ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ ซีหู ฟอร์โมซา
24 มิถุนายน 2533 (เดิมเป็นภาษาจีน)
 
 

โมเสส ได้นำคนของเขาออกจากประเทศอียิปต์ไปยังทะเลทรายแล้วได้ตั้งหลักแหล่งที่เชิงภูเขาซีนาย วันหนึ่งพระเจ้าได้พูดกับพวกเขาโดยผ่านโมเสส พระเจ้าได้พูดว่า “ฉันได้พาเธอออกจากอียิปต์มายังสถานที่แห่งนี้ ฉันได้คุ้มครองพวกเธอและให้อาหารที่ดีๆมากมายแก่เธอ เพราะเธอเป็นคนที่ฉันโปรดปราน! ฉันอยากให้เธอเป็นเพื่อนพิเศษของฉัน พวกเธอจะเชื่อฟังคำของฉันไหม?” พวกเขาตอบพร้อมกันว่า “พวกเราจะเชื่อฟัง!” จากนั้นพระเจ้าก็พูดว่า “หลังจากวันพรุ่งนี้ฉันจะลงมายังภูเขาซีนายเพื่อมาดูทุกคน” ดังนั้นทุกคนจึงเริ่มต้นชำระล้างทำความสะอาดตัวเองและซักเสื้อผ้าของพวกเขา เพราะพระเจ้ากำลังจะมาพบพวกเขา รักษาศีลเพื่อที่จะกลายเป็นเพื่อนพิเศษของพระเจ้า

เมื่อวันนั้นได้มาถึง ทุกคนต่างก็ได้ยินเสียงฟ้าร้องและได้เห็นฟ้าแลบและก้อนเมฆหนาทึบเหนือภูเขาซีนาย พวกเขาต่างก็สั่นสะท้าน เพราะพวกเขาทราบว่าพระเจ้ากำลังจะมา! พวกเธอจะตัวสั่นไหมเมื่อได้เห็นพระเจ้า? ไม่หรือ? แน่นอน เธอจะไม่ตัวสั่นเพราะเธอยังไม่ได้เห็นพระองค์ (เสียงหัวเราะ) อย่างไรก็ตาม ตามที่ได้บันทึกไว้ในคัมภีร์ไบเบิ้ล พวกเขาได้ลงความเห็นว่าฟ้าร้องที่พวกเขาได้ยินและฟ้าแลบที่พวกเขาได้เห็นนั้นอยู่ในท้องฟ้า อันที่จริงแล้วนั่นไม่เป็นความจริง! มันมาจากภายใน พวกเราทั้งหลายต่างก็มีประสบการณ์ชนิดนี้ เมื่อโมเสสและอารอนเพื่อน 2 คนของพระเจ้าได้ปีนขึ้นไปยังภูเขาซีนายพระเจ้าก็ได้มอบ “บัญญัติ 10 ประการ” ให้กับพวกเขาและสั่งพวกเขาให้บอกคนของพวกเขาว่าพวกเขาจะเป็นเพื่อนพิเศษของพระเจ้าได้ก็ต่อเมื่อพวกเขาได้รักษาศีลเหล่านี้แล้วเท่านั้น

พระเจ้ายังได้พูดอีกด้วยว่า “ฉันคือพระเจ้า เธอควรที่จะบูชาฉันและเคารพฉันเท่านั้น เธอจะต้องไม่สร้างรูปแกะสลักหรือโค้งคำนับมัน ในแต่ละครั้งที่เธอเอ่ยชื่อของพระเจ้า เธอจะต้องทำด้วยความเคารพ รวมทั้งเธอควรพักผ่อนในวันอาทิตย์” (สิ่งนี้หมายถึงการทำสมาธิ) เดิมทีแล้ววันที่ 6 คือวันซับบาธ. เนื่องจากพระเยซูคริสต์ได้ฟื้นคืนชีพในวันอาทิตย์ วันซับบาธจึงถูกเลื่อนไปเป็นวันอาทิตย์ อย่างไรก็ตามชาวยิวยังคงถือวันเสาร์เป็นวันซับบาธพิเศษของพวกเขา ในวันนี้ผู้คนไม่ควรที่จะทำงาน แต่ควรทำสิ่งต่างๆเพื่อพระเจ้าเท่านั้น เช่น สวดท่องคัมภีร์ ท่องชื่อของพระเจ้า ทำสมาธิหรือรวมตัวกันในโบสถ์เพื่อจดจำชื่อของพระเจ้า มันหมายความอย่างง่ายๆว่าให้หยุดทำงานทางโลกใดๆ!

ตัวอย่างของเรื่องนี้ก็คือเธอมาที่นี่ในวันนี้ และเราศึกษาคัมภีร์ของพระเจ้าและทำงานของพระเจ้าด้วยกัน แล้วเราก็นั่งสมาธิและจดจำชื่ออันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าเพื่อที่จะรับใช้พระองค์ สิ่งนี้ถูกต้องและเป็นสิ่งที่พระองค์ชอบ เพราะฉะนั้นเธอเห็นหรือยังว่าลมได้หยุดลงทันทีที่เธอมาถึงที่นี่ในวันนี้ (ท่านอาจารย์และผู้ฟังหัวเราะ เสียงปรบมือ) หลังจากที่เธอนั่งสมาธิไปสักระยะหนึ่งแม้กระทั่งพายุฝนก็จะหยุดลง เป็นที่คาดว่าจะมีพายุฝนหนัก! สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าพระเจ้านั้นพอใจ (ท่านอาจารย์และผู้ฟังหัวเราะ)

บัญญัตินั้นได้รวมถึงการเป็นคนกตัญญูและเคารพในพ่อแม่ ไม่ทำร้ายสรรพสัตว์อื่นๆ ซื่อสัตย์ต่อคู่สมรสและหลีกเลี่ยงจากการมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงหรือผู้ชายอื่น มันยังรวมไปถึงการละเว้นจากการขโมย พูดปดและอยากได้ในสิ่งที่เป็นของผู้อื่น

สิ่งนี้ก็เป็นเหมือนอย่างที่ฉันเคยบอกให้เธอฟังว่าเธอไม่ควรปรารถนาอยากได้ของจากผู้อื่น เราไม่ควรที่จะเอาสิ่งใดๆซึ่งไม่ได้เป็นของเราหรือคนไม่ได้ให้เรา แม้กระทั่งถ้าสิ่งนั้นเป็นเพียงแค่ใบหญ้าเท่านั้น เพราะมันไม่คุ้มค่ากับการเสียชื่อเสียงของเราและความเป็นสุภาพบุรุษ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องการทำผิดศีล มันนับว่าแย่มากอยู่แล้วที่ความนับถือตนเองของเราได้ถูกทำลาย! เราจะต้องรอให้คนจับเราใส่ตะรางหรือ?

ในการเป็นมนุษย์นั้น การนับถือตนเองของเรานั้นมีความสำคัญมาก ไม่จำเป็นที่จะต้องรอให้ผู้อื่นมาบอกเราว่าเราได้ทำผิดศีลหรือมาตัดสินว่าเราถูกหรือผิด ไม่สำคัญว่าคนอื่นจะพูดว่าอะไร เรารู้ว่าเราได้ทำอะไรลงไป สิ่งนี้หมายความว่าพระเจ้านั้นทราบหรืออาจารย์ภายในของเราหรือพระเจ้าภายในนั้นรู้ว่าเราได้ทำความเลว สิ่งนี้ก็นับว่าแย่อยู่แล้ว! เพราะฉะนั้นอันที่จริงเรารักษาศีลก็เพื่อตัวเราเท่านั้น

สิ่งที่ฉันเพิ่งอ่านให้เธอฟังก็คือ “บัญญัติ 10 ประการ” ซึ่งตั้งโดยพระเจ้า พระเจ้าได้อธิบายให้โมเสสฟังว่าจะใช้บัญญัติเหล่านี้ในสภาพการณ์ต่างๆทางโลกอย่างไรและต้องการให้โมเสสอธิบายข้อบัญญัติเหล่านี้ให้คนของเขาฟัง. เมื่อสภาพการณ์นั้นต่างออกไป ข้อบัญญัติก็จะต้องถูกนำไปใช้ไปตามนั้น บัญญัตินั้นมีไว้เพื่อปกป้องผู้คน ไม่ใช่ทำในทางตรงกันข้ามอีกด้านหนึ่ง

ยกตัวอย่าง มีคนคนหนึ่งเกือบอดอยากตายและร่างกายอ่อนแอมาก เขาและภรรยาและลูกๆ ของเขากำลังจะอดตายหรือพ่อแม่ของเขากำลังจะอดตาย ถ้าเขาออกไปขโมยขนมปังหรือข้าวเพื่อมาเลี้ยงครอบครัวของเขา เขาก็ไม่ทำผิดข้อบัญญัติ. ฉันขอพูดอย่างเปิดเผย ถ้าหากบุคคลผู้นี้ขโมยของจากฉัน ฉันก็จะไม่โทษเขา ในทางกลับกันฉันจะให้เขาเพิ่มขึ้น ด้วยการทำเช่นนั้นเขาก็จะไม่ได้ทำผิดข้อบัญญัติ ในสภาพการณ์เช่นนั้นเราไม่สามารถพูดว่าเขาลักขโมยได้

ในอีกด้านหนึ่ง ถ้าเรามีพอกินพอใช้หรือคนได้ถวายของให้เราเพียงพอที่จะมีชีวิตอยู่ได้ แต่เราก็ปรารถนาที่จะสุขสบายมากขึ้น สวยมากขึ้นและมีเกียรติคุณรุ่งเรืองมากขึ้น ในกรณีเช่นนี้ แม้ถ้าเราขโมยเพียงแค่ใบหญ้า 1 ใบเท่านั้นมันก็ถือว่าเป็นการขโมย เพราะว่ามันไม่มีความจำเป็น! เพราะฉะนั้นเราจะตัดสินได้ก็ต่อเมื่อหลังจากที่เราได้เข้าใจในบัญญัติอย่างชัดเจนแล้วเท่านั้นและพิจารณาถึงจุดมุ่งหมายและสถานการณ์

ในอีกตัวอย่างหนึ่ง ฉันได้เคยบอกเธอแล้วว่าไม่ให้รับของจากคนอื่นและไม่ให้รับของขวัญตามสบายจากคนอื่น อย่างไรก็ตามถ้าเธอเจ็บป่วยและไม่มีเงินเพราะว่าคนอื่นยังไม่ได้ใช้เงินคืนเธอ ในกรณีเช่นนั้น ถ้าหากฉันให้เงินเธอ แต่เธอยังคงปฏิเสธที่จะรับมันก็นับว่าเธอโง่จริงๆ! (เสียงหัวเราะ) ในเวลานั้นไม่ใช่เป็นเพราะเธอละโมภอยากได้มัน แต่เธอมีความต้องการมันจริงๆ ถ้าเธอไม่ได้ต้องการมัน แม้กระทั่งเธอรับเพียงแค่ 10 เซ็นต์เท่านั้น เธอก็จะก่อบาปหนัก! อย่างไรก็ตาม ถ้าเธอต้องการมันจริงๆ ก็ไม่เป็นปัญหาไม่ว่าเธอจะรับสักเท่าไร

เพราะฉะนั้นเธอจึงไม่ควรไปยึดกับข้อบัญญัติ เราควรมองดูว่ามันเหมาะสมที่จะใช้บัญญัติข้อใดข้อหนึ่งกับสถานการณ์นั้นหรือไม่ แน่นอน เราควรที่จะรักษาบัญญัติอย่างเข้มงวดในกรณีที่เราอาจทำอันตรายผู้อื่นถ้าเราทำตรงกันข้าม บางครั้งเมื่อผู้อื่นพยายามที่จะทำร้ายเรา เราควรทำดีที่สุดที่จะปกป้องชีวิตของเรา ในกรณีที่เราถูกฆ่า เราก็ไม่ควรที่จะเกลียดชังพวกเขาหรือฆ่าพวกเขาเพื่อชีวิตของเรา อาจจะไม่เป็นการเลวสำหรับพวกเขาที่จะฆ่าเรา เพราะพวกเขาอาจจะสามารถช่วยเราให้ได้รับการหลุดพ้นจากวัฏจักรแห่งชีวิตและความตายได้เร็วขึ้น (ท่านอาจารย์หัวเราะ) ในกรณีเช่นนั้นเราควรที่จะขอบคุณพวกเขา! เพราะฉะนั้นเมื่อพระเยซูคริสต์ พระศากยมุนีพุทธเจ้าและอาจารย์ท่านอื่นๆทั้งหลายของทุกยุคสมัยถูกคนอื่นทำร้าย พวกเขาก็จะไม่ขัดขืนเหมือนคนทางโลกที่มักจะทำกัน แม้ว่าคนทางโลกอาจจะดีในบางด้าน. เมื่อพวกเขาไม่ได้รับการปฏิบัติต่ออย่างดี พวกเขาก็ยังมีความคิดที่จะฆ่าหรือแก้แค้น. ในฐานะที่เป็นผู้บำเพ็ญทางจิตวิญญาณ เราปล่อยทุกสิ่งทุกอย่างให้กับพระเจ้า ไม่ว่ามันจะเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี ดังนั้นเราจึงไม่มีอะไรที่จะต้องกลัว

จากนั้นโมเสสก็เริ่มต้นอธิบายบัญญัติให้กับคนของเขา ดังนั้นคนเหล่านั้นจึงสัญญาที่จะรักษาและเคารพบัญญัติของพระเจ้า และโมเสสก็ได้ขึ้นไปบนภูเขาซีนาย เพราะพระเจ้าได้บอกเขาว่าพระองค์จะเขียนบัญญัติ 10 ประการบนแผ่นก้อนหินขนาดใหญ่ เขาจึงปีนขึ้นไปเอามันมา

อย่างไรก็ตาม ในครั้งนี้โมเสสคงจะอยู่ในสมาธิเป็นเวลานานเกินไป เขาไม่เพียงแต่ขึ้นไปบนนั้นเพื่อเอาบัญญัติเท่านั้น เขาอาจจะได้ศึกษาบัญญัติในขณะที่นอนหลับก็ได้ เขาอาจจะทำสมาธิ เกิดรู้สึกเหนื่อยขึ้นมา และหลังจากที่ได้พักผ่อนแล้วก็นั่งสมาธิต่อไป เขาอาจจะต้องการที่จะหลบตัวไปอยู่คนเดียว. ก่อนที่เขาจะได้รับบัญญัติซึ่งเขียนโดยพระเจ้า เขาอาจจะต้องการทำตัวเขาเองให้บริสุทธิ์และรักษาบัญญัติอย่างเคร่งครัดก่อนเพื่อที่จะได้เกิดปัญญาเข้าใจบัญญัตินั้นมากขึ้น เพราะฉะนั้นเขาจึงอาจจะนั่งสมาธิอยู่ที่นั่นเป็นเวลานานเกินไป

เมื่อคนรู้ว่าเขาได้จากไปเป็นเวลา 40 วัน พวกเขาซึ่งกำลังรอโมเสสอยู่ที่เชิงเขาก็หมดความอดทน พวกขาเริ่มต้นโมโห จิตใจหวั่นไหว และศรัทธาของพวกเขาก็อ่อนลง พวกเขาบ่นซึ่งกันและกันว่า “เอาละ ฉันสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับโมเสส และทำไมเขาถึงยังไม่กลับมา!” พวกเขาได้บอกอารอนว่า “เราต้องการพระเจ้าองค์อื่นและอาจารย์ที่แตกต่างออกไป โมเสสได้พาพวกเราออกมาจากอียิปต์มายังสถานที่แห่งนี้ ดังนั้นเขาจึงเป็นอาจารย์คนเดียวของเราเท่านั้น อย่างไรก็ตามตอนนี้เนื่องจากเขาได้หายตัวไปแล้ว เราจึงต้องการอาจารย์คนอื่น เร็วๆ หน่อยได้ไหม? (ท่านอาจารย์หัวเราะและพูดว่า แม้กระทั่งหาตัวอาจารย์ก็ยังจะต้องรีบเร่งแบบนั้น!)

