เราได้มาถึงครึ่งทางในข้อบัญญัติข้อที่ 2
ซึ่งก็คือเธอไม่ควรทำรูปปั้นบูชา เธอไม่ควรคำนับมัน
ทำไมพระเจ้าถึงได้ใส่ใจเป็นพิเศษในเรื่องเหล่านี้?
เพราะมนุษย์มีความฉลาดเฉลียว มีปัญญาและมีความสามารถที่จะทำสิ่งต่างๆ
เพราะฉะนั้น
ถ้าเราบูชาชิ้นไม้หรือก้อนหินซึ่งไม่เคลื่อนไหวและไม่มีจิตสำนึก
เราไม่ใช่คนที่โง่หรอกหรือ?
ถ้าอย่างนี้ทำไมจึงยังมีบางคนทำแบบนี้และคิดว่าพวกเขาใช้ได้?
บิดาของชาติเรา ดอกเตอร์ซุนยัตเซ็นเป็นผู้ที่ฉลาด
มิน่าเล่าผู้คนถึงเคารพนับถือเขาว่าเป็นบิดาของชาติ
เขาได้หักรูปปั้นไม้และถามคนว่าทำไมพวกเขาจึงพูดว่ามันเป็นพุทธะ
ไม่ใช่หรอกหรือ? (ผู้ฟัง: ใช่!) ฉันคิดว่าเขายิ่งใหญ่จริงๆ
คนที่มีปัญญาจะมีเสน่ห์ดึงดูดใจที่มีอิทธิพลโน้มน้าวใจคนได้มาก
มิน่าเล่าเขาถึงได้ประสบความสำเร็จและเป็นที่เคารพจนถึงทุกวันนี้
เราอิจฉาเขาไม่ได้ เพราะเขาสมควรที่จะได้รับความเคารพ!
ฉันได้ยินมาว่าเขาได้เห็นกวนอิมโพธิสัตว์เมื่อตอนที่เขาไปภูเขาผูทัว
สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่าเขามีศรัทธาและบริสุทธิ์ เขาเป็นคาทอลิก
ถ้าเขายึดติดอยู่กับรูปปั้นบูชาทางคาทอลิก
เขาก็จะได้เห็นแต่เพียงพระเยซูคริสต์เท่านั้น
ในเมื่อเขาได้เห็นกวนอิมโพธิสัตว์ก็หมายความว่าเขาไม่มีการเลือกที่รักมักที่ชังและเขาบริสุทธิ์จริงๆ
ดังนั้นพระโพธิสัตว์จึงไม่เลือกที่รักมักที่ชังต่อเขา
ไมเป็นไรที่เธอบูชาพระเยซูคริสต์
ฉันเพียงแต่ปรากฏกายให้เธอเห็นเพื่อให้เธอได้ดู
สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่าเขาบริสุทธิ์มากและเป็นคนที่ดีมาก
แน่นอน เขาได้มีส่วนร่วมในสงครามและอาจจะได้ฆ่าคนบางคน
แต่สิ่งนั้นหลีกเลี่ยงไม่ได้
ฉันได้บอกเธอว่าเธอจะต้องใช้ศีลตามสถานการณ์!
ถ้าเธอเป็นทหารและเธอต้องฆ่าศัตรูเพื่อปกป้องประเทศของเธอหรือเนื่องมาจากกฎของประเทศของเธอ
อย่างนี้ก็ไม่ถือว่าเธอก่ออาชญากรรม แม้ถ้าเธอได้ฆ่าคนเป็นร้อยๆคน
เธอก็ไม่ทำความผิดทางอาชญากรรมหรือทำผิดศีล อย่างไรก็ตาม
ถ้าเธอทำร้ายคนเนื่องด้วยความเกลียดชังส่วนตัวเธอก็จะก่อกรรมหนัก
อันนี้เนื่องมาจากเจตนาในการฆ่าของเธอ แต่ทหารนั้นต่างออกไป
พวกเขาถูกบังคับให้ทำ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้ทำผิดศีล
เพราะฉะนั้นเธอไม่สามารถตัดสินตัวเธอเองได้โดยใช้หลักที่ว่าเธอได้ทำผิดศีลกี่ครั้งหรือทำผิดหนักอย่างไร
เธอได้ฆ่าคนมากี่คน หรือคุณธรรมของเธอเป็นอย่างไร
แต่ให้ตัดสินจากสถานการณ์และเจตนาของเธอ
เราไม่สามารถมองดูทางด้านการกระทำอย่างเดียวเท่านั้น
บางครั้งเป็นการยากสำหรับคนธรรมดาที่จะตัดสินผู้อื่น
เราจะต้องแยกแยะระหว่างความดีและความชั่วอย่างละเอียดรอบคอบ
มิฉะนั้นแล้วเราจะตัดสินอย่างผิดๆ. เมื่อเราเห็นว่าคนๆ
นั้นฆ่า
เราก็พูดว่า โอ! เขาเป็นคนเลว!
