เธอรู้จักโมเสสไหม? ทุกคนรู้จัก โมเสสเป็นบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ของบัญญัติ
10 ประการ เป็นที่คาดคิดว่าเขาได้ติดต่อกับพระเจ้า เขารู้จักพระเจ้า
เขาได้ยินพระเจ้าพูด และเขาได้รับบัญญัติโดยตรงจากพระเจ้า
แต่แม้ว่ามันจะเป็นบัญญัติของพระเจ้า
ในช่วงระยะเวลานั้นมันก็ได้ถูกฝ่าฝืนและเปลี่ยนแปลงหลายครั้ง
ฉันสงสัยว่าทำไม? บางทีอาจจะไม่ใช่เป็นอารมณ์ของพระเจ้า (ท่านอาจารย์หัวเราะ)
มันเป็นอารมณ์ของโมเสส อารมณ์ของเขานั้นใหญ่มากเหมือนกับอารมณ์ของฉัน (ท่านอาจารย์หัวเราะ)
เขาโกรธมากแล้วเขาก็โยนแผ่นหินซึ่งมีบัญญัติ 10 ประการจากพระเจ้า
ฉันคิดว่าต่อมาในภายหลังเขาก็ได้ทำมันขึ้นมาอีก อาจจะใช้เวลา 40
วัน (ท่านอาจารย์หัวเราะ)
ในการสลักหินให้เป็นตัวหนังสือ มันใช้เวลานานมาก
เอาละ มาดูกันว่าโมเสสทำอะไรอย่างอื่นอีกในระหว่างช่วงชีวิตของเขา
เรื่องนี้เป็นเรื่องสั้นๆ
เกี่ยวกับโมเสสตอนที่เขายังอยู่ในขั้นฝึกหัดที่จะเป็นอาจารย์
เขายังไม่ได้เป็นอาจารย์
ดังนั้นอารมณ์ของเขาก็เลยยังไม่มีเวลาที่จะปะทุขึ้นมา
แต่เธอก็ยังสามารถเห็นอะไรบางอย่างจากเรื่องนี้ได้
โมเสสจะต้องได้เป็นอาจารย์ในเวลาต่อมา
ดังนั้นก่อนที่เขาจะพาผู้คนออกจากแผ่นดินของอียิปต์
เขาก็ได้ฝึกหัดกับมหาอาจารย์
วินัยข้อแรกที่อาจารย์ท่านนี้ให้โมเสสปฏิบัติก็คือการนิ่งเงียบ
วันหนึ่งเขาทั้ง 2 คนได้ท่องเที่ยวไปในชนบท
ดังนั้นอาจารย์จึงได้ตั้งวินัยให้นิ่งเงียบนี้ให้เขาทำตาม
อาจารย์คงจะรับโมเสสเป็นลูกศิษย์ของเขา
และคงจะได้เห็นว่าเขามีแววที่จะเป็นอาจารย์ในอนาคต
แต่กระนั้นก็ดีตามที่เธอรู้กันการที่จะสอนใครนั้น มันง่ายมาก (ท่านอาจารย์หัวเราะ)
แต่การที่จะทำให้เขาเชื่อ
เข้าใจและเห็นด้วยกับคำสอนของเธอนั้นมันยากมาก มันโอเคที่จะสอน
แต่เขาฟังหรือไม่ฟังนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
และเรื่องนั้นก็เป็นเรื่องที่สำคัญมากและยากมากๆ
โมเสสก็ได้เริ่มต้นฝึกหัดกับอาจารย์
และอาจารย์ได้บอกให้เขานิ่งเงียบไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
การนิ่งเงียบก็หมายความว่าให้ปิดปากของเธอ แต่มันยากมาก
และอาจารย์ก็พูดว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เธอจะต้องนิ่งเงียบ