อารอนก็ค่อนข้างที่จะโง่ เขาตกลงตามนั้นและขอให้พวกเขาทั้งหมดเอาทองคำและเพชรนิลจินดาของพวกเขามาให้เขา จากนั้นเขาก็หล่อทองคำเป็นรูปวัว เขาป่าวประกาศว่า “นี่คืออาจารย์คนใหม่ของเธอ จากนั้นเขาก็สร้างแท่นบูชาเพื่อวางวัวลงไปให้คนคำนับมัน ผู้คนก็มีความยินดี พอเวลาล่วงเลยไป พวกเขาก็ลืมสิ่งที่ได้เกิดขึ้นมาก่อนและพูดว่า “โอ! มันเป็นวัวทองคำตัวนี้ อาจารย์ท่านนี้ที่ได้นำพาพวกเราออกจากอียิปต์มายังที่นี่และปลดปล่อยพวกเราจากการเป็นทาส” พวกเขาเฝ้าบูชามัน และพวกเขาก็ร้องรำทำเพลงในขณะที่บูชาเทพเจ้าแห่งวัวทองคำ

เมื่อพระเจ้าได้เห็นว่าภายในระยะเวลาสั้นๆ เช่นนั้น คนก็ไม่ทำตามสิ่งที่ได้สัญญาเอาไว้กับพระองค์และได้ไปบูชาเทพเจ้าองค์อื่น ไปบูชาวัวทองคำ พระเจ้าจึงโกรธ มันได้เขียนไว้ที่ตรงนี้ว่าพระเจ้าโกรธ ฉันไม่รู้ว่าพระเจ้าจะโกรธหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ถ้าหากในตอนนั้นพระองค์โกรธ ฉันก็จะไม่โทษพระองค์ เมื่อโมเสสกลับลงมาจากภูเขาและได้เห็นผู้คนร้องรำทำเพลงและบูชาวัวทองคำ เขาก็รู้สึกโกรธด้วยเหมือนกัน ในตอนนั้นความโกรธของโมเสสนั้นรุนแรงมาก เขาขว้างแผ่นหินซึ่งจารึกคำบัญญัติของพระเจ้าลงมาจากภูเขาและมันก็แตกเป็นเสี่ยงๆ และเขาก็เผาวัวทองคำและบดมันเป็นผุยผง

โมเสสด่าพวกคนเหล่านั้น “พวกเธอทำสิ่งที่เลวร้ายเช่นนี้ได้อย่างไรกัน? พวกเธอช่างเหลวไหลและโง่จริงๆ!” เขาก็เอาแต่ดุด่าพวกนั้น ไม่ใช่ด่าแบบนี้อย่างเดียวเท่านั้น อาจจะด่ามากก็เป็นได้ แต่ที่ตรงนี้เพียงแต่เขียนไว้ 2, 3 ประโยคเท่านั้น หลังจากที่ได้ดุด่าแล้ว เนื่องจากโมเสสรักคนของเขาอย่างลึกล้ำภายในอยู่เสมอ เขาจึงได้สวดอธิษฐานถึงพระเจ้าให้ยกโทษให้ผู้คนที่โง่เขลาเหล่านั้น อย่าได้โกรธพวกเขาและขอได้ให้โอกาสกับพวกเขาได้สำนึกผิดและกลายเป็นคนดีอีกครั้ง

พระเจ้าก็มีความอดทนมากเหมือนกัน ดังนั้นพระองค์จึงได้เขียนบัญญัติให้พวกเขาอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้เมื่อโมเสสนำบัญญัติ 10 ประการกลับไปยังประชาชนของเขา พวกเขาก็ประพฤติตัวดี ไม่ได้ร้องรำทำเพลง ไม่ได้หลอมวัวทองตัวอื่นมาเป็นอาจารย์ของพวกเขาและไม่ได้บูชาพระเจ้าองค์อื่น พวกเขามีความถ่อมตัวมากและฟังโมเสสอธิบายบัญชาของพระเจ้าคือบัญญัติ 10 ประการอย่างตั้งใจฟังและอดทน นับจากนั้นเป็นต้นมาข้อตกลงก็ได้ถูกทำขึ้นมาระหว่างพระเจ้าและชาวอิสราเอลและทุกคนก็รู้สึกพึงพอใจ

 
เธอจะต้องไม่มีพระเจ้าองค์อื่นนอกจากฉัน
 
 

เพื่อทำตามคำขอร้องของเธอ ฉันจะอธิบายบัญญัติให้มากขึ้น บัญญัติข้อแรกก็คือเธอจะต้องไม่มีพระเจ้าองค์อื่นนอกจากฉัน เมื่อคนนับถือศาสนาพุทธ พวกเขาก็จะต้องรักษาศีลที่คล้ายคลึงกัน อาจารย์จะเรียกร้องให้ลูกศิษย์ให้สัตย์ปฏิญาณ “นับจากวันนี้เป็นต้นไป ฉันปฏิบัติตามพระพุทธเจ้า คำสอนอันสูงส่งและผู้ปฏิบัติธรรม ฉันจะไม่นับถือปฏิบัติตามเทวดา ชาวสวรรค์ พระเจ้า ผีสางหรือสรรพสัตว์อื่นใดๆ” นั่นก็หมายถึงเรื่องเดียวกัน! การนับถือปฏิบัติตามพระพุทธเจ้านั้นเป็นระดับสูงสุด ซึ่งก็คือของการรู้แจ้งสูงสุดหรือระดับของความเป็นพระเจ้า คำสอนอันสูงส่งมาจากพระพุทธเจ้า เพราะคำสอนอันสูงส่งที่พูดโดยพระพุทธเจ้าเท่านั้นคือคำสอนที่แท้จริง เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นคำสอนสูงสุดด้วยเหมือนกัน ผู้ปฏิบัติธรรมก็ถูกฝึกฝนขึ้นมาจากพระพุทธเจ้าด้วยเหมือนกัน คนที่อยู่ในผู้ปฏิบัติธรรมเป็นลูกของพระพุทธเจ้าหรือลูกของพระเจ้า ดังนั้นพวกเขาจึงเป็นสรรพสัตว์ที่สูงสุด

 

แน่นอน มันจะไม่เป็นการดีสำหรับเราถ้าเราไปในทิศทางที่เป็นระดับต่ำกว่า ยกตัวอย่าง ถ้าเราต้องการมีเพื่อน เราก็ควรจะหาคนที่ดีที่สุด หรือถ้าเรากำลังจะเลือกกษัตริย์หรือประธานาธิบดี เราก็ควรจะเลือกคนที่ดีที่สุด มีคุณธรรมที่สุดและฉลาดที่สุด ถ้าหากประธานาธิบดีที่ไม่ดีถูกเลือกขึ้นมา -- เราต้องการประธานาธิบดีที่ดีที่สุด แต่เราลงคะแนนเสียงให้กับคนที่เลวกว่า -- แน่นอน มันก็จะไม่ดีสำหรับเรา! ในทำนองเดียวกัน ถ้าเราต้องการทำการสักการะบูชา เราก็ควรที่จะสักการะบูชาพระเจ้าที่สูงที่สุด มันไม่ถูกต้องถ้าเราไปบูชาปีศาจ มารและเทพเจ้า เช่น เจ้าประจำท้องถิ่น เจ้าน้ำ เจ้าภูเขา เจ้าพระอาทิตย์หรือเจ้าอื่นๆ เพราะพลังของพวกเขานั้นมีจำกัด

เฉพาะพระเจ้าสูงสุดเท่านั้นที่มีพลังสูงสุดและไม่มีขีดจำกัด ไม่สำคัญว่าเธอจะเรียกท่านว่าเป็นพระเจ้าสูงสุด พระเจ้าที่แท้จริงหรือพลังพุทธะ ท่านก็เป็นผู้ที่สูงสุด ภายในของเธอควรจะรู้ว่าท่านเป็นพลังที่สูงสุดของจักรวาล เพราะฉะนั้นเธอไม่ควรที่จะก้มคำนับให้กับเจ้าท้องถิ่น ไม่เช่นนั้นมันก็จะไม่ดีสำหรับเธอ เพราะฉะนั้นพระผู้เป็นเจ้าถึงได้พูดว่าเธอจะต้องไม่มีพระเจ้าองค์อื่นนอกจากฉัน ท่านไม่ได้เป็นเผด็จการ เพียงแต่พูดความจริงเท่านั้น

ยกตัวอย่าง ในเมื่อเรามีประธานาธิบดีในประเทศของเราแล้ว เราก็ควรที่จะเคารพเขา ทำไมเราควรที่จะเคารพประธานาธิบดีรองหรือคนที่แข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีว่าเป็นประธานาธิบดีของเรา? แม้ถ้าคนเช่นนั้นอ้างว่า “ฉันคือประธานาธิบดี ฉันอยากเป็นประธานาธิบดี” แต่เขาไม่ได้ถูกเลือกขึ้นมา ถ้าเราไปเคารพเขาว่าเป็นประธานาธิบดีของเราเพียงเพราะเขาพูดว่าเขาอยากเป็นประธานาธิบดี แบบนี้จะถูกต้องไหม? ถ้าเรามอบความรู้สึกของเราและความเห็นทางการเมืองของเราให้กับเขาและขอให้เขาบริหารกิจการของประเทศ แน่นอน มันจะไม่ถูกต้อง! เรามีประธานาธิบดีที่ได้รับการเลือกตั้งมาจากประชาชนอยู่แล้ว เรารู้ว่าเขาเป็นคนที่ดีที่สุดและมีคุณสมบัติเหนือกว่า เพราะฉะนั้นเราก็ควรที่จะสนับสนุนเขา ดังนั้นเมื่อประธานาธิบดีของเราบอกเราว่า “ฉันคือประธานาธิบดี หัวหน้าของประเทศ อย่าไปฟังประธานาธิบดีคนอื่น ให้ฟังฉันเท่านั้น” เขาพูดแบบนั้นถูกต้องไหม? (ผู้ฟัง: ถูกต้อง) ในทำนองเดียวกัน พระเจ้าก็ได้บอกเราให้เคารพบูชาท่านองค์เดียวเท่านั้นด้วยเช่นกัน

อันที่จริงแล้วพระเจ้าก็คืออาจารย์ภายใน พลังที่สูงที่สุด พระองค์ได้ดูแลบรรพบุรุษของชาวอิสราเอลเหล่านั้นมาหลายชาติจนกระทั่งถึงยุคของโมเสส นี่เป็นเพราะบรรพบุรุษของพวกเขาบำเพ็ญธรรมวิถีกวนอิมซึ่งมีพลังอันเหลือเชื่อ! หลายรุ่นผ่านไปแล้วพระเจ้าก็ยังคงดูแลลูกหลานของพวกเขา เนื่องจากพระองค์ได้เอาใจใส่ดูแลพวกเขาเป็นอย่างดี พระองค์จึงมีสิทธิ์ที่จะพูดว่าเธอจะต้องไม่มีพระเจ้าองค์อื่นนอกจากฉัน เมื่อชาวอิสราเอลรวมทั้งพวกเราได้พบพระเจ้าภายในซึ่งดูแลพวกเราเป็นอย่างดี แน่นอน เราควรที่จะสักการะบูชาพระองค์เท่านั้นและไม่ไปหาที่อื่น เมื่อพระเจ้าได้บอกคนของเขา เธอจะต้องไม่มีพระเจ้าองค์อื่นนอกจากฉัน ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของพระองค์เอง! พระองค์ทราบว่ามันเป็นการดีสำหรับคนที่จะสักการะบูชาพระองค์ ยิ่งพวกเขาบูชาพระองค์มากเท่าไร พวกเขาก็จะดียิ่งขึ้น ไม่ใช่เป็นเพราะความเย่อหยิ่งของพระองค์ แต่พระองค์บอกความจริงเพื่อประโยชน์ของผู้คน

ในทำนองเดียวกันคนที่มีลูกก็ดูแลลูกของพวกเขาเป็นอย่างดีทุกวัน ลูกๆ ได้ทุกอย่างที่พวกเขาต้องการ รวมทั้งค่าขนมไปโรงเรียน พ่อแม่ของพวกเขายังได้ดูแลสุขภาพร่างกายของพวกเขา ทำอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการให้พวกเขากินและจัดเตรียมเสื้อผ้าให้พวกเขาอย่างพอเพียง ถ้าหากลูกๆไปถือเอาคนที่อยู่ข้างบ้านมาเป็นพ่อแม่ของพวกเขา ก็จะต้องมีอะไรผิดปกติ! ผู้คนเหล่านั้นไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเด็กๆ และพวกเขาก็ไม่ได้ให้เงินกับเด็กๆ หรือเสื้อผ้า พวกเขาไม่ได้รักและให้ความเอาใจใส่แก่เด็กๆ เพราะฉะนั้นเด็กๆจึงไม่สามารถเอาใครก็ตามที่พวกเขาชอบมาเป็นพ่อแม่เพียงเพราะมีหน้าตาภายนอกที่คล้ายกัน มีเพียงพ่อแม่ที่แท้จริงของพวกเขาเท่านั้นที่เป็นพ่อแม่ของพวกเขา!

