เรื่องราวจากไบเบิล

 คำเทศนาบนภูเขา

 

ปราศรัยโดยอนุตราจารย์ชิงไห่  เผิงหู, ฟอร์โมซา 6 มีนาคม 2532 (เดิมเป็นภาษาจีน)

 
 
วันหนึ่งผู้คนเป็นจำนวนมากได้มาพบพระเยซูรวมทั้งลูกศิษย์ และผู้ติดตามทั้งหลาย ผู้ติดตามได้แก่บรรดาผู้ที่มีความศรัทธาต่อท่าน แต่ไม่ได้ฝึกปฏิบัติกับท่าน บางทีอาจจะไม่ได้รับการประทับจิตเข้าสู่ธรรมวิถีกวนอิมโดยท่าน พวกเขาเพียงแต่ติดตามและมาพบท่าน แล้วพระเยซูก็ขึ้นไปบนภูเขาและนั่งลง มันอาจจะเป็นอย่างนั้น เพราะว่ามีคนเป็นจำนวนมาก ท่านจึงต้องไปพูดบนภูเขาเพื่อให้พวกเขาเห็นท่าน

พระเยซูเริ่มต้นพูดว่าบุคคลผู้ใดรู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณผู้นั้นเป็นสุข เพราะแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา นี่หมายถึงบรรดาผู้ที่ถ่อมตนและรู้ว่าพวกเขานั้นขาดแคลนปัญญาจะได้รับการอวยพรและความรักจากพระเจ้า และพระเยซูกล่าวว่า บุคคลผู้ใดโศกเศร้าผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับการปลอบประโลม นี่ก็เหมือนกับที่ฉันบอกเธอบ่อยๆ ความเจ็บป่วยของเราก็เป็นรางวัลด้วยเช่นกัน เพราะว่าเราได้รับการอวยพรในสถานการณ์เช่นนั้น บุคคลผู้ใดมีใจอ่อนโยนผู้นั้นเป็นสุขเพราะว่าเขาจะได้รับแผ่นดินโลกเป็นมรดก ตรงนี้พระเยซูหมายถึงผู้ทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าจะได้รับรางวัล ท่านยังกล่าวไว้ด้วยว่า บุคคลผู้ใดหิวกระหายความชอบธรรมผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าพระเจ้าจะทรงให้อิ่มบริบูรณ์ ฉันแปลตรงนี้เป็นภาษาจีนไว้เพียงคร่าวๆ จากนั้นพระเยซูพูดว่า บุคคลผู้ใดมีใจกรุณาผู้นั้นเป็นสุขเพราะว่าเขาจะได้รับพระกรุณา และ บุคคลผู้ใดมีใจบริสุทธิ์ผู้นั้นเป็นสุขเพราะว่าเขาจะได้เห็นพระเจ้า

พวกเรารู้เรื่องนี้มาแล้ว ท่ามกลางเพื่อนประทับจิตของพวกเรา บรรดาพวกที่งุ่มง่ามที่สุด ถ่อมตนที่สุดและมีปัญหาน้อยที่สุด เป็นผู้ที่ได้รับประสบการณ์ภายในอันดีที่สุด และพวกที่ส่งเสียงดังน้อยที่สุดและไม่เคยที่จะโอ้อวดต่อหน้าฉัน จะได้รับรางวัลที่ดีที่สุด ระหว่างการรายงานประสบการณ์การนั่งสมาธิกลุ่มในช่วงฌาน คนไม่กี่คนผู้ที่เราไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อนอาจจะจู่ๆ ก็ออกมาแล้วก็รายงานประสบการณ์ภายในที่สูงมากๆ ของพวกเขา พวกเขาเป็นผู้ที่บริสุทธิ์ที่สุดและถ่อมตนที่สุด

 

พระเยซูบอกว่า บุคคลผู้ใดสร้างสันติผู้นั้นเป็นสุข นั่นก็คือเหล่าคนผู้ซึ่งทำให้โลกสงบสุขและทำให้ศัตรูปรองดองกัน เพราะว่าพระเจ้าจะทรงเรียกเขาว่าเป็นบุตร บุคคลผู้ใดต้องถูกข่มเหงเพราะเหตุแห่งความชอบธรรม ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา และเมื่อเขาจะติเตียนข่มเหงและนินทาว่าร้ายท่านทั้งหลายอย่างเป็นความเท็จ เพราะเรา ท่านก็เป็นสุข "เพราะเรา" หมายถึงพระเยซูคริสต์ในตอนนั้น นั่นก็คือถ้าหากผู้ใดถูกทำให้ขายหน้าหรือเสื่อมเสียชื่อเสียง เพื่อประโยชน์ของอาจารย์ของเขา และเพราะความเชื่อมั่นในอาจารย์ของเขา ผู้นั้นจะได้รับการอวยพรอย่างใหญ่หลวง ขณะที่พระเยซูยังอยู่ในโลกนี้ ลูกศิษย์ของท่านถูกใส่ร้ายป้ายสี ข่มเหง และถูกรบกวน พระเยซูกล่าวว่าลูกศิษย์เหล่านี้ได้รับพระพรอย่างใหญ่หลวง ท่านบอกพวกเขาให้ทำใจให้สบาย และอย่าไปกังวลกับบททดสอบทำนองนี้

