ลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดกับพระองค์ได้ถามพระองค์ว่า “เรื่องนี้หมายความว่าอย่างไร?” (ท่านอาจารย์หัวเราะ) ลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดที่สุดของพระเยซูเข้าใจพระเยซูได้ดีที่สุด” และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมพวกเขาจึงสามารถถามคำถามที่ “ฉลาดปราดเปรื่อง” เช่นนี้ได้! ทุกคนเข้าใจเรื่องนี้และกลับบ้านไป! (ท่านอาจารย์และผู้ฟังหัวเราะ)

พระเยซูคริสต์ได้ตอบว่า “ฉันเป็นชาวนา และทุ่งนาที่ฉันเพาะปลูกก็เป็นเสมือนโลก! เมล็ดที่ดีก็คือผู้ที่เป็นของพระเจ้าและเชื่อในพระเจ้าและฉัน วัชพืชคือพลังที่เป็นลบและเป็นซาตาน ซึ่งเป็นของศัตรูของพระเจ้า”

กระนั้นก็ตาม เวลาแห่งการเก็บเกี่ยวก็จะมาถึงในที่สุด แม้ว่าเมล็ดทั้งสองชนิดจะเติบโตมาด้วยกัน ดูคล้ายกัน เและผสมปนเปเมื่อมันเติบโตขึ้นมา ก็ไม่เป็นปัญหาอะไร เมื่อทุกต้นเติบโตขึ้น เราจะสามารถบอกได้ว่าต้นไหนเป็นต้นไหน” เมื่อดูแล้วฉันคิดว่าผู้ประทับจิตของเราหรือผู้บำเพ็ญทางจิตวิญญาณของเราต่างก็ดูคล้ายๆ กัน ในตอนแรกเมื่อพวกเขาเริ่มบำเพ็ญ ในตอนแรกเริ่มพวกเขาไม่รู้สึกว่ามันสลักสำคัญอะไรนัก จึงไม่มีศรัทธามากนัก พวกเขาเชื่อในอาจารย์ 1 วัน และไม่เชื่อ 3 วัน พวกเขาก็เหมือนกันส่วนผสมของเมล็ดข้าวโพด 1 เมล็ดและเมล็ดวัชพืช 3 เมล็ด พวกเขาปฏิบัติตามอาจารย์ 1 วัน และปฏิบัติตามโลก 3 วัน

ทุกวันนี้พวกเขาต้องการออกบวชและติดตามฉัน แต่พรุ่งนี้พวกเขาต้องการกลับบ้านและแต่งงานหรืออยู่กับพ่อแม่ ลูกชายหรือเจ้าหนี้ที่น่ารักอื่นๆ ของพวกเขาและอื่นๆ พวกเขาถูกดึงไปมาและดิ้นรนต่อสู้อย่างหนักอยู่ภายใน พวกเขาไม่ฟังฉันแต่โต้เถียงว่า “ฉันเชื่อในท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์เป็นนักบุญ แต่อย่างไรก็เถอะ ฉันจำต้องไป” (ท่านอาจารย์หัวเราะ) ฉันกำลังจะทำในสิ่งที่ฉันต้องการทำ มันถูกต้อง เฉพาะเมื่อฉันคิดด้วยตัวฉันเองเท่านั้น ฉันรู้ว่าจะดูแลชีวิตของฉันอย่างไร และรู้ว่าฉันควรจะทำอะไร”

พวกเขาทั้งหมดต่างก็เป็นแบบนั้น อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นสักระยะหนึ่งพวกเขาก็จะเสียใจและกลับมาอีก แต่แล้วพวกเขาก็จะจากไปอีกและกลับมาอีก เสียเวลาไปมากมาย หลังจากดิ้นรนต่อสู้ไปสักระยะหนึ่ง พวกเขาก็จะสงบลงได้และตระหนักว่าพวกเราแตกต่างจากผู้คนทางโลกซึ่งไม่บำเพ็ญทางจิตวิญญาณ เมื่อพวกเขารู้ในเรื่องนี้อย่างแจ่มชัด พวกเขาก็จะมั่นคงมาก จนแม้กระทั่งสายฟ้าแลบก็ไม่สามารถสั่นคลอนพวกเขาได้