เพราะฉะนั้น ถ้าพ่อแม่ของเราบอกเราว่า “เธอควรถือเราเป็นพ่อแม่ของเธอเท่านั้น ไม่ใช่คนอื่น” พวกเขาก็ไม่ได้เย่อหยิ่งอะไร พวกเขาพูดสิ่งนี้เพื่อพวกเด็กๆ ถ้าหากเราต้องไปหาเพื่อนบ้าน วันนี้เอาเพื่อนบ้านคนนี้ และพรุ่งนี้เพื่อนบ้านคนนั้นมาเป็นพ่อแม่ของเรา จะเกิดอะไรขึ้นกับสุขภาพกายของเรา? จะเกิดอะไรขึ้นกับความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเรา? แม้แต่พ่อแม่ที่แท้จริงของเราก็ไม่สามารถดูแลเราได้ เพราะเราไม่อยู่รอบๆท่าน เพราะฉะนั้นสิ่งนี้จึงไม่ดีสำหรับเรา


พระเจ้ารักคนของพระองค์เหมือนพ่อแม่รักลูกๆของพวกเขา เพราะฉะนั้นพระองค์จึงได้บอกพวกเขาให้รับรู้พระองค์และเชื่อในพระองค์แล้วทุกอย่างก็จะดี นี่ก็คือความมุ่งหมายของพระองค์

บางครั้งอาจารย์บอกให้เราเชื่อในตัวเขาและสวดอธิษฐานถึงเขาไม่ว่าในสถานการณ์ใดๆ แต่ไม่ให้สวดถึงเจ้าองค์อื่นๆ เพราะมันจะเป็นการดีสำหรับเรา และเขาก็รู้ว่าเขาให้ทุกอย่างแก่เราได้ ถ้าเราไปหาคนอื่น เราก็จะไม่ได้อะไร แต่จะเสียเวลาของเราและพลาดโอกาสให้อาจารย์ดูแลเรา ด้วยเหตุนี้เขาถึงได้บอกเราว่า “มันเป็นการเพียงพอที่เธอจะเชื่อในตัวฉันเท่านั้น อย่าได้ไปเชื่อคนอื่น” ไม่ใช่ว่าเขาอิจฉา ทำไมเขาจะต้องอิจฉาล่ะ? จักรวาลทั้งจักรวาลเป็นของเขา เขาสามารถมีทุกอย่างที่เขาต้องการได้ เพราะฉะนั้นเขาจะต้องไปแข่งขันกับคนอื่นและอิจฉาทำไม? ไม่ว่าเราจะเชื่อในเขาหรือไม่ก็ตาม เขาก็ไม่สูญเสียอะไรไป เพราะอย่างแรกเราเป็นของเขาเหมือนกับเราเป็นลูกของพ่อแม่ของเรา พ่อแม่ของเราไม่จำเป็นที่จะต้องไปแข่งกับคนอื่นในเรื่องนี้ เพราะว่ามันเป็นความจริง!

อย่างไรก็ตาม ถ้าหากเด็กบางคนจำพ่อแม่ของพวกเขาไม่ได้ พวกเขาก็อาจจะมีชีวิตที่ยากลำบากซึ่งไม่เป็นการดีสำหรับพวกเขา พวกเขาอาจจะไม่ได้รับมรดกตกทอด และพ่อแม่ของพวกเขาอาจไม่สามารถดูแลพวกเขาได้. ถ้าหากพวกเขาไม่เคยอยู่ใกล้ พ่อแม่จะดูแลพวกเขาได้อย่างไร? พวกเขาไม่รู้ว่าเด็กๆ อยู่ที่ไหน เพราะฉะนั้นจึงไม่เป็นการไม่ดีสำหรับเด็กๆ แต่ไม่ใช่สำหรับพ่อแม่ (เสียงปรบมือ)

เมื่อเรานับถือ ติดตามอาจารย์ เรารู้ว่าเขาจะดูแลเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ทั้งหลายของเรา ทั้งภายในและภายนอก เพราะฉะนั้น เมื่อเขาบอกเราให้เชื่อในตัวเขา มันจึงง่ายที่จะเข้าใจ ยิ่งเราเชื่อในเขามากเท่าไร เขาก็จะมีโอกาสมากขึ้นที่จะดูแลเรา เขาบอกเราก็เพื่อประโยชน์ของเราเท่านั้น ถ้าเราโง่เขลา เราจะคิดว่าเราเป็นเจ้าของของตัวเราและไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขา อย่างไรก็ตามเขารู้อย่างชัดแจ้งว่าเขามีบุญสัมพันธ์กับเรา เราเป็นเหมือนกับเด็กที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว

บางครั้งเมื่อพ่อแม่เข้มงวดกับลูกๆของพวกเขา ลูกๆ ก็จะโมโหและวิ่งหนีไป คิดว่าพ่อแม่ไม่สนใจพวกเขาและไม่รักพวกเขา นี่ไม่เป็นความจริงเลย! พ่อแม่เข้มงวดเพื่อผลดีของเด็กๆ พวกเขารู้ว่าลูกๆ ของพวกเขานั้นเกี่ยวข้องกับพวกเขา พวกเขารู้ว่าพวกเขาต้องการดูแลลูกๆของพวกเขาด้วยความรัก พวกเขาหวังว่าลูกๆจะได้รับการเลี้ยงดูขึ้นมาอย่างดี อย่างไรก็ตามพวกลูกๆอาจจะไม่เข้าใจในเรื่องนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงอาจวิ่งไปทั่ว โทษพ่อแม่ของพวกเขาและทำสิ่งแปลกๆซึ่งทำให้พ่อแม่เป็นห่วงและทำให้เป็นการยากสำหรับพ่อแม่ที่จะดูแลพวกเขา

เป็นแบบเดียวกันกับพระเจ้า (หรืออาจารย์) และลูกศิษย์ของพระองค์ พระเจ้ารู้อย่างชัดเจนว่าเราเป็นลูกของพระองค์ และพระองค์ควรที่จะดูแลเรา พระองค์จะทำทุกอย่างที่เราต้องการให้พระองค์ทำ แต่ตัวเราเองที่ไม่เข้าใจในเรื่องนี้ เราคิดว่าเรามีอธิปไตยและเราดูแลตัวของเราเอง เราก็เลยทำเรื่องยุ่ง ยิ่งทำก็ยิ่งยุ่ง เราเป็นเหมือนกับเด็กที่พยายามจะดูแลตัวเองเมื่อยังไม่โตดีและไม่มีปัญญา ขาดความฉลาดและความสามารถ ยิ่งเขาก่อเรื่องยุ่งมากขึ้น เขาก็จะยิ่งทุกข์มากขึ้นและห่างจากครอบครัวของเขามากขึ้น ทำให้ชีวิตมีอันตรายมากขึ้นและยากลำบาก และทำให้พ่อแม่เป็นห่วงในตัวเขามากขึ้น เพราะฉะนั้นเราควรที่จะยอมรับในพระเจ้าและเชื่อในพระองค์ เพราะพระองค์คือปัญญาสูงสุดของเรา! พระองค์ไม่ใช่คนแปลกหน้า พระองค์คือญาติอันเป็นสุดที่รักยิ่งของเรา ถ้าเราปฏิเสธพระองค์ ไปบูชาพุทธไม้ ภูเขา เทพยดาหรือผีสาง เราก็จะทุกข์มากขึ้น ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะเราได้ละทิ้งพระองค์ ปฏิเสธพระองค์และไม่ยอมให้พระองค์ดูแลเรา

ฉันสอนการทำสมาธิให้กับเธอเพื่อให้เธอค้นพบธรรมชาติของเธอเอง ฉันต้องการให้เธอรู้จักพระเจ้าของเธอและปัญญาของเธอ ให้พระองค์ปรากฏตัวออกมาเพื่อพระองค์จะได้มีโอกาสชี้นำเธอและทำให้ชีวิตของเธอสดใสมากขึ้นและสบายมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ฉันถึงได้บอกเธอไม่ให้ไปบูชาเทพยดาข้างนอก ผีสางหรือพระพุทธรูป. รูปปั้นทั้งหลายนั้นไม่มีประโยชน์! พุทธะนั้นอยู่ในใจของเราและพระเจ้าก็อยู่ภายในตัวเรา ถ้าเราไม่มองหาพระองค์ภายใน เราจะไปหาพระองค์ได้จากที่ไหนกัน? ธรรมวิถีทั้งหมดที่ให้หาจากภายนอกนั้นผิด (เสียงปรบมือ) เพราะฉะนั้นฉันไม่จำเป็นจะต้องพูดมาก พวกเธอก็ควรที่จะเข้าใจ

พระเจ้าพูดไว้ที่ตรงนี้ว่าเธอจะต้องไม่มีพระเจ้าคนอื่นยกเว้นฉัน พระองค์พูดถูกต้อง! สักการะบูชา “ฉัน” ปัญญาภายในไม่ใช่รูปปั้นบูชาใดๆ. สิ่งที่พระองค์พูดนั้นถูกต้อง! พระองค์ไม่ได้พยายามที่จะขู่ให้คนกลัว พระองค์เป็นผู้สูงสุดจริงๆ เป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดและสูงที่สุด พระองค์ไม่จำเป็นที่จะต้องให้ใครมาเคารพสักการะหรือชื่นชมพระองค์ ถ้าเรายอมรับพระองค์และเชื่อในพระองค์ ก็จะเป็นโชคดีของเราเท่านั้น พระองค์สอนเราก็เพราะความทุกข์ของเราและคำสวดอธิษฐานอันจริงใจของเรา พระองค์จึงพูดว่า “ตกลง! ถ้าเธอต้องการรู้สึกดี ต้องการเครื่องปลอบใจ ต้องการมีปัญญาฉลาดเฉลียวและผ่อนคลายสบาย ก็ให้เชื่อฉันและเคารพบูชาฉันเท่านั้น แล้วมันก็จะดีเอง”

พระเจ้าไม่ได้บังคับใคร พระองค์เพียงแต่พูดความจริงเท่านั้น นอกเหนือจากความจริงแล้ว เธอจะบอกอะไรอื่นกับลูกของเธอได้ล่ะ? เธอจะสุภาพเกรงใจและพูดแบบนี้ไม่ได้ว่า “ตกลง! เธอรับว่าฉันเป็นพ่อแม่ของเธอก็ได้ เธอไม่รับว่าฉันเป็นพ่อแม่ของเธอก็ไม่เป็นไร เธอจะออกไปที่ข้างบ้านแล้วไปถือพวกเขาเป็นพ่อแม่ของเธอก็ได้” เธอบอกลูกของเธอแบบนั้นได้หรือเปล่า? ถ้าเขาทำแบบที่เธอบอกเขาก็จะไปในทางที่ผิด มีชีวิตที่ยากลำบาก เร่ร่อนไปทั่วและไม่มีเงินและอาหาร และจะไม่มีใครรับเขาเป็นลูก ปกติคนจะไม่ดูแลลูกของคนอื่น. แม้ว่าเขาจะได้รับอาหารและเสื้อผ้าในโรงเลี้ยงเด็กกำพร้า เขาก็จะไม่มีชีวิตที่สบาย ไม่มีความรู้สึกของครอบครัวและความรักตามใจของพ่อแม่ที่แท้จริง มนุษย์ไม่เพียงต้องการอาหารและเสื้อผ้าเท่าน้น แต่ยังต้องการความรักของพ่อแม่ ถ้าหากเด็กๆ ได้รับการเลี้ยงดูโดยเพื่อนบ้านของเขาและไม่มีความสัมพันธ์กับพ่อแม่ของพวกเขา เขาก็จะโง่เมื่อโตขึ้น

เนื่องจากความรักที่พ่อแม่มีต่อลูก พ่อแม่จึงควรบอกเขาอย่างชัดเจนว่า “เธอคือลูกของฉัน ถ้าเธอจากบ้านไป เธอก็จะมีชีวิตที่ยากลำบาก ถ้าเธออยากจะมีชีวิตที่สบายและดี ก็ขอให้เชื่อใจเราและปล่อยให้เราดูแลเธอ!” พ่อแม่ต้องสุภาพหรือลำบากใจเมื่อพูดเรื่องนั้นหรือเปล่า? ถ้าเราพูดความจริงโดยที่ไม่มีความเย่อหยิ่ง เราก็ไม่ควรที่จะรู้สึกลำบากใจ

บางครั้งเมื่อเธอได้ยินสิ่งที่ฉันพูด เธอก็คิดว่าฉันควรที่จะรู้สึกลำบากใจ แต่ฉันไม่เลย ฉันจะรู้สึกกลัวและลำบากใจถ้าฉันกำลังหลอกเธออยู่ ฉันจะหลอกพวกเธอมากมายได้หรือ? ไม่มีทาง! พวกเธอบางคนก็เป็นครู เป็นหมอและนักธุรกิจที่มีไอคิวสูง ฉันไม่สามารถหลอกเธอได้นาน เพราะฉะนั้นฉันก็เพียงแต่บอกความจริงให้เธอฟัง ฉันพูดความจริง พวกเธอจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร ฉันจะไม่รู้สึกลำบากใจ ถ้าเราต้องการทำดีกับผู้อื่น เราควรที่จะพูดความจริงเสมอ เฉพาะเมื่อเขามีเจตนาที่ไม่ดีต่อผู้อื่นเท่านั้น เขาถึงจะต้องพูดอย่างระมัดระวัง

 
เราห่างไกลจากพระเจ้าเกินไปถ้าเราบูชารูปปั้นของพระองค์
 

เราได้มาถึงครึ่งทางในข้อบัญญัติข้อที่ 2 ซึ่งก็คือเธอไม่ควรทำรูปปั้นบูชา เธอไม่ควรคำนับมัน ทำไมพระเจ้าถึงได้ใส่ใจเป็นพิเศษในเรื่องเหล่านี้? เพราะมนุษย์มีความฉลาดเฉลียว มีปัญญาและมีความสามารถที่จะทำสิ่งต่างๆ เพราะฉะนั้น ถ้าเราบูชาชิ้นไม้หรือก้อนหินซึ่งไม่เคลื่อนไหวและไม่มีจิตสำนึก เราไม่ใช่คนที่โง่หรอกหรือ? ถ้าอย่างนี้ทำไมจึงยังมีบางคนทำแบบนี้และคิดว่าพวกเขาใช้ได้?

บิดาของชาติเรา ดอกเตอร์ซุนยัตเซ็นเป็นผู้ที่ฉลาด มิน่าเล่าผู้คนถึงเคารพนับถือเขาว่าเป็นบิดาของชาติ เขาได้หักรูปปั้นไม้และถามคนว่าทำไมพวกเขาจึงพูดว่ามันเป็นพุทธะ ไม่ใช่หรอกหรือ? (ผู้ฟัง: ใช่!) ฉันคิดว่าเขายิ่งใหญ่จริงๆ คนที่มีปัญญาจะมีเสน่ห์ดึงดูดใจที่มีอิทธิพลโน้มน้าวใจคนได้มาก มิน่าเล่าเขาถึงได้ประสบความสำเร็จและเป็นที่เคารพจนถึงทุกวันนี้ เราอิจฉาเขาไม่ได้ เพราะเขาสมควรที่จะได้รับความเคารพ!

