บทบาทของผู้ที่เป็นอาจารย์

 

ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ ที่มหาวิทยาลัยแห่งแคลิฟอร์เนีย ในเบิร์คลี่, สหรัฐอเมริกา
13 ตุลาคม 1989 (เดิมเป็นภาษาอังกฤษ)

 

: กรุณาอธิบายความแตกต่างระหว่างอาจารย์ที่รู้แจ้ง, พุทธะ, โพธิสัตว์ อย่างไหนใกล้เคียงเหมาะสมกับตัวท่านมากที่สุด? 

: เหมาะสมกับตัวฉันนะหรือ? ฉันไม่สนใจหรอกว่าเธอจะเรียกฉันว่าอะไร  เรียกฉันว่าอะไรก็ได้แล้วแต่เธออยากจะเรียก เธอเข้าใจไหมว่าฉันเป็นคนเก็บขยะ (อาจารย์และผู้ฟังหัวเราะ) ใช่แล้ว ฉันเก็บขยะมนุษย์  และก็ทำความสะอาดพวกเขาเพื่อที่โลกจะได้มีบรรยากาศที่ดีขึ้น  สอดคล้องกลมกลืนมากขึ้น  และผู้คนจะได้มีความทุกข์ทรมานน้อยลง  และก็ฉลาดขึ้น  ฉันเก็บ “ขยะ” ของพวกเขามาแล้วก็ให้ “อัญมณี” แก่พวกเขา  ให้ปัญญาแก่พวกเขา  ฉันรับเอากรรมและความทุกข์ของพวกเขามาแล้วก็ให้ความสุข  ความยินดีแก่พวกเขา  เพราะฉะนั้น  เธออาจจะเรียกฉันว่า “คนเก็บขยะ” ก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่งใหญ่โตอย่างเช่น พุทธะ หรือโพธิสัตว์หรอก  มันทำให้ฉันกลัวจะตายอยู่แล้ว  มันแสดงถึงตำแหน่งที่รุ่งโรจน์มาก  ที่จริงแล้วฉันแค่เก็บ “ขยะ” เท่านั้น เก็บบรรยากาศที่เลวๆ ในทางลบทั้งหลาย และสิ่งที่กระจัดกระจายไปทั่วที่ทำให้โลกนี้ทุกข์ยากเหลือทน  ฉันเก็บมันมาเผาหมดและทำให้สะอาดขึ้น  แล้วฉันพอจะช่วยเธอได้ไหม? ฉันจะขอให้เธอช่วยฉันในรายการ “เก็บขยะ” นี้บ้างได้ไหม? โดยให้เธอมาร่วมกับเราทำสมาธิถึงพลังทางบวก  ถึงพลังของพระเจ้าซึ่งทรงพลานุภาพมาก  เราจะสามารถชำระล้างบาปทั้งหลาย  สามารถอวยพรโลกนี้ได้  นี่คืองานของฉัน  เธออาจจะมาร่วมด้วยก็ได้  แล้วก็เป็นแบบเดียวกัน  ไม่จำเป็นต้องมีพุทธะและโพธิสัตว์หรอก  ฟังดูมีเกียรติสูงส่งมากไป (อาจารย์หัวเราะ)

ความจริงเราทำงานหนักมาก  ใครที่ไปถึงระดับนี้  และได้รับการมอบหมายจากพระเจ้าก็จะเป็นอาสาสมัครมาช่วยสรรพสัตว์  เราทำงานกันหนักมากและก็ลำบากทุกข์ยาก  ไม่มีเกียรติมากนักหรอกในโลกนี้  เธออาจจะมีเกียรติเวลาเธอกลับไปสวรรค์  กลับไปแดนพุทธะแล้ว  แต่ที่นี่ในโลกนี้ไม่มีอะไรมากนักหรอกสำหรับพุทธะทั้งหลาย

: ท่านพอจะบอกเราได้ไหมว่า ใครจะเป็นอาจารย์ที่เราสมควรไปเรียนเรื่องศาสนาจากเขา?

: มันเป็นอย่างนี้นะ คือ เราไม่ได้ปฏิบัติตามครู เราเพียงแต่ปฏิบัติตามคำสอน  เพราะฉะนั้นเราจะไม่มีทางเสียหรือทำอะไรผิด  ในกรณีที่ครูเกิดผิดไปจากเดิม  ในขณะที่คำสอนยังใช้ได้อยู่  เราก็ปฏิบัติตามคำสอนไป  เราต้องดูว่าคำสอนหรือการสอนนั้นถูกต้องหรือไม่ ตัวอย่างเช่น เธอก็ดูว่าหลักธรรมจรรยาของฉันถูกหรือไม่ถูก  ดูว่าสิ่งใดที่ฉันสอน  ฉันปฏิบัติตามนั้นหรือไม่  ตัวอย่างเช่น ฉันสอนเธอว่าอย่ากินเนื้อ ฉันก็กินมังสวิรัติเช่นกัน  ฉันยังสอนเธอไม่ให้ลักขโมย และฉันก็ไม่ขโมยเหมือนกัน ฉันสอนให้เธอทำกุศลให้ทาน ฉันเองก็ให้ทานทำกุศล  ฉันสอนให้เธอรักผู้คน ฉันก็รักผู้คนจริง ๆ และก็ช่วยเหลือผู้คนอย่างไม่มีเงื่อนไขใด ๆ ฉันไม่รับเงินสำหรับคำสอนที่ฉันให้ไป  ฉันหาเงินของฉันเอง  เพราะฉะนั้นเธอก็ไม่มีอะไรจะต้องสูญเสียเลยนอกจากจะได้กำไร

และมาตรฐานทางศีลธรรมทุกอย่างที่บรรยายในคัมภีร์ทางพุทธ และในคัมภีร์ไบเบิลของศาสนาคริสต์  ฉันก็เอามาถ่ายทอดแก่เธออีก  เพราะฉะนั้นฉันไม่ได้สอนอะไรใหม่เลย  ไม่ใช่อะไรที่ไม่อมตะ  ไม่ใช่อะไรที่ไม่ถูกศีลธรรมจรรยา  ฉะนั้นเธอก็อาจจะรู้สึกปลอดภัยที่รู้ว่าครูของเธอจะไม่สอนอะไรเธอผิดๆ  นอกเหนือออกไปจากในคัมภีร์  ฉันสอนเธอทุกอย่างจากคัมภีร์ต่างๆ ตั้งแต่โบราณกาลมาแล้ว  การประพฤติปฏิบัติตามศีลธรรมจรรยาไม่เคยเปลี่ยนแปลง  ฉันสอนเธอแบบนั้น  และฉันก็ทำแบบนั้นเหมือนกัน  เพราะฉะนั้น  เธอก็รู้ว่าอย่างน้อยที่สุด  ฉันก็ไม่ใช่ครูแบบที่เลว (อาจารย์หัวเราะ) และคำสอนก็ถูกต้องใช่ไหม?

และการทำสมาธิจะทำให้เธอมีปัญญา  มีความสงบในใจ  ไม่สำคัญว่าจะเป็นเทคนิคใด  มันจะช่วยเธอได้บ้างเหมือนกัน  ฉะนั้นก็ไม่มีข้อยกเว้นอะไรสำหรับเทคนิคของเราด้วย  ฉันเพียงแต่บอกเธอว่ามันเป็นเทคนิคที่รวดเร็วที่สุดแค่นั้นเอง  แต่เธออาจจะไม่  เธอไม่ต้องเชื่อฉันก็ได้  ฉันเพียงแต่ให้ข้อมูลแก่เธอแล้วตอนนี้เธอก็มีทางเลือกของเธอเองแล้ว  ฉันเพียงแต่บอกความจริง  ถ้ามันเร็วฉันก็บอกว่ามันเร็วมาก  และฉันก็เป็นนักบวชด้วย ฉันโกหกไม่ได้อยู่แล้ว แม้กระทั่งคนทั่วไปก็จะไม่โกหกกันแล้วนักบวชจะโกหกไปเพื่ออะไร  และฉันก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องโกหกด้วย  เพราะว่าฉันไม่ต้องการเงินของเธอ  ฉันไม่ต้องการอะไรเลย  และฉันก็ไม่ได้อาศัยอยู่ที่นี่ด้วยซ้ำไป  ฉันไม่ได้ประโยชน์อะไรจากเธอเลย  ฉันอาจจะจากไปในวันพรุ่งนี้แล้วก็ได้ด้วยซ้ำ   หรือเธออาจจะจากฉันไปแล้วก็ไม่มีวันได้พบกันอีกก็ได้  สวัสดีลาแล้ว  เพราะฉะนั้น  ฉันไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย

อา! ฉะนั้นจากเหตุผลนี้  เธอก็ปลอดภัยดี  เธอปฏิบัติตามคำสอนเท่านั้นอย่ามาติดตามตัวฉัน  คำสอนจะอยู่กับเธอเสมอ  และเธอไม่จำเป็นจะต้องมาติดตามตัวฉัน  ถ้าหากเธอต้องการคำแนะนำเป็นการส่วนตัวในเรื่องบางอย่างระหว่างที่เธอปฏิบัติสมาธิไป  เธออาจจะเขียนมาหาฉันก็ได้  ปัจจุบันนี้มันไม่จำเป็นที่จะติดสอยห้อยตามผู้เป็นอาจารย์อยู่ตลอดเวลา   หรือเธออาจจะไปฟอร์โมซาหรือที่ไหนก็ได้ที่ฉันพักอยู่  ร่างกายนี้เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏภายนอกเท่านั้น  เป็นบ้าน  เป็นสำนักงาน เพื่อที่เธอจะได้เห็นตัวฉันได้  ถ้าฉันใช้แต่เจตภูติ (Spiritual body) เท่านั้น  เธอก็จะมองไม่เห็นฉันเลย  และเวลาที่ฉันพูด  เธอก็จะไม่ได้ยิน  แล้วฉันจะนำข่าวสารมาบอกเธอได้อย่างไร  ฉันจึงต้องใช้ร่างกาย  และนั่นก็คือประโยชน์ของร่างกาย  ร่างกายนี้ไม่มีประโยชน์อะไรมากมายในแง่อื่นนักหรอก

เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นต้องกลัวว่าพอฉันจากไปแล้วเธอจะไม่มีใครอยู่ด้วย  เธอจะมีใครบางคนอยู่กับเธอเสมอ  และเธออาจจะเห็นฉันปรากฏร่างอยู่ในบ้านของเธอเหมือนอย่างนี้ก็ได้ด้วยซ้ำ  ถ้าเธอมีความจริงใจ  และมีระดับชั้นที่สูงพอ  เธอก็จะเห็นผู้เป็นอาจารย์มาหาเธอ  และเธอก็จะเห็นผู้เป็นอาจารย์ตลอดเวลาที่เธอต้องการ  ไม่จำเป็นจะต้องยึดติดอยู่กับร่างกายเนื้อนี้เลย  

 

 
ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด, สหรัฐอเมริกา
28 ตุลาคม 1989 (เดิมเป็นภาษาอังกฤษ)

 

: เกณฑ์ในการเลือกอาจารย์  มีอะไรบ้าง?

: ถ้าเธอรู้แจ้งอยู่บ้าง  เธอก็จะรู้ทันทีว่าใครกำลังพูดถึงอะไร  ถ้าอาจารย์ท่านใดซึ่งอ้างตนว่าเป็นอาจารย์ที่แท้จริง สามารถทำให้เธอมีประสบการณ์ของแสงและเสียงแห่งสวรรค์ หรือได้เห็นสวรรค์บางอย่างซึ่งอาจารย์ท่านนั้นเคยไปมาแล้ว  สามารถแบ่งปันพลังของท่านบางส่วนให้แก่เธอได้ทันที  ท่านนั้นแหละคือผู้ที่เธอเรียกได้ว่าเป็นอาจารย์ที่แท้จริง

นอกจากนี้อาจารย์ที่แท้จริงสามารถปรากฏตัวได้ทุกหนทุกแห่ง  ทุกเวลา  โดยไม่ต้องอาศัยวิธีการทางด้านวัตถุ  ไม่ต้องอาศัยการเดินทาง  นี่คือเกณฑ์ข้อที่ 2  แต่ก่อนที่เธอจะมาถึงจุดนี้ เธอก็ต้องเลือกอาจารย์โดยดูจากคำพูดของท่านว่าตรงกับใจของเธอหรือไม่? มีเหตุผลหรือไม่? ฉลาดเพียงพอหรือไม่? ตอบคำถามของเธอได้ทุกข้อหรือไม่?

ลองพิจารณาดูคุณธรรมของอาจารย์ท่านนั้น  ดูว่าท่านไม่ต้องการชื่อเสียงเกียรติยศจริงหรือไม่? ไม่มีความต้องการอะไรเลยหรือ? นี่เป็นลักษณะภายนอก  ส่วนทางด้านภายในจะดูได้ตอนที่เธอประทับจิต  แล้วเธอก็จะรู้ว่าอาจารย์ท่านนั้นมีพลังหรือไม่

เมื่อเธอบำเพ็ญอย่างจริงใจ  อาจารย์จะปรากฏมาได้ทุกแห่ง ทุกเวลา เพื่อที่จะช่วยเธอ  และเป็นเช่นนั้นมากขึ้นๆ ทุกวัน มิฉะนั้นแล้ว เธอจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นอาจารย์  ถ้าเขาไม่ได้ให้เงินแก่เธอเลย เธอจะเชื่อหรือว่าเขามีเงิน? เพราะฉะนั้น ถ้าเขารู้แจ้งจริง เขาก็ควรต้องให้แสงแก่เธอได้บ้าง  ฉันหมายถึงว่า เธอก็ต้องได้รับการรู้แจ้งด้วย