ปฐมาจารย์เซน-พระมหากัสสปะ

 

ปราศรัยโดยอนุตราจารย์ชิงไห่ ซินเตี้ยน, ฟอร์โมซา
5 กรกฎาคม 2530 (ต้นฉบับเป็นภาษาจีน)

 
 
 

ปฐมาจารย์เซนคือพระมหากัสสปะ ปราศจากพระมหากัสสปะจัดการสังคายนาพระธรรมวินัย ปัจจุบันพวกเราก็ไม่มีศาสนาพุทธ หลังจากที่พระศากยมุนีพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพาน พระมหากัสสปะรีบชุมนุมพระอริยสงฆ์ผู้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าเหล่านั้นทันที - พระอริยะเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ - รวมตัวกันขึ้นมารวบรวมคัมภีร์พระสูตรเข้าด้วยกัน เหลือให้เพื่อนปฏิบัติธรรมทั้งหลายกับชนรุ่นต่อมาได้อ่าน พระมหากัสสปะกับพระอานนท์มีคุณประโยชน์อันยิ่งใหญ่ต่อพวกเรา พวกเราซาบซึ้งในพระคุณเป็นอย่างมาก ดังนั้นอาจารย์จึงคิดว่า พวกเราพูดถึงปฐมาจารย์เซนก็เหมาะสมมากนะ!

พระมหากัสสปะกับพระศากยมุนีพุทธเจ้าปฏิบัติธรรมในเวลาเดียวกัน ท่านอยู่ในวรรณะพราหมณ์ อินเดียมี 4 วรรณะ ได้แก่ วรรณะพราหมณ์ วรรณะกษัตริย์หรือนักบุญ วรรณะแพศย์ และวรรณะศูทรหรือจัณฑาล ก็คือพวกที่ไม่มีการศึกษาและตำแหน่งใดๆทางสังคม ในอินเดีย พราหมณ์สมัยนั้นคือวรรณะที่ใหญ่ที่สุด สูงที่สุด เป็นที่เคารพสูงสุดในสังคม

 

ท่านเกิดในแคว้นมคธ บิดาเรียกว่าอิงเจอ มารดาชื่อเชียงจือ เมื่อท่านเยาว์วัยนั้นน่าดูมากทั้งร่างกายเป็นสีทองคำ นี่หมายความว่าเป็นแรงสั่นสะเทือนที่อ้างถึง ไม่ใช่ว่าคนธรรมดาสามารถมองเห็นได้ ก่อนหน้าที่ยังไม่ได้ออกบวชแสงสีทองของท่านส่องไปไกลมาก มีนักโหราศาสตร์ที่เก่งคนหนึ่งมาทำนายชะตาของท่านตามคำเชิญบิดามารดาของท่านกัสสปะ นักโหราศาสตร์กล่าวว่า “เด็กคนนี้มีบุญยิ่งใหญ่ มิอาจหยั่งรู้ได้! ดูออกมามีแนวโน้มว่าออกบวชแน่นอน” บิดามารดาของท่านฟังแล้วกลัวมาก! กลัวท่านออกบวชแล้วจะสูญเสียลูก ลูกคนอื่นออกบวชได้ ลูกของฉันไม่ได้! พวกเราล้วนรู้เรื่องเช่นนี้
 

บิดามารดาของพระมหากัสสปะกล่าวว่า “ไม่ได้หรอก! พวกเราต้องหาหญิงที่น่าดูที่สุด สวยงามที่สุด รอเขาเติบโตอีกหน่อยแต่งงานทันที! หลังจากเขาถูกผูกมัดไว้แล้ว ก็หมดหนทางคิดหลุดพ้นอะไรหรือว่าออกบวช หรือทำเรื่องมหาบุรุษอะไร“ บิดามารดาของท่านวางแผนดี คิดดีแบบนี้แล้ว ดังนั้นพอพระมหากัสสปะกำลังเติบโต อาจจะอายุ 15 ปี 16 ปี บิดามารดาต้องการให้ท่านแต่งงานทันที แต่ละครั้งพระมหากัสสปะล้วนปฏิเสธ ไม่ต้องการแต่งงาน แต่ทว่าบิดามารดาบังคับท่าน ใช้วิธีที่ฉลาดทุกวิถีทาง น้ำตา อ้อนวอนท่านว่า “ลูกไม่แต่งงาน เราจะฆ่าตัวตาย...” พระมหากัสสปะปฏิเสธหลายครั้ง ล้วนหมดหนทาง เพราะบิดามารดาใช้ทุกวิถีทางบังคับให้ท่านแต่งงาน ในที่สุดหยุดไม่ได้ พระมหากัสสปะจึงพูดกับบิดามารดาว่า “เอาละ ลูกเคารพความคิดเห็นของพ่อแม่ทั้งสอง แต่ทว่าต้องหาหญิงคนหนึ่งที่มีสีเหมือนกับลูก และมีแสงเหมือนกัน และมีร่างกายสีทอง ดูแล้วเหมือนมาก ลูกถึงจะแต่งงาน ถึงจะคู่ควร มิฉะนั้นลูกไม่ต้องการ! ”

 