เมื่อเราเห็นคนบริจาคเงินสร้างวัดหรือโรงพยาบาล เราก็พูดว่า โอ!
เขาเป็นคนดี! มันอาจจะไม่เป็นอย่างนั้นก็ได้!
เราไม่รู้ว่าเงินของเขามาจากไหน และเจตนาในการบริจาคของเขาคืออะไร
เขาอาจจะต้องการมีชื่อเสียงหรือต้องการสิ่งอื่นตอบแทนโดยการบริจาคเงิน
ในกรณีนั้นเขาจะไม่ได้รับบุญจากการกระทำของเขา
ถ้าเราบูชารูปปั้นก็หมายความว่าระดับของเรานั้นต่ำเกินกว่าที่จะซ่อมแซมได้
หมายความว่าเราไม่มีปัญญาและไม่มีความสามารถที่จะตัดสิน
และเราไม่รู้ว่ารูปปั้นนั้นก็เพียงทำมาจากชิ้นไม้เท่านั้น
ถ้าเราบูชาไม้ชิ้นนี้ มันก็เป็นเหมือนกับเราบูชาชิ้นไม้อื่นๆ
ซึ่งจะประหยัดเวลาและแรงในการแกะสลักและทาสีรวมทั้งเงินด้วย
การเคารพบูชารูปปั้นหมายความว่าเราไม่สามารถบอกว่าอะไรดีหรืออะไรเลว
ไม่รู้ว่าปัญญาของเรามาจากไหนและไม่เข้าใจสิ่งที่ได้บันทึกไว้ในคัมภีร์ว่า
พุทธะอยู่ในใจของเรา หรือ พระเจ้าอยู่ภายในตัวเรา
เราได้เพิกเฉยคัมภีร์
เพิกเฉยคำสอนของอาจารย์ทั้งหลายและเพิกเฉยพูดของพระเจ้าและนักบุญ
เราได้ไปไกลเกินไปและป่วยหนักเกินไป!
แม้ถ้าเรามีปัญญาเล็กน้อยหลงเหลืออยู่ เมื่อเราคำนับรูปปั้น
ปัญญาของเราก็จะหายไป
มีนิทานอินเดียอยู่เรื่องหนึ่ง
ผู้หญิงคนหนึ่งยอมรับคนคนหนึ่งเป็นอาจารย์ มีอยู่ครั้งหนึ่ง
หล่อนได้เห็นอาจารย์ปรากฏอยู่ข้างๆ หล่อน หล่อนก็ดีใจมาก อย่างไรก็ตาม
พอหล่อนไปคลุกคลีกับคนอื่นหล่อนก็ลืมเรื่องนี้
พอได้ฟังว่าคนไปแสวงบุญที่ภูเขาและแม่น้ำ หล่อนก็ไปตามพวกเขา
วันหนึ่งหล่อนก็ป่วย สวดขอให้อาจารย์ของหล่อนช่วยก็ไม่ได้ผล
เป็นไปได้ที่ว่าอาจารย์อาจจะจงใจให้หล่อนป่วยเพื่อล้างกรรมเลวของหล่อน
แต่หล่อนก็โทษอาจารย์ที่ไม่ช่วยหล่อนๆ ก็เลยไปบูชารูปปั้น!
มีเทพเจ้ามากมายในอินเดีย ถ้าเธอไปที่นั่นเธอจะเห็นเทพเจ้าองค์เล็ก
องค์ใหญ่ องค์กลาง องค์อ้วน องค์ผอม สารพัดชนิด
หล่อนก็ไปคำนับรูปปั้นเหล่านี้
ก่อนหน้านั้นหล่อนสามารถมองเห็นอาจารย์มาปรากฏให้เห็นชั่วครู่หนึ่ง
แต่หลังจากที่หล่อนคำนับรูปปั้นแล้ว อาจารย์ของหล่อนก็หายไป
พอหล่อนกลับมาที่บ้าน หล่อนก็คิดว่า น่าประหลาดจัง!
ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้? อาจารย์เพิ่งอยู่ที่ตรงนั้น พอทันทีที่ฉันไหว้
ท่านก็หายไป หล่อนรู้สึกเศร้าใจและเฝ้าคิดถึงเรื่องนี้เป็นเวลาหลายวัน
หล่อนไม่กินข้าว เอาแต่นั่งสมาธิ
เรียกร้องให้อาจารย์ของหล่อนปรากฏกายขึ้นมาและอธิบายว่าทำไมเขาจึงได้จากหล่อนไปอย่างทันทีทันใด
(หล่อนโทษอาจารย์ของหล่อนอีกแล้ว) เนื่องจากหล่อนมีความจริงใจทีเดียว
อาจารย์ของหล่อนจึงซาบซึ้งใจและปรากฏมาให้หล่อนเห็นและบอกหล่อนว่า
เมื่อเธอบูชารูปปั้นไม้
เธอทำให้ระดับของฉันลดลงไปต่ำกว่าระดับของพวกเขาเสียอีก!
เพราะฉะนั้นฉันจึงไม่มีที่ที่จะยืน มันต่ำเกินไปที่จะยืนฉันจึงต้องวิ่งหนีไป
ทำไมเราจึงถูกเรียกว่า มนุษย์? เพราะเราแตกต่างจากสัตว์
เราสามารถแยกแยะระหว่างความดีและความชั่ว ความสูงและความต่ำ
คุณธรรมและความเลวทราม มีความสามารถที่จะเลือกด้วยตัวของเราเอง
สัตว์นั้นแตกต่างออกไป พวกมันจะเป็นไปตามแบบที่มันถูกฝึกให้เป็น
แม้กระทั่งเสือก็ยังสามารถถูกฝึกให้ประพฤติเหมือนแมวโดยคนที่อยู่ในละครสัตว์
สิงโตและช้างก็สามารถถูกฝึกได้เหมือนกันให้ทำอะไรก็ตามที่มันถูกบอกให้ทำ
และมันก็ไม่กล้าที่จะขัดขืน ในแง่นี้สัตว์นั้นจึงค่อนข้างจะโง่
และมันสามารถที่จะสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองได้อย่างง่ายดาย
มนุษย์ไม่เป็นแบบนั้น บางครั้ง แม้กระทั่งเมื่อคนถูกขัง
พวกเขาก็จะพยายามหลบหนี เมื่อพวกเขาถูกกดขี่ พวกเขาก็จะพยายามต่อต้าน
เมื่อพวกเขาผิด พวกเขาก็จะพยายามหาวิธีอธิบายว่าตัวเองบริสุทธิ์
นี่ก็เป็นเพราะว่ามนุษย์นั้นมีปัญญา
ถ้าหากปัญญาอันยิ่งใหญ่ของเราถูกคนหลอกหรือถูกคนทำให้สับสน
จากนั้นเราก็ไปไหว้รูปปั้นพวกผี พวกเจ้า แน่นอนละ
เราก็จะเป็นคนที่น่าสงสารที่สุด ห่างไกลจากพระเจ้ามากเกินไป!
มันได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนในคัมภีร์ศาสนาพุทธว่าพุทธะนั้นอยู่ในใจและเธอไม่สามารถที่จะเห็นตถาคต
(พุทธะ) ด้วยแสงและเสียงที่สัมผัสได้ แทนที่จะบูชารูปแบบที่สัมผัสได้
มันจะเป็นบุญมากกว่าในการกลับบ้านไปบูชาพ่อแม่ของเรา นี่คือความจริง
ถ้าเธอชอบบูชากราบไหว้ ก็ให้กลับไปบ้านและบูชาพ่อแม่ของเธอ
พวกเขาคือพระเจ้าที่มีชีวิตอยู่
และพวกเขามีธรรมชาติของพระเจ้าอยู่ภายในตัวพวกเขา
ถ้าหากเธอหักรูปปั้นไม้ เธอก็จะไม่พบอะไรอยู่ข้างใน
แม้ถ้าพ่อแม่ของเธอจะโง่เขลาและไม่ตระหนักถึงธรรมชาติของพระเจ้าของพวกเขา
อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็มีธรรมชาติของพระเจ้าอยู่ภายในตัวพวกเขา
เป็นเพียงแต่พวกเขาไม่รู้ในเรื่องนี้
อย่างไรก็ตามไม่มีอะไรอยู่ภายในรูปปั้นไม้เลย!
