ความหมายที่แท้จริงของศาสนาอิสลาม

 

ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ ณ กรุงไทเป ฟอร์โมซา
วันที่  6 มีนาคม 2531 (ต้นฉบับเป็นภาษาจีน)

 

ในคัมภีร์อัลกุรอ่านมีประโยคหนึ่งซึ่งมีความหมายดีมาก โดยได้กล่าวว่า เมื่ออยู่ในโลกนี้ เราควรเป็นแขกผู้มาเยือนที่ดีคนหนึ่ง ควรมีชีวิตที่หลากหลายสมบูรณ์แบบและมีความหมาย นี่คือสิ่งที่ได้กล่าวไว้ในคัมภีร์อัลกุรอ่านของศาสนาอิสลาม เมื่อฉันได้อ่านดูรู้สึกมีความหมายดีมาก เราคิดเพียงแต่ว่าศาสนาพุทธเท่านั้นจึงจะมีการสอนให้รู้ว่าโลกนี้อนิจจัง เราอยู่ที่นี่เป็นเพียงแขกผู้มาเยือนคนหนึ่งเท่านั้น อีกไม่นานเราก็ต้องจากไป คิดไม่ถึงว่าคัมภีร์อัลกุรอ่านของศาสนาอิสลามก็ได้กล่าวในสิ่งที่เหมือนๆ กัน ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เราจะถกเถียงกันมากมายไปเพื่ออะไร? ถกเถียงกันว่าศาสนาใดจะดีกว่ากัน? เราอ่านเพียงประโยคเดียวเท่านั้นก็รู้สึกว่ามีความหมายดีมาก! แม้ประโยคจะสั้นนิดแต่ความหมายกว้างสมบูรณ์มาก เวลาที่เราอยู่ในโลกนี้ เราควรใช้ชีวิตให้มีความหมาย มีความหลากหลายสมบูรณ์แบบและมีความอิสระเสรี

คัมภีร์อัลกุรอ่านของศาสนาอิสลามมีกล่าวถึงเสียงเช่นกัน มิเพียงแต่ศาสดาพระมะหะหมัดกล่าวถึงเท่านั้น ศิษย์ของท่านก็มีการกล่าวถึงด้วย เมื่อเราได้ยินเสียงขลุ่ยแล้ว ปัญญาของเราจะถูกเปิด ซึ่งจะทราบทุกสิ่งทุกอย่าง มีความผ่อนคลาย มีความสุข มีความอิสระและได้รับการหลุดพ้นในที่สุด! เสียงขลุ่ยดังกล่าวมิได้หมายถึงเสียงขลุ่ยภายนอก เราบำเพ็ญธรรมวิถีกวนอิมจะทราบดีว่าหมายถึงอะไร สิ่งที่กล่าวนี้ หมายถึงภูมิภพแห่งอันดับชั้นที่สูง แต่ว่าถ้าหากเราบอกว่าเรานับถือศาสนาอิสลามแต่ไม่เคยได้ยินเสียงขลุ่ยภายในเลย เราก็จะไม่ทราบว่าสิ่งที่กล่าวในคัมภีร์อัลกุรอ่านหมายถึงอะไร

หรือในพระคริสต์ธรรม พระเยซูตรัสว่า เธอได้ยินเสียงลมแต่เธอไม่ทราบว่าเสียงลมมาจากที่ใด และจากไปที่ใด เสียงลมนี้คงอยู่ ไปมาอิสระ เราได้ยินเสียงพุทธะที่คงอยู่ไปมาอิสระทั้งหลาย ก็คือการที่เราได้พบส่วนหนึ่งแห่งความมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง

อีกส่วนหนึ่งของพระองค์คือแสงและเราก็ไม่ทราบว่าแสงมาจากที่ใด ซึ่งแสงนี้ก็คือคุณสมบัติแห่งความมีอยู่ทุกหนทุกแห่งชนิดหนึ่ง คำว่าคงอยู่ตลอดกาลหมายถึง ไม่มาและไม่จากไป ไม่ทราบว่ามาจากที่ใดและจากไปที่ใด