แล้วพระเยซูก็พูดต่อไปว่าจงชื่นชมยินดีเพราะว่าบำเหน็จของท่านมีบริบูรณ์ในสวรรค์ เพราะว่าเขาได้ข่มเหงผู้เผยพระวจนะทั้งหลายที่อยู่ก่อนท่านเหมือนกัน นั่นก็คือถ้าหากเธอถูกทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงและใส่ร้ายป้ายสีแบบนั้น เธอก็จะได้กลายเป็นอาจารย์และได้บรรลุถึงการตระหนักรู้ในพระเจ้า ด้วยเหตุนี้ทุกๆศาสนาจึงได้พูดถึงสิ่งที่คล้ายคลึงกัน พระเยซูได้กล่าวไว้ว่า ถ้าผู้ใดตบแก้มขวาของท่านก็จงแถมแก้มซ้ายให้เขาด้วย และถ้าผู้ใดอยากจะฟ้องศาลเพื่อจะปรับเอาเสื้อของท่านไป ก็จงให้เสื้อคลุมแก่เขาเสียด้วย นั่นก็คือให้เขาคนนั้นไปทั้ง 2 ชิ้น อาจจะทำให้เขาดูดีขึ้น

เวลาที่เราอ่านคัมภีร์ไบเบิลหรือพระสูตรพรหมจรรย์มรรค เรารู้ว่า เราไม่ควรที่จะปฏิบัติกับผู้ที่ใส่ร้ายป้ายสีเรา หรือกระทำเลวร้ายต่อเราในลักษณะเดียวกันกับที่เขาปฏิบัติกับเรา เราควรที่จะปฏิบัติกับเขาด้วยความรักและความเมตตามากขึ้นเป็นสองเท่า ถ้าเธอปล่อยให้เขาตบแก้มขวาของเธอโดยที่ไม่มีปฏิกิริยาอะไร เขาอาจจะคิดว่าเธอกลัวเขาหรือเธอไม่รู้ว่าจะโต้ตอบอย่างไร แต่เมื่อเธอหันแก้มซ้ายให้กับเขาอีกด้วย เขาอาจจะตื่นขึ้นและประหลาดใจ "เออ! ทำไมคนคนนี้จึงได้โต้ตอบเช่นนี้ มันไม่ใช่ว่าเขาไม่สามารถโต้ตอบ แต่ว่าเขาไม่สนใจเรื่องที่โดนตบหน้าและยังให้อภัยฉัน" เพียงเท่านั้นเขาจะได้รับผลประโยชน์ นั่นเป็นสาเหตุที่พระเยซูบอกเราให้หันแก้มอีกข้างให้กับเขาด้วย ไม่เช่นนั้นพระเยซูอาจจะบอกว่า "เมื่อใครก็ตามตบหน้าของเธอ อย่าได้ตบเขากลับคืน" ถ้าหากเราหันอีกแก้มให้เขาอีกด้วย เขาจะคิดว่า "คนคนนี้มีความรู้ตัวและไม่ขุ่นเคืองใจ เขามีความสามารถในการโต้ตอบของเขา มันตรงข้ามกับการกระทำของฉัน" เพียงเท่านั้นเขาก็อาจจะตื่นขึ้นได้ ด้วยเหตุนี้ฉันคิดว่าพระเยซูนั้นยิ่งใหญ่ที่สุด เธอคิดว่าอย่างไร" (คนปรบมือ)

พระศากยมุนีพุทธเจ้าตอบโต้ในลักษณะเดียวกัน เมื่อคนผู้หนึ่งซึ่งได้ฆ่าคนมาแล้ว 99 คน ต้องการที่จะฆ่าท่าน พระพุทธเจ้าไม่ได้ต่อสู้กับเขา แต่ยกระดับเขาขึ้นสู่ความเป็นอรหันต์นั่นเป็นการโต้ตอบที่ถูกต้อง เพราะว่าเราได้ติดตามการบำเพ็ญทางจิตวิญญาณและหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งคุณธรรมเอาไว้หลายต่อหลายชาติ เราก็จะมีปฏิกิริยาตอบโต้เหมือนกับที่พระเยซูกล่าวไว้ ถ้าผู้ใดตบแก้มขวาของท่าน ก็จงหันแก้มซ้ายให้เขาด้วย เราจะมีปฏิกิริยาตอบโต้ตอบตามธรรมชาติในลักษณะนั้นและไม่รู้ว่าเพราะอะไร มันเป็นเพราะเราได้เคยมีความเคยชินกับการตอบสนองในลักษณะนี้ และเราก็มีปฏิกิริยาตอบสนองแบบนี้ไปโดยอัตโนมัติ

ยกตัวอย่างเช่น ตอนที่เราเป็นเด็กเราไม่สามารถขี่จักรยานได้ แล้วเราก็พยายามฝึกฝนที่จะขี่และรู้ว่าจะขี่มันได้อย่างไร ในตอนเริ่มต้นเรารู้สึกมีความสุขกับมันมาก แต่ภายหลังเมื่อเราเคยชินกับมันแล้ว เรารู้สึกว่ามันไม่ได้ยาก เราสามารถพูดในขณะที่ขี่จักรยาน และไม่รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องใหญ่โตอะไร คนบางคนสามารถกระทั่งขึ้นไปยืนอยู่บนจักรยานแล้วก็ขี่ไปด้วยได้ บางคนสามารถขี่ถอยหลังและรู้สึกว่ามันง่ายที่จะทำอย่างนั้น คล้ายคลึงกัน ถ้าเราทำในสิ่งที่มีคุณธรรม และรู้สึกว่ามันเป็นธรรมชาติ นั่นหมายถึงว่าเราได้ปลูกเมล็ดพันธุ์แห่งจิตวิญญาณเอาไว้หลายชาติ นั่นทำให้เรามีความสุขและมีคุณธรรม