ถ้าเธอต้องการที่จะบูชาสิ่งที่เป็นไม้จริงๆแล้วละก็ ก็ขอให้บูชาต้นไม้
อย่างน้อยที่สุดก็มีพลังของพระเจ้านิดหน่อยอยู่ภายในต้นไม้ที่มีชีวิต
ไม่มีสิ่งใดที่จะมีชีวิตต่อไปได้โดยปราศจากพลังของพระเจ้า
เพราะฉะนั้นถ้าเราบูชาไม้ที่ตายแล้วซึ่งเป็นรูปแบบทางวัตถุที่มีระดับต่ำมาก
แน่นอน
ปัญญาและระดับของเราก็จะเสื่อมถอยลงไปยังระดับต่ำที่ไม่อาจจินตนาการได้
เพราะฉะนั้นพระเจ้าจึงได้ย้ำเตือนเราเป็นพิเศษให้ระมัดระวังเป็นพิเศษ
พระองค์เฝ้าบอกเราไม่ให้สร้างรูปปั้นและบูชารูปปั้น
ทั้งนี้ก็เป็นเพราะพระองค์มีความเมตตาและต้องการให้เราถนอมปัญญาอันน้อยนิดที่ยังคงเหลืออยู่ในตัวเรา
ถ้าเรายังคงบูชารูปสักการะต่อไป เราก็จะจบสิ้นกัน!
ปัญญาอันน้อยนิดของเราสามารถพัฒนาได้หรือถูกทำลายไปได้
เมื่อเราอยู่กับคนที่ปฏิบัติทางจิตวิญญาณหรือเพื่อนที่ฉลาด
ปัญญาของเราก็จะสุกใส สว่างและพัฒนามากขึ้น
แต่เมื่อเราอยู่กับคนที่โง่เขลาและบูชารูปสักการะตามพวกเขา
เราก็จะถูกทำให้แปดเปื้อนและถูกพวกเขาฉุดลง
จากนั้นระดับของเรายิ่งทีก็จะยิ่งต่ำลง
พระเจ้าต้องการให้คนของพระองค์หลีกเลี่ยงสภาพการณ์อันไม่เป็นที่พึงปรารถนานี้
พระองค์จึงได้บอกพวกเขาว่าอย่าทำสิ่งเช่นนี้ เพราะถ้าพวกเขาทำ
ปัญญาอันน้อยนิดที่พวกเขามีก็จะหายไป
สมมุติว่าเธอมีเงินเหลืออยู่นิดหน่อย ถ้าเก็บออมมันไว้เธอก็จะสามารถใช้มันซื้อขนมปังได้
แต่ถ้าเธอถูกคนหลอกและใช้เงินไปซื้อก้อนหิน เธอก็จะเสียเงินไปและหิวตาย
นอกจากนั้นเธอยังจะต้องแบกก้อนหินและจะยิ่งเหนื่อยมากขึ้น
เธอเหนื่อยอยู่แล้ว แต่เธอก็ยังจะต้องมาแบกก้อนหิน
ทำไมคนถึงได้โง่และถูกหลอกจนถึงขนาดนี้ได้อย่างไรกัน?
จะไปกินก้อนหินได้อย่างไรกัน?
เพราะฉะนั้นพ่อแม่ของเธอจึงบอกเธอว่าอย่าไปซื้อก้อนหินและให้เก็บเงินไว้
เพราะพวกเขารู้ว่านี่คือเงินทั้งหมดที่เธอมี ถ้าเธอเก็บออมมันไว้
เธอยังสามารถใช้เลี้ยงตัวเธอเองได้สักระยะหนึ่งและคิดหาหนทางในภายหลัง
รอให้ร่างกายมีกำลังวังชาขึ้นมาหน่อย ก็จะสามารถออกไปหางานทำได้
แต่ถ้าเธอใช้มันไปซื้อก้อนหิน เธอก็เสร็จกัน
ร่างกายเธออ่อนแอหิวโหยอยู่แล้วและยังจะต้องมาแบกก้อนหินอีก
แล้วเธอจะไปมีชีวิตรอดอยู่ได้อย่างไร? เธอจะตายในทันที!