ฉันได้ยินมาว่าเขาได้เห็นกวนอิมโพธิสัตว์เมื่อตอนที่เขาไปภูเขาผูทัว สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่าเขามีศรัทธาและบริสุทธิ์ เขาเป็นคาทอลิก ถ้าเขายึดติดอยู่กับรูปปั้นบูชาทางคาทอลิก เขาก็จะได้เห็นแต่เพียงพระเยซูคริสต์เท่านั้น ในเมื่อเขาได้เห็นกวนอิมโพธิสัตว์ก็หมายความว่าเขาไม่มีการเลือกที่รักมักที่ชังและเขาบริสุทธิ์จริงๆ ดังนั้นพระโพธิสัตว์จึงไม่เลือกที่รักมักที่ชังต่อเขา “ไมเป็นไรที่เธอบูชาพระเยซูคริสต์ ฉันเพียงแต่ปรากฏกายให้เธอเห็นเพื่อให้เธอได้ดู” สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่าเขาบริสุทธิ์มากและเป็นคนที่ดีมาก

แน่นอน เขาได้มีส่วนร่วมในสงครามและอาจจะได้ฆ่าคนบางคน แต่สิ่งนั้นหลีกเลี่ยงไม่ได้ ฉันได้บอกเธอว่าเธอจะต้องใช้ศีลตามสถานการณ์! ถ้าเธอเป็นทหารและเธอต้องฆ่าศัตรูเพื่อปกป้องประเทศของเธอหรือเนื่องมาจากกฎของประเทศของเธอ อย่างนี้ก็ไม่ถือว่าเธอก่ออาชญากรรม แม้ถ้าเธอได้ฆ่าคนเป็นร้อยๆคน เธอก็ไม่ทำความผิดทางอาชญากรรมหรือทำผิดศีล อย่างไรก็ตาม ถ้าเธอทำร้ายคนเนื่องด้วยความเกลียดชังส่วนตัวเธอก็จะก่อกรรมหนัก อันนี้เนื่องมาจากเจตนาในการฆ่าของเธอ แต่ทหารนั้นต่างออกไป พวกเขาถูกบังคับให้ทำ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้ทำผิดศีล

เพราะฉะนั้นเธอไม่สามารถตัดสินตัวเธอเองได้โดยใช้หลักที่ว่าเธอได้ทำผิดศีลกี่ครั้งหรือทำผิดหนักอย่างไร เธอได้ฆ่าคนมากี่คน หรือคุณธรรมของเธอเป็นอย่างไร แต่ให้ตัดสินจากสถานการณ์และเจตนาของเธอ เราไม่สามารถมองดูทางด้านการกระทำอย่างเดียวเท่านั้น บางครั้งเป็นการยากสำหรับคนธรรมดาที่จะตัดสินผู้อื่น เราจะต้องแยกแยะระหว่างความดีและความชั่วอย่างละเอียดรอบคอบ มิฉะนั้นแล้วเราจะตัดสินอย่างผิดๆ. เมื่อเราเห็นว่าคนๆ นั้นฆ่า เราก็พูดว่า “โอ! เขาเป็นคนเลว!” เมื่อเราเห็นคนบริจาคเงินสร้างวัดหรือโรงพยาบาล เราก็พูดว่า “โอ! เขาเป็นคนดี!” มันอาจจะไม่เป็นอย่างนั้นก็ได้! เราไม่รู้ว่าเงินของเขามาจากไหน และเจตนาในการบริจาคของเขาคืออะไร เขาอาจจะต้องการมีชื่อเสียงหรือต้องการสิ่งอื่นตอบแทนโดยการบริจาคเงิน ในกรณีนั้นเขาจะไม่ได้รับบุญจากการกระทำของเขา

ถ้าเราบูชารูปปั้นก็หมายความว่าระดับของเรานั้นต่ำเกินกว่าที่จะซ่อมแซมได้ หมายความว่าเราไม่มีปัญญาและไม่มีความสามารถที่จะตัดสิน และเราไม่รู้ว่ารูปปั้นนั้นก็เพียงทำมาจากชิ้นไม้เท่านั้น ถ้าเราบูชาไม้ชิ้นนี้ มันก็เป็นเหมือนกับเราบูชาชิ้นไม้อื่นๆ ซึ่งจะประหยัดเวลาและแรงในการแกะสลักและทาสีรวมทั้งเงินด้วย การเคารพบูชารูปปั้นหมายความว่าเราไม่สามารถบอกว่าอะไรดีหรืออะไรเลว ไม่รู้ว่าปัญญาของเรามาจากไหนและไม่เข้าใจสิ่งที่ได้บันทึกไว้ในคัมภีร์ว่า “พุทธะอยู่ในใจของเรา” หรือ “พระเจ้าอยู่ภายในตัวเรา” เราได้เพิกเฉยคัมภีร์ เพิกเฉยคำสอนของอาจารย์ทั้งหลายและเพิกเฉยพูดของพระเจ้าและนักบุญ เราได้ไปไกลเกินไปและป่วยหนักเกินไป! แม้ถ้าเรามีปัญญาเล็กน้อยหลงเหลืออยู่ เมื่อเราคำนับรูปปั้น ปัญญาของเราก็จะหายไป

มีนิทานอินเดียอยู่เรื่องหนึ่ง ผู้หญิงคนหนึ่งยอมรับคนคนหนึ่งเป็นอาจารย์ มีอยู่ครั้งหนึ่ง หล่อนได้เห็นอาจารย์ปรากฏอยู่ข้างๆ หล่อน หล่อนก็ดีใจมาก อย่างไรก็ตาม พอหล่อนไปคลุกคลีกับคนอื่นหล่อนก็ลืมเรื่องนี้ พอได้ฟังว่าคนไปแสวงบุญที่ภูเขาและแม่น้ำ หล่อนก็ไปตามพวกเขา วันหนึ่งหล่อนก็ป่วย สวดขอให้อาจารย์ของหล่อนช่วยก็ไม่ได้ผล เป็นไปได้ที่ว่าอาจารย์อาจจะจงใจให้หล่อนป่วยเพื่อล้างกรรมเลวของหล่อน แต่หล่อนก็โทษอาจารย์ที่ไม่ช่วยหล่อนก็เลยไปบูชารูปปั้น! มีเทพเจ้ามากมายในอินเดีย ถ้าเธอไปที่นั่นเธอจะเห็นเทพเจ้าองค์เล็ก องค์ใหญ่ องค์กลาง องค์อ้วน องค์ผอม สารพัดชนิด หล่อนก็ไปคำนับรูปปั้นเหล่านี้ ก่อนหน้านั้นหล่อนสามารถมองเห็นอาจารย์มาปรากฏให้เห็นชั่วครู่หนึ่ง แต่หลังจากที่หล่อนคำนับรูปปั้นแล้ว อาจารย์ของหล่อนก็หายไป

พอหล่อนกลับมาที่บ้าน หล่อนก็คิดว่า “น่าประหลาดจัง! ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้? อาจารย์เพิ่งอยู่ที่ตรงนั้น พอทันทีที่ฉันไหว้ ท่านก็หายไป” หล่อนรู้สึกเศร้าใจและเฝ้าคิดถึงเรื่องนี้เป็นเวลาหลายวัน หล่อนไม่กินข้าว เอาแต่นั่งสมาธิ เรียกร้องให้อาจารย์ของหล่อนปรากฏกายขึ้นมาและอธิบายว่าทำไมเขาจึงได้จากหล่อนไปอย่างทันทีทันใด (หล่อนโทษอาจารย์ของหล่อนอีกแล้ว) เนื่องจากหล่อนมีความจริงใจทีเดียว อาจารย์ของหล่อนจึงซาบซึ้งใจและปรากฏมาให้หล่อนเห็นและบอกหล่อนว่า “เมื่อเธอบูชารูปปั้นไม้ เธอทำให้ระดับของฉันลดลงไปต่ำกว่าระดับของพวกเขาเสียอีก! เพราะฉะนั้นฉันจึงไม่มีที่ที่จะยืน มันต่ำเกินไปที่จะยืนฉันจึงต้องวิ่งหนีไป”

ทำไมเราจึงถูกเรียกว่า “มนุษย์”? เพราะเราแตกต่างจากสัตว์ เราสามารถแยกแยะระหว่างความดีและความชั่ว ความสูงและความต่ำ คุณธรรมและความเลวทราม มีความสามารถที่จะเลือกด้วยตัวของเราเอง สัตว์นั้นแตกต่างออกไป พวกมันจะเป็นไปตามแบบที่มันถูกฝึกให้เป็น แม้กระทั่งเสือก็ยังสามารถถูกฝึกให้ประพฤติเหมือนแมวโดยคนที่อยู่ในละครสัตว์ สิงโตและช้างก็สามารถถูกฝึกได้เหมือนกันให้ทำอะไรก็ตามที่มันถูกบอกให้ทำ และมันก็ไม่กล้าที่จะขัดขืน ในแง่นี้สัตว์นั้นจึงค่อนข้างจะโง่ และมันสามารถที่จะสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองได้อย่างง่ายดาย

มนุษย์ไม่เป็นแบบนั้น บางครั้ง แม้กระทั่งเมื่อคนถูกขัง พวกเขาก็จะพยายามหลบหนี เมื่อพวกเขาถูกกดขี่ พวกเขาก็จะพยายามต่อต้าน เมื่อพวกเขาผิด พวกเขาก็จะพยายามหาวิธีอธิบายว่าตัวเองบริสุทธิ์ นี่ก็เป็นเพราะว่ามนุษย์นั้นมีปัญญา ถ้าหากปัญญาอันยิ่งใหญ่ของเราถูกคนหลอกหรือถูกคนทำให้สับสน จากนั้นเราก็ไปไหว้รูปปั้นพวกผี พวกเจ้า แน่นอนละ เราก็จะเป็นคนที่น่าสงสารที่สุด ห่างไกลจากพระเจ้ามากเกินไป! มันได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนในคัมภีร์ศาสนาพุทธว่าพุทธะนั้นอยู่ในใจและเธอไม่สามารถที่จะเห็นตถาคต (พุทธะ) ด้วยแสงและเสียงที่สัมผัสได้ แทนที่จะบูชารูปแบบที่สัมผัสได้ มันจะเป็นบุญมากกว่าในการกลับบ้านไปบูชาพ่อแม่ของเรา นี่คือความจริง

ถ้าเธอชอบบูชากราบไหว้ ก็ให้กลับไปบ้านและบูชาพ่อแม่ของเธอ พวกเขาคือพระเจ้าที่มีชีวิตอยู่ และพวกเขามีธรรมชาติของพระเจ้าอยู่ภายในตัวพวกเขา ถ้าหากเธอหักรูปปั้นไม้ เธอก็จะไม่พบอะไรอยู่ข้างใน แม้ถ้าพ่อแม่ของเธอจะโง่เขลาและไม่ตระหนักถึงธรรมชาติของพระเจ้าของพวกเขา อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็มีธรรมชาติของพระเจ้าอยู่ภายในตัวพวกเขา เป็นเพียงแต่พวกเขาไม่รู้ในเรื่องนี้ อย่างไรก็ตามไม่มีอะไรอยู่ภายในรูปปั้นไม้เลย! ถ้าเธอต้องการที่จะบูชาสิ่งที่เป็นไม้จริงๆแล้วละก็ ก็ขอให้บูชาต้นไม้ อย่างน้อยที่สุดก็มีพลังของพระเจ้านิดหน่อยอยู่ภายในต้นไม้ที่มีชีวิต ไม่มีสิ่งใดที่จะมีชีวิตต่อไปได้โดยปราศจากพลังของพระเจ้า เพราะฉะนั้นถ้าเราบูชาไม้ที่ตายแล้วซึ่งเป็นรูปแบบทางวัตถุที่มีระดับต่ำมาก แน่นอน ปัญญาและระดับของเราก็จะเสื่อมถอยลงไปยังระดับต่ำที่ไม่อาจจินตนาการได้

เพราะฉะนั้นพระเจ้าจึงได้ย้ำเตือนเราเป็นพิเศษให้ระมัดระวังเป็นพิเศษ พระองค์เฝ้าบอกเราไม่ให้สร้างรูปปั้นและบูชารูปปั้น ทั้งนี้ก็เป็นเพราะพระองค์มีความเมตตาและต้องการให้เราถนอมปัญญาอันน้อยนิดที่ยังคงเหลืออยู่ในตัวเรา ถ้าเรายังคงบูชารูปสักการะต่อไป เราก็จะจบสิ้นกัน! ปัญญาอันน้อยนิดของเราสามารถพัฒนาได้หรือถูกทำลายไปได้ เมื่อเราอยู่กับคนที่ปฏิบัติทางจิตวิญญาณหรือเพื่อนที่ฉลาด ปัญญาของเราก็จะสุกใส สว่างและพัฒนามากขึ้น แต่เมื่อเราอยู่กับคนที่โง่เขลาและบูชารูปสักการะตามพวกเขา เราก็จะถูกทำให้แปดเปื้อนและถูกพวกเขาฉุดลง จากนั้นระดับของเรายิ่งทีก็จะยิ่งต่ำลง พระเจ้าต้องการให้คนของพระองค์หลีกเลี่ยงสภาพการณ์อันไม่เป็นที่พึงปรารถนานี้ พระองค์จึงได้บอกพวกเขาว่าอย่าทำสิ่งเช่นนี้ เพราะถ้าพวกเขาทำ ปัญญาอันน้อยนิดที่พวกเขามีก็จะหายไป

สมมุติว่าเธอมีเงินเหลืออยู่นิดหน่อย ถ้าเก็บออมมันไว้เธอก็จะสามารถใช้มันซื้อขนมปังได้ แต่ถ้าเธอถูกคนหลอกและใช้เงินไปซื้อก้อนหิน เธอก็จะเสียเงินไปและหิวตาย นอกจากนั้นเธอยังจะต้องแบกก้อนหินและจะยิ่งเหนื่อยมากขึ้น เธอเหนื่อยอยู่แล้ว แต่เธอก็ยังจะต้องมาแบกก้อนหิน ทำไมคนถึงได้โง่และถูกหลอกจนถึงขนาดนี้ได้อย่างไรกัน? จะไปกินก้อนหินได้อย่างไรกัน?

เพราะฉะนั้นพ่อแม่ของเธอจึงบอกเธอว่าอย่าไปซื้อก้อนหินและให้เก็บเงินไว้ เพราะพวกเขารู้ว่านี่คือเงินทั้งหมดที่เธอมี ถ้าเธอเก็บออมมันไว้ เธอยังสามารถใช้เลี้ยงตัวเธอเองได้สักระยะหนึ่งและคิดหาหนทางในภายหลัง รอให้ร่างกายมีกำลังวังชาขึ้นมาหน่อย ก็จะสามารถออกไปหางานทำได้ แต่ถ้าเธอใช้มันไปซื้อก้อนหิน เธอก็เสร็จกัน ร่างกายเธออ่อนแอหิวโหยอยู่แล้วและยังจะต้องมาแบกก้อนหินอีก แล้วเธอจะไปมีชีวิตรอดอยู่ได้อย่างไร? เธอจะตายในทันที! ในทำนองเดียวกัน เมื่อเราสักการะบูชารูปปั้น ก็ไม่มีทางที่จะช่วยเหลือเยียวยาเราได้! เว้นเสียแต่ว่าจะมีใครที่มาดึงเราขึ้นมาอย่างรวดเร็วและถ่ายทอดปัญญาในระดับสูงให้กับเรา แบบนั้นเราจึงจะได้รับการเยียวยา มิฉะนั้นแล้วเราก็จะจมลงไปตลอดเวลา

เมื่อวานนี้ฉันให้เธอดูภาพยนตร์สารคดีซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับกลุ่มคนในอินเดีย พวกเขาไปแสวงบุญยังภูเขาและแม่น้ำอย่างไร พวกเขามีความจริงใจอย่างไรเมื่อเขาอาบน้ำในแม่น้ำคงคา และพวกเขามีความจริงใจอย่างไรเมื่อพวกเขาบูชาพระเจ้า แต่เธอก็ได้เห็นแล้วว่าจำนวนประชากรในอินเดียนั้นไม่ได้ลดน้อยลงเลยแต่กลับเพิ่มขึ้น และพวกเขาก็ยากจนลง นี่ก็เป็นเพราะว่าพวกเขาใช้ความจริงใจในที่ที่ผิด!