ในอีกทางหนึ่ง ถ้ามีใครในหมู่พวกเราหรือคนอื่นๆกระทำสิ่งที่เลวหรือชั่วร้ายต่อเราหรือคนอื่นๆ เราควรที่จะสงสารเขา รับรู้ว่าเขาไม่ได้ปลูกเมล็ดพันธุ์แห่งคุณธรรมเอาไว้ในชาติก่อน หรือเมล็ดพันธุ์แห่งคุณธรรมของเขาได้เน่าเสียไป หรือไม่เจริญเติบโต แล้วเราก็ควรที่จะอธิษฐานต่อพระเจ้าให้เขาได้เปิดหัวใจ และทำให้เขาเข้าใจ เราไม่อาจจะปล่อยเขาไว้อย่างนั้นได้ ต่อผู้ที่ทำไม่ดีกับเรา เราควรที่จะให้โอกาสเขาในการตรวจสอบตนเอง การไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบเมื่อเขาตบหน้าเรา มันไม่เพียงพอ เราควรที่จะทำอะไรซึ่งเป็นการดีกว่าสำหรับเขา

ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมฉันถึงปฏิบัติกับคนอื่นดียิ่งขึ้น เมื่อเขาปฏิบัติกับฉันแย่ๆ นั่นเป็นสาเหตุที่ฉันถูกเรียกว่า "นักบุญที่ยังมีชีวิต" ฉันได้รับการเรียกขานด้วยความรักว่า "นักบุญที่ยังมีชีวิต" จากคนบางคน แม้กระทั่งก่อนที่ฉันเริ่มปฏิบัติตามการบำเพ็ญทางจิตวิญญาณ พวกเขาไม่ได้หมายความว่าฉันจะเป็น "นักบุญที่ยังมีชีวิต" อย่างตรงตัว สิ่งที่เขาหมายถึงก็คือไม่สำคัญว่าพวกเขาจะปฏิบัติกับฉันแย่เพียงใด ฉันก็ปฏิบัติกับพวกเขาดีขึ้นๆ ดังนั้นพวกเขาก็เลยไม่สามารถทำอย่างไรกับฉันได้ นอกจากพูดว่า "หล่อนเป็นนักบุญที่ยังมีชีวิต" พวกคนที่ปฏิบัติไม่ดีกับฉัน เป็นผู้ที่เรียกฉันว่า "นักบุญที่ยังมีชีวิต" ในภายหลัง ไม่ใช่คนอื่น คนอื่นๆ ไม่รู้ว่าฉันเป็นอย่างไร เพราะเขาไม่รู้จักฉัน มีเพียงแต่คนซึ่งรู้จักฉันที่เรียกฉันอย่างนั้น

 

คำปราศรัยของพระเยซูบนภูเขาเหมือนกันทุกประการกับสิ่งที่ระบุไว้ในพระสูตรรามาจาราของพุทธศาสนา คำปราศรัยนี้มีชื่อเสียงมากและทุกคนก็รู้จักมัน มันได้รับการเรียกขานว่า "คำเทศนาบนภูเขา" พระเยซูกล่าวว่า ท่านทั้งหลาย (พวกลูกศิษย์) เป็นเกลือแห่งโลก ถ้าเกลือนั้นหมดรสเค็มไปแล้ว จะทำให้กลับเค็มอย่างไรได้? นี่หมายถึงว่าพวกเราผู้บำเพ็ญทางจิตวิญญาณเป็นตัวแทนของคุณงามความดี แต่ถ้าเราไม่มีความเพียรและไม่มีคุณธรรม ใครที่ไหนจะช่วยเราได้ ใครที่ไหนจะทำให้เรากลับมีคุณธรรมได้ ใครที่ไหนจะเป็นต้นแบบให้เราได้ เราควรที่จะเป็นต้นแบบของตัวเราเอง พระเยซูพูดถูกต้อง

นี่เป็นสาเหตุที่ทำไมฉันถึงเน้นย้ำว่า พวกเราปฏิบัติบำเพ็ญจิตวิญญาณ ไม่ใช่เพียงเพื่อตัวเราเองเท่านั้น แต่เพื่อที่จะเป็นต้นแบบให้กับผู้อื่น และให้ผู้อื่นรู้สึกได้ถึงความจริงใจของเรา ต่อจากนั้นก็จะทำตามเรา ถ้าเราบอกว่าเราเป็นผู้บำเพ็ญทางจิตวิญญาณ แต่เรากลับแสวงหาความเพลิดเพลิน รับประทานเนื้อสัตว์และดื่มสุรายาเมาเหมือนกันที่คนธรรมดาๆเขาทำกัน ถ้าหากว่าเราทำร้ายสรรพสัตว์ แทนที่จะปกป้อง ถ้าเราใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่น ทะเลาะเบาะแว้งกับคนอื่น สู้รบปรบมือกับคนอื่น และซุบซิบนินทาเรื่องของคนอื่น ใครกันเล่าที่จะช่วยเรา ใครกันเล่าที่จะช่วยบรรดาผู้ที่ไม่ได้ปฏิบัติบำเพ็ญทางจิตวิญญาณ

