ชีวิตที่สมดุลจึงจะเป็นสัจธรรม |
|
ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่
ซีหู ฟอร์โมซา |
วันที่ 19 ตุลาคม 2533
(ต้นฉบับเป็นภาษาจีน) |
|
 |
|
พวกเราปฏิบัติธรรมต้องทำตนเหมือนคนธรรมดา
พรุ่งนี้สำเร็จเป็นพุทธะก็ได้ทำไมต้องรีบสำเร็จตั้งแต่วันนี้เล่า?
พวกเธอยิ่งใจร้อนยิ่งเป็นอุปสรรคให้กับตนเองมากขึ้น แต่ก่อนมีคนๆ
หนึ่งปฏิบัติธรรมกับมหาอาจารย์ท่านหนึ่ง
วันหนึ่งเขาถามอาจารย์ว่า "ท่านอาจารย์
คนที่มีความจริงใจอย่างข้าพเจ้าในโลกนี้จะมีสักกี่คน?"
อาจารย์เขาจึงตอบว่า "นักเรียนอย่างเจ้าเต็มไปทุกพื้นที่"
(ท่านอาจารย์กับทุกคนหัวเราะ) |
|
คนๆ
นั้นก็ไม่เชื่อจึงถามอีกว่า "ท่านอาจารย์ข้าพเจ้ามีความจริงใจจริงๆ
ถ