เพราะฉะนั้น เมื่อก่อนตอนที่ฉันเห็นพวกเขาทำเรื่องแบบนี้ ฉันก็รู้สึกโกรธจัด ฉันลงมาจากภูเขาหิมาลัย เดินไปด่าไป (เสียงหัวเราะ) ฉันด่าให้ตัวเองฟังยังไม่พอ ยังไปพูดให้พระบางรูปฟัง ฉันเรียกพวกเขาให้มาด่าร่วมกันกับฉัน (ท่านอาจารย์หัวเราะ) ฉันรู้สึกโกรธกับพวกเจ้าเหล่านั้น! ฉันชี้ไปที่จมูกของพวกเจ้าและด่าอย่างรุนแรง แน่นอน พวกเจ้าไม่ได้ยินฉันหรอก ฉันเพียงแต่ระบายความโกรธของฉันเท่านั้น พวกมันทำด้วยไม้ จะได้ยินฉันด่าได้อย่างไรกัน? ฉันรู้เรื่องนั้นเป็นอย่างดี เพียงแต่ว่าฉันรู้สึกโกรธมากจริงๆ

ฉันเห็นว่าคนเป็นจำนวนล้านๆ คนกำลังถูกหลอกและได้เสียแรง เสียพลัง เสียเงิน รวมทั้งเสี่ยงชีวิตของพวกเขาที่จะต้องปีนไปยังยอดเขาเพื่อที่จะไปคำนับ พวกเขาไม่รู้ว่าพวกขาจะสามารถมีชีวิตรอดกลับบ้านได้หรือเปล่า เพราะถนนนั้นอันตรายมาก บางคนนั้นก็ยากจนมาก พวกเขาเพียงแค่สามารถยืมเงินหรือหาเงินมาได้พอสำหรับค่าเดินทางและหลังจากกลับบ้านแล้วพวกเขาก็จะไม่มีเงิน. เพื่อที่จะได้รับบุญกุศลและบูชารูปปั้นไม้ พวกเขาจะต้องเดินทางมาเป็นระยะทางไกล อีกทั้งพวกเขาก็ต้องเดินเท้าและส้นเท้าก็แตกและเลือดไหล บางคนก็ยากจนเกินไปที่จะมีรองเท้าใส่ ก็เลยต้องเดินเท้าเปล่าบนถนนน้ำแข็ง ฉันร้องไห้เมื่อฉันเห็นภาพนั้น! คนเป็นจำนวนมากถูกหลอกลวง แม้ว่าพวกเขาจะมีความจริงใจ มันก็ไม่เกิดประโยชน์

ถ้าเราไม่มีเพื่อนบำเพ็ญทางจิตวิญญาณ ปัญญาของเราก็จะเล็กลงๆ และค่อยๆ หายไป แล้วเราก็เปลี่ยนไปเป็นสัตว์ ต้นไม้ ก้อนหินหรือแร่ธาตุ ยิ่งเรามีปัญญาน้อยลงเท่าไร สถานภาพของเราก็จะต่ำลงเท่านั้น ในขณะที่ยิ่งเรามีปํญญามากขึ้น สถานภาพเราก็จะสูงขึ้น ก็เป็นเรื่องทำนองเดียวกันในสังคม ถ้าเธอมีความรู้มากกว่าและมีความขยันกว่า เธอก็ไม่ต้องเสียแรงมากนักในการทำงาน สถานภาพทางสังคมของเธอก็จะสูงกว่า งานของเธอก็จะดีกว่า และเธอก็จะหาเงินได้มากกว่า แต่ถ้าเธอไม่มีความรู้ ไม่ฉลาดและไม่มีความสามารถ เธอก็จะต้องทำงานต่ำๆ ยิ่งงานต่ำเท่าไร มันก็จะเหน็ดเหนื่อยมากขึ้นเท่านั้นและได้เงินน้อยลง

สภาพการณ์ในทำนองเดียวกันก็เกิดขึ้นในจักรวาล ถ้าเรามีปัญญามากขึ้น เราก็จะเป็นสรรพสัตว์ที่สูงกว่า ในทางกลับกัน ถ้าเรามีปัญญาน้อยกว่า เราก็จะเป็นสรรพสัตว์ที่ต่ำกว่า ดังนั้นเนื่องจากปัญญาที่ต่างกัน จึงมีสรรพสัตว์หลากหลายชนิดในโลกรวมทั้งแมลง กบ สัตว์ วัว มนุษย์ เทวดา สรรพสัตว์ผู้รู้แจ้งและพระเจ้า เราควรจะมุ่งสู่ข้างบนแทนที่จะมุ่งสู่ข้างล่าง เพราะเราจะทุกข์มากขึ้นในระดับที่ต่ำกว่า ไม่ใช่ว่าเรากลัวอะไร แต่ถ้าเรามีทางเลือก ทำไมจะต้องเลือกที่จะต้องทุกข์ทรมาน? ถ้าเธอเลือกที่จะทุกข์ยากเพื่อประโยชน์ของผู้อื่นเหมือนอย่างที่ฉันได้เล่าให้เธอฟังก่อนหน้านี้ในวันนี้ ฉันก็เห็นด้วยกับเธอ แต่ถ้าเธอเลือกที่จะทุกข์ยาก ไม่ใช่เพียงแค่ตัวคนเดียวเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องไปถึงลูกหลานของเธอ 5, 6 ชั่วโคตร ฉันก็ขอร้องเธอว่าอย่าได้ทำเลย!

ฉันได้เลือกทางที่ยากลำบากนี้ และฉันก็เต็มใจที่จะอยู่ที่นี่เพราะความต้องการของผู้อื่นและเพราะฉันต้องการทำให้พวกเขามีความสุขและให้กำลังใจพวกเขาในการแสวงหาการบำเพ็ญทางจิตวิญญาณและขึ้นไปสู่ระดับที่สูงกว่า เพราะฉะนั้นฉันถึงได้เต็มใจที่จะรับความยากลำบากนี้ ถ้าฉันเลือกความยากลำบากเพราะฉันชอบมัน มันก็จะแตกต่างออกไป เข้าใจไหม? (เสียงปรบมือ) โลกของเรานั้นมีความเจ็บปวดมากมายอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นถ้าเธอสามารถเลือกความสุขได้ ก็ขอให้เลือกมันเสีย อย่าพูดว่า “ในเมื่อท่านอาจารย์ได้เลือกความยากลำบาก เราก็ควรจะทำแบบเดียวกัน” แบบนี้เธอก็โง่เกินไป! ถ้าเราสามารถทำให้คนเป็นจำนวนมากมีความสุขด้วยการที่ตัวเราคนเดียวมีความทุกข์ มันก็คุ้มค่า อย่างไรก็ตาม ถ้าเราจงใจมองหาความทุกข์ เราก็เป็นคนโง่เหมือนอย่างการฆ่าตัวตายซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ดี!

 
จงนับถือพระนามของพระเจ้า
 

ตอนนี้จะพูดบัญญัติข้อที่ 3 ซึ่งก็คือเธอควรเคารพพระนามของพระเจ้า ใครคือพระเจ้า? เราจะเคารพพระเจ้าได้อย่างไร ถ้าเราไม่รู้แม้กระทั่งชื่อของพระองค์? ถ้าเราไม่รู้ชื่อของพระองค์ เราก็ไม่สามารถเคารพพระองค์ว่าเป็นพระเจ้า เป็นอาจารย์สูงสุด เป็นอนุตตรสัมมาสัมโพธิ หรือพลังพุทธะได้! เราจะต้องไม่ใช้ชื่อของพระองค์มาสบถสาบานหรือสาปแช่งผู้อื่น แม้กระทั่งเมื่อเราใช้ชื่อของพระเจ้ามาสาบานต่อพระองค์ มันก็ไม่ดี เธอไม่ควรพูดว่า “ฉันไม่ได้ทำเรื่องนี้ ถ้าฉันโกหกท่าน ฉันจะถูกฟ้าผ่าตาย...” หรืออะไรแบบนั้น เราจะต้องไม่บังคับคนอื่นให้สาบาน หรือเราจะต้องไม่สาบานในนามของพระเจ้า บางคนนั้นแย่ยิ่งกว่านี้อีก พวกเขาใช้ชื่อพระเจ้าไปสู้รบ พวกเขาใช้ชื่อของพระเจ้าฆ่าคน บุกรุกประเทศอื่น หรือกระทำทารุณกับลูกของผู้อื่นหรือผู้หญิง นี่คือตัวอย่างของการใช้ชื่อของพระเจ้าในทางที่ไม่ดี

เมื่อพระเจ้าส่งบุคคลคนหนึ่งลงมายังโลกเพื่อมาเป็นตัวแทนของพระองค์ เช่น พระเยซูคริสต์หรือพระศากยมุนีพุทธเจ้า เมื่อท่านเหล่านี้อยู่ในโลกหรือหลังจากที่ท่านตายไปแล้ว เราจะต้องเคารพชื่อของท่านด้วย ซึ่งก็คือเราจะต้องเคารพชื่อของพระเจ้าหรือชื่อของอาจารย์ เราจะต้องไม่ใส่ร้ายป้ายสีหรือเอาชื่อของท่านเหล่านี้มาล้อเล่นหรือเอาชื่อของท่านมาพูดตามสบายโดยที่ไม่มีความเคารพ

ทำไมพระเจ้าจึงต้องการให้เราเคารพพระองค์หรือตัวแทนของพระองค์? มันเป็นเพราะว่ายิ่งเราเคารพพวกเขา เราก็จะยิ่งได้รับพระพรมากขึ้น มิฉะนั้นแล้ว เราอาจจะไม่ได้พบอาจารย์และพระอาทิตย์เป็นเวลาอีกหลายชาติ เราอาจจะตกลงไปในที่ที่มืดมิดซึ่งไม่มีพระอาทิตย์ ที่ไม่มีชื่อพ่อแม่และไม่มีชื่ออาจารย์ ด้วยเหตุนี้พระเจ้าจึงบอกให้เราเคารพชื่อของท่านหรือชื่อของตัวแทนของท่าน ซึ่งก็คือชื่อของอาจารย์ แบบนี้เราถึงจะได้เห็นแสง และอาจารย์ภายในของเราจะมีโอกาสที่จะพัฒนา เมื่อมีเหตุก็มีผล สิ่งที่เหมือนกันดึงดูดสิ่งที่เหมือนกัน ถ้าเราไม่เคารพพระเจ้า เราก็จะได้รับผลที่ไม่ดี พระเจ้าได้ย้ำเตือนเราในเรื่องนี้ด้วยความเมตตาของพระองค์

ไม่ใช่ว่าพระเจ้าต้องการความเคารพจากเรา ผู้คนเป็นจำนวนมากได้เคารพบูชาพระองค์หรือไม่เคารพบูชาพระองค์มาตลอดทุกยุคสมัย แต่พระองค์ก็ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง พระองค์ไม่เกิด ไม่ดับ ไม่สลาย ไม่ด่างพร้อย ไม่สะอาด มีแต่เพียงให้ ไม่เอา พระองค์ไม่ต้องการสิ่งใดเลย เพราะทุกอย่างในจักรวาลถูกสร้างโดยพระองค์

 

วันที่ 7 คือวันสำหรับสมาธิกลุ่ม

 

บัญญัติข้อต่อไปคือในวันที่ 7 เธอจะต้องไม่ทำงานใดๆ เคารพวันซับบาธ! ในคัมภีร์ไบเบิ้ลได้กล่าวไว้ว่าพระเจ้าสร้างจักรวาลภายในเวลา 6 วันและได้พักผ่อนในวันที่ 7 ฉันสงสัยว่าทำไมพระเจ้าจึงต้องการพักผ่อน พระองค์ไม่ต้องการมันเลย พวกเธอก็คิดเหมือนกันว่าฉันไม่ต้องพักผ่อน ดังนั้นทุกวันอาทิตย์และวันหยุดพวกเธอจึงชอบที่จะมาที่นี่เพื่อพักผ่อนและทำให้ฉันเหนื่อยจนจะตาย ในกรณีนั้นพระเจ้านับว่าโชคดีมากกว่าฉัน (ท่านอาจารย์หัวเราะ) เพราะพระองค์สามารถพักผ่อนได้ในวันที่ 7

     

พระองค์ได้ขอให้พวกเราพักผ่อนกับพระองค์ด้วยซ้ำ ทำไมหรือ? เพราะพระองค์เป็นห่วงว่าเราจะทำงานหนักเกินไปตลอดทั้งสัปดาห์และไม่มีเวลาที่จะจำตัวตนของเราและพระเจ้า พระเจ้าคืออาณาจักรภายในของเราและธรรมชาติแห่งพุทธะภายในของเรา สิ่งที่พระองค์หมายถึงก็คือเราควรที่จะมารวมกันเพื่อนั่งสมาธิกลุ่มในวันที่ 7! มันได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนในคัมภีร์ไบเบิ้ลว่าผู้คนจะต้องไม่ทำงานใช้แรงกาย ทำได้แค่มารวมกันเคารพบูชาพระเจ้าเท่านั้น มันบอกเป็นนัยๆว่าเราควรที่จะบำเพ็ญทางจิตวิญญาณเพื่อค้นหาสถานภาพสูงสุดของเราและปัญญาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดภายในของเรา

ธรรมเนียมนี้ได้ตกทอดลงมาจนถึงทุกวันนี้ ทุกวันอาทิตย์ผู้คนก็จะรวมตัวกันในโบสถ์เพื่อท่องคัมภีร์ที่เขียนขึ้นในอดีต อย่างไรก็ตามพวกเขาก็เพียงแต่มาโบสถ์ อ่านคัมภีร์ไบเบิ้ลแล้วก็กลับบ้าน แล้วก็ยังมีกินของว่างบางอย่าง พวกเขากินขนมปังกรอบที่ไม่ได้รับการให้พร ในอดีตขนมปังกรอบเป็นสัญญลักษณ์ถึงอาหารให้พรจากอาจารย์ เพราะขนมปังกรอบนั้นสะดวกที่จะเก็บ สะอาดและเบา เนื่องจากมีคนเป็นจำนวนมาก เขาจึงทำขนมปังกรอบให้บางมาก คนกินมันไม่ใช่เพื่อรสชาติแต่เพื่อพลังพระพรซึ่งมีอยู่ในขนมปังกรอบนั้น