ฉันได้บอกสิ่งนี้กับพวกเธอมาเป็นเวลานาน ฉะนั้นเธอไม่อาจที่จะพูดว่า เธอไม่ต้องจริงจังเคร่งครัดเกี่ยวกับศีลเมื่อเธอบำเพ็ญทางจิต ถ้าผู้ใดไม่มีคุณธรรม ไม่สำคัญว่าเขาจะได้รับระดับชั้นที่สูงเพียงใด ก็ไม่มีใครนับถือหรือว่าวางใจเขา เพราะไม่สำคัญว่าระดับชั้นภายในของเขาจะสูงเพียงใด ถ้าภายนอกของเขามองดูต่ำ ผู้คนก็จะหวาดกลัวเขา ผู้คนล้วนอวิชชา ดังนั้นพวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่า ระดับชั้นของเขาสูง ถ้าหากว่าภายนอกของเขาไม่ได้ดูดี ผู้คนก็จะพูดว่าเขาเป็นคนไม่ดี เราไม่อาจที่จะตำหนิคนเหล่านั้นได้ เพราะฉะนั้น ถ้ามีใครบอกว่าผู้ใดรับประทานเนื้อสัตว์และดื่มสุราสามารถที่จะบรรลุถึงการตระหนักรู้ในพระเจ้าได้เช่นกัน เราก็ไม่ควรที่จะไปฟังเขา เราต้องการให้ผู้คนรู้ว่าเราสามารถละเลิกอาหารบางอย่าง เพื่อที่จะเจริญความเพียรในการบำเพ็ญของเรา ในการที่จะเป็นบุคคลต้นแบบ และเพื่อประโยชน์ในแง่ของความเมตตากรุณาต่อสัตว์ผู้ซึ่งมีความหวาดกลัวต่อความตาย

 

พระเยซูกล่าวต่อไปว่า ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก นครซึ่งอยู่บนภูเขาจะปิดบังไว้ไม่ได้ นี่หมายถึงทุกคนจะสังเกตเห็นมันได้ ถ้าหากเราปฏิบัติบำเพ็ญอย่างขยันขันแข็ง เราก็จะแผ่กระจายบรรยากาศแห่งแสงสว่างและความกรุณา คุณธรรมและความสงบสันติออกไป แล้วผู้คนก็จะรับรู้และสำเหนียกได้ ดังนั้นเราไม่อาจปิดบังได้ และเราก็ไม่จำเป็นต้องปิดบัง ถึงแม้ว่าเราจะไม่พูดอะไรเลยสักคำ ผู้คนก็จะสังเกตเห็นเรา เมื่อจุดเทียนแล้ว ไม่มีผู้ใดเอาถังครอบไว้ ย่อมตั้งไว้บนเชิงเทียน จะได้ส่องสว่างแก่ทุกคนที่อยู่ในเรือนนั้น พระเยซูกล่าวว่า ท่านทั้งหลายก็เหมือนกันตะเกียง จงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำ เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่านผู้ทรงอยู่ในสวรรค์

นี่หมายถึงเมื่อพวกเขามองเห็นว่าเรายิ่งใหญ่เพียงใด พวกเขาก็จะรู้ว่าพระบิดาของเรายิ่งใหญ่เสียยิ่งกว่า และถ้าเราอยากจะให้ผู้อื่นบูชาพระเจ้า เราก็ควรที่จะทำตนให้บริสุทธิ์ก่อน และเป็นต้นแบบที่ดีให้พวกเขารู้ว่า เราเป็นตัวแทนแห่งคุณธรรมอันสว่างสุกใส และอุดมการณ์อันสูงส่งอย่างแท้จริง หรืออีกคำหนึ่ง พระเจ้าผู้สูงส่ง พระเยซูพูดถูกต้องไหม? ใช่หรือไม่ใช่? (ใช่! ปรบมือ) ฉะนั้นเธอเห็นแล้วว่า ทำไมฉันถึงสรรเสริญพระเยซูคริสต์ เพราะว่าสิ่งที่ท่านพูดนั้นดีมาก! ในเมื่อเธอไม่รู้ว่าศาสนาคริสต์นั้นดีอย่างไร ฉันก็กำลังแนะนำให้กับเธอในวันนี้ เพราะไม่ว่าอะไรที่ฉันพูดก็ถูกต้องเช่นกัน ฉันมีเหตุผลที่จะสรรเสริญพระเยซูคริสต์ และฉันมีเหตุผลที่จะสรรเสริญคำสอนในคัมภีร์ไบเบิลหรือที่ชาวคริสต์สอน

