การตระหนักรู้ภายในเท่านั้นที่ปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระ

 

ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ โรงแรมปางสวนแก้ว จ.เชียงใหม่ ประเทศไทย
วันที่  4 ธันวาคม 2537 (ต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ)

 

ถ: ทำไมเราจึงต้องเวียนว่ายตายเกิดไปเรื่อยๆ จนกว่าเราจะไปถึงนิพพาน? อะไรคือสาเหตุ อะไรคือเหตุผลของการเกิดในครั้งแรก?

อ: เรามาที่นี่กันก็เพราะว่าเราอยากจะเข้าร่วมในละครสร้างสรรค์ ถ้าพวกเราไม่เข้ามาร่วม ก็ไม่มีการสร้างสรรค์และไม่มีอะไรสนุกๆ เพราะฉะนั้นแต่ละคนจึงเข้ารับงานหน้าที่อย่างหนึ่งในโลกนี้ แล้วก็พยายามจะทำงานนี้ให้สำเร็จลุล่วงไป เพราะฉะนั้นดั้งเดิมเลยก็มีผู้คนระดับต่างๆ แตกต่างกัน มีงานหน้าที่ต่างๆ และไม่มีใครรังเกียจว่าเขาจะมีตำแหน่งต่ำหรือสูง หรือว่าเขาจะได้รับพรให้ร่ำรวยหรือว่าจะถูกกำหนดให้เป็นขอทานคนหนึ่งบนถนน ไม่มีใครรังเกียจเลยในตอนเริ่มแรกของ “ละคร” ของเรา

แต่หลังจากเวลาผ่านไป เราก็กลับกลายมายึดติดกับบทบาทของเราและเราหันมาสงสารตัวเราเอง หรือหยิ่งทะนงในตัวเอง และเราก็เสียวัตถุประสงค์ของ “ละคร” ไป นั่นคือเวลาที่เราเริ่มรู้สึกถึงความทุกข์ของการต้องการสิ่งนี้สิ่งนั้น ของการเปรียบเทียบตำแหน่งฐานะต่างๆและพรต่างๆ ในโลกนี้ เราถือเอาว่าบทบาทที่เราเล่นเป็นเรื่องจริง และยิ่งเรายึดติดในบทบาทของเรามากขึ้น เราก็ยิ่งจดจำวัตถุประสงค์ของ “ละคร” ของเราได้น้อยลง เราจำความยิ่งใหญ่และต้นกำเนิดดั้งเดิมของเราได้น้อยลง

แล้วเพราะว่าเรายึดติดกับบทบาทต่างๆ ของเรามาก เราจึงบอกว่าตัวเราเองเป็นขอทานที่เรากำลังเล่นบทนั้นอยู่ หรือว่าเป็นกษัตริย์ที่เราสวมตำแหน่งนั้นอยู่ เราพยายามทำเต็มที่ที่จะทำให้ชะตากรรมของเราดีขึ้น หรือเพื่อจะรักษาตำแหน่งที่สูงของเราไว้ และเราไม่เกรงกลัวที่จะทำอะไรเลวๆ เพื่อที่จะให้สำเร็จสมความปรารถนา แล้วบทบาท “ละคร” ที่สนุกๆ ก็กลับกลายเป็นความทุกข์ ขณะที่เราพยายามจะทำให้ชะตากรรมของเราดีขึ้น พยายามรักษาตำแหน่งฐานะของเราเอาไว้ ความปรารถนาต้องการทั้งหลายก็เกิดขึ้น ถ้าความปรารถนาเหล่านั้นไม่ได้รับการสนองจนพอใจในชาตินี้ เราก็พยายามจะกลับมาอีกเพื่อต่อสู้ให้ได้สิ่งที่เราเชื่อว่ามันยุติธรรม นั่นคือวิธีที่เราทำให้ “ละคร” นั้นเสียไป และนั่นคือวิธีที่เราเวียนว่ายตายเกิดและทุกข์ทน

