ถ
:
กรุณาอธิบายความแตกต่างระหว่างอาจารย์ที่รู้แจ้ง, พุทธะ,
โพธิสัตว์ อย่างไหนใกล้เคียงเหมาะสมกับตัวท่านมากที่สุด?
อ
:
เหมาะสมกับตัวฉันนะหรือ?
ฉันไม่สนใจหรอกว่าเธอจะเรียกฉันว่าอะไร
เรียกฉันว่าอะไรก็ได้แล้วแต่เธออยากจะเรียก
เธอเข้าใจไหมว่าฉันเป็นคนเก็บขยะ
(อาจารย์และผู้ฟังหัวเราะ) ใช่แล้ว ฉันเก็บขยะมนุษย์
และก็ทำความสะอาดพวกเขาเพื่อที่โลกจะได้มีบรรยากาศที่ดีขึ้น
สอดคล้องกลมกลืนมากขึ้น
และผู้คนจะได้มีความทุกข์ทรมานน้อยลง และก็ฉลาดขึ้น
ฉันเก็บ ขยะ
ของพวกเขามาแล้วก็ให้ อัญมณี
แก่พวกเขา ให้ปัญญาแก่พวกเขา
ฉันรับเอากรรมและความทุกข์ของพวกเขามาแล้วก็ให้ความสุข
ความยินดีแก่พวกเขา เพราะฉะนั้น เธออาจจะเรียกฉันว่า
คนเก็บขยะ
ก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่งใหญ่โตอย่างเช่น พุทธะ
หรือโพธิสัตว์หรอก มันทำให้ฉันกลัวจะตายอยู่แล้ว
มันแสดงถึงตำแหน่งที่รุ่งโรจน์มาก ที่จริงแล้วฉันแค่เก็บ
ขยะ
เท่านั้น เก็บบรรยากาศที่เลวๆ ในทางลบทั้งหลาย
และสิ่งที่กระจัดกระจายไปทั่วที่ทำให้โลกนี้ทุกข์ยากเหลือทน
ฉันเก็บมันมาเผาหมดและทำให้สะอาดขึ้น
แล้วฉันพอจะช่วยเธอได้ไหม? ฉันจะขอให้เธอช่วยฉันในรายการ
เก็บขยะ
นี้บ้างได้ไหม?
โดยให้เธอมาร่วมกับเราทำสมาธิถึงพลังทางบวก
ถึงพลังของพระเจ้าซึ่งทรงพลานุภาพมาก
เราจะสามารถชำระล้างบาปทั้งหลาย สามารถอวยพรโลกนี้ได้
นี่คืองานของฉัน เธออาจจะมาร่วมด้วยก็ได้
แล้วก็เป็นแบบเดียวกัน
ไม่จำเป็นต้องมีพุทธะและโพธิสัตว์หรอก
ฟังดูมีเกียรติสูงส่งมากไป (อาจารย์หัวเราะ)
ความจริงเราทำงานหนักมาก ใครที่ไปถึงระดับนี้
และได้รับการมอบหมายจากพระเจ้าก็จะเป็นอาสาสมัครมาช่วยสรรพสัตว์
เราทำงานกันหนักมากและก็ลำบากทุกข์ยาก
ไม่มีเกียรติมากนักหรอกในโลกนี้
เธออาจจะมีเกียรติเวลาเธอกลับไปสวรรค์
กลับไปแดนพุทธะแล้ว
แต่ที่นี่ในโลกนี้ไม่มีอะไรมากนักหรอกสำหรับพุทธะทั้งหลาย
ถ
: ท่านพอจะบอกเราได้ไหมว่า
ใครจะเป็นอาจารย์ที่เราสมควรไปเรียนเรื่องศาสนาจากเขา?
อ
:
มันเป็นอย่างนี้นะ คือ
เราไม่ได้ปฏิบัติตามครู เราเพียงแต่ปฏิบัติตามคำสอน
เพราะฉะนั้นเราจะไม่มีทางเสียหรือทำอะไรผิด
ในกรณีที่ครูเกิดผิดไปจากเดิม
ในขณะที่คำสอนยังใช้ได้อยู่ เราก็ปฏิบัติตามคำสอนไป
เราต้องดูว่าคำสอนหรือการสอนนั้นถูกต้องหรือไม่
ตัวอย่างเช่น เธอก็ดูว่าหลักธรรมจรรยาของฉันถูกหรือไม่ถูก
ดูว่าสิ่งใดที่ฉันสอน ฉันปฏิบัติตามนั้นหรือไม่
ตัวอย่างเช่น ฉันสอนเธอว่าอย่ากินเนื้อ
ฉันก็กินมังสวิรัติเช่นกัน ฉันยังสอนเธอไม่ให้ลักขโมย
และฉันก็ไม่ขโมยเหมือนกัน ฉันสอนให้เธอทำกุศลให้ทาน
ฉันเองก็ให้ทานทำกุศล ฉันสอนให้เธอรักผู้คน
ฉันก็รักผู้คนจริง ๆ
และก็ช่วยเหลือผู้คนอย่างไม่มีเงื่อนไขใด ๆ
ฉันไม่รับเงินสำหรับคำสอนที่ฉันให้ไป ฉันหาเงินของฉันเอง
เพราะฉะนั้นเธอก็ไม่มีอะไรจะต้องสูญเสียเลยนอกจากจะได้กำไร
และมาตรฐานทางศีลธรรมทุกอย่างที่บรรยายในคัมภีร์ทางพุทธ
และในคัมภีร์ไบเบิลของศาสนาคริสต์
ฉันก็เอามาถ่ายทอดแก่เธออีก
เพราะฉะนั้นฉันไม่ได้สอนอะไรใหม่เลย
ไม่ใช่อะไรที่ไม่อมตะ ไม่ใช่อะไรที่ไม่ถูกศีลธรรมจรรยา
ฉะนั้นเธอก็อาจจะรู้สึกปลอดภัยที่รู้ว่าครูของเธอจะไม่สอนอะไรเธอผิดๆ
นอกเหนือออกไปจากในคัมภีร์
ฉันสอนเธอทุกอย่างจากคัมภีร์ต่างๆ ตั้งแต่โบราณกาลมาแล้ว
การประพฤติปฏิบัติตามศีลธรรมจรรยาไม่เคยเปลี่ยนแปลง
ฉันสอนเธอแบบนั้น และฉันก็ทำแบบนั้นเหมือนกัน
เพราะฉะนั้น เธอก็รู้ว่าอย่างน้อยที่สุด
ฉันก็ไม่ใช่ครูแบบที่เลว (อาจารย์หัวเราะ)
และคำสอนก็ถูกต้องใช่ไหม?