ชาวคริสต์บางพวกอาจจะสุดโต่งไป กระทำพฤติกรรมที่ไม่ดี แสดงความไม่เคารพต่อศาสนาอื่นๆ หรือมีความรุนแรงมากกว่า แต่ว่านี่เป็นปัญหาของแต่ละบุคคล มันเป็นมายาที่ใช้ให้พวกเขาลักลอบเข้าสู่กลุ่มนิกายและทำลายมัน ไม่ใช่ว่าศาสนาคริสต์ไม่ดี ในศาสนาพุทธก็มีหลายๆสำนักหรือหลายๆบุคคลที่สุดโต่ง ก่อความไม่สงบ หรือรุนแรง ซึ่งก็ไม่ใช่ปัญหาจากชาวพุทธส่วนใหญ่ ถ้าหากว่ามีคนประเภทนั้นอยู่ในศาสนาใดก็ตาม รวมทั้งในศาสนาคริสต์หรือซิกข์ เราก็ไม่อาจจะพูดได้ว่าศาสนานั้นๆไม่ดี ถ้าหากว่าฉันเกิดได้คัมภีร์ของศาสนาซิกข์มา ฉันก็จะอ่านให้พวกเธอฟัง ในนั้นมีคำสอนที่ดีอยู่มากมายเช่นกัน

พระเยซูยังได้บอกว่า ผู้ใดได้ทำให้ข้อเล็กน้อยสักข้อหนึ่งในธรรมบัญญัตินี้เบาขึ้น ทั้งสอนให้คนอื่นทำอย่างนั้นด้วย ผู้นั้นจะได้ชื่อว่าเป็นผู้น้อยที่สุดในแผ่นดินสวรรค์ เพราะเราบอกท่านทั้งหลายว่า (พระเยซูกล่าวถึงพวกพระและผู้ที่เลื่อมใส) ถ้าความชอบธรรมของท่านไม่ยิ่งกว่าความชอบธรรมของพวกธรรมาจารย์และพวกฟารีสี ท่านจะไม่มีวันได้เข้าสู่แผ่นดินสวรรค์ เหตุผลที่พระเยซูพูดเช่นนั้น อาจเป็นเพราะในเวลานั้นพวกที่เรียกว่าบาทหลวงและพระทั้งหลายต่างไม่มีคุณธรรม พวกเขาแสวงหาความสำราญและรับบริจาคจากผู้อื่น เพื่อสร้างโบสถ์ใหญ่โต แต่ไม่ได้ทำอะไรที่ดีเลย พวกเขามีเงินมากมาย และกลายเป็นคนเย่อหยิ่ง แต่ได้รับการเคารพนับถือ พวกเขาไม่ได้ทำตัวถูกต้อง แต่ได้รับการยกย่อง พวกเขาไม่มีบุญกุศล แต่ได้รับการบูชา พวกเขาไม่ได้ทำงานอะไรเลย แต่รับของถวายจากผู้อื่นทุกๆวัน นั่นเป็นเหตุให้พระเยซูบอกว่ากรรมของพวกเขาหนัก ท่านบอกว่าลูกศิษย์ของท่านควรจะมีความถูกต้องและบริสุทธิ์มากกว่า เพื่อที่จะเข้าสู่อาณาจักรแห่งสวรรค์ได้

 

ก็เหมือนกับที่ฉันบอกพวกเธอ พวกลูกศิษย์ที่เป็นพระที่นี่ ควรที่จะดีกว่าลูกศิษย์ที่เป็นพระข้างนอก เธอไม่ควรที่จะมองดูพวกพระลูกศิษย์ข้างนอกและสงสัย "ทำไมพวกเขารับของถวายได้? ทำไมอาจารย์ไม่อนุญาตให้พวกเรารับของถวาย?" เธอรับของถวายได้ ไม่มีปัญหา แต่จากนั้นเธอก็ไม่ใช่ลูกศิษย์ของฉันอีกต่อไป ถ้าเธออยู่กับฉัน เธอก็ไม่ควรจะรับของถวาย เวลาที่เธอออกไปข้างนอกเพียงลำพังและไม่มีเงิน เธออาจจะรับอาหาร 2-3 มื้อหรือเงินทองบ้าง และฉันไม่ว่าอะไรเรื่องนี้ แต่พวกพระลูกศิษย์ข้างนอกส่วนใหญ่รับของถวายมากเกินไป และสุขสบายมากเกินไป โดยที่ไม่ได้ทำอะไรที่เป็นประโยชน์ให้กับประเทศหรือสังคมเลย บางทีพวกเขาไม่ได้ทำหน้าที่ของเขาให้สมบูรณ์ ไม่มีมารยาทและไม่มีความชอบธรรม ดังนั้นเราไม่อาจที่จะตำหนิคนอื่นๆ ถ้าพวกเขาคิดว่าคนที่เป็นพระไม่ดี