ข้าวโพดคั่วของเราที่นี่ก็รสชาติไม่อร่อยเหมือนกัน แต่ดูค่อนข้างจะราคาถูก เธอสามารถหาซื้อข้าวโพดคั่วได้อย่างง่ายดาย แต่เธอก็ยังชอบที่จะได้มันจากที่นี่ เพราะของเรานั้นมันไม่เหมือนกัน! เธอจะยิ่งชอบใจเข้าไปใหญ่ถ้าฉันให้แต่ละคนด้วยตัวของฉันเอง ความหมายก็คือแบบนั้นแหละ เป็นไปได้ที่คนข้างนอกเมื่อเขาเห็นฉันให้ข้าวโพดกับเธอแต่ละคน เขาก็จะคิดว่ามาที่นี่เพียงเพื่อข้าวโพดคั่วเท่านั้น แล้วเขาก็จะสร้างอาศรมขึ้นมาและให้ข้าวโพดคั่วทุกวันโดยที่ไม่รู้ความหมายอันแท้จริง คนที่ให้ข้าวโพดคั่วจะต้องมีพลังเพื่อว่าข้าวโพดคั่วจะได้รับการให้พร มิฉะนั้นแล้วการทำเช่นนี้ก็จะไม่มีความหมาย

พวกเราผู้บำเพ็ญทางจิตวิญญาณได้แผ่พลังแห่งความรักซึ่งดึงดูดผู้คนมาสู่เราอย่างเป็นธรรมชาติ หลังจากที่พวกเขาจากเราไปแล้ว พวกเขาก็รู้สึกว่าได้สูญเสียสิ่งที่สำคัญมากไปคล้ายกับว่ากำลังวังชาของพวกเขาได้ถูกเอาไป เมื่อฉันออกจากคอสตาริกา ผู้คนร้องไห้กันเหมือนเป็นเด็กทารก พวกเขาพูดว่า “โอ! มันคล้ายกับว่าเนื้อของฉันถูกเฉือนออกไป หรือส่วนหนึ่งของร่างกายของฉันถูกตัดออกไปและเอาออกไป” ด้วยเหตุนี้เราถึงได้ชอบมาอยู่ด้วยกันกับผู้บำเพ็ญทางจิตวิญญาณ ไม่ใช่เพราะเสื้อผ้าของพวกเขาหรือว่าพวกเขาเป็นพระสงฆ์ที่โกนศีรษะ แต่เป็นเพราะแรงสั่นสะเทือนที่ไม่อาจสัมผัสได้ซึ่งแผ่กระจายออกมาจากพวกเขาที่ทำให้เรารู้สึกสบายมาก สิ่งนี้ก็เหมือนกับถ้าเราได้รับน้ำเมื่อเรากระหายน้ำ ได้รับอาหารเมื่อเราหิว หรือได้รับยาที่มีฤทธิ์ดีเมื่อเราป่วย เรารู้สึกสบายมากแต่เราไม่สามารถที่จะบรรยายได้

ในทำนองเดียวกันขนมปังกรอบที่ได้รับพระพรนั้นจะดีก็ต่อเมื่อมันถูกให้โดยคนที่มีพลังเท่านั้น มิฉะนั้นแล้วมันก็ไม่มีอะไรถ้ามันถูกซื้อมาจากข้างนอก อย่างไรก็ตามขนมปังกรอบก็นับว่ามีประโยชน์ มันช่วยย้ำเตือนคนให้นึกถึงพระเจ้า และเมื่อพวกเขากลับไปบ้าน พวกเขาก็อาจถามว่า “ใครคือพระเจ้า?” พวกเขาอาจจะอยากเห็นพระเจ้า แล้วต่อมาพวกเขาก็อาจจะได้ยินใครบางคนให้การบรรยายธรรมและพูดว่า “ฉันสามารถช่วยเธอให้ได้ค้นพบพระเจ้า” และเขาก็จะไปหาบุคคลผู้นั้นอย่างรวดเร็วด้วยความอยากรู้อยากเห็น ในกรณีนั้นขนมปังกรอบก็นับว่ามีประโยชน์ มิฉะนั้นแล้วมันก็จะนับว่าไร้ค่าทีเดียว ไม่ใช่ว่าเราจะต้องมาชุมนุมกันและสวดตลอดทั้งวัน “ฉันปรารถนาที่จะได้เห็นพระเจ้า ฉันรักพระเจ้า” ไม่ใช่! แม้ว่าพระเจ้าจะอยู่ภายในตัวเรา พระองค์ก็ไม่สามารถช่วยเราได้ถ้าเราไม่ค้นหาพระองค์

 
การเคารพพ่อแม่ของเราก็คือการเคารพพระเจ้า
 

บัญญัติข้อต่อไปก็คือให้เกียรติพ่อและแม่ของเธอ บางทีในสมัยของโมเสสเด็กๆ ไม่กตัญญู ดังนั้นบัญญัติข้อนี้จึงมีความจำเป็น ถ้าทุกคนมีความกตัญญู ก็จะไม่มีใครรู้จักว่า “ความไม่กตัญญู” คืออะไร ถ้าคนสวยไปหมดเราก็จะไม่รู้จักว่า “น่าเกลียด” คืออะไร ถ้าคนทั้งหมดในประเทศร่ำรวย ก็จะไม่มีใครพูดถึงความยากจน ยกตัวอย่าง นี่คือประเทศที่นับถือศาสนาพุทธ เพราะฉะนั้นที่นี่จึงมีพระสงฆ์ อย่างไรก็ตามคนในประเทศอื่นๆไม่เคยเห็นพระสงฆ์ พวกเขาจึงไม่รู้ว่าพระสงฆ์คืออะไรและจะไม่พูดถึงเรื่องพระสงฆ์เลย ในทำนองเดียวกันผู้คนในสมัยนั้นไม่ได้รับการฝึกให้มีวินัยที่ดี คัมภีร์ไบเบิ้ลได้บรรยายถึงสภาพโกลาหลในสมัยนั้น. หลังจากที่โมเสสจากไปเป็นเวลา 40 วัน พวกเขาก็เปลี่ยนพระเจ้าใหม่แล้วก็กราบไหว้บูชาวัวทองคำ พวกเขามีจิตใจที่ต่ำและขาดคุณธรรม พวกเขาถึงได้เปลี่ยนอาจารย์ของพวกเขาภายในเวลา 40 วันเท่านั้น

แน่นอน เรากำลังเจริญก้าวหน้ามากขึ้นๆ เราเคยอาศัยอยู่ในถ้ำและกินอาหารดิบและสัตว์เป็นๆ เราไม่มีไฟ ไม่มีบ้าน ไม่มีเครื่องบินหรือเครื่องมือที่ทันสมัย ตอนนี้เราเจริญมากขึ้น เพราะตลอดยุคสมัยที่ผ่านมามนุษย์ต่างดาวได้มาถ่ายทอดความรู้สมัยใหม่ให้กับพวกเราและทำให้เราฉลาดมากขึ้น และทำให้ลูกๆ ของเราฉลาดมากขึ้น

ยกตัวอย่าง ตอนนี้พวกเธอมาบำเพ็ญทางจิตวิญญาณกับฉัน ลูกที่ออกมาก็ไม่เหมือนกัน เด็กที่เป็นมังสวิรัติตั้งแต่อยู่ในครรภ์ของมารดาจะอ้วนท้วนและผิวสีชมพู พวกเธอได้เคยเห็นแขนของเด็กทารกพวกนี้ไหม? พวกเขามีเนื้ออย่างน้อย 3, 4 มัด ฉันสงสัยว่าพวกเขาได้สารอาหารมาจากที่ไหน พวกเขาดื่มแต่นมเท่านั้น! เด็กเหล่านี้จะต้องเติบโตเป็นคนที่ฉลาดมากกว่าพวกเราอย่างแน่นอน และเด็กที่ได้รับการประทับจิตในท้องของแม่เขาจะยิ่งพิเศษมากขึ้นเมื่อเขาโตขึ้นมา! และลูกๆของพวกเขา แน่นอน ก็อาจจะมีความเก่งมากขึ้น มีความมั่นคงในคุณธรรม อารมณ์มั่นคง จิตใจมีความสุขและมีปัญญาที่พัฒนามากกว่า เพราะฉะนั้นลูกหลานของเราก็จะดีขึ้นและดีขึ้น

ขอให้ดูยุคของโมเสสสิ มันช่างโกลาหลเสียจริงๆ ปัญญาของผู้คนนั้นต่ำมาก พระเจ้าได้ให้พวกเขามากมาย แสดงพลังอิทธิปาฏิหาริย์ของพระองค์หลายครั้งและปกป้องคุ้มครองพวกเขาในทุกวิถีทาง แต่หลังจากที่อาจารย์ได้จากไปเป็นเวลาแค่ 40 วันเท่านั้น พวกเขาก็ทิ้งพระเจ้าและไปบูชาวัวทองคำแทน พวกเธอนึกจินตนาการออกไหม? ในสมัยใหม่บางคนก็เป็นเหมือนกับพวกนั้นที่บูชาวัวทองคำ แต่เมื่อเปรียบกันแล้วก็มีจำนวนน้อย พวกที่มาปฏิบัติกับฉันแล้วมีจิตใจถดถอยนั้นค่อนข้างจะน้อย นี่ก็หมายความว่าพวกเธอมีความมั่นคงมากกว่าและมีปัญญามากกว่า เป็นไปได้ที่ว่าฉันมีบุญกุศลมากกว่า พระเจ้าถึงได้ส่งลูกศิษย์ที่ดีที่สุดมาให้กับฉัน ให้ดูจิตใจของเธอแล้วเธอก็จะรู้ อย่านึกว่ามันเป็นจริงนะ (ท่านอาจารย์และทุกคนหัวเราะ)

ทำไมเราจึงต้องเคารพพ่อแม่ของเรา? เพราะความรักของพระเจ้าดูแลเราโดยผ่านกฎแห่งกรรมและโดยผ่านความรักและร่างกายของพ่อแม่ของเรา การเคารพพ่อแม่ของเราก็คือการเคารพพระเจ้า อันที่จริงแล้วไม่ใช่เป็นร่างกายของพ่อแม่เราที่ดูแลเรา แต่เป็นความรักของพระเจ้าที่ดูแลเรา เราควรที่จะเข้าใจจุดนี้ให้แจ่มชัด! ชีวิตแล้วชีวิตเล่าแม่ผู้สูงสุดโดยผ่านแม่ที่เป็นกายเนื้อของเราและพ่อผู้สูงสุดโดยผ่านพ่อที่เป็นกายเนื้อของเราได้ดูแลพวกเรา สอนคุณธรรมขั้นพื้นฐาน ความเมตตาและความรักให้กับเรา เพราะพ่อแม่ของเรารักเรา เราจึงรู้ว่าความรักคืออะไรเมื่อเราโตขึ้น นี่คือความจริง!

ถ้าเราถูกเลี้ยงดูมาในครอบครัวที่มีความมั่นคงและมีความรัก เราก็จะเป็นคนที่เต็มไปด้วยความรักและมีความรู้สึกที่ปลอดภัยและมั่นคงเมื่อเราเติบโตขึ้น บางครั้งเราเห็นว่าเด็กบางคนทำความชั่ว กลายเป็นคนร้ายหรือเป็นต้นเหตุแห่งอาชญากรรมและถูกจำคุก อย่าได้ไปโทษพวกเขาเร็วเกินไปนัก! มันอาจเป็นเพราะว่าพวกเขาขาดความรักความเอาใจใส่และการศึกษาเมื่อตอนที่พวกเขาเป็นเด็ก มันอาจจะเป็นเพราะว่าพ่อแม่ของพวกเขาตายเร็วหรือมีงานยุ่งเกินไปที่จะดูแลพวกเขา หรือมันอาจเป็นเพราะว่าพ่อแม่ของพวกเขาไม่ได้รับความรักจากพ่อแม่ของพวกเขาเองมาก่อน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถให้ความรักกับลูกๆของพวกเขาได้

นอกจากนั้น เมื่อได้รับการถ่ายทอดแบบนี้ต่อไป คนก็จะยิ่งมีความรักน้อยลงแล้วก็จะทำให้เกิดความยุ่งยากมากขึ้น เมื่อพวกเขาออกไปในสังคม พวกเขาอาจถูกกระทำอย่างไม่ยุติธรรมหรือาจถูกกดขี่และสูญเสียความรู้สึกแห่งความมั่นคงปลอดภัย ต่อมาในภายหลังเมื่อพวกเขาถูกรังแกหรือถูกคนเข้าใจผิด พวกเขาก็จะต่อต้านสังคมมากขึ้นๆอันเนื่องมาจากปมด้อยของพวกเขา ยิ่งพวกเขาต่อต้านสังคมมากขึ้น พวกเขาก็จะสูญเสียตัวของพวกเขาและความรักของพวกเขามากขึ้น แล้วพวกเขาก็จะมีความเกลียดชังมากขึ้น ท้ายที่สุดก็จะจบลงด้วยความทุกข์ทรมานในคุก

ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น เราจึงควรที่จะกตัญญูต่อพ่อแม่ของเรา ถ้าหากพ่อแม่ของเราไม่ได้ปฏิบัติดีต่อเรา เราควรจะคิดว่ามันเป็นผลกรรมของเรา โชคชะตาของเราไม่ดี บางทีเราอาจจะเป็นหนี้พ่อแม่เราบางอย่างในชาติก่อนของเราและยังไม่ได้ชดใช้มัน บางทีเราอาจจะเป็นพ่อแม่ที่ไม่ดีในชาติก่อนของเรา เราจึงต้องมีพ่อแม่ที่ไม่ดีในชาตินี้เพื่อเรียนรู้บทเรียนของเรา เพราะฉะนั้นเราจะต้องอดทนและกตัญญู สิ่งนี้จะเป็นการดีสำหรับเราและพ่อแม่ของเรา

ในคอสตาริกามีเพื่อนประทับจิตคนหนึ่งอายุเพียงแค่ 20 กว่าปีเท่านั้น หลังจากที่ได้รับการประทับจิตแล้ว 2 หรือ 3 วัน หล่อนก็ร้องไห้มาหาฉัน! ฉันถามหล่อนว่าทำไมจึงร้องไห้ หล่อนตอบว่าหล่อนเข้าไม่ได้กับครอบครัวของหล่อนโดยเฉพาะกับพ่อ แม่ของหล่อนได้ตายจากไปแล้ว และพ่อของหล่อนทำไม่ดีกับหล่อน เขาเย็นชาเข้มงวดและยากที่จะพูดคุยด้วย เขามักจะกดขี่และข่มเหงหล่อนจึงทนไม่ได้

ฉันถามหล่อนว่า “เธอเคยคิดหรือเปล่าว่าเธออาจจะเข้มงวดและเย็นชากับพ่อของเธอเหมือนกัน และไม่มีความรักให้เขา? เธอเคยคิดบ้างหรือเปล่าว่าพ่อของเธอก็ต้องการความรักจากเธอด้วยเหมือนกัน ไม่เพียงเฉพาะเธอเท่านั้นที่ต้องการความรักจากเขา” หล่อนก็นิ่งอึ้งไป จากนั้นจึงพูดว่า “ฉันควรจะทำอย่างไรล่ะ? เป็นไปได้ที่ฉันอาจไม่เคยแสดงความรู้สึกของฉันต่อเขา” ฉันจึงบอกหล่อนว่า “วันนี้พอเธอกลับไปถึงบ้าน ให้ซื้อดอกกุหลาบสีแดงที่สวยที่สุดแล้วก็คุกเข่าต่อหน้าพ่อของเธอและมอบดอกไม้ให้เขา กอดเขาและบอกเขาว่า ‘แม้ว่าลูกจะไม่เคยแสดงความรักต่อพ่อ เพราะว่าลูกลืมไป ลูกยังเป็นเด็กและไม่รู้เรื่อง แต่ลูกก็รักพ่อมาก’ แล้วหล่อนก็ทำตามแบบที่ฉันพูดผลที่เกิดขึ้นก็คือทั้ง 2 ก็กอดกันและร้องไห้ด้วยกัน นับตั้งแต่นั้นมาเขาทั้งสองก็ดีต่อกันมาก