บางครั้งเราเคยเห็นชายหญิงเหมือนกันมาก เคยเห็นหรือไม่? พระมหากัสสปะก็ต้องการหาหญิงคนหนึ่งที่เหมือนกับท่าน ท่านจึงจะแต่งงาน ชื่อของพระมหากัสสปะ พระคัมภีร์จีนของเราหมายถึงซึมซับแสงทั้งหมด หมายความว่า เพราะรัศมีกายสีทองของท่านใหญ่มาก สว่างมาก เทียบกับแสงอื่นทำให้แสงอื่นหมดหนทางที่จะมองเห็นได้ ดังนั้นมหากัสสปะจึงหมายถึงแสงใหญ่ บิดามารดาของท่านได้ยินว่า พระมหากัสสปะต้องการหาหญิงคนหนึ่งที่ดูเหมือนท่าน เพราะกายเนื้อของท่านดูแล้วเหมือนทองคำ มิใช่เพียงแต่แสง ดังนั้น บิดามารดาของท่านจึงใช้ทองคำหล่อรูปของพระมหากัสสปะประกาศทั่วประเทศ ดูว่ามีหญิงใดที่เหมือนกับรูปหล่อทองคำนั้นหรือไม่  ในที่สุดก็หาพบคนหนึ่งเวลานั้นพระมหากัสสปะต้องแต่งงาน เพราะสัญญากับบิดามารดาแล้ว

 

ในเรื่องกล่าวไว้ ทำไมท่านจึงแต่งงานกับคนนี้นะ? ตอนนี้พวกเราพูดถึงเรื่องของหญิงคนนี้ ทำไมจึงมีหญิงที่เหมือนมากเช่นนั้น? นานมาแล้ว ก่อนพระศากยมุนีพุทธเจ้ายังมีพระพุทธเจ้า 7 พระองค์ องค์หนึ่งมีพระนามว่าวิปัสสิน หลังจากที่พระพุทธเจ้าองค์นี้เสด็จปรินิพพาน เหล่าผู้ศรัทธาได้สร้างวัด วางพระธาตุของท่านไว้ในเจดีย์เพื่อบูชา และหล่อรูปพระวิปัสสินพุทธเจ้า นานมาภายหลัง เพราะพระพุทธรูปองค์นั้นชำรุด ทองที่หุ้มใบหน้าก็แตกร้าว เวลานั้นพระมหากัสสปะเป็นช่างทองคนหนึ่ง ในเวลานั้นมีหญิงที่ยากจนคนหนึ่ง ไม่มีเงิน เวลาที่เธอไปไหว้ที่วัดหลังนั้น ได้มองเห็นกายทองของพระพุทธรูปเก่าแก่มาก แม้ว่าเธอยากจนมาก สิ่งของทั้งหมดที่มีก็คือทองคำเพียงก้อนเดียวเท่านั้น แต่ทว่าเธอได้นำทองคำของเธอไปยังร้านทองของพระมหากัสสปะ ขอให้เขาหลอมปิดทองบนพระพุทธรูป พระมหากัสสปะเห็นเธอยากจนเช่นนั้น จริงใจเช่นนั้น ขาจึงประทับใจมาก แน่นอนเขาชอบเธอมากช่วยเธอทำ 2 คนจึงกลายเป็นเพื่อนสนิท ต่อมาเพราะพวกเขาบูรณะพระพุทธรูปด้วยกันและผูกพันเป็นสามีภรรยา เพราะความรู้สึกที่ร่วมใจกันเข้าใจร่วมกันและความนับถือจึงแต่งงาน ไม่ใช่เพราะความสัมพันธ์ทางเพศระหว่างชายหญิง  พวกเขายังตั้งจิตอธิษฐานร่วมกันว่าจะเป็นสามีภรรยาทุกภพทุกชาติ

 

ดังนั้น บัดนี้ยังต้องแต่งงานกับเธอ ถึงแม้ว่าต้องการออกบวชก็หมดหนทาง! เพราะการอธิษฐานนี้ เพราะพระพุทธรูปองค์นี้ เพราะทุกภพทุกชาติต้องเป็นสามีภรรยา และยังเพราะบุญของทองคำก้อนนี้ พวกเขาสนุกสนานเพลิดเพลินจนถึงสมัยของพระศากยมุนีพุทธเจ้า เกิดมาแล้วอีก 91 ชาติ แต่ละครั้งร่างกายของทั้งสองคนล้วนเหมือนกับทองคำ แต่ละครั้งที่พวกเขาตายจากโลกไปล้วนไปจุติยังพรหมโลก หลังจากที่พวกเขาสนุกสนานเพลิดเพลินในสวรรค์ชั้นพรหมจบแล้วมาเป็นคนอีก บัดนี้คือชาติสุดท้าย เติบโตในครอบครัวที่มั่งคั่งมาก 2 ครอบครัว ล้วนเป็นเพราะถวายทองคำก้อนหนึ่งแด่พุทธ บุญของความจริงใจและความศรัทธา บัดนี้พวกเขาแต่งงานเพราะบิดามารดา แต่ทว่าก็เป็นเพราะผลกรรมของพวกเขาด้วย ก่อนนี้อธิษฐานส่งเดชมาก จึงต้องแต่งงาน ดังนั้นบางครั้งเราเห็นคนแต่งงาน ก็ไม่ต้องพูดว่า พวกเขาไม่ดี เป็นเพราะความสัมพันธ์ทางเพศระหว่างชายหญิง อาจเป็นไปได้มากที่แต่ก่อนพวกเขาอธิษฐานส่งเดช บัดนี้หนีไม่พ้น ไม่ได้หมายความว่าการแต่งงานล้วนไม่ดี หลังจากที่พระมหากัสสปะแต่งงานกับหญิงคนนั้นแล้ว ทั้ง 2 เหมือนเพื่อนสนิทแยกกันนอนเป็นเพื่อนปฏิบัติไม่มีความสัมพันธ์ทางกาย หลังจากแต่งงานนานมาก พวกเขาทั้ง 2 ขอร้องบิดามารดาของพวกเขาอนุญาตให้พวกเขาออกบวช พูดอยู่นานมากๆ บิดามารดาก็พูดจากก้นบึ้งของหัวใจว่า “ดี! ” ดังนั้นพวกเขาจึงออกบวชพร้อมกัน แยกย้ายกันไปปฏิบัติยังสถานที่ 2 แห่ง