ในทำนองเดียวกัน เมื่อเราสักการะบูชารูปปั้น
ก็ไม่มีทางที่จะช่วยเหลือเยียวยาเราได้!
เว้นเสียแต่ว่าจะมีใครที่มาดึงเราขึ้นมาอย่างรวดเร็วและถ่ายทอดปัญญาในระดับสูงให้กับเรา
แบบนั้นเราจึงจะได้รับการเยียวยา มิฉะนั้นแล้วเราก็จะจมลงไปตลอดเวลา
เมื่อวานนี้ฉันให้เธอดูภาพยนตร์สารคดีซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับกลุ่มคนในอินเดีย
พวกเขาไปแสวงบุญยังภูเขาและแม่น้ำอย่างไร
พวกเขามีความจริงใจอย่างไรเมื่อเขาอาบน้ำในแม่น้ำคงคา
และพวกเขามีความจริงใจอย่างไรเมื่อพวกเขาบูชาพระเจ้า
แต่เธอก็ได้เห็นแล้วว่าจำนวนประชากรในอินเดียนั้นไม่ได้ลดน้อยลงเลยแต่กลับเพิ่มขึ้น
และพวกเขาก็ยากจนลง นี่ก็เป็นเพราะว่าพวกเขาใช้ความจริงใจในที่ที่ผิด!
เพราะฉะนั้น เมื่อก่อนตอนที่ฉันเห็นพวกเขาทำเรื่องแบบนี้
ฉันก็รู้สึกโกรธจัด ฉันลงมาจากภูเขาหิมาลัย เดินไปด่าไป (เสียงหัวเราะ)
ฉันด่าให้ตัวเองฟังยังไม่พอ ยังไปพูดให้พระบางรูปฟัง
ฉันเรียกพวกเขาให้มาด่าร่วมกันกับฉัน (ท่านอาจารย์หัวเราะ)
ฉันรู้สึกโกรธกับพวกเจ้าเหล่านั้น!
ฉันชี้ไปที่จมูกของพวกเจ้าและด่าอย่างรุนแรง แน่นอน
พวกเจ้าไม่ได้ยินฉันหรอก ฉันเพียงแต่ระบายความโกรธของฉันเท่านั้น
พวกมันทำด้วยไม้ จะได้ยินฉันด่าได้อย่างไรกัน?
ฉันรู้เรื่องนั้นเป็นอย่างดี เพียงแต่ว่าฉันรู้สึกโกรธมากจริงๆ
ฉันเห็นว่าคนเป็นจำนวนล้านๆ คนกำลังถูกหลอกและได้เสียแรง เสียพลัง
เสียเงิน
รวมทั้งเสี่ยงชีวิตของพวกเขาที่จะต้องปีนไปยังยอดเขาเพื่อที่จะไปคำนับ
พวกเขาไม่รู้ว่าพวกขาจะสามารถมีชีวิตรอดกลับบ้านได้หรือเปล่า
เพราะถนนนั้นอันตรายมาก บางคนนั้นก็ยากจนมาก
พวกเขาเพียงแค่สามารถยืมเงินหรือหาเงินมาได้พอสำหรับค่าเดินทางและหลังจากกลับบ้านแล้วพวกเขาก็จะไม่มีเงิน.
เพื่อที่จะได้รับบุญกุศลและบูชารูปปั้นไม้
พวกเขาจะต้องเดินทางมาเป็นระยะทางไกล
อีกทั้งพวกเขาก็ต้องเดินเท้าและส้นเท้าก็แตกและเลือดไหล
บางคนก็ยากจนเกินไปที่จะมีรองเท้าใส่
ก็เลยต้องเดินเท้าเปล่าบนถนนน้ำแข็ง ฉันร้องไห้เมื่อฉันเห็นภาพนั้น!