เพราะฉะนั้นใครคนหนึ่งในพวกเขาจะต้องเปิดหัวใจของเขา/หล่อนก่อน พ่อแม่ต้องทำงานนอกบ้าน พวกเขามักจะเหน็ดเหนื่อยทางกายและใจ พวกเขามีเรื่องกลุ้มใจมากมายและหนี้สินมากมาย แถมยังมีความรับผิดชอบต่อครอบครัวที่หนัก ดังนั้นพอกลับมาถึงบ้านก็เลยหัวเราะไม่ออก ถ้าลูกๆ มีความเรียกร้องต้องการสูง ไม่เข้าใจความยากลำบากของพ่อแม่แล้วก็เฝ้าเรียกร้องและคาดหวังมากมายโดยที่ไม่เข้าใจว่าพ่อแม่ของพวกเขาก็ต้องการความสนับสนุนและความรักเหมือนกัน ในด้านหนึ่งพ่อแม่อาจจะเข้มงวด “เราเป็นพ่อแม่ของเธอ!” พวกเขาอาจจะเข้มงวดเพราะพวกเขาเป็นห่วงว่าลูกๆ จะไม่เคารพพวกเขา บวกกับแรงกดดันที่มาจากงานหนักของพวกเขา ทำให้พวกเขาหัวเราะดังๆ ไม่ออก ในอีกด้านหนึ่งลูกๆก็คิดว่า “พ่อแม่ของเรานั้นเข้มงวดมาก พวกเขาไม่รักเราและไม่ให้เราสิ่งนี้และสิ่งนั้น” เด็กๆ ก็อาจจะโกรธหรือเก็บความอาฆาตแค้นไว้ สิ่งนี้ก็จะทำให้ทั้งสองฝ่ายยิ่งไม่เข้าใจกันมากขึ้นและทำให้ช่องว่างระหว่างวัยกว้างขึ้น

ที่จริงทั้ง 2 ฝ่ายต่างก็กระตือรือล้นและอยากที่จะกอดซึ่งกันและกัน พวกเขารักกันมาก แต่ก็ไม่สามารถแสดงออกได้ เธออาจจะลองแสดงความรู้สึกของเธอออกมา เธอไม่จำเป็นที่จะต้องรู้สึกขวยเขินหรอก พวกเขาเป็นสมาชิกในครอบครัวของเธอ ถ้าเธอไม่สามารถพูดคุยกับพวกเขาได้จริงๆแล้วละก็ให้ลองดูวิธีนี้ ก็คือกอดกันก่อนแล้วค่อยพูดกันในภายหลัง เมื่อเธอพูดกับเขาด้วยความจริงใจ คำพูดของเธอก็จะเป็นที่ซาบซึ้งใจ เธอจะค่อยๆพูดคุยกับอีกฝ่ายหนึ่งและเข้าใจว่าอีกฝ่ายหนึ่งก็มีความรู้สึกและความรักเหมือนกัน แล้วเธอก็จะคืนดีกับพวกเขาได้ สมาชิกในครอบครัวรักกันเสมอ แต่บางครั้งพวกเขาหยิ่งเกินไปที่จะเป็นคนแรกที่พูดออกมา ดังนั้นทั้ง 2 ฝ่ายจึงปิดขังตัวเองและรอให้อีกฝ่ายหนึ่งเคาะก่อน อย่างไรก็ตาม ก็ไม่เคยมีใครเป็นผู้เคาะก่อน (ท่านอาจารย์หัวเราะ) แล้วทั้ง 2 ฝ่ายก็กระวนกระวายใจ

บางครั้งเรื่องแบบนี้ก็เกิดขึ้นกับสามีและภรรยาด้วยเหมือนกัน พวกเขาต้องการเป็นอย่างมากที่จะคืนดีกัน แต่ทั้ง 2 ฝ่ายต่างก็รอและไม่มีใครเป็นผู้ริเริ่มก่อน เมื่อวันเวลาผ่านไปบรรยากาศก็ยังคงตึงเครียด แม้ว่าพวกเขาจะให้อภัยซึ่งกันและกันภายใน พวกเขาก็ไม่อาจจะปล่อยวางความหยิ่งของพวกเขา แต่กลับกลัวเสียหน้าและเป็นกังวลว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะคิดอย่างไรในตัวเขา “เขา/หล่อนจะหัวเราะเยาะฉันหรือไม่นี่ถ้าฉันยอมแพ้?” ที่จริงแล้วเรื่องนั้นจะไม่เกิดขึ้นหรอก มันไม่เป็นไรแม้ถ้าสามีของเธอจะหัวเราะเยาะเธอ เขาเป็นคู่ของเธอ! มันก็ไม่เป็นไรถ้าภรรยาของเธอหัวเราะใส่เธอ! อันที่จริงแล้วหล่อนจะไม่หัวเราะหรอก หล่อนเพียงแต่รอให้เธอขอโทษหล่อนเท่านั้น ตอนนี้เธอก็เข้าใจแล้วสินะ

ทำไมเราจึงต้องเคารพพ่อแม่ของเรา? เพราะพวกเขาทำงานอย่างหนักเพื่อพวกเรา ร่างกายอันมีค่าที่เรามี พ่อแม่ก็เป็นผู้ให้แก่เรา ไม่ใช่โดยร่างกายของพ่อแม่ของเรา แต่โดยความกรุณาของความรักของพระเจ้าที่กระทำผ่านพวกเขา ดังนั้นเราจึงควรเคารพพวกเขาเพื่อที่จะเคารพพระเจ้า ทุกอย่างถูกสร้างโดยพระเจ้า พระองค์ให้กำเนิดเราโดยผ่านร่างกายของพ่อแม่เรา แต่ไม่ใช่ว่าพ่อแม่ของเราทำสิ่งนั้นเอง. เนื่องจากพ่อแม่ของเรามีความรักของพระเจ้าอยู่ภายในซึ่งก็คือภายในของพวกเขามีพระเจ้า เมื่อพวกเขารักเรา พวกเขาก็มีพลังรักของพระเจ้า พวกเขาคือสรรพสัตว์ที่มีความสูงส่ง งดงามและมีระดับชั้นสูง เราจะไม่เคารพพวกเขาได้อย่างไร?

 
ความหมายอันละเอียดอ่อนลึกซึ้งของ “เธอจงไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต”
 

บัญญัติข้อต่อไปก็คือ เธอจะต้องไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต มันหมายถึงระงับจากการฆ่า ฉันได้อธิบายเรื่องนี้มาเป็นล้านๆครั้งแล้ว แต่อย่าได้คิดว่ามันดีพอแล้วถ้าเราไม่ฆ่า บางครั้งเมื่อเราพยายามที่จะช่วยชีวิต แต่มันกลับกลายเป็นการฆ่า พวกเธอเคยได้ยินเรื่องที่ฉันเล่าเกี่ยวกับแม่ชี 2 คนที่พยายามช่วยกิ้งกือหรือเปล่า? ฉันไม่มีตัวอย่างมากนักในเรื่องนี้ ฉันจำได้แต่เรื่องนี้เท่านั้น

วันหนึ่งเมื่อตอนที่ฉันไปอาบน้ำและแปรงฟัน ฉันได้เห็นกิ้งกือในถ้วยของฉัน ถ้วยนั้นถูกปิดไว้ด้วยผ้า พอฉันยกผ้าออก ฉันก็เห็นกิ้งกือในถ้วย แน่นอน ฉันรู้สึกตกใจ กิ้งกือมันก็ตกใจด้วยเหมือนกัน (เสียงหัวเราะ) ฉันก็ร้องออกมาว่า “อา!” (ท่านอาจารย์หัวเราะ) นั่นเป็นปฏิกิริยาที่เป็นธรรมชาติ เนื่องจากกิ้งกือไม่สามารถพูดว่า “อา” มันก็เลยกระโดด เราทั้ง 2 ก็เลยตกใจ พอได้ยินเสียงนี้ ผู้ติดตาม 2 คนที่อยู่ข้างนอกก็รีบวิ่งเข้ามาและถามว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือท่านอาจารย์?” ฉันก็พูดว่า “ฉันไม่เป็นไร มีกิ้งกือ” (ท่านอาจารย์และผู้ฟังหัวเราะ) แล้วพวกเขาก็พูดว่า “โอเค ท่านอาจารย์ ขอเชิญท่านออกไปแล้วปล่อยให้เราจัดการมันเถิด” ฉันก็พูดว่า “ตกลง ขอให้ระวังนะ! พวกเธออยากจัดการก็ทำไปเลย!” ที่ข้างนอกมีอ่างอีกใบ ฉันก็เลยแปรงฟันที่ตรงนั้น

เวลาผ่านไปนานหลังจากที่ฉันแปรงฟันเสร็จแล้ว ฉันก็ยังไม่เห็นพวกเขาออกมา (เสียงหัวเราะ) ฉันก็เลยถามว่า “พวกเธอทำเสร็จหรือยัง?” พวกเขาก็ตอบว่า “ยังไม่เสร็จ!” ฉันพูดว่า “ทำไมเธอ 2 คนจึงไม่สามารถจัดการกับเพียงแค่กิ้งกือตัวเดียว?” (ท่านอาจารย์และผู้ฟังหัวเราะ) ฉันก็เข้าไปข้างในดู ฉันได้ยินเสียง “จือๆๆๆ” ฉันถามว่า “พวกเธอกำลังทำอะไรอยู่น่ะ?” พวกเขาพูดว่าพวกเขากำลังพยายามจะไล่มันไปด้วยฝักบัวแต่กิ้งกือก็ไม่ยอมกระดิกตัว! ฉันพูดว่า “แน่นอน มันจะไม่กระดิกหรอก รอบๆเต็มไปด้วยน้ำ” (เสียงหัวเราะ) ถ้าฉันเอาน้ำพ่นใส่เธอด้วยฝักบัว พวกเธอจะจมน้ำตายหรือเปล่า? กิ้งกือนั้นตัวเล็กมากและมีน้ำล้อมรอบตัวมัน มันแทบจะหายใจไม่ออก แล้วมันจะวิ่งหนีไปได้อย่างไร? มันไม่รู้ว่าจะหนีไปที่ไหน!

เอาละกิ้งกือก็เกือบจะจมน้ำตาย ฉันเห็นมันร้อง “ฮูๆๆ” มันกำลังร้องเรียกขอความช่วยเหลือ ฉันจึงพูดว่า “หยุด! หยุด! หยุด! ให้ฉันจัดการด้วยตัวฉันเองเถอะ” พวกเขาช่างเยี่ยมจริงๆ และมีเมตตาในการที่ไม่ฆ่ามัน แต่พยายามขับไล่มันไปด้วยน้ำ ทำให้น้ำท่วมรอบตัวมัน แม้ถ้าเราเป็นกิ้งกือ เราก็จะจมน้ำตาย กิ้งกือนั้นตัวเล็กมาก เมื่อพวกเขาเอาแต่ทำแบบนั้น กิ้งกือก็เลยทนไม่ได้ ฉันจึงพูดว่า “ช่างมันเถอะ! ปล่อยให้มันเป็นอิสระเถิด!” นี่ก็คือวิธีการช่วยชีวิตของพวกเขา เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่าพวกเราไม่ฆ่าก็จะนับว่าดีแล้ว แต่จะต้องระวัง ตอนที่เราเดินบนถนน เราจะต้องระวังและดูว่ามีสัตว์หรือเปล่า อ่างที่เราใช้ล้างหน้าหรือแปรงฟันควรจะหาอะไรปิดไว้หรือปล่อยน้ำให้ระบายออกไปเพื่อป้องกันไม่ให้แมลงจมน้ำอยู่ข้างใน ตะเกียงน้ำมันในวัดก็เป็นนักฆ่าตัวยงเช่นกัน มันมีไว้ให้เพื่อถวายให้กับพุทธะ แต่มันก็เต็มไปด้วยซากศพของแมลง เพราะตะเกียงน้ำมันนั้นไม่ได้มีการปิดฝา แมลงจึงถูกฆ่าตายทันทีที่มันตกลงไป

แต่ก่อนเมื่อฉันอาศัยอยู่ในวัดทุกเช้าเมื่อฉันเช็ดโต๊ะบูชา ฉันมักจะเห็นตะเกียงเต็มไปด้วยสรรพสัตว์ที่ตายแล้วอยู่เสมอ ฉันคิดว่าพุทธะคงจะไม่ยินดีกับเรื่องนี้ ในสมัยโบราณเนื่องจากไม่มีแสงแบบอื่น คนจึงต้องใช้ตะเกียงน้ำมัน แต่ในตอนนี้เรามีแสงจากไฟฟ้า แต่คนก็ยังดื้อรั้นใช้ตะเกียงน้ำมัน ในสมัยโบราณคนใช้ตะเกียงน้ำมันและน้ำมันหอมเพื่อถวายให้กับพุทธะ

ทำไมคนจึงจุดตะเกียงน้ำมันเพื่อถวายให้กับพุทธะ? เพราะตะเกียงน้ำมันสามารถส่องทางให้กับพุทธะได้ บวกกับมันมีไว้ใช้ให้ความสว่างกับใบหน้าของพุทธะเพื่อให้คนมองเห็น มันยังใช้สำหรับให้ความสว่างกับทางเดินในวัดเหมือนอย่างไฟตามท้องถนนที่นี่ อย่างไรก็ตาม ในสมัยโบราณคนก็ปิดตะเกียงน้ำมัน พระศากยมุนีพุทธเจ้ายังได้สั่งกำชับไว้ว่าเมื่อจุดตะเกียงน้ำมันหรือดับมัน ก็ควรที่จะปิดมันเพื่อป้องกันไม่ให้แมลงได้รับอันตรายหรือถูกไฟเผา ในปัจจุบันนี้คนใช้หม้อใบใหญ่ที่ใส่น้ำมันเป็นตะเกียงน้ำมัน ในวัดที่ทิเบตตะเกียงน้ำมันเป็นร้อยๆ ตะเกียงถูกจุดทั้งวันทั้งคืน อย่างแรกมันเป็นการสิ้นเปลืองน้ำมัน อย่างที่ 2 มันฆ่าสรรพสัตว์เป็นจำนวนมาก เมื่อเราแสวงหาการบำเพ็ญทางจิตวิญญาณ เราควรที่จะละเว้นจากการฆ่าและโปรดชีวิตสรรพสัตว์ แต่อันที่จริงแล้วเรากลับทำร้ายพวกมัน

เพราะฉะนั้นเราจะต้องระมัดระวัง การละเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตนั้นกินความกว้างกว่า ไม่ใช่เพียงแค่การฆ่าด้วยมีดเท่านั้นที่ถือว่าเป็นการฆ่า แน่นอน เราควรที่จะหลีกเลี่ยงการฆ่าถ้าเป็นไปได้ เราไม่ได้ตั้งใจที่จะฆ่าโดยการจุดตะเกียงน้ำมัน แต่เราก็สามารถหลีกเลี่ยงมันได้โดยไม่ใช้ตะเกียงน้ำมัน พุทธะไม่ได้พูดว่าเราจะต้องถวายตะเกียงน้ำมันให้เขา ในกรณีที่บางแห่งคนไม่มีตะเกียงน้ำมัน แล้วคนจะถวายได้อย่างไร? อะไรก็ตามที่เราถวายให้ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเจตนาของเรา นอกจากนั้นตะเกียง อันที่จริงก็หมายถึงตะเกียงภายในตัวเรา!