 

หลังจากที่พระมหากัสสปะปฏิบัติสันโดษในภูเขาเป็นระยะเวลาหนึ่ง ได้ยินเสียงพูดในอากาศว่า “บัดนี้พระพุทธเจ้าลงมาจุติแล้ว ออกมาสั่งสอนผู้คน ท่านต้องไปหาพระพุทธเจ้าให้รับการสั่งสอน” ท่านไปถึงวนอุทยานไผ่ของพระพุทธเจ้าด้วยความจริงใจมาก กราบพระพุทธเจ้าให้เป็นอาจารย์ ให้รับเป็นสาวก เวลานั้นพระศากยมุนีพุทธเจ้าตรัสว่า “มาเถิดภิกษุ เธอผู้มีมหาบุญญานิสงส์ เธอต้องปลงผมและหนวดเคราของเธอ”

 

หลังจากรับเป็นภิกษุ พระมหากัสสปะเรียนกับพระพุทธเจ้าท่านเรียนได้เร็วมาก คำสอนอันลึกซึ้งยอดเยี่ยมของพระพุทธเจ้าท่านก็เข้าใจได้ง่ายมาก พระศากยมุนีพุทธเจ้าโปรดปรานท่านมาก ท่านบำเพ็ญอย่างหนัก บรรลุพระอรหันต์รวดเร็วมาก มีวันหนึ่ง ท่านกลับมาจากที่ห่างไกลมากเพื่อเข้าเฝ้าพระศากยมุนีพุทธเจ้า ถึงแม้ว่าท่านได้ถือกำเนิดจากครอบครัวที่มั่งคั่งมาก แต่ทว่าเพราะท่านปฏิบัติสันโดษ ไม่สนใจสิ่งภายนอก วันนี้ตอนที่ท่านมาจีวรขาดมาก ร่างกายผอมมาก ดูแล้วไม่น่าดู ไม่สง่างาม อาจเป็นไปได้มากว่าเพราะปฏิบัติสันโดษ จำวัดและฉันภัตตาหารไม่มากและมิใช่ว่าท่านเจตนา เวลานั้นพระศากยมุนีพุทธเจ้ามีภิกษุและสาวกมากมายฟังธรรมอยู่รอบๆ พระองค์ สาวก ภิกษุ ภิกษุณีเหล่านั้นมองเห็นพระมหากัสสปะเป็นแบบนี้ดูเหมือนไม่เคารพมองท่านไม่เต็มตา เพราะพวกท่านอยู่เคียงข้างพระศากยมุนีพุทธเจ้า แน่นอน ต้องมีของถวายดีมาก จีวรที่สมบูรณ์ ดูดีมาก สวยงามมาก ในขณะที่พระมหากัสสปะผู้ยากจนบำเพ็ญตบะในภูเขา ไม่มีเงิน ดังนั้นภิกษุ ภิกษุณีและสานุศิษย์จึงดูหมิ่นท่าน

 

พระศากยมุนีพุทธเจ้าเห็นสถานการณ์ในขณะนั้นพอดี ดังนั้นพระองค์จึงตรัสว่า “กัสสปะ เธอมาที่นี่เถิด เราจะให้อาสนะครึ่งหนึ่งของเราแก่เธอ” พระมหากัสสปะไม่กล้านั่ง ท่านยังคงนั่งข้างล่าง เวลานี้พระศากยมุนีพุทธเจ้าตรัสกับภิกษุ ภิกษุณีว่า “เรามีใจมหาเมตตา มหากรุณา เรามีความปีติจากการทำสมาธิ เรามีบุญอันสุดหล้าฟ้าดินที่ทำให้ตัวเราเองสง่างาม” หมายความว่า ไม่ต้องใช้เสื้อผ้าทำให้สง่างาม แต่ทว่าใช้บุญทำให้ร่างกายสง่างาม ดังนั้นเป็นไปได้ที่บางคนดูภายนอกไม่มีอะไร แต่ทว่าเวลาที่เรามองเห็นพวกเขาเราก็นับถือพวกเขา ตรงนี้พระศากยมุนีพุทธเจ้าตรัสว่า พระองค์มีบุญกุศลอันสูงสุดที่ทำให้ตัวพระองค์เองสง่างาม ยังตรัสว่าพระมหากัสสปะ ภิกษุรูปนี้ก็เช่นเดียวกัน ความหมายก็คือสรรเสริญบุญของพระมหากัสสปะ สรรเสริญปัญญาของท่าน อันดับชั้นสูงเท่าเทียมกับพระพุทธเจ้า ดังนั้นจึงสามารถให้อาสนะครึ่งหนึ่งแก่ท่าน นี่ก็แสดงให้เห็นว่า “เราเหมือนกับเขานะ! ” เวลานั้นภิกษุ ภิกษุณีได้ยินแล้วก็ตกใจ ในที่สุดก็เข้าใจและเคารพพระมหากัสสปะทันที