ห้ามพูดจนกว่าฉันจะอนุญาตให้พูดได้
โมเสสพูดว่า DACCORD (ตกลง - เป็นภาษาฝรั่งเศส) โอเค
จากนั้นเขาทั้ง 2 คนก็ท่องเที่ยวไปทั่วชนบทเป็นเวลาหลายวัน
บางครั้งก็หยุดที่ตรงนี้ บางครั้งก็หยุดที่ตรงนั้น - หยุดในโรงแรม
วันหนึ่งพวกเขาก็ได้ผ่านชนบทแห่งหนึ่งที่สวยงามมาก
ความงามของมันพิเศษและตระการตาเป็นอย่างมาก
จนกระทั่งโมเสสอดไม่ได้ที่จะเปิดตามองดูและเปิดปากของเขาด้วย
เขาไม่ใช่เพียงแค่เปิดปากเท่านั้น
เขาพูดออกมาด้วยว่า โอ! ท่านอาจารย์มันช่างสวยงามเสียจริงๆ (ท่านอาจารย์และผู้ฟังหัวเราะ)
แต่อาจารย์ก็ให้อภัยเขา ฉันบอกเธอให้ หุ-บ หุบปาก (ผู้ฟังหัวเราะ)
โมเสสพูดว่า โอๆ ท่านอาจารย์ โปรดยกโทษให้ฉันด้วย โปรดยกโทษให้ฉัน
ฉันจะหุบปาก ฉันจะไม่พูดอีกแล้ว
พอพวกเขาเดินต่อไปบนถนน พวกเขาก็มาถึงแม่น้ำแห่งหนึ่ง
มีแม่กำลังร้องไห้อยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำ
เพราะลูกน้อยของหล่อนบังเอิญถูกพัดไปกับกระแสน้ำ กระแสน้ำนั้นแรงมากๆ
โมเสสต้องการช่วยชีวิตเด็กคนนั้น แต่อาจารย์ไม่ยอมให้เขาทำ
แน่นอนโมเสสก็ทำไม่ได้เหมือนกันเพราะกระแสน้ำนั้นแรงมาก
เขาพูดกับอาจารย์ว่า ท่านอาจารย์ ท่านมีพลัง ท่านมีความสามารถยิ่งใหญ่
ท่านจะช่วยชีวิตเด็กทารกนั้นได้ไหม?
ท่านนิ่งเงียบและเพียงแต่ยืนอยู่ที่ตรงนี้ได้อย่างไรกัน!?
แม่ก็กำลังร้องไห้ ท่านไม่เห็นหรอกหรือ? เด็กก็กำลังจมน้ำ
แล้วท่านก็นิ่งเงียบอยู่ได้!
อาจารย์พูดว่า จุ๊! เงียบ!
เขาก็ได้ชักสีหน้าที่ดูดีแบบนี้ให้โมเสสด้วย (ท่านอาจารย์แสดงการจ้องมองที่จริงจัง
ถมึงทึง ผู้ฟังหัวเราะ)
พวกเธอก็รู้จักสีหน้าแบบนั้นเป็นอย่างดีมากจากคนคนหนึ่งที่ฉันจะไม่ขอเอ่ยชื่อ
(ผู้ฟังหัวเราะ) เมื่อเขา (ผู้หญิง) โกรธ
เขาก็มีหน้าตาแบบนั้นเหมือนกัน ตาของเขาใหญ่กว่าปกติ 2 เท่า (ผู้ฟังหัวเราะ)
ตอนนี้เธอก็รู้จักคนคนนั้นแล้ว คนที่ชื่อ อะไรบางอย่าง จื๊อๆๆ
ฉันไม่รู้จักคนคนนั้นหรอก
แม้ว่าโมเสสจะเชื่อฟังอาจารย์และหุบปากของเขา
แต่หลังจากเหตุการณ์ที่เด็กทารกนั้นจมน้ำ เขาก็รู้สึกไม่สบายใจมาก
แต่เขาก็ไม่สามารถที่จะร้องขอสิ่งใดๆ ได้
เขาเฝ้าตำหนิอาจารย์เขาตลอดเวลา เขาพูดว่า
นี่จะต้องเป็นคนที่ไม่มีความรู้สึก ไม่มีความเมตตา
ไม่มีความรักต่อมนุษยชาติ เขาเทศน์ตลอดเวลาว่าเราจะต้องมีเมตตา