แน่นอน คัมภีร์ก็ได้บอกว่าวัดทุกวัดควรที่จะจุดตะเกียงหรือจุดไฟตลอดเวลาเพื่อคนจะได้เห็นทางเดินและไปนั่งสมาธิได้ มันก็เป็นแบบเดียวกันกับในอาศรมของเรา! เมื่อเธอมาในเวลาเที่ยงคืนหรือในระหว่างฌาน 7 วัน เราก็ตื่นนอนตอนตี 3 หรือตี 4 ถ้าไม่มีตะเกียงในวัดหรือในอาศรม เธอจะเห็นได้อย่างไรว่าเธอกำลังเดินไปที่ไหน? เธออาจจะเหยียบไปบนหัวของคนอื่นก็ได้ หรือผู้บำเพ็ญชายบางคนอาจจะไปนั่งในที่ของผู้หญิง และผู้หญิงบางคนอาจจะไปนั่งในที่ของผู้ชายทำให้น่าอับอาย เพราะฉะนั้นนี่จึงเป็นเหตุผลของการมีแสงไฟ ไม่ใช่ว่าพุทธะต้องการไฟใดๆ เลย!

ยกตัวอย่าง เมื่อฉันนั่งอยู่ที่ตรงนี้ เธอก็มักจะส่องไฟสว่างมายังฉันเสมอเพื่อให้คนได้เห็นฉัน แต่ไม่ใช่ว่าฉันต้องการแสงไฟ เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นแสงอะไรก็ใช้ได้ทั้งนั้น ตราบใดที่เธอสามารถเห็นฉันได้ แต่พุทธไม้ไม่มีใครมาดูพุทธไม้ในเวลากลางคืน คนที่มาดูก็มาในเวลากลางวันเท่านั้น เพราะฉะนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมีแสงเลยในเวลากลางคืน นอกจากนั้นในตอนนี้วัดทั้งหลายก็มีไฟฟ้า และมันก็ง่ายที่จะเปิดไฟเพื่อให้คนมาสวดมนตร์เย็นและมนตร์เช้า

สิ่งที่ฉันหมายถึงก็คือเราควรจะหลีกเลี่ยงการฆ่าถ้าเป็นไปได้ มีอีกหลายสิ่งหลายอย่าง แต่ฉันไม่สามารถที่จะพูดได้หมด สำหรับแมลง เราควรหลีกเลี่ยงการฆ่ามันถ้าเป็นไปได้ ในทำนองเดียวกันเราควรจะหลีกเลี่ยงการตัดหญ้าและต้นไม้ถ้าเป็นไปได้ ถ้าไม่มีหนทางอื่นเราก็ตัดมันได้แน่นอนเพื่อสร้างบ้านหรือเพื่อสุขอนามัย เราทำได้เมื่อมีความจำเป็น อย่างไรก็ตาม ถ้าเราทำลายมันด้วยจิตใจโหดเหี้ยมโดยไม่มีเหตุผลก็ไม่เหมือนกันแล้ว

 
เธอจะต้องไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่ลักขโมย ไม่พูดเท็จ
 

บัญญัติอีกข้อหนึ่งคือเธอจะต้องไม่ประพฤติผิดในกาม นั่นก็หมายถึงให้ละเว้นจากการมีสามีหรือภรรยามากกว่า 1 คน ฉันได้อธิบายเหตุผลมาแล้ว ถ้าเธอมีสามีมากเกินไป ชาติหน้าเธอก็จะไม่มีเลย สมมุติเธอมีสามี 7 คน ในอีก 7 ชาติถัดไป ก็จะไม่มีใครแต่งงานกับเธอ เพราะครั้งหนึ่งเธอได้มีมากเกินไปแล้ว! ยกตัวอย่าง เธอหาเงินได้อาทิตย์ละ 10,000 เหรียญไต้หวัน ถ้าเธอใช้มันหมดไปในวันเดียว แน่นอน เธอก็จะไม่มีเงินเหลือสำหรับทั้งอาทิตย์นั้น

บัญญัติข้อต่อไปคือเธอจะต้องไม่ลักขโมย ข้อนี้ทุกคนก็เข้าใจ และฉันก็ได้พูดเรื่องนี้หลายครั้งหลายหนแล้ว มีการลักขโมยหลายชนิดและการขโมยเงินก็เป็นชนิดหนึ่งเท่านั้น มันไม่เป็นไรถ้าจะลักขโมยถ้าเธอหิว ถ้าเธออด แต่อย่าทำถ้าเธอมีเงิน การขโมยยังรวมไปถึงการเที่ยวรับของถวายจากคนอื่น รวมทั้งเธอจะต้องไม่พูดเป็นนัยๆให้คนอื่นถวายของให้เธอ! บางครั้งเมื่อเราพูดนานเกินไป เราก็ลักขโมยด้วยเหมือนกัน นั่นก็คือขโมยเวลาของคนอื่น เมื่อคนหมดความอดทนกับเธอ แต่เธอก็ยังพร่ำพูดพล่ามต่อไป นั่นก็เป็นการลักขโมยด้วยเหมือนกัน

ถ้าเราขายของบางอย่างราคา 10 เหรียญเมื่อค่าที่แท้จริงของมันแค่ 2 เหรียญเท่านั้น (ถ้าเราพูดว่ามันดีโดยที่จริงๆแล้วมันไม่ดีและมีค่า 2 เหรียญเท่านั้น แต่เราขายมันในราคา 10 เหรียญ) และหลอกคนอื่นให้ซื้อมากขึ้นนี่ก็นับว่าผิดและเป็นการขโมยด้วยเหมือนกัน การขโมยไม่ได้หมายเพียงแค่ออกไปข้างนอกแล้วไปลักขโมยเท่านั้น เมื่อเธอออกไปทำงานและเห็นว่าเจ้านายไม่อยู่ที่ตรงนั้น เธอก็เลยหลบงานและกลับบ้านเช้า มันก็เป็นการขโมยด้วยเหมือนกัน ถ้าเราเอาของจากโรงงานกลับมาบ้านโดยที่นายไม่ได้ให้เรา มันก็เป็นการขโมยด้วย เมื่อเราอาศัยกันอยู่เป็นกลุ่ม มีหลายสิ่งหลายอย่างที่มีไว้สำหรับคนเป็นจำนวนมาก ไม่ใช่เพียงแค่สำหรับเราเท่านั้น มันจะเป็นการขโมยถ้าเราเอาอะไรที่ไม่ได้ให้กับเรา

บัญญัติข้อต่อไปคืออย่าพูดเท็จ พวกเธอก็เข้าใจในเรื่องนี้แล้ว และฉันก็ได้พูดถึงมันหลายครั้งหลายหน มันได้ถูกอธิบายไว้ในเวลาประทับจิตด้วยเช่นกัน มีการพูดเท็จหลายแบบ แบบที่แย่ที่สุดก็คือระดับจิตวิญญาณของเรานั้นต่ำ แต่เราก็หลอกผู้อื่นว่าเรามีระดับสูงกว่าโดยพูดถึงสิ่งที่ลึกลับบางอย่าง เราทำให้คนเชื่อว่าระดับของเรานั้นสูงกว่าระดับของพวกเขาโดยพูดถึงสิ่งที่ลี้ลับ ทำให้คนไม่รู้ว่าระดับชั้นของเธออยู่ที่ไหน เหมือนกับว่าเธอรู้มาก คนอื่นไม่รู้เรื่องพรรค์นั้น การหลอกคนแบบนี้เป็นการโกหกที่หนักหนาที่สุด อีกตัวอย่างหนึ่ง หลังจากที่อาจารย์ตายไปแล้ว บางคนอยากจะกลายเป็นอาจารย์แล้วก็หลอกคนอื่นว่าเขาเป็นผู้สืบทอด โดยการทำเช่นนี้เขาได้สร้างกรรมที่หนักที่สุด

บางครั้งเราทำความผิดแล้วพอคนถามเราในเรื่องนั้น เราก็ไม่ยอมรับ แต่ปล่อยให้อาจารย์หรือนายของเราลงโทษคนทั้งกลุ่ม นี่ก็เป็นการโกหกด้วยเหมือนกันและเป็นสิ่งที่เลวด้วย! ถ้าเรายอมรับความผิดของเรา ก็จะเป็นการดี อย่าได้เอาคนอื่นมาเกี่ยวข้องด้วย บางครั้งฉันต้องลงโทษคนเหล่านั้น ตัวเขาเองทำผิดในเรื่องเล็กๆน้อยก็นับว่าไม่เป็นไร แต่พวกเขาไม่ยอมรับ แล้วเรื่องมันก็เลวร้ายขึ้นและเกี่ยวข้องกับทั้งกลุ่ม พวกเขาจะไม่ถูกลงโทษด้วยความผิดเล็กๆน้อยๆ แต่ในเมื่อมันไปเกี่ยวข้องกับคนทั้งกลุ่มและทำให้เกิดเสียงดัง ฉันจึงต้องลงโทษพวกเขา พวกเขาไม่ยอมรับความผิด แต่บังคับให้ฉันรบกวนคนทั้งกลุ่มและถามทีละคนๆ ในตอนนี้ถ้ายังไม่ยอมสารภาพอีกละก็ แน่นอน ก็ควรที่จะลงโทษ ลงโทษเพราะพูดโกหกไม่ใช่เพราะเรื่องเล็กๆน้อยๆ นี้

 
อย่าละโมภอยากได้สิ่งของของผู้อื่น
 

บัญญัติอีกข้อคือเธอจะต้องไม่โลภปรารถนาอยากได้บ้านของเพื่อนบ้านของเธอ... แน่นอน เราไม่ควรที่จะละโมภอยากได้สิ่งของของผู้อื่น เราจะไม่รับมันแม้ถ้าคนให้มันกับเรา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงละโมภอยากได้ของของผู้อื่น ฉันได้เคยบอกพวกเธอแล้วว่าถ้าเรารับของถวายของคนอื่นที่เราไม่สมควรได้รับ เราก็มีแต่เพียงรับกรรมของพวกเขามา อย่างไรก็ตาม เราไม่รู้ว่าเราสมควรที่จะได้มันหรือไม่ เพราะฉะนั้นทางที่ดีก็อย่าไปรับมัน เว้นเสียแต่ว่าคนจะบังคับเราจริงๆให้รับมัน ถ้าเราไม่มีทางเลี่ยง เราก็ควรที่จะรับมันไว้แล้วก็เอาไปให้คนอื่น หรือไม่ก็ให้ของอย่างอื่นตอบแทนเขาไป

ฉันคิดว่าคนจีนเข้าใจในกฎข้อนี้เป็นอย่างดีมาก ในระหว่างตรุษจีนคนจะให้ของขวัญซึ่งกันและกัน หลังจากที่ของขวัญถูกส่งต่อกันไปหลายครั้งหลายหน ของขวัญที่เธอให้ก่อนหน้านี้อาจจะกลับมาสู่เธอก็ได้ ไม่ใช่เป็นอย่างนั้นหรอกหรือ? แบบนี้ก็นับว่าดี! อย่างน้อยที่สุดเราก็ไม่เป็นหนี้คนอื่น คนอเมริกันมีธรรมเนียมว่าเมื่อคน 2 คนออกไปดื่มกาแฟกัน แต่ละคนก็จะจ่ายบิลของเขาเอง แบบนี้ก็นับว่าดีด้วย! พวกเขาไม่ต้องแสดงมารยาทจอมปลอมและคิดเล็กคิดน้อยว่าใครดื่มมากและใครดื่มน้อย (ท่านอาจารย์และผู้ฟังหัวเราะ) แบบนี้ก็จะทำให้อึดอัดใจ

มีเรื่องเอาหลักที่ตลกมากอยู่เรื่องหนึ่ง มีคน 2 คนออกไปกินอาหารชื่อว่าขนุน มันเป็นผลไม้ชนิดหนึ่งที่มีหนามข้างนอกและดูน่าเกลียดมาก มันอ้วนใหญ่แบบนี้ ข้างในมีเม็ดและมีเนื้อที่หวาน 2 คนนี้ได้ข้อตกลงว่า “เราไม่รู้ว่าใครจะกินมากกว่าหรือใครจะกินน้อยกว่า เพราะฉะนั้นเราจะนับเม็ดกันแล้วเราก็จะรู้ว่าแต่ละคนควรจะจ่ายเงินเท่าไร” หลังจากที่ทั้ง 2 คนตกลงแล้ว พวกเขาก็ออกไปแบ่งขนุนกินกัน

หนึ่งในนี้เป็นคนที่ซื่อสัตย์มาก แต่อีกคนหนึ่งกลืนเม็ดทั้งหมด (ท่านอาจารย์และผู้ฟังหัวเราะ) คนแรกได้เห็นแบบนี้แต่ก็ไม่ได้พูดว่าอะไร หลังจากกินเสร็จแล้ว ทันใดคนแรกก็ร้องออกมาว่า “โอ! ฉันปวดท้อง! ท้องฉันปวดมากจริงๆ!” เขาลงไปกลิ้งบนพื้นและตะโกนร้อง คนที่ 2 ยังกินไม่เสร็จ ในขณะที่กำลังกินอยู่เขาก็ถามว่า “มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นกับเธอหรือ?” คนแรกก็ตอบว่า “ฉันกลืนเม็ดเข้าไปโดยบังเอิญ ตอนนี้มันกำลังโต โอ!` มันกำลังใหญ่ขึ้นๆ โอ! มันได้โตขึ้นมาจนถึงที่ตรงนี้แล้ว! (ท่านอาจารย์ชี้ไปที่หน้าอกของท่าน) โอ! ตอนนี้มันมาถึงที่ตรงนี้แล้ว (ท่านอาจารย์ชี้ไปที่คอของท่าน) โอ! รีบคิดหาหนทางมาช่วยฉันเร็วๆ! ทำไมมันถึงได้โตเร็วอย่างนี้?” อีกคนก็กลัวแทบตาย เขาถามว่า “เธอกลืนลงไปแค่เม็ดเดียวเท่านั้น แล้วมันก็ได้โตขึ้นใหญ่แบบนี้ (เสียงหัวเราะ) จะเกิดอะไรขึ้นกับฉันเพราะฉันได้กลืนไปแล้ว 5 เม็ด? (ท่านอาจารย์และผู้ฟังหัวเราะ) เพราะฉะนั้นอย่าได้กลืนเม็ดของผลไม้ใดๆ! (ท่านอาจารย์และผู้ฟังหัวเราะ)