หากเธอได้อ่านธรรมสารที่พิมพ์ในไถหนัน เธอจะเห็นบทความเกี่ยวกับคนที่ไม่ใช่เป็นผู้ประทับจิตของเราแต่บำเพ็ญทางจินวิญญาณ มีคนจำนวนมากมายที่ได้บำเพ็ญทางจิตวิญญาณในชาติก่อนๆ ของพวกเขา รวมทั้งได้บำเพ็ญธรรมวิถีอื่นๆ ในชาตินี้ ดังนั้นพวกเขาจึงมีประสบการณ์อยู่บ้าง ไม่พูดถึงเรื่องที่ว่าประสบการณ์ของพวกเขานั้นเป็นสิ่งที่สูงสุดหรือไม่ พวกเขาเพียงแต่มีประสบการณ์บางอย่าง บุคคลคนหนึ่งสามารถที่จะมีประสบการณ์ได้ ถ้าบุคคลผู้คนนั้นมีความจริงใจ

ดังนั้นเมื่อคนคนนั้นได้อย่างหนังสือของฉัน เขาก็ได้เห็นแสงที่สว่าง และเมื่อเขามาฟังบรรยายธรรมของฉัน เขาก็ได้เห็นชาวสวรรค์มากมายลงมาอยู่บนเวทีกับฉัน ในสถานที่ที่ฉันกำลังบรรยายธรรมอยู่ เขายังได้เล่าเรื่องราวที่น่าสนใจอีกด้วย เขาบอกว่าเขาสังเกตเห็นความแตกต่างอย่างมากระหว่างผู้ที่ได้รับการประทับจิตและผู้ที่ไม่ได้รับการประทับจิต! พวกที่ได้รับการประทับจิตทุกคนจะมีแสง ไม่ว่าจะเป็นแสงสว่าง ขมุกขมัวหรือเป็นสีต่างๆ กัน (ท่านอาจารย์และผู้ฟังหัวเราะ)

ทำไมพวกเธอถึงได้หัวเราะกัน? เธอคิดว่าผู้ที่ไม่ได้ประทับจิตจะไม่มีแสงหรือ? พวกเขามี บางแสงก็เป็นสีน้ำตาลหรือสีดำ (ผู้ฟังหัวเราะ) แต่ผู้ประทับจิตของเราเท่านั้นที่มีแสงที่ความสว่างและแรงสั่นสะเทือนที่ต่างออกไป เราทั้งหมดต่างก็มีแสง แต่คนบางคนที่ไม่ได้รับการประทับจิตไม่มีแสงเลย นั่นก็สิ่งที่คนที่ไม่ได้รับการประทับจิตคนนั้นพูดถึง และเรื่องนี้ได้เกิดขึ้นในไถหนัน

แม้ว่าเราจะดูเหมือนกับคนธรรมดาๆ และคล้ายคลึงกับพวกเขา พลังและแสงที่มองไม่สามารถมองเห็นได้ของเราก็แตกต่างจริงๆ! ฉันคงไม่แตกต่างอะไรไปจากเธอ แต่บางคนพูดว่าฉันมีพลังอันยิ่งใหญ่ ยกตัวอย่าง เมื่อวานนี้ชาวเอาหลักที่เล่น ได้ยิน พูดว่าเขาไม่สามารถที่จะนั่งใกล้ฉันเกินไปได้ เพราะเขารู้สึกได้ถึงพลังอันยิ่งใหญ่ เหมือนกับกระแสไฟฟ้าที่มหาศาลซึ่งสุดที่จะทนทานได้สำหรับเขา (แต่ไม่ใช่สำหรับผู้อื่น)

มีอยู่คนๆ หนึ่งในเผิงหู ซึ่งบำเพ็ญทางจิตวิญญาณได้ดีทีเดียว ไม่ใช่แบบธรรมดาๆ ดังนั้นเขาจึงจองหองมาก เขาไม่เคยได้รับการประทบจิตจากผู้ใด และไม่เคยฟังบรรยายธรรมใดๆ เมื่อฉันไปที่นั่น เขาก็รู้ล่วงหน้าและได้เห็นแสงของฉัน เขาชอบมัน แล้วก็มาฟังฉันบรรยายธรรม