เมื่อเธอติดตามฉันในฐานะนักบวช เธอควรที่จะเอาใจใส่กับมารยาทของเธอ เมื่อฉันเข้มงวดกับเธอ เธอก็ควรจะรู้ว่าเพราะอะไร -- ไม่เช่นนั้นเธอก็จะมีความเคยชินที่เลว เห็นว่าพวกพระข้างนอกมีความผ่อนคลายมากกว่า และมีเครื่องนุ่งห่มดีๆมากมาย แต่เครื่องนุ่งห่มของเราเรียบง่าย ทำขึ้นเอง และเราก็มีอยู่เพียง 2-3 ชิ้น และเราไม่มีเงินส่วนตัว เธออาจจะสงสัยว่าชีวิตของพระประเภทไหนที่เป็นแบบนี้ อย่างไรก็ดีมารยาทและอุดมการณ์ของเราไม่อาจที่จะหามาได้ด้วยสิ่งที่เป็นวัตถุ ดังนั้นเธอควรจะจดจำเรื่องนี้ให้กระจ่าง และไม่ลืมว่ามารยาทและคุณธรรมไม่อาจหามาได้ด้วยเงิน และไม่อาจจะแสดงออกด้วยอาภรณ์ที่ดี ถ้าเรามีแสงภายใน นั่นสามารถที่จะฉายออกมา ทำให้ผู้อื่นรู้สึกดีและนับถือเรา มันไม่ใช่ว่าเราจะได้รับการเคารพนับถือ ถ้าหากเรานุ่งห่มเสื้อผ้าที่ดี มันไม่จำเป็นจะต้องเป็นแบบนั้น

พระเยซูอธิบายให้กับเหล่าลูกศิษย์ต่อไปว่า ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้แก่คนโบราณว่าอย่าฆ่าคน ถ้าผู้ใดฆ่าคน ผู้นั้นจะต้องถูกพิพากษาลงโทษ แต่เราบอกท่านทั้งหลายว่าผู้ใดโกรธพี่น้องของตน (เพื่อนบ้านของเราหรือบุคคลที่เรารู้จัก) ผู้นั้นจะต้องพิพากษาลงโทษ ถ้าผู้ใดจะพูดกับพี่น้องว่า ไอ้โง่ ผู้นั้นต้องถูกนำไปที่ศาลสูงให้พิพากษาลงโทษ มันน่าที่จะเป็นได้ถึงขนาดนั้น! ถ้าเราโกรธผู้อื่นโดยที่ไม่มีเหตุผล นั่นคือ ถ้าเราทำร้ายผู้อื่นทางจิตใจ เราจะตกนรกหรือสร้างกรรมขึ้น ช่างน่ากลัวอะไรเช่นนี้!อย่าคิดว่าเราจะตกนรกเพียงเพราะเมื่อเราฆ่าเท่านั้น แต่เราควรที่จะรักษาความคิด คำพูดและการกระทำของเราให้สะอาดด้วยเช่นกัน

ด้วยเหตุนี้พระเยซูจึงกล่าวว่า ถ้าท่านนำเครื่องบูชามาถึงแท่นบูชาแล้วและระลึกขึ้นได้ว่าพี่น้องมีเหตุขัดเคืองข้อหนึ่งข้อใดกับท่าน จงวางเครื่องบูชาไว้ที่หน้าแท่นบูชา กลับไปคืนดีกับพี่น้องผู้นั้นเสียก่อน แล้วจึงค่อยมาถวายเครื่องบูชาของท่าน พระเยซูหมายความว่ามันเป็นการเปล่าประโยชน์ เมื่อเราถวายเครื่องบูชาต่อพระเจ้าในขณะที่เราไม่มีความเมตตาและบริสุทธิ์ พระเยซูยังคงบอกกับลูกศิษย์ของท่านอีกหลายอย่าง จงปรองดองกับคู่ความโดยเร็วในขณะที่พากันไปศาล เพื่อว่าไม่ว่าเมื่อใดที่คู่ความนั้นจะอายัดท่านไว้กับผู้พิพากษาแล้วผู้พิพากษาจะมอบท่านไว้กับผู้คุม และท่านจะต้องถูกขังไว้ในเรือนจำ นี่หมายความว่าเราไม่ควรที่จะพัวพันกับการฟ้องร้องคดี และไม่ควรที่จะต่อสู้ซึ่งกันและกัน เราควรที่จะปรองดองกับพวกเราโดยเร็วที่สุด

พระเยซูกล่าวต่อไปว่า ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่าอย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขา ฝ่ายเราบอกท่านทั้งหลายว่าผู้ใดมองผู้หญิงเพื่อให้เกิดใจกำหนัดในหญิงนั้น ผู้นั้นได้ล่วงประเวณีในใจกับหญิงนั้นแล้ว พระเยซูได้กล่าวพาดพิงถึงความคิด คำพูดและการกระทำของเรา ซึ่งก็เหมือนกับในคำสอนของพระพุทธศาสนา ใช่หรือไม่? (ใช่) สิ่งที่พระเยซูพูดในสมัยก่อน เกี่ยวกับเรื่องอย่าพัวพันกับการฟ้องร้องคดี แต่ให้มีสันติกับผู้อื่น ก็หมือนกันกับที่พระสูตรรามาจาราระบุเอาไว้ และในศีลบัญญัติของพระพุทธศาสนา ด้วยเหตุนี้เราไม่อาจจะพูดได้ว่าศาสนาคริสต์ไม่เหมือนกับศาสนาพุทธ เพราะต่างก็เหมือนกัน พระเยซูบอกว่า ถ้าตาข้างขวาของท่านทำให้ตัวหลงผิดจงควักออกทิ้งเสีย ท่านพูดถึงขนาดนี้! แต่อย่าควักออกมาล่ะ กรุณาใจเย็นๆ (คนหัวเราะ) นั่นไม่ใช่สิ่งที่พระเยซูหมายถึง ท่านเพียงแต่เน้นย้ำคุณธรรมและข้อบัญญัติ ท่านบอกว่า เพราะว่าถึงจะเสียอวัยวะอย่างหนึ่งก็ยังดีกว่าตัวของท่านจะต้องลงนรก นี่หมายความว่าเราควรที่จะเข้มงวดต่อข้อบัญญัติ ถ้าหากเรามีความคิดที่เลว เราควรที่จะสำนึกผิดในทันที และไม่รอจนกระทั่งมันกลายเป็นการกระทำ เธอควรจะสำนึกผิดโดยเร็ว ท่องคำพระศักดิ์สิทธิ์และคิดถึงฉันหรือพระเจ้า แต่อย่าควักลูกตาของเธอออกมา ไม่เช่นนั้นเธอจะดูน่าเกลียด (คนหัวเราะ) ฉันไม่อยากให้เป็นแบบนั้น