คนเป็นจำนวนมากถูกหลอกลวง แม้ว่าพวกเขาจะมีความจริงใจ
มันก็ไม่เกิดประโยชน์
ถ้าเราไม่มีเพื่อนบำเพ็ญทางจิตวิญญาณ ปัญญาของเราก็จะเล็กลงๆ
และค่อยๆ หายไป แล้วเราก็เปลี่ยนไปเป็นสัตว์ ต้นไม้ ก้อนหินหรือแร่ธาตุ
ยิ่งเรามีปัญญาน้อยลงเท่าไร สถานภาพของเราก็จะต่ำลงเท่านั้น
ในขณะที่ยิ่งเรามีปํญญามากขึ้น สถานภาพเราก็จะสูงขึ้น
ก็เป็นเรื่องทำนองเดียวกันในสังคม
ถ้าเธอมีความรู้มากกว่าและมีความขยันกว่า
เธอก็ไม่ต้องเสียแรงมากนักในการทำงาน สถานภาพทางสังคมของเธอก็จะสูงกว่า
งานของเธอก็จะดีกว่า และเธอก็จะหาเงินได้มากกว่า แต่ถ้าเธอไม่มีความรู้
ไม่ฉลาดและไม่มีความสามารถ เธอก็จะต้องทำงานต่ำๆ ยิ่งงานต่ำเท่าไร
มันก็จะเหน็ดเหนื่อยมากขึ้นเท่านั้นและได้เงินน้อยลง
สภาพการณ์ในทำนองเดียวกันก็เกิดขึ้นในจักรวาล ถ้าเรามีปัญญามากขึ้น
เราก็จะเป็นสรรพสัตว์ที่สูงกว่า ในทางกลับกัน ถ้าเรามีปัญญาน้อยกว่า
เราก็จะเป็นสรรพสัตว์ที่ต่ำกว่า ดังนั้นเนื่องจากปัญญาที่ต่างกัน
จึงมีสรรพสัตว์หลากหลายชนิดในโลกรวมทั้งแมลง กบ สัตว์ วัว มนุษย์ เทวดา
สรรพสัตว์ผู้รู้แจ้งและพระเจ้า
เราควรจะมุ่งสู่ข้างบนแทนที่จะมุ่งสู่ข้างล่าง
เพราะเราจะทุกข์มากขึ้นในระดับที่ต่ำกว่า ไม่ใช่ว่าเรากลัวอะไร
แต่ถ้าเรามีทางเลือก ทำไมจะต้องเลือกที่จะต้องทุกข์ทรมาน?
ถ้าเธอเลือกที่จะทุกข์ยากเพื่อประโยชน์ของผู้อื่นเหมือนอย่างที่ฉันได้เล่าให้เธอฟังก่อนหน้านี้ในวันนี้
ฉันก็เห็นด้วยกับเธอ แต่ถ้าเธอเลือกที่จะทุกข์ยาก
ไม่ใช่เพียงแค่ตัวคนเดียวเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องไปถึงลูกหลานของเธอ
5, 6 ชั่วโคตร ฉันก็ขอร้องเธอว่าอย่าได้ทำเลย!
ฉันได้เลือกทางที่ยากลำบากนี้
และฉันก็เต็มใจที่จะอยู่ที่นี่เพราะความต้องการของผู้อื่นและเพราะฉันต้องการทำให้พวกเขามีความสุขและให้กำลังใจพวกเขาในการแสวงหาการบำเพ็ญทางจิตวิญญาณและขึ้นไปสู่ระดับที่สูงกว่า
เพราะฉะนั้นฉันถึงได้เต็มใจที่จะรับความยากลำบากนี้
ถ้าฉันเลือกความยากลำบากเพราะฉันชอบมัน มันก็จะแตกต่างออกไป เข้าใจไหม?
(เสียงปรบมือ) โลกของเรานั้นมีความเจ็บปวดมากมายอยู่แล้ว
เพราะฉะนั้นถ้าเธอสามารถเลือกความสุขได้ ก็ขอให้เลือกมันเสีย
อย่าพูดว่า ในเมื่อท่านอาจารย์ได้เลือกความยากลำบาก
เราก็ควรจะทำแบบเดียวกัน แบบนี้เธอก็โง่เกินไป!
ถ้าเราสามารถทำให้คนเป็นจำนวนมากมีความสุขด้วยการที่ตัวเราคนเดียวมีความทุกข์
มันก็คุ้มค่า อย่างไรก็ตาม ถ้าเราจงใจมองหาความทุกข์
เราก็เป็นคนโง่เหมือนอย่างการฆ่าตัวตายซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ดี!
|