วันหนึ่งเขาบอกฉันว่า “ท่านอาจารย์ พลังของท่านสามารถที่จะฆ่าได้!” ฉันถามเขาว่าทำไม เขาพูดว่า “มีสิ่งที่เป็นเหมือนเมฆล้อมรอบตัวท่าน เมื่อฉันเข้าใกล้ท่าน มันรู้สึกเหมือนว่ามันสามารถฆ่าได้ และมันมีแรงกดดัน” ฉันบอกเขาว่า “ถ้าเธอไม่มีเจตนาที่ไม่ดี เธอก็จะไม่มีปัญหาใดๆ มันเป็นเพราะเธอไม่บริสุทธิ์” เพราะฉะนั้น พลังที่มองไม่เห็นนั้นก็ให้ความคุ้มครอง! เขารู้สึกสัมผัสได้ถึงมัน เพราะเราทั้งสองมีระดับแรงสั่นสะเทือนที่ต่างกัน หากระดับแรงสั่นสะเทือนของเราคล้ายคลึงกัน เขาจะไม่รู้สึกอะไรเลย

เพราะคนเรานั่งดูอยู่ด้วยกัน เรารู้สึกสบาย แต่เรารู้สึกอย่างไร เมื่อเรานั่งรวมอยู่ด้วยกันกับสัตว์ต่างๆ ยกตัวอย่าง เธอนึกภาพที่เธอกำลังคนเดียวอยู่กับ แพะ หมู วัว และไก่ รอบๆ ตัวเธอออกไหม? เธอจะได้กลิ่นที่ต่างออกไป และบรรยากาศก็จะแตกต่างออกไปด้วยเหมือนกัน

ดังนั้นถ้าพวกเราผู้บำเพ็ญทางจิตวิญญาณบำเพ็ญธรรมวิถีกวนอิมจริงๆ เป็นเวลานานแล้วละก็ เราก็จะไม่มีอัตตาที่พองโต เมื่อระดับของเราสูงขึ้น อัตตาของเราก็จะไม่หลงเหลืออยู่ แม้ถ้ามันหลงเหลืออยู่จริงๆ เราก็จะไม่รู้สึกว่าเรายิ่งใหญ่อย่างไร เราก็ดูเหมือนคนอื่นๆ เราจะรู้สึกว่าเราแตกต่างออกไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป อย่างไรก็ตาม เราไม่มีอะไรที่จะฉกฉวย ที่จะพิสูจน์หรือที่จะเล่าให้คนอื่นฟัง ด้วยเหตุนี้ในมโนสูตร มันจึงกล่าวไว้ว่า ไม่มีอะไรที่จะทำให้เป็นที่สังเกตรู้ได้ หรือเราจะสามารถบอกได้ว่าเราได้บรรลุถึงสัจธรรมแล้ว”

เมื่อเราทำสมาธิไปสู่ระดับที่สูง เราไม่มีแม้กระทั่งร่างกาย คำพูดหรือความคิด ดังนั้นอัตตาของเราจึงมีอยู่ได้อย่างไรกันในเมื่อเราไม่มีร่างกาย? แม้เราจะเป็นเจ้าของสิ่งต่างๆ ได้อย่างไรกันถ้าเราไม่มีร่างกาย? ดังนั้นจึงไม่เลวที่จะบำเพ็ญวิถีนี้ (เสียงปรบมือ) ยิ่งเราบำเพ็ญมากขึ้น เราก็ยิ่งมีอัตตาน้อยลง ยิ่งเราบำเพ็ญมากขึ้น เราก็จะได้น้อยลง อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ได้อะไรเลย แต่หมายความว่าเราไม่มีอะไรที่จะรู้สึกภาคภูมิใจ ยิ่งเราบำเพ็ญมากขึ้น เราก็จะยิ่งผ่อนคลายมากขึ้น ยิ่งเราบำเพ็ญมากขึ้น เราก็จะมีภาระน้อยลง และยิ่งเราบำเพ็ญมากขึ้น เราก็จะพูดน้อยลง คนที่ไม่ได้บำเพ็ญมาก จะพูดมาก ในขณะที่คนที่บำเพ็ญมากจะพูดน้อย  ด้วยเหตุนี้ เล่าจื๊อจึงพูดว่า "คนที่มีปัญญาไม่พูด ขณะที่คนพูดไม่มีปัญญา"  ดังนั้น จึงเป็นการปลอดภัยมากที่จะบำเพ็ญธรรมวิถีกวนอิมนี้  นอกจากนี้ธรรมวิถีนี้ก็เรียบง่ายมากไม่ยุ่งยากซับซ้อน