 
 

วันหนึ่งพระศากยมุนีพุทธเจ้าเทศนาอยู่ในภูเขาคิชฌกูฏ พระหัตถ์ชูดอกบัวดอกหนึ่ง เวลานั้นทุกคนไม่เข้าใจว่าหมายถึงอะไร มีเพียงพระมหากัสสปะรูปเดียวที่ยิ้มเข้าใจ พวกชาวจีนกล่าวว่า “ชูดอกไม้ยิ้ม” เวลานั้นพระพุทธเจ้าตรัสว่า “เรามีวิถีที่ลึกซึ้งสำหรับการเปิดตาปัญญาที่สมบูรณ์และการไปถึงนิพพาน ไม่ใช้ภาษา และถูกถ่ายทอดเหนือการสั่งสอนทางวาจาของเรา วันนี้ส่งมอบให้เธอ กัสสปะ กัสสปะ เธอต้องปกป้องวิถีนี้อย่างระมัดระวังและรับรองว่า มันจะถูกส่งทอดลงไปชั่วนิรันดรโดยปราศจากการอันตรธานหายไป ภายหลังสามารถส่งมอบให้อานนท์” เวลานั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าเรียกพระมหากัสสปะมายังที่ของพระองค์ ให้อาสนะของพระพุทธองค์ครึ่งหนึ่งแก่ท่าน ยังใช้จีวรใหญ่ของพระองค์ เราพูดว่าผ้าสังฆาฏิ พันบนร่างกายของพระมหากัสสปะ ความหมายว่าส่งมอบจีวร เป็นสาวกผู้สืบทอด นี่แสดงให้เห็นว่า บัดนี้ท่านเสมอด้วยพระพุทธเจ้า! นั่งอาสนะครึ่งหนึ่งของพระพุทธเจ้า สวมจีวรที่สง่างามที่สุดของพระพุทธเจ้า ภายหลังตกทอดมาถึงสังฆปรินายกองค์ที่ 6 ฮุ่ยเหนิง ก็เป็นจีวรเหมือนกัน

 

เวลานั้นพระศากยมุนีพุทธเจ้าท่องบทกวีว่า “วิถีเดิมทีไร้วิถี ไร้วิถีก็เป็นวิถี บัดนี้คือเวลาถ่ายทอดวิถีที่ไร้วิถี แต่ทว่าไร้วิถีก็คือวิถี" เพราะพระมหากัสสปะสืบทอดจากพระศากยมุนีพุทธเจ้า ดังนั้นภายหลังพุทธศาสนิกชนอ้างท่านเป็นปฐมาจารย์ พระศากยมุนีพุทธเจ้าเราอ้างพระองค์เป็นศาสดา มหาอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ ไม่พูดว่า พระองค์เป็นปฐมาจารย์ ปฐมาจารย์เป็นสาวกผู้สืบทอดของพระองค์ ถัดจากพระศากยมุนีพุทธเจ้าลงมา ดังนั้นจึงพูดว่าปฐมาจารย์

 

เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จดับขัณธปรินิพพาน พระมหากัสสปะได้ยินข่าวว่า พระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพาน ท่านกับสาวก 500 รูปรีบไปถึงกุสินาราเพื่อเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า แต่ทว่าพระพุทธเจ้าจากไปแล้ว เวลานั้นท่านโศกเศร้ามาก ได้กระทำประทักษิณเวียนพระพุทธสรีระที่บรรจุไว้ในหีบทอง 3 รอบ พระพุทธเจ้ารับทราบความซาบซึ้งตรึงใจ ถึงแม้ว่าพระองค์จะล่วงลับไปแล้ว แต่ทว่าพระพุทธเจ้ายื่นพระบาทของพระองค์ออกมาให้พระมหากัสสปะมองเห็น ในเวลานั้นพระมหากัสสปะซาบซึ้งตรึงใจมาก จึงกราบพระบาทของพระพุทธเจ้า เดิมทีกราบพระบาทของพระพุทธเจ้าคือที่มาอย่างนี้ เวลานั้นท่านแตะๆ พระบาทพระพุทธเจ้า กราบพระบาทพระพุทธเจ้า ในใจรู้สึกสงบลงนิดหน่อย เพราะท่านกลับมาสายมาก หมดหนทางที่จะเห็นพระพุทธเจ้า ด้วยพระพุทธเจ้าเมตตาท่าน ให้ท่านเห็นพระองค์เป็นครั้งสุดท้าย หลังจากถวายพระเพลิงพระสรีระทองคำของพระพุทธเจ้า พระมหากัสสปะพูดกับเหล่าภิกษุว่า “พระอัฐิของพระพุทธเจ้า เราต้องส่งมอบให้เทพยดาหรือเทพารักษ์บูชาเป็นเนื้อนาบุญ แต่ทว่าเราภิกษุต้องสังคายนาพระธรรมวินัยเหลือไว้ให้ชนรุ่นหลัง” ดังนั้น หลังจากพระศากยมุนีพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพาน 7 วันท่านจึงชุมนุมพระอรหันต์ 500 รูปในถ้ำใหญ่ในภูเขา คิชฌกูฎชุมนุมกันสังคายนาพระธรรมวินัย