พระเยซูกล่าวว่า อีกประการหนึ่ง ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้แก่คนโบราณว่าอย่าเสียคำสัตย์สาบาน คำสัตย์สาบานที่ได้ถวายต่อองค์พระผู้เป็นเจ้านั้น ต้องรักษาไว้ให้มั่น ฝ่ายเราบอกท่านทั้งหลายว่าอย่าสาบานเลย โดยอ้างถึงสวรรค์ก็อย่าสาบาน เพราะสวรรค์เป็นที่ประทับของพระเจ้า หรือโดยอ้างแผ่นดินโลกก็อย่าสาบาน เพราะแผ่นดินโลกเป็นที่รองพระบาทของพระเจ้า นี่หมายถึงทุกหนทุกแห่งเป็นของพระเจ้า ดังนั้นพวกเราผู้คนทางโลกไม่อาจจะสาบานในนามของจิตวิญญาณอันสูงส่งและศักดิ์สิทธิ์ได้

 

อย่าสาบานโดยอ้างถึงศีรษะของตน ยกตัวอย่าง บางคนสาบานว่า "ถ้าฉันกระทำเลวกับเธอหรือว่าอะไร ฉันจะถูกตัดหัวหรือถูกฟ้าผ่า" ช่างน่ากลัว! พระเยซูบอกว่าเราไม่อาจที่จะสาบานแบบนั้น และถ้าเราสาบาน ก็เท่ากับว่าเราดูแคลนสวรรค์และโลก เราควรที่จะให้ความเคารพต่อสิ่งเหล่านี้และไม่ควรที่จะสาบานในนามของสวรรค์และโลก เราไม่ควรแม้แต่ที่จะสาบานในนามศีรษะของเราด้วยซ้ำไป เพราะท่านจะกระทำให้ผมขาวหรือดำไปสักเส้นหนึ่งก็ไม่ได้ เราไม่มีสิทธิ์ที่จะสาบานไม่ว่าในนามของอะไรทั้งสิ้น ร่างกายเนื้อนี้สร้างขึ้นโดยพระเจ้าด้วยเช่นกัน ดังนั้น เราจึงไม่อาจที่จะใช้มันตามที่เราต้องการได้ทุกอย่าง พระเยซูบอกว่า จริงก็ว่าจริง ไม่ก็ว่าไม่ พูดแต่เพียงนี้ก็พอ คำพูดที่เกินไปนี้มาจากความชั่ว พระเยซูอธิบายตรงนี้ไว้แจ่มชัดมาก! ท่านเข้มงวดกว่าฉันเสียอีก โอ!ยินดีด้วย (คนปรบมือ) ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปฉันจะศึกษาจากท่าน (ผู้ฟังหัวเราะ) แล้วฉันก็จะกลายเป็นเข้มงวดกับพวกเธอมากขึ้น

พระเยซูพูดต่อไปว่า ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่าตาแทนตา และฟันแทนฟัน ฝ่ายเราบอกท่านว่าอย่าต่อสู้คนชั่ว ถ้าผู้ใดตบแก้มขวาของท่าน ก็จงหันแก้มซ้ายให้เขาด้วย ถ้าผู้ใดอยากจะฟ้องศาลเพื่อจะปรับเอาเสื้อของท่านไป ก็จะจงให้ให้เสื้อคลุมแก่เขาเสียด้วย ถ้าผู้ใดจะเกณฑ์ท่านให้เดินทางไป 1 กิโลเมตร ก็ให้เลยไปกับเขาถึง 2 กิโลเมตร ถ้าเขาจะขอสิ่งใดจากท่านก็จงให้ อย่าเมินหน้าจากผู้ที่อยากขอยืมจากท่าน นี่หมายถึงเราควรจะช่วยเหลือแก่ผู้ที่ต้องการ แต่ถ้ามีใครต้องการจะยืมเงินเพื่อไปเล่นการพนัน แน่นอนที่สุดเราควรที่จะไล่เขาออกไป ถ้าเขายืมเงินไปซื้อเหล้าเราควรที่จะเกลี้ยกล่อมเขาว่าอย่าไปและไม่ให้เงินแก่เขา

ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่าจงรักคนสนิทและเกลียดชังศัตรู ฝ่ายเราบอกท่านว่าจงรักศัตรูของท่านและจงอธิษฐานเพื่อผู้ที่ข่มเหงท่าน ทำดังนี้แล้วท่านทั้งหลายจะเป็นบุตรของพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตย์ในสวรรค์ เพราะว่าพระองค์ทรงให้ดวงอาทิตย์ของพระองค์ขึ้นส่องสว่างแก่คนดีและคนชั่วเสมอกัน และให้ฝนตกแก่คนชอบธรรมและคนอธรรม ดังนั้นเราควรจะเรียนรู้ทัศนคติ ความไม่เลือกที่รักมักที่ชังของพระเจ้า (คนปรบมือ)

แม้ว่าท่านรักผู้ที่รักท่าน จะได้บำเหน็จอะไร ถึงพวกเก็บภาษีก็ยังทำอย่างนั้นมิใช่หรือ? ถ้าท่านทักทายแต่พี่น้องของตนฝ่ายเดียว ท่านได้กระทำอะไรเป็นพิเศษยิ่งกว่าคนทั้งปวงเล่า ถึงพวกเก็บภาษีก็กระทำอย่างนั้นมิใช่หรือ? นั่นหมายความว่าเราผู้บำเพ็ญจิตวิญญาณควรที่จะสูงส่งกว่า แบ่งแยกน้อยกว่า และดีกว่าที่พวกเขาเป็น เหตุฉะนี้ท่านทั้งหลายจงเป็นคนสมบูรณ์แบบเหมือนอย่างพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตย์ในสวรรค์ที่เป็นผู้สมบูรณ์แบบ ศาสนาพุทธก็บอกว่าพระพุทธเจ้าของพวกเขานั้นสมบูรณ์แบบ พวกเขาต่างก็พูดในสิ่งเดียวกัน

พระเยซูกล่าวว่า เหตุฉะนั้นเมื่อท่านทำทานอย่าเป่าแตรข้างหน้าท่านเหมือนคนหน้าซื่อใจคดทำในธรรมศาลาและตามถนน แต่เมื่อท่านทั้งหลายทำทาน อย่าให้มือซ้ายรู้การซึ่งมือขวากระทำนั้น นี่ก็เหมือนกับสิ่งที่พระศากยมุนีพุทธเจ้าพูดไว้ เมื่อผู้ใดทำทานโดยปราศจากการคิดว่าผู้นั้นกำลังทำทานอยู่ ผู้นั้นได้กระทำทานอย่างแท้จริง มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ สิ่งที่ฉันสอนพวกเธอเหมือนกันทุกประการกับที่พระเยซูและพระพุทธเจ้าสอนลูกศิษย์ของท่าน (คนปรบมือ) เรากระทำความดีออกมาจากความเมตตา ความถูกต้อง ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ปัญญา ความศรัทธา หน้าที่และความรัก ไม่ใช่เพื่อให้ได้รับการสรรเสริญ ดังนั้นเราจึงไม่ควรที่จะเป่าแตรและโฆษณาไปตามท้องถนน

พระเยซูพูดว่าผู้ที่เป่าแตรขณะที่ทำทานได้รับรางวัลของเขาแล้ว แต่ผู้ที่ทำทานเงียบๆ จะได้รับรางวัลของพระบิดาผู้ทรงสถิตย์บนสวรรค์ "พระโพธิสัตว์อึกทึก" ผู้เป่าแตรขณะทำทาน จะได้ก็เพียงรางวัลทางโลกอันไม่จีรังยั่งยืน แต่พวกเราจะได้รับรางวัลอันเป็นนิรันดร

พระเยซูพูดว่า เมื่อท่านทั้งหลายอธิษฐานอย่าเป็นเหมือนคนหน้าซื่อใจคด เพราะเขาชอบยืนอธิษฐานในธรรมศาลาและตามถนนเพื่อจะให้คนทั้งปวงได้เห็น ฝ่ายท่านเมื่ออธิษฐานจงเข้าไปในห้องลับ และเมื่อปิดประตูแล้ว งอธิษฐานต่อพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตย์ในที่ลี้ลับ และพระบิดาของท่านผู้ทรงเห็นในที่ลี้ลับจะทรงโปรดประทานบำเหน็จแก่ท่านอย่างเปิดเผย พระเยซูอธิบายไว้ตรงนี้ชัดเจนมาก มีเพียงพวกเราผู้บำเพ็ญธรรมวิถีกวนอิมเท่านั้นที่เข้าใจว่าห้องลับอยู่ที่ไหน! (อาจารย์หัวเราะ. คนปรบมือ) นี่ยอดเยี่ยมมาก! พระเยซูพูดอีกว่า แต่เมื่อท่านอธิษฐานอย่าพูดพร่อยๆ ซ้ำซากเหมือนคนต่างชาติกระทำ เพราะเขาคิดว่าพูดมากหลายคำพระจึงจะทรงโปรดฟัง แต่ท่านอย่าทำเหมือนเขาเลยเพราะว่าสิ่งไรซึ่งท่านต้องการ พระบิดาของท่านทรงทราบก่อนที่ท่านทูลขอแล้ว ดังนั้นอย่าอธิษฐานต่อพระเจ้าซ้ำๆซากๆ อยู่ภายนอก เธอไม่จำเป็นต้องทำอย่างเสียงดัง อย่าอธิษฐานด้วยเครื่องขยายเสียง ไม่เช่นนั้นเธออาจจะปลุกให้คนทั้งหมู่บ้านตื่นขึ้นมา (คนหัวเราะ)