เราจะต้องมีความรักต่อมวลมนุษย์ เราจะต้องช่วยผู้ที่ขัดสน
ผู้ที่อยู่ในความทุกข์ยากลำบาก ผู้ที่อยู่ในอันตรายและอะไรแบบนั้น
เราจะต้องช่วยมวลมนุษย์ แล้วดูเขาสิ เขายืนเฉยๆ ดูเด็กทารกจมน้ำ
แม่ก็ร้องไห้ ช่วยตัวเองไม่ได้ และเขาก็ไม่ทำอะไรเลย
เขากำลังมีความสงสัยเกิดขึ้นในใจของเขา สงสัยเป็นอย่างมากๆ
และไม่สบายใจมากๆ มีความคิดที่วิพากษ์วิจารณ์ในตัวอาจารย์
แต่เขาก็เพียงปิดปากนิ่งเงียบ
แม้โมเสสจะได้ขอให้อาจารย์ใช้พลังอิทธิปาฏิหาริย์และอะไรแบบนั้น
แต่อาจารย์ก็ไม่ได้ช่วยเหลือ
โมเสสรู้ว่ามันไม่ถูกต้องที่วิพากษ์วิจารณ์อาจารย์ แต่เขาก็อดไม่ได้
และเป็นเวลายาวนานที่เขาไม่สามารถที่จะขับไล่ความคิดที่เป็นลบเหล่านี้ที่มีต่ออาจารย์
ในระหว่างการเดินทางของพวกเขาไปทั่วประเทศ
บางทีพวกเขาอาจจะไปพบลูกศิษย์คนอื่นๆ
แต่ก่อนพวกเขาไม่มีรถยนต์เหมือนอย่างในปัจจุบันนี้
ดังนั้นพวกเขาก็คงจะต้องเดินเท้า
บางครั้งถ้ามีเงินก็สามารถนั่งรถม้าได้ สงสัยพวกเขา 2
คนคงไม่มีเงินมากนัก จึงท่องเที่ยวไปโดยการเดินเท้า
วันหนึ่งพวกเขาก็มาถึงชายฝั่งทะเลพวกเขาทั้ง 2
ได้เห็นเรือที่มีลูกเรือทั้งหมดกำลังจมลง
ดังนั้นปากอันกว้างใหญ่ของโมเสสก็อดไม่ได้ที่จะต้องเปิดอีก เขาพูดว่า
ดูนั่นสิ ท่านอาจารย์ เรือทั้งลำกำลังจมลง ท่านเห็นหรือเปล่า?
และลูกเรือทั้งลำก็กำลังจมลง ท่านจะจัดการทำอะไรสักอย่างได้ไหมนี่?
อาจารย์พูดว่า จุ๊ๆๆ! เงียบซะ
นั่นก็คือทั้งหมดที่เขาพูดแน่นอนโมเสสก็เลยไม่ได้พูดอะไรอีกและนิ่งเงียบ
แต่ความคิดวิพากษ์วิจารณ์ของเขาก็เพิ่มมากขึ้นๆ หลายเท่า เขาหนักใจมาก
หนักใจมากๆ และไม่สบายใจ
เมื่อเขากลับไปถึงบ้านเขาก็บ่น ไม่ใช่บ่นกับอาจารย์แต่บ่นกับพระเจ้า
เขาพูดว่า พระเจ้า! ท่านบอกให้ฉันติดตามชายผู้นี้
แต่ท่านไม่ทราบว่าเขาเป็นคนอย่างไร (ท่านอาจารย์และทุกคนหัวเราะ)
พระเจ้าพูดว่า อย่าพูดจาเหลวไหล! ฉันจะไม่รู้ได้อย่างไรกัน?
โมเสสก็พูดกับพระองค์แบบนั้นและพูดต่อไปว่า แต่พระเจ้าท่านไม่ทราบหรอก เขาเห็นเด็กกำลังจะตาย
และเขาเห็นเรือกำลังจมลงพร้อมทั้งลูกเรือทั้งลำ - มีอยู่ 30
กว่าคนกำลังจะตาย แต่เขาก็ไม่ได้ทำอะไรเลย
ไม่แม้กระทั่งรู้สึกสะเทือนใจหรือกะพริบตาของเขา นั่นแหละคือเขาแล้วท่านก็บอกให้ฉันติดตามเขา |