ดังนั้น เราเห็นสิ่งที่มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง มิได้หมายความว่าเห็นบุคคลหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องพบท่านอมิตาภพุทธ หรือพระศากยมุนีพุทธเจ้า จึงจะเรียกว่าเห็นสิ่งที่มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง จริงอยู่ พระศากยมุนีพุทธเจ้าเรียกพระองค์เองว่าอยู่ทุกหนทุกแห่งไม่ผิด แต่ว่าสิ่งที่พระองค์ตรัสเป็นการบ่งชี้ทิศทางแห่งสัจธรรมเท่านั้น ความเป็นมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง เป็นประสบการณ์ภายใน เป็นคุณสมบัติแห่งความเป็นมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง หลังจากได้เห็นคุณสมบัตินี้แล้ว ปัญญาของเราจะเปิด เวรกรรมของเราจะหมดสิ้น เราจะเป็นอิสระ เราจะเข้าใจวงจรชีวิตของจักรวาลยิ่งๆ ขึ้นไป จนในที่สุด เราจะเข้าใจอย่างแท้จริงว่าสรรพสิ่งทั้งหลายเป็นหนึ่งเดียว เมื่อนั้นเราจะเข้าใจอันดับชั้นของท่านเหลาจื่อว่าเป็นอย่างไร เมื่อนั้นเราจะสรรเสริญท่านเหลาจื่อจากใจจริง เพราะเรามีประสบการณ์เหมือนๆ กัน เราพิสูจน์ได้แล้วสิ่งที่ท่านได้กล่าวว่า "สรรพสิ่งเป็นหนึ่งเดียวกัน" นั้นเป็นความจริง

 

ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ ณ สุราบายา อินโดนีเซีย
วันที่  1 มีนาคม 2536 (ต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ)

 ถ: หากชาวมุสลิมคนหนึ่งหันมารับประทานอาหารมังสวิรัติ แต่ในศาสนาของพวกเขา จะเข้าใจกันว่าพวกเขาควรเซ่นสังเวยทุกๆ ปี ...?

อ: การเซ่นไหว้ ของเซ่นไหว้มิได้หมายความว่า การเซ่นสังเวย ความจริงแล้ว บางครั้งการแปลจะผิดพลาด ตัวอย่างเช่น การแปลบางครั้งเข้าใจคำสอนของท่านอาจารย์ผิดไป ไม่มีอาจารย์ท่านใดต้องการเลือดใดๆ ทั้งสิ้น! จะเอาไปทำอะไร? เป็นอาจารย์ประเภทไหนกันที่ให้บริการแลกเปลี่ยนกับเลือดของสรรพสัตว์? มันน่าเชื่อไหมนั่น? เป็นเธอๆ จะทำไหม โดยที่เธอยังไม่ต้องเป็นอาจารย์ด้วยซ้ำ?

สิ่งที่ผู้อื่นฆ่ามาเรียบร้อยแล้ว บางทีเธออาจจะทานลงไป แต่ถ้าขอให้เธอฆ่าไก่หรือแพะด้วยตัวเธอเอง เธอก็ทำไม่ได้ แล้วอาจารย์ท่านหนึ่งจะคาดหวังให้ลูกศิษย์ทำสิ่งนองเลือดเช่นนี้ได้อย่างไร? มันเป็นเพียงความเข้าใจผิด ฉันจะบอกเธอว่าทำไม ตัวอย่างเช่น อาจารย์ทุกท่านจะกล่าวว่า เธอจะต้องมอบทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของเธอให้กับท่าน ในคัมภีร์ภควัตคีตาได้กล่าวไว้ว่า "มอบทุกสิ่งให้กับฉัน จดจำฉันเพียงผู้เดียว รักฉันเพียงผู้เดียว ยอมให้กับฉันเพียงผู้เดียว และมิใช่ใครอื่นใดนอกจากฉัน จงมอบทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอมีอยู่ให้กับฉัน ชีวิตของเธอ ครอบครัวของเธอ สมบัติของเธอ มอบทุกอย่างให้กับฉัน"