 

แต่ทว่ามีคนคนหนึ่งไม่สามารถเข้าร่วม เธอรู้ไหมว่าใคร? พระอานนท์ ในเวลานั้นพระอานนท์ยังไม่เป็นอรหันต์ยังคงมี “รูรั่ว” “ รูรั่ว” ก็คือด้านที่ดำๆ มืดๆ ยังไม่ชำระล้างให้สะอาด ยังไม่สำเร็จมรรคผล ยังไม่ได้บรรลุความบริสุทธิ์ 100 เปอร์เซนต์ ยังมีคุณสมบัติของปุถุชน ยังไม่เป็นนักบุญที่สมบูรณ์ ดังนั้นพระมหากัสสปะจึงไม่อนุญาตให้ท่านเข้ามา และยังว่าพระอานนท์ว่า ”ท่านผู้นี้ ยังไม่บริสุทธิ์! อย่ามาที่นี่ทำให้การชุมนุมนักบุญของเราเปรอะเปื้อน” อา! ถ้าคนธรรมดารู้เข้าจะมีปฏิกิริยาอย่างไร “ท่านผู้นี้ ทำไมท่านกล้าพูดอย่างนี้? ” “เราจะให้ท่านเห็นดี! ” เป็นต้น คนธรรมดาจะคัดค้านได้ เกิดปัญหาขึ้นได้ทันที เป็นไปได้มากว่าจะสู้รบกัน เป็นไปได้มากว่าจะทะเลาะ เป็นไปได้มากกว่าจะต่อสู้ ขว้างปาถ้วยชาม หรือทำร้ายร่างกาย เป็นไปได้มากว่าจะต่อต้านและกลับบ้านไป เป็นต้น

 
 

แต่ทว่าไม่ว่าอย่างไรก็ตามพระอานนท์ก็เป็นนักบุญ ท่านเพียงแต่โศกเศร้า ท่านทราบว่า ท่านยังไม่สะอาด ยังปฏิบัติไม่ดี เพราะพูดมากทุกวัน รักษาศีลก็ไม่เคร่งครัด เพียงแต่พึ่งพาความรักของพระพุทธเจ้าผู้เดียว ท่านเป็นพระญาติของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสอะไร ท่านล้วนจำได้ดีมาก ดังนั้นท่านคิดว่าแบบนี้ก็ดีแล้ว สมัยพระศากยมุนีพุทธเจ้ายังทรงมีพระชนม์อยู่ได้เตือนท่านหลายครั้ง เรียกร้องให้ปฏิบัติมากอีกหน่อย! แต่ทว่าดูเหมือนว่า ท่านค่อนข้างจะรักสบาย สบายมากเกินไปแล้ว ไม่ทนลำบาก บัดนี้ท่านจึงเข้าใจจริงๆ เพราะพระพุทธเจ้าเสด็จไปแล้ว ไม่มีคนรักท่านเกินไปอีก ไม่มีอะไรทำ ไม่มีใครพึ่งพา ไม่มีงานทำ สมัยพระศากยมุนีพุทธเจ้ายังทรงมีพระชนม์อยู่ ท่านเป็นผู้ติดตามของพระพุทธเจ้า เอาใจใส่พระองค์ทุกวัน ยังมีข้ออ้างที่จะพูดว่า “เรายุ่งมากนะ! ” “ เราไม่ว่างนั่งสมาธิ! ” “เรากำลังจะนั่งสมาธิ พระพุทธเจ้าก็เรียกเรา เป็นต้น เราต้องอุทิศตัวเองเพื่อพระพุทธเจ้า เพื่อผู้คน”

 
 

พระอานนท์กลับไปทั้งคืนไม่หลับไม่นอน นั่งสมาธิอย่างจริงใจ ศรัทธามาก แล้วเข้าสู่สมาธิข้ามคืนเดียวท่านกลายเป็นอรหันต์ “ไม่มีรูรั่ว” ฟ้ายังไม่สาง ท่านสำเร็จมรรคผลแล้ว ท่านวิ่งไปยังถ้ำในภูเขาทันทีเพื่อพบพระมหากัสสปะ พระมหากัสสปะเห็นท่านก็รู้แล้วละ! ท่านไม่ปฏิเสธพระอานนท์ และสรรเสริญท่านกับเหล่าภิกษุว่า “ท่านทั้งหลาย อานนท์ของพวกเราคือแหล่งข้อมูลดั้งเดิม ฟังเทศนาของพระพุทธเจ้าอยู่เป็นประจำ พระพุทธเจ้าตรัสสิ่งใดท่านจำได้หมด ไม่ลืมแม้แต่นิดเดียว เปรียบได้ดีเสมือนน้ำที่ใส่ในขวด หยดเดียวก็ไม่รั่ว ดังนั้นพวกเราต้องเชิญท่านมาที่นี่สังคายนาพระธรรมวินัยกับพวกเรา แบบนี้พระธรรมวินัยจึงจะสมบูรณ์! พวกเรายังต้องเชิญภิกษุณีให้สังคายนาศีล” เวลานั้นทุกท่านยอมรับอย่างมีความสุข พระมหากัสสปะสังคายนาพระธรรมวินัยเป็นที่พอใจแล้ว ภารกิจการขนถ่ายสรรพสัตว์น่าพอใจแล้ว ท่านจึงเรียกพระอานนท์มาพูดว่า “เมื่อตถาคตกำลังจะเสด็จปรินิพพาน ได้ถ่ายทอดวิธีเปิดตาปัญญาให้เราเพื่อถ่ายทอดให้ท่าน บัดนี้เราจะรีบไปจำศีล นี่คือเวลาที่จะถ่ายทอดวิธีเปิดตาปัญญาให้ท่าน ท่านต้องปกป้องมันอย่างระมัดระวัง อย่าปล่อยให้มันอันตรธานไป”

เรื่องราวของพระมหากัสสปะพูดจบแล้วนะ! ไม่มีพระมหากัสสปะ ไม่มีพระอานนท์ พวกเราก็ไม่มีทางที่จะรู้ว่า พระศากยมุนีพุทธเจ้าคือใคร พวกเรารู้สึกขอบคุณพวกท่านมาก ดังนั้นพวกเราจึงเอ่ยถึงเรื่องราวของพวกท่าน ศึกษาเรื่องราวนี้บ้างแล้ว ทำให้พวกเราเกิดแรงดลใจที่จะปฏิบัติ

 

ในเรื่องนี้ พวกเรามองเห็นว่า พระมหากัสสปะมิใช่คนธรรมดา ท่านเกิดมามีร่างกายสีทอง มีรัศมีเจิดจ้ามาก นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มสูงที่สามารถออกบวชได้ พวกเธอได้ยินว่า มีคนมองเห็นอาจารย์เป็นร่างกายสีทอง ยังไม่ได้บำเพ็ญธรรมวิถีกวนอิม ก่อนหน้าที่ยังไม่ได้ออกบวช อาจารย์ของฉันมองเห็นร่างกายสีทองของฉันแล้ว ในหนังสือกุญแจสู่การรู้แจ้งในทันทีเล่มที่ 3 (ความหมายที่แท้จริงของการสวด อมิตาภพุทธ) มีบอก มีคนพูดว่า มองเห็นร่างกายของอาจารย์เหมือนกับแก้ว เปล่งแสงเจิดจ้ามาก มีคนพูดว่า ร่างกายของอาจารย์เปล่งแสงสีขาว มีคนพูดว่า ร่างกายของอาจารย์ยังมีแสงอื่น...เป็นต้น เพราะอันดับชั้นไม่เหมือนกัน มองเห็นแสงไม่เหมือนกัน แต่ทว่าถ้าหากพรุ่งนี้อาจารย์กับพวกเธอออกไปซื้อกับข้าว เธอถามพ่อค้าในตลาดว่า “เธอรู้หรือไม่ว่า อาจารย์ของฉันมีแสง? ” เขาจะพูดได้ว่า “เธอบ้า! เธอพูดอะไร? ฉันขายผักอย่างเดียว เธอพูดอย่างนี้เพื่ออะไร? ฉันก็ไม่รู้ว่า “แสง” คืออะไร! ”

 

ตรงนี้เขียนไว้ว่า พระมหากัสสปะมีแสง เพราะคนที่เขียนเรื่องแน่นอนเป็นศิษย์เอกของท่าน สามารถมองเห็นร่างกายสีทองของท่านได้มาก ทำไมอาจารย์จึงพูดแบบนี้นะ? เพราะในหนังสือเขียนเอาไว้ แสงสีทองของท่านเปล่งไปไกลมาก ผู้ที่ไม่ปฏิบัติ ไม่ได้เปิดมหาตาปัญญา มองไม่เห็นหรอก! ท่านเองเป็นศิษย์เอก ท่านมองเห็นอาจารย์ของท่านเป็นอย่างไร ท่านเขียนออกมาค่อนข้างใกล้เคียงความจริง ศิษย์ธรรมดาก็สามารถเขียนว่า อาจารย์มีความรู้สูงอย่างไร กำเนิดมาจากไหน อายุเท่าไร สอนธรรมวิถีอะไรแก่คน ไม่ว่าจะมีปัญญาหรือไม่ ขยันทำงานหรือไม่ มีศิษย์เท่าไร ทุกวันนอนหลับกี่ชั่วโมง กินข้าวกี่ครั้ง เป็นต้น ดังนั้นฉันจึงแน่ใจว่าเรื่องนี้นักปฏิบัติผู้ยิ่งใหญ่เป็นผู้เขียน เขียนออกมาให้พวกเราได้อ่าน ให้พวกเราได้ดู

 

อนึ่ง พวกเราล้วนทราบว่าประเทศใด ศาสนาใดล้วนเคารพผู้ที่ออกบวชมาก คนประเภทหนึ่งชอบไปวัดไหว้ สัมผัสอาจารย์ สัมผัสนักบวชที่มีชื่อเสียงมาก และถวายของ เคารพมาก เทิดทูนนักบวชมาก แต่ทว่าลูกตัวเองต้องการออกบวชก็หาเรื่องยุ่งยาก พวกเราก็สามารถเข้าใจพวกท่านได้ ยุคใดก็เช่นกัน พ่อแม่เคารพนักบวช แต่ทว่าลูกชาวบ้านสามารถไปออกบวชได้ ลูกของฉันไม่ได้! เขาต้องแต่งงาน สืบทอดตระกูล ต้องจบปริญญาเอก เป็นทนายความ เป็นต้น หาเงิน และแต่งงานกับเด็กสาวที่สวยที่สุด เป็นผู้ดีที่สุด และกลายเป็นบิดาสืบสกุลต่อไป

 

พวกเราเห็นเรื่องในสมัยโบราณ ล้วนทราบว่า ชีวิตของนักบวชสูงส่งที่สุด ดังนั้นพระศากยมุนีพุทธเจ้าจึงปล่อยวางทั้งโลก ทั้งอาณาจักร ทั้งที่ราหุล โอรสของพระองค์มีพระชนมายุ 9 ชันษาเท่านั้นซึ่งเดิมทีต้องเป็นกษัตริย์ พระองค์ก็พาไปออกบวชกับพระองค์ด้วย เดิมทีพระอานนท์สามารถเป็นรัชทายาทกษัตริย์ พระองค์ก็พาไป ยังมีพระมเหสีของพระองค์ พระองค์ก็อนุญาตให้พระนางออกบวช ทุกๆพระองค์ล้วนกลายเป็นนักบวช นี่แสดงให้เห็นว่า เป็นพระยังดีกว่าเป็นกษัตริย์ สิ่งของทั้งหมดในโลกนี้ พรุ่งนี้เกิดอุบัติเหตุ ก็ต้องทิ้งไว้ให้คนเบื้องหลัง! ตอนลงนรก ยมบาลจะไม่ถามเธอว่า เรียนจบสูงแค่ไหน ไปแดนปัจฉิม พระอมิตาภพุทธะจะไม่ถามเธอว่า เธอเรียนจบหรือไม่ เธอมีศีลธรรม เธอก็สามารถไปได้ เธอไม่มีศีลธรรม แม้แต่เรียนจบ 10 สาขาก็ไม่มีประโยชน์! ดังนั้นมิใช่ว่า นักบวชจะปล่อยวางได้ คนในโลกถึงจะเป็นผู้ที่ “ปล่อยวางได้” จริงๆ พวกเขาปล่อยวางนิพพาน ปล่อยวางอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ที่อิสระ ปล่อยวางชีวิตนิรันดร เพื่อสิ่งเล็กน้อยเหล่านี้เท่านั้นเอง

 

อนึ่ง ฉันเห็นพระคัมภีร์มากมายล้วนเขียนว่า พระพุทธเจ้าตรัสว่า “มาเถิดภิกษุ! ” ผมของคนคนนั้นก็หล่นลงมาเอง นี่คือครั้งแรกที่ฉันอ่านพบว่า พระศากยมุนีพุทธเจ้าตรัสว่า “เธอไปปลงผมเถิด” เป็นไปได้มากว่า นี่ค่อนข้างมีเหตุผล เพราะพระศากยมุนีพุทธเจ้าไม่ใช้อิทธิฤทธิ์ สิ่งนี้ฉันรู้ชัดเจนมาก เพราะอะไรต้องใช้อิทธิฤทธิ์ทำให้ผมของคนหลุดลงมาล่ะ? ไม่ต้องหรอก! เรื่องเล็กน้อย ไปซื้อมีดโกนใบหนึ่งก็ดีแล้ว แม้ในทางที่ดี พระศากยมุนีพุทธเจ้าก็ไม่เอาอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์มากมายไปใช้ ทำไมแต่ละครั้งล้วนเอาอิทธิฤทธิ์ปลงผมไปใช้เพื่ออะไร? นี่คือเด็กเล่น ฉันไม่เชื่อว่า พระศากยมุนีพุทธเจ้าจะทำเช่นนี้ แน่นอน พระองค์สามารถทำได้ แต่ทว่าพระองค์ไม่ทำ พระพุทธเจ้าทำเรื่องเช่นนี้ดึงดูดคนได้อย่างไร? ถ้าหากว่า พระองค์ทำเช่นนี้ ฉันคิดว่า ทั้งประเทศล้วนมาปลงผมกับพระองค์ สะดวกใช่ไหม? ดังนั้นฉันเชื่อว่า พระคัมภีร์เล่มนี้ถูกต้องที่สุด พระคัมภีร์เล่มอื่นล้วนค่อนข้างเกินความจริง (หรือเป็นเพียงแต่สัญลักษณ์) เพราะพวกเราเคารพใคร พวกเราจึงพูดเกินความจริง เขาทำเช่นนี้ พวกเราจึงพูดว่า เขาทำเช่นนั้น

 
 

ยกตัวอย่าง เช่น คนมากมายพูดว่า พระผู้เฒ่าก่วงจินรักษาโรคอย่างไรๆ ฉันไม่เชื่อ! ท่านไม่เจตนาทำ เพราะท่านปฏิบัติสูงมาก  ดังนั้นคนจึงเข้ามา มีบุญสัมพันธ์กับท่านก็จะรู้สึกสบายทันที ยกตัวอย่างเช่น พวกเธอได้ยินว่า อาจารย์รักษาโรคของคนมากมาย นี่คือการรักษาที่ไร้รูป ฉันไม่ได้ฮูลาๆทำให้โรคของคนหายทันทีแบบนี้ ไม่ใช่! ฉันไม่มีเจตนาทำอะไร อาจารย์เพียงแต่ปฏิบัติจนกลายเป็นเสมือนพลังยาชนิดหนึ่ง พลังที่สบายชนิดหนึ่ง ผู้ที่มีบุญสัมพันธ์เข้าใกล้ สามารถรู้สึกสบายได้ โรคหายทันที ในไถหนันมีแม่เฒ่าผู้หนึ่ง เพื่อนปฏิบัติธรรมล้วนไปนั่งสมาธิที่บ้านของเธอทุกสัปดาห์ เดิมทีเธอเดินไม่ได้ทุกวันอยู่แต่ในห้อง แต่ทว่าตอนที่อาจารย์อยู่ที่นั่น เธอดีทันทีเลย สามารถลุกขึ้นมาพูดได้ ดีใจมากพูดปาวๆ ทั้งวัน บัดนี้ก็สามารถเดินได้ สามารถเฝ้าบ้านได้แล้ว มิใช่ว่า อาจารย์เจตนาทำอะไร เพราะผู้ปฏิบัติมีพลังช่วยเหลือ ผู้ที่มีบุญสัมพันธ์มา โรคหายทันที อาจารย์ไม่ได้เจตนาแสดงอิทธิฤทธิ์รักษาโรคของเธอ ดึงเธอมาประทับจิต ฉันไม่ทำเรื่องเช่นนี้ พระศากยมุนีพุทธเจ้าก็เช่นเดียวกัน ดังนั้นในพระคัมภีร์เล่มนี้จึงกล่าวว่า “มาเถิดภิกษุ! ดี เธอไปปลงผม ปลงผมของเธอกับหนวดเคราของเธอ” ฉันดีใจมาก ในที่สุดก็ค้นพบพระคัมภีร์เล่มหนึ่งที่ค่อนข้างเป็นจริง ค่อนข้างมีปัญญา ไม่ใช่เชื่อแบบอภินิหาร พูดเกินความจริง พระศากยมุนีพุทธเจ้าเกลียดคนที่ใช้อิทธิฤทธิ์ดึงดูดคนที่สุด อาจารย์ก็ไม่อนุญาตให้พวกเธอใช้อิทธิฤทธิ์ อาจารย์เพียงแต่เป็นคนธรรมดาคนหนึ่งแบบนี้ พระศากยมุนีพุทธเจ้าก็ใช้อิทธิฤทธิ์ได้อย่างไร อวดเรื่องเช่นนี้ต่อหน้าสาธารณชน ทำให้ผมของคนหลุดลงมา

 
 

ในที่สุดตอนที่พระศากยมุนีพุทธเจ้าถ่ายทอดความเป็นอาจารย์ ถ่ายทอดวิถีที่ถูกต้องให้พระมหากัสสปะ ท่านท่องบทกวีว่า “วิถีไม่มีวิถี วิถีไร้รูปแบบ วิถีไร้รูปก็เป็นวิถี ไม่มีวิถีเป็นวิถี” ก็เหมือนที่อาจารย์พูดบ่อยๆว่า “ตอนที่อาจารย์ถ่ายทอดวิถี แท้จริงฉันไม่มีวิถีที่จะถ่ายทอด แต่ทว่าฉันไม่ได้ถ่ายทอด พวกเธอไม่ได้บรรลุวิถี ดังนั้นเพราะพยายามโอนอ่อนผ่อนตามภาษาทางโลกของพวกเรา ต้องพูดว่า ฉันถ่ายทอดธรรมวิถีให้เธอ แต่ทว่าฉันถ่ายทอดธรรมวิถีที่ไร้รูป เดิมทีวิถีใดๆล้วนไม่มีวิถี ไม่มีอะไรหรอก! ใต้ฟ้าไม่มีเรื่องอะไร แต่ทว่าเดิมทีโพธิ์ไม่มีต้นก็คือความหมายเดียวกัน

 

บัดนี้ปฏิบัติธรรมวิถีกวนอิม หลังจากสามารถถ่ายทอดได้แล้ว ฉันจึงเข้าใจ “ไร้วิถี” คำนี้ว่า หลังจากประทับจิตฝึกธรรมวิถีกวนอิม ฉันยังไม่เข้าใจ แต่ทว่าไม่มีอาจารย์ที่ถ่ายทอด และก็หมดหนทางบรรลุไร้วิถีนี้, ธรรมวิถีที่ว่างเปล่า พูดเช่นนี้ใครจะเข้าใจล่ะ? มีเพียงแต่พวกเธอที่เข้าใจ ผู้ที่ไม่ประทับจิตหมดหนทางที่จะเข้าใจ ผู้ที่ถ่ายทอดเข้าใจได้ดีที่สุด เพราะท่านรู้ว่า สิ่งที่ท่านถ่ายทอดนั้นคือวิถีไร้รูป คือวิถีที่ว่างเปล่า แต่ทว่าไม่มีเขาเป็นผู้ถ่ายทอด และไม่มีวิถี ดังนั้นพระศากยมุนีพุทธเจ้าจึงตรัสว่า พระองค์ถ่ายทอดวิถีที่ว่างเปล่านี้ให้พระมหากัสสปะ และไม่ใช่วิถีใหม่อะไร เพราะเดิมทีวิถีใดๆล้วนเป็นวิถีที่ว่างเปล่า ล้วนเป็นวิถีที่ไร้รูป