เพราะฉะนั้น ดั้งเดิมเลยเรามาจากอาณาจักรของพระเจ้าหรือดินแดนของพุทธะเท่าเทียมกันหมด กษัตริย์ที่เกิดในโลกนี้ หรือว่าขอทานที่เกิดในโลกนี้ซึ่งเป็นเทวดาที่ยิ่งใหญ่เท่าเทียมกันหรือมีฐานันดรทางจิตวิญญาณที่เท่าเทียมกันในสวรรค์ ตอนนี้จึงเริ่มต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงตำแหน่งฐานะ ความร่ำรวยและความมีชื่อเสียง นั่นคือวิธีที่เราเริ่มต้นทุกข์ นั่นคือวิธีที่เราไม่มีทางจะได้ออกจากการเวียนว่ายตายเกิดทางโลกวัตถุนี้

การรู้แจ้งเท่านั้นที่สามารถช่วยเราให้ฝ่าผ่านตำแหน่งฐานะและขอบเขตขวางกั้นที่เป็นมายานี้ไป เพื่อที่จะได้ตระหนักว่าดั้งเดิมเราเท่าเทียมกันหมดทุกคนในอาณาจักรของพระเจ้า ไม่มีอะไรที่เราจำเป็นจะต้องต่อสู้ให้ได้มา ไม่มีอะไรที่เราควรจะอับอาย ไม่มีอะไรที่เราควรจะหยิ่งภาคภูมิใจเกี่ยวกับความเป็นอยู่หรือการดำรงอยู่ทางร่างกายและตำแหน่งฐานะต่างๆ ในโลกนี้ เพราะฉะนั้นหลังจากรู้แจ้งแล้ว มันจึงเท่าเทียมกันสำหรับตัวเราไม่ว่าเราจะอยู่เพื่อเป็นกษัตริย์ปกครองประเทศไป หรือว่าเราจะสละทุกอย่างแล้วกลายเป็นพระออกภิกขาจารไปตามท้องถนน

เมื่อมีการรู้แจ้งแล้วเราก็สามารถอยู่เป็นกษัตริย์และปกครองประเทศไปและก็ได้รับการเป็นอิสระหลุดพ้นไปด้วยในเวลาเดียวกัน ถ้าไม่มีการรู้แจ้งแล้วแม้แต่การกลายเป็นพระก็เป็นการแสดงกิริยาอาการที่ว่างเปล่าเท่านั้น ไม่ได้ทำให้เรามีการยกระดับทางจิตวิญญาณขึ้นแต่อย่างใด เพราะว่าการตระหนักรู้และการสำนึกรู้ภายในเท่านั้นที่ปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระ ไม่ใช่แรงบังคับหรือลักษณะปรากฏหรือท่าทางการกระทำภายนอกที่สามารถนำสัจธรรมมาสู่เราได้ (คนปรบมือ) ขอบคุณ

ถ: อยากจะทราบว่าหลังจากประทับจิตแล้ว วิถีชีวิตจะเปลี่ยนไปหรือไม่?

อ: เปลี่ยนและไม่เปลี่ยน เปลี่ยนภายในไม่ใช่ภายนอก แน่นอน ลักษณะท่าทางภายนอกก็จะเปลี่ยนไปบ้างเช่นกัน ผู้ประทับจิตแล้วหลายคนกลายเป็นคนที่มีประโยชน์มากขึ้น สวยงามมากขึ้น มีความอดทนมากขึ้น มีความรักมากขึ้น แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเปลี่ยนแปลงภายในจากความโง่เขลาไม่รับรู้มาเป็นปัญญา ในอีกประการหนึ่งก็คือเราไม่ได้เรียกร้องต้องการให้เปลี่ยนวิธีการดำรงชีวิต หรือเปลี่ยนงาน เปลี่ยนศาสนาใดๆ เลย