แต่ว่าท่านกฤษณะเคยเอาอะไรแม้สักเบี้ยหนึ่งจากอาร์จูนาหรือไม่ ไม่ว่าท่านจะต้องใช้หรือไม่ก็ตาม? ไม่ ท่านไม่เคยเอาอะไรไปเลย! ดังนั้น มันจึงเป็นเพียงคำกล่าวของท่านอาจารย์ "จงมอบโคของเธอให้กับฉัน มอบรถของเธอให้กับฉันมอบแพะของเธอให้กับฉัน มอบทองของเธอให้กับฉัน มอบภรรยาของเธอ ลุกๆ ของเธอให้กับฉัน มอบทุกสิ่งทุกอย่างให้กับฉัน ฉันจะดูแลพวกเขา" แต่ท่านไมเคยแตะต้องพวกเขาเลย

มันเป็นเพียงความรู้สึกในวิญญาณว่า ให้เธอมอบทุกสิ่งทุกอย่างอยู่แทบเท้าอาจารย์เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการถวายตัวและยินยอม เป็นสัญลักษณ์แห่งความไร้อัตตาในความหมายว่า "ฉันไร้สิ่งใด รวมทั้งตนเอง ทุกๆ สิ่งคือของท่านอาจารย์" ทีนี้เมื่อผ่านไปหลายๆ ศตวรรษ หลายๆ พันปี ผู้คนก็แปลออกมาแตกต่างไป เธอจะต้องทำการสังเวยครั้งแรกด้วยลูกแกะตัวแรก สิ่งแรกทุกๆ อย่าง ใครหรือจะอยากรับการสังเวยนองเลือดแบบนี้?

เธอคิดหรือไม่ว่า ไม่ต้องให้ถึงระดับของอาจารย์หรอก มนุษย์ปุถุชนธรรมดาที่มีความเมตตากรุณาในระดับปานกลางจะสามารถคิดฆ่าแพะด้วยตนเองแล้วดื่มเลือด หรือรับประทานอะไรก็ตามจากตัวมันได้ลงคอหรือ แล้วก็ยังมีความสุขอยู่ได้? เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้น้อยมาก! ทุกวันนี้ผู้คนแค่จ่ายเงินซื้อหามาในตลาดและไม่เห็นตอนที่มันถูกฆ่า และไม่เห็นตอนที่มันทุกข์ทรมาน พวกเขาซื้อเหมือนเป็นช็อกโกแลตชิ้นหนึ่ง และรับประทานลงไปโดยไม่รู้สึกถึงความทุกข์ทรมานของสัตว์สักเท่าใด แต่ถ้าเป็นอาจารย์ท่านหนึ่ง อาจารย์อย่างที่มีความรักให้กับตัวตนทุกประเภท จะเรียกร้องให้เซ่นสังเวยท่านด้วยเลือด เธอจะเชื่ออย่างนั้นหรือ? ไม่มีใครเชื่อได้หรอก!

 

ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ ณ ปารีส ฝรั่งเศส
วันที่  25 เมษายน 2536 (ต้นฉบับเป็นภาษาฝรั่งเศสและภาษาอังกฤษ)

: คำถามนี้เกี่ยวกับพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ ฉันมักจะมีข้อสงสัยเกี่ยวกับพระคัมภีร์อัลกุรอ่าน ในพระคัมภีร์มีกล่าวไว้ว่า "ฉันเป็นพระเจ้าผู้อิจฉาริษยา" และพระคริสต์กล่าวว่า "ฉันมิได้มาที่นี่เพื่อสันติภาพ แต่เพื่อการสงคราม"  ในคัมภีร์อัลกุรอ่านมีกล่าวไว้ว่า เราทำสงครามกันได้และสามารถมีภรรยาได้หลายคน เหล่านี้เป็นข้อผิดพลาดอะไรหรือเปล่า?