และการทำสมาธิจะทำให้เธอมีปัญญา มีความสงบในใจ
ไม่สำคัญว่าจะเป็นเทคนิคใด มันจะช่วยเธอได้บ้างเหมือนกัน
ฉะนั้นก็ไม่มีข้อยกเว้นอะไรสำหรับเทคนิคของเราด้วย
ฉันเพียงแต่บอกเธอว่ามันเป็นเทคนิคที่รวดเร็วที่สุดแค่นั้นเอง
แต่เธออาจจะไม่ เธอไม่ต้องเชื่อฉันก็ได้
ฉันเพียงแต่ให้ข้อมูลแก่เธอแล้วตอนนี้เธอก็มีทางเลือกของเธอเองแล้ว
ฉันเพียงแต่บอกความจริง ถ้ามันเร็วฉันก็บอกว่ามันเร็วมาก
และฉันก็เป็นนักบวชด้วย ฉันโกหกไม่ได้อยู่แล้ว
แม้กระทั่งคนทั่วไปก็จะไม่โกหกกันแล้วนักบวชจะโกหกไปเพื่ออะไร
และฉันก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องโกหกด้วย
เพราะว่าฉันไม่ต้องการเงินของเธอ ฉันไม่ต้องการอะไรเลย
และฉันก็ไม่ได้อาศัยอยู่ที่นี่ด้วยซ้ำไป
ฉันไม่ได้ประโยชน์อะไรจากเธอเลย
ฉันอาจจะจากไปในวันพรุ่งนี้แล้วก็ได้ด้วยซ้ำ
หรือเธออาจจะจากฉันไปแล้วก็ไม่มีวันได้พบกันอีกก็ได้
สวัสดีลาแล้ว เพราะฉะนั้น ฉันไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย
อา!
ฉะนั้นจากเหตุผลนี้ เธอก็ปลอดภัยดี
เธอปฏิบัติตามคำสอนเท่านั้นอย่ามาติดตามตัวฉัน
คำสอนจะอยู่กับเธอเสมอ
และเธอไม่จำเป็นจะต้องมาติดตามตัวฉัน
ถ้าหากเธอต้องการคำแนะนำเป็นการส่วนตัวในเรื่องบางอย่างระหว่างที่เธอปฏิบัติสมาธิไป
เธออาจจะเขียนมาหาฉันก็ได้
ปัจจุบันนี้มันไม่จำเป็นที่จะติดสอยห้อยตามผู้เป็นอาจารย์อยู่ตลอดเวลา
หรือเธออาจจะไปฟอร์โมซาหรือที่ไหนก็ได้ที่ฉันพักอยู่
ร่างกายนี้เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏภายนอกเท่านั้น เป็นบ้าน
เป็นสำนักงาน เพื่อที่เธอจะได้เห็นตัวฉันได้ ถ้าฉันใช้แต่เจตภูติ
(Spiritual body)
เท่านั้น
เธอก็จะมองไม่เห็นฉันเลย และเวลาที่ฉันพูด
เธอก็จะไม่ได้ยิน แล้วฉันจะนำข่าวสารมาบอกเธอได้อย่างไร
ฉันจึงต้องใช้ร่างกาย และนั่นก็คือประโยชน์ของร่างกาย
ร่างกายนี้ไม่มีประโยชน์อะไรมากมายในแง่อื่นนักหรอก
เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นต้องกลัวว่าพอฉันจากไปแล้วเธอจะไม่มีใครอยู่ด้วย
เธอจะมีใครบางคนอยู่กับเธอเสมอ
และเธออาจจะเห็นฉันปรากฏร่างอยู่ในบ้านของเธอเหมือนอย่างนี้ก็ได้ด้วยซ้ำ
ถ้าเธอมีความจริงใจ และมีระดับชั้นที่สูงพอ
เธอก็จะเห็นผู้เป็นอาจารย์มาหาเธอ
และเธอก็จะเห็นผู้เป็นอาจารย์ตลอดเวลาที่เธอต้องการ
ไม่จำเป็นจะต้องยึดติดอยู่กับร่างกายเนื้อนี้เลย
|