พระเยซูบอกว่า บุคคลผู้ใดสร้างสันติผู้นั้นเป็นสุข
นั่นก็คือเหล่าคนผู้ซึ่งทำให้โลกสงบสุขและทำให้ศัตรูปรองดองกัน
เพราะว่าพระเจ้าจะทรงเรียกเขาว่าเป็นบุตร
บุคคลผู้ใดต้องถูกข่มเหงเพราะเหตุแห่งความชอบธรรม ผู้นั้นเป็นสุข
เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา และเมื่อเขาจะติเตียนข่มเหงและนินทาว่าร้ายท่านทั้งหลายอย่างเป็นความเท็จ
เพราะเรา ท่านก็เป็นสุข "เพราะเรา" หมายถึงพระเยซูคริสต์ในตอนนั้น
นั่นก็คือถ้าหากผู้ใดถูกทำให้ขายหน้าหรือเสื่อมเสียชื่อเสียง
เพื่อประโยชน์ของอาจารย์ของเขา และเพราะความเชื่อมั่นในอาจารย์ของเขา
ผู้นั้นจะได้รับการอวยพรอย่างใหญ่หลวง ขณะที่พระเยซูยังอยู่ในโลกนี้
ลูกศิษย์ของท่านถูกใส่ร้ายป้ายสี ข่มเหง และถูกรบกวน
พระเยซูกล่าวว่าลูกศิษย์เหล่านี้ได้รับพระพรอย่างใหญ่หลวง
ท่านบอกพวกเขาให้ทำใจให้สบาย และอย่าไปกังวลกับบททดสอบทำนองนี้
แล้วพระเยซูก็พูดต่อไปว่าจงชื่นชมยินดีเพราะว่าบำเหน็จของท่านมีบริบูรณ์ในสวรรค์
เพราะว่าเขาได้ข่มเหงผู้เผยพระวจนะทั้งหลายที่อยู่ก่อนท่านเหมือนกัน
นั่นก็คือถ้าหากเธอถูกทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงและใส่ร้ายป้ายสีแบบนั้น
เธอก็จะได้กลายเป็นอาจารย์และได้บรรลุถึงการตระหนักรู้ในพระเจ้า
ด้วยเหตุนี้ทุกๆศาสนาจึงได้พูดถึงสิ่งที่คล้ายคลึงกัน
พระเยซูได้กล่าวไว้ว่า ถ้าผู้ใดตบแก้มขวาของท่านก็จงแถมแก้มซ้ายให้เขาด้วย
และถ้าผู้ใดอยากจะฟ้องศาลเพื่อจะปรับเอาเสื้อของท่านไป
ก็จงให้เสื้อคลุมแก่เขาเสียด้วย นั่นก็คือให้เขาคนนั้นไปทั้ง
2 ชิ้น
อาจจะทำให้เขาดูดีขึ้น
เวลาที่เราอ่านคัมภีร์ไบเบิลหรือพระสูตรพรหมจรรย์มรรค เรารู้ว่า
เราไม่ควรที่จะปฏิบัติกับผู้ที่ใส่ร้ายป้ายสีเรา
หรือกระทำเลวร้ายต่อเราในลักษณะเดียวกันกับที่เขาปฏิบัติกับเรา
เราควรที่จะปฏิบัติกับเขาด้วยความรักและความเมตตามากขึ้นเป็นสองเท่า
ถ้าเธอปล่อยให้เขาตบแก้มขวาของเธอโดยที่ไม่มีปฏิกิริยาอะไร
เขาอาจจะคิดว่าเธอกลัวเขาหรือเธอไม่รู้ว่าจะโต้ตอบอย่างไร
แต่เมื่อเธอหันแก้มซ้ายให้กับเขาอีกด้วย เขาอาจจะตื่นขึ้นและประหลาดใจ
"เออ! ทำไมคนคนนี้จึงได้โต้ตอบเช่นนี้ มันไม่ใช่ว่าเขาไม่สามารถโต้ตอบ
แต่ว่าเขาไม่สนใจเรื่องที่โดนตบหน้าและยังให้อภัยฉัน"
เพียงเท่านั้นเขาจะได้รับผลประโยชน์
นั่นเป็นสาเหตุที่พระเยซูบอกเราให้หันแก้มอีกข้างให้กับเขาด้วย
ไม่เช่นนั้นพระเยซูอาจจะบอกว่า "เมื่อใครก็ตามตบหน้าของเธอ
อย่าได้ตบเขากลับคืน" ถ้าหากเราหันอีกแก้มให้เขาอีกด้วย เขาจะคิดว่า
"คนคนนี้มีความรู้ตัวและไม่ขุ่นเคืองใจ
เขามีความสามารถในการโต้ตอบของเขา มันตรงข้ามกับการกระทำของฉัน"
เพียงเท่านั้นเขาก็อาจจะตื่นขึ้นได้
ด้วยเหตุนี้ฉันคิดว่าพระเยซูนั้นยิ่งใหญ่ที่สุด เธอคิดว่าอย่างไร"
(คนปรบมือ)
พระศากยมุนีพุทธเจ้าตอบโต้ในลักษณะเดียวกัน
เมื่อคนผู้หนึ่งซึ่งได้ฆ่าคนมาแล้ว 99 คน ต้องการที่จะฆ่าท่าน
พระพุทธเจ้าไม่ได้ต่อสู้กับเขา แต่ยกระดับเขาขึ้นสู่ความเป็นอรหันต์นั่นเป็นการโต้ตอบที่ถูกต้อง
เพราะว่าเราได้ติดตามการบำเพ็ญทางจิตวิญญาณและหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งคุณธรรมเอาไว้หลายต่อหลายชาติ
เราก็จะมีปฏิกิริยาตอบโต้เหมือนกับที่พระเยซูกล่าวไว้
ถ้าผู้ใดตบแก้มขวาของท่าน ก็จงหันแก้มซ้ายให้เขาด้วย
เราจะมีปฏิกิริยาตอบโต้ตอบตามธรรมชาติในลักษณะนั้นและไม่รู้ว่าเพราะอะไร
มันเป็นเพราะเราได้เคยมีความเคยชินกับการตอบสนองในลักษณะนี้
และเราก็มีปฏิกิริยาตอบสนองแบบนี้ไปโดยอัตโนมัติ
ยกตัวอย่างเช่น ตอนที่เราเป็นเด็กเราไม่สามารถขี่จักรยานได้
แล้วเราก็พยายามฝึกฝนที่จะขี่และรู้ว่าจะขี่มันได้อย่างไร
ในตอนเริ่มต้นเรารู้สึกมีความสุขกับมันมาก
แต่ภายหลังเมื่อเราเคยชินกับมันแล้ว เรารู้สึกว่ามันไม่ได้ยาก
เราสามารถพูดในขณะที่ขี่จักรยาน
และไม่รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องใหญ่โตอะไร
คนบางคนสามารถกระทั่งขึ้นไปยืนอยู่บนจักรยานแล้วก็ขี่ไปด้วยได้
บางคนสามารถขี่ถอยหลังและรู้สึกว่ามันง่ายที่จะทำอย่างนั้น
คล้ายคลึงกัน ถ้าเราทำในสิ่งที่มีคุณธรรม และรู้สึกว่ามันเป็นธรรมชาติ
นั่นหมายถึงว่าเราได้ปลูกเมล็ดพันธุ์แห่งจิตวิญญาณเอาไว้หลายชาติ
นั่นทำให้เรามีความสุขและมีคุณธรรม
ในอีกทางหนึ่ง
ถ้ามีใครในหมู่พวกเราหรือคนอื่นๆกระทำสิ่งที่เลวหรือชั่วร้ายต่อเราหรือคนอื่นๆ
เราควรที่จะสงสารเขา
รับรู้ว่าเขาไม่ได้ปลูกเมล็ดพันธุ์แห่งคุณธรรมเอาไว้ในชาติก่อน
หรือเมล็ดพันธุ์แห่งคุณธรรมของเขาได้เน่าเสียไป หรือไม่เจริญเติบโต
แล้วเราก็ควรที่จะอธิษฐานต่อพระเจ้าให้เขาได้เปิดหัวใจ
และทำให้เขาเข้าใจ เราไม่อาจจะปล่อยเขาไว้อย่างนั้นได้
ต่อผู้ที่ทำไม่ดีกับเรา เราควรที่จะให้โอกาสเขาในการตรวจสอบตนเอง
การไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบเมื่อเขาตบหน้าเรา มันไม่เพียงพอ
เราควรที่จะทำอะไรซึ่งเป็นการดีกว่าสำหรับเขา
ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมฉันถึงปฏิบัติกับคนอื่นดียิ่งขึ้น
เมื่อเขาปฏิบัติกับฉันแย่ๆ นั่นเป็นสาเหตุที่ฉันถูกเรียกว่า
"นักบุญที่ยังมีชีวิต" ฉันได้รับการเรียกขานด้วยความรักว่า
"นักบุญที่ยังมีชีวิต" จากคนบางคน
แม้กระทั่งก่อนที่ฉันเริ่มปฏิบัติตามการบำเพ็ญทางจิตวิญญาณ
พวกเขาไม่ได้หมายความว่าฉันจะเป็น "นักบุญที่ยังมีชีวิต" อย่างตรงตัว
สิ่งที่เขาหมายถึงก็คือไม่สำคัญว่าพวกเขาจะปฏิบัติกับฉันแย่เพียงใด
ฉันก็ปฏิบัติกับพวกเขาดีขึ้นๆ
ดังนั้นพวกเขาก็เลยไม่สามารถทำอย่างไรกับฉันได้ นอกจากพูดว่า
"หล่อนเป็นนักบุญที่ยังมีชีวิต" พวกคนที่ปฏิบัติไม่ดีกับฉัน
เป็นผู้ที่เรียกฉันว่า "นักบุญที่ยังมีชีวิต" ในภายหลัง ไม่ใช่คนอื่น
คนอื่นๆ ไม่รู้ว่าฉันเป็นอย่างไร เพราะเขาไม่รู้จักฉัน
มีเพียงแต่คนซึ่งรู้จักฉันที่เรียกฉันอย่างนั้น |