: ฉันบอกให้เธอปฏิบัติตามศีล 5 เธอไม่ควรฆ่า ไม่ควรประพฤติผิดทางการ ควรทานอาหารมังสวิรัติ ไม่ลักขโมย ไม่เล่นการพนัน นั่นเป็นเรื่องง่ายดายสำหรับชีวิตของเธอ เพียงแค่ทำตามนั้นแล้วก็ทำสมาธิ 2 ชั่วโมงครึ่ง หนังสืออื่นๆ ที่เธออ่านนั้นฉันไม่อาจจะรับผิดชอบได้

แต่หากเขาเป็นชาวมุสลิมอยู่แล้ว เป็นต้น แน่นอน ฉันจะไม่บอกให้เขาเปลี่ยนชีวิตของเขา ตัวอย่างเช่น หากเขามีภรรยาอยู่แล้ว 10 คน เนื่องด้วยประเพณีของพวกเขาก่อนที่เขาจะมารู้จักกับฉัน ฉันควรจะบอกให้พวกเขายากทางกับภรรยาอย่างนั้นหรือ? พวกเขาอยู่ด้วยกันอย่างสมานฉันท์ ภรรยาทั้ง 10 อาศัยอยู่ด้วยกัน และพวกเขาก็ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน

เรามิได้มาที่นี่เพื่อเปลี่ยนแปลงโลก แต่เพื่อเปลี่ยนแปลงตนเอง หากชาวมุสลิมเป็นเช่นนั้นก็ปล่อยเขาไป และเดี๋ยวนี้พวกเขาไม่จำเป็นต้อง "แฟร์ลาแกร์" อีกต่อไปแล้ว พวกเขาไม่ต้องทำสงครามอีกต่อไปแล้ว พวกเขาจึงติดตามฉันได้ หากพวกเขาต้องการคงอยู่กับนิสัยที่ชอบทำสงคราม พวกเขาก็สามารถอยู่นอกวงของพวกเราได้

มิใช่เพียงชาวมุสลิมเท่านั้นที่ชอบทำสงคราว ชาวคริสเตียนและชาวพุทธก็เช่นกัน ทุกๆ คนก็ชอบเช่นกัน พวกเขาเข้าใจคำสอนของผู้ที่มาแต่ในเบื้องต้นผิดไป พระพุทธเจ้าไม่เคยทำสงครามแต่ชาวพุทธบางคนทำ พระคริสต์ไม่เคยกล่าวว่าท่านมาเพื่อทำสงคราม สิ่งที่ท่านหมายความคือ พระองค์มิได้มาเพื่อความสงบแต่มาด้วยดาบ พระองค์ตรัสว่า พระองค์จะให้บุตรขัดแย้งกับบิดาและอื่นๆ สิ่งที่พระองค์หมายความคือพันธะทางกรรมจะถูกตัดขาดสะบั้นไป ว่าพระองค์ได้มาด้วยดาบแห่งปัญญา และแม้กระทั่งความยึดติดกับความผูกพันทางครอบครัวใดๆ จะเป็นเสมือนไม่มีตัวตนอยู่ ดังนั้น ถึงแม้วาบิดาจะเชื่อถือในการรับประทานเนื้อสัตว์ แต่บุตรก็จะกันมารับประทานอาหารมังสวิรัติ

และตัวอย่างเช่น หากสมาชิกครอบครัวยึดติดกับกันและกันและมีสายสัมพันธ์กันด้วยความรักอันจำกัด หลังจากประทับจิตแล้ว พวกขาก็จะรักกันซึ่งกันและกันราวกับที่พวกเขารักผู้ประทับจิตอื่นๆ ผองพี่น้องอื่นๆ พระองค์ได้หมายความว่าอย่างนั้น

และดังที่เธอทราบ สิ่งเดียวกันได้เกิดขึ้นภายในกลุ่มของเราด้วยเช่นกัน ถึงแม้ว่าผู้ปกครองได้ใช้อำนาจของผู้ปกครองเพื่อบังคับให้ลูกๆ ของเรารับประทานเนื้อสัตว์ พวกเขาก็จะไม่ยอมรับประทาน ดังนั้น นั่นคือลักษณะของ "การขัดแย้งกับบิดามารดา" ในกรณีนั้นมันเป็นเช่นนั้น แต่พระคริสต์ไม่เคยสนับสนุนการทำสงคราม นั่นคือสาเหตุที่พระองค์ได้ตรัสว่า "อะไรเป็นของซีซาร์ ก็จงให้ซีซาร์ไป" แล้วเมื่อผู้คนจับพระองค์มาตรึงกางเขน พระองค์ก็มิได้ต่อสู้อันใดถึงแม้ว่าพระองค์อาจทำเช่นนั้นก็ได้ พระองค์มีแรงสนับสนุนของสานุศิษย์มากมายหลายคน และพวกเขาต้องการตั้งพระองค์ให้เป็นกษัตริย์ของชาวยิว แต่พระองค์ไม่ได้ต้องการเช่นนั้น พระองค์ได้ตรัสว่า "อาณาจักรของฉันมิได้อยู่บนโลกนี้"

ดังนั้น เธอจะเห็นได้ว่าพระคริสต์ เป็นบุรุษแห่งสันติภาพ สงครามที่พระองค์ได้กล่าวถึงนั้น คือสงครามในจิตวิญญาณซึ่งเราเหล่าสานุศิษย์จะทำการต่อสู้กับภาพหลอนแห่งมายา กับกลและกับดักแห่งมายา กับพลังของมายา ภาพลวง กษัตริย์แห่งความมืดซึ่งรั้งเราไว้ให้ยึดติด นั่นคือสิ่งที่เราต่อสู้ด้วย

ปกติแล้ว ฉันไม่ชอบการโต้เถียงกันทางความคิด แต่ฉันเข้าใจว่าพวกเธอยังใหม่ ดังนั้นฉันจะพยายามอย่งดีที่สุดที่จะลดลงมาอยู่เคียงข้างเธอ มิฉะนั้นแล้ว ฉันเบื่อการโต้เถียงและการปลุกปล้ำกันทางความคิด คราวนี้ ตามคัมภีร์อัลกุรอ่าน เขาอนุญาตให้ผู้คนต่อสู้ได้ มิใช่ทำสงครามแต่ป้องกันตัวเอง เธอจะต้องพิจารณายุคสมัยและสภาพแวดล้อมซึ่งท่านศาสดามะหะหมัดอาศัยอยู่พร้อมกับลูกศิษย์ของท่าน พวกเขาถูกข่มเหง เพราะสมัยนั้นไม่ค่อยเข้าใจว่าอาจารย์ที่มีชีวิตอยู่นั้นคืออะไร เป็นเหตุผลเดียวกันที่เขาฆ่าพระเยซูและใส่ร้ายป้ายสี และพยายามลอบสังหารพระพุทธเจ้า

สิ่งเดียวกันกำลังเกิดขึ้นทุกวันนี้เช่นกัน มีบางคนใส่ร้ายป้ายสีฉันและสร้างปัญหามากมายด้วยความเข้าใจผิด พวกเขาไม่ให้เวลาตนเองที่จะเรียนรู้สิ่งที่ฉันพยายามสอน พวกเขาจับมาเพียงประโยค หรือ 2 ประโยค ซึ่งอาจจะพิมพ์ผิดไปหรือถูกตีความผิดไป หรือพวกเขาอาจเพียงได้ยินที่คนอื่นพูดมาแล้วก็พยายามสร้างปัญหา แต่นั่นก็เป็นเพียงคนจำนวนน้อยมากเมื่อเทียบกับคนส่วนใหญ่ที่ดีเช่นเธอ ดังนั้น จึงไม่เป็นปัญหา

แต่สมัยท่านศาสดามะหะหมัดยังมีชีวิตอยู่ สภาพการณ์ย่ำแย่อย่างยิ่ง พวกเขาถูกไล่ล่าและข่มเหงทำร้ายทุกหนแห่ง ดังนั้น พวกเขาจึงต้องปกป้องตนเอง และผลที่เกิดตามมาจากสงครามก็คือ พวกเขาแต่งงาน มีภรรยาหลายคน เพราะผู้ชายเสียชีวิตไปเป็นจำนวนมากในสนามรบ และทิ้งแม่ม่ายกับเด็กๆ ไร้ความดูแลไว้มากมายหลายคน ท่านศาสดาหรือผู้นำก็จะบอกว่า "จงรับพวกเขาไว้ในมือของท่านและดูแลผู้อ่อนแอและผู้ไร้ดาบ รักเขาเช่นเดียวกับที่เธอรักภรรยาของตนเองหรือลูกของตนเอง" แน่นอน ! แต่มันไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องของทางกายเสมอไป

ตัวอย่างเช่น บางครั้งสามีของเพื่อนประทับจิตเสียชีวิตไป หรืออะไรทำนองนั้น หรือภรรยาเสียชีวิตไป แล้วก็มีเด็กๆ ถูกทิ้งอยู่ แล้วเราก็นำพวกเขาไปอยู่บ้านเพื่อนประทับจิตอีกคนหนึ่งและดูแลพวกเขาเช่นกัน แต่มันไม่จำเป็นเรื่องการถูกเนื้อต้องตัวกันทางร่างกาย เป็นเพียงการดูแลพวกเขาราวผองพี่น้อง เหมือนกับลูกๆ ของตนเอง สามีหรือภรรยาของตนเอง ดังนั้น ท่านศาสดากล่าวว่า "หากเธอรับภรรยาจำนวนมากเข้าบ้านของเธอ เธอจะต้องดูแลพวกเขาเท่าเทียมกัน" ด้วยข้อแม้เช่นนี้ เธอสามารถรับภรรยาเข้าบ้านได้หลายคน ตัวอย่างเช่น หากเธอมอบเครื่องเพชรชุดหนึ่งให้ภรรยาของเธอ เธอจะต้องสามารถทำอย่างเดียวกันให้กับคนอื่น เมื่อนั้นเธอก็จะรับพวกเขาเข้าสู่อ้อมแขนของเธอได้ และดูแลพวกเขา

เรื่องนี้คล้ายระบบประกันสังคมในสมัยนี้ ศิวิไลซ์เป็นอย่างยิ่ง หากเธอต้องการรับบุตรบุญธรรม เธอจะต้องแจ้งให้รัฐบาลทราบว่าเธอมีเงินอยู่ในธนาคารเพียงพอหรือไม่ เธอมีทรัพย์สินมากมายเท่าใดเพื่อดูว่าเธอสามารถดูแลเด็กคนนั้นได้หรือไม่ เห็นหรือไม่ว่าเป็นเรื่องศิวิไลซ์ ถึงแม้ว่าในสมัยนั้นไม่มีกฎเกณฑ์ประกันสังคม ชาวอิสลามเป็นเช่นนั้น ดังนั้น หากเราต้องการศึกษาคำสอนทางศาสนาหนึ่งๆ เราควรศึกษาจนถึงที่สุดจนไร้ข้อกังขาใดๆ โดยสิ้นเชิง แต่หากเราเพียงจับมา 1 หรือ 2 ประโยคแล้วกล่าวว่า "มันไม่ดี ชาวมุสลิมไม่ดี" เมื่อนั้นเราก็มีอคติเสียแล้ว

 

ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ ณ ปารีส ฝรั่งเศส
วันที่  24 เมษายน 2536 (ต้นฉบับเป็นภาษาฝรั่งเศส)

: คำสอนของท่านสอดคล้องกับศาสนาอิสลามหรือไม่?

: สอดคล้องสิ ทำไมจะไม่ล่ะ? ศาสนาอิสลามสอนคนให้เป็นอาคันตุกะที่ดีบนโลกนี้ และสอนว่ามันจำเป็นที่จะแสวงหาสวรรค์ในขณะที่เรามีชีวิตอยู่ ฉันก็เสนอในสิ่งเดียวกันนี้เช่นกัน ฉันบอกให้เธอเชื่อในศีล 5 ซึ่งมอบความสูงส่ง ปัญญา และสันติภาพบนโลกนี้ให้กับเรา ฉันยังเสนอวิถีในการค้นพบพระเจ้าได้ในทันใดให้กับเธอ ดังนั้น วิถีของเราสอดคล้องกับศาสนาที่ดีๆ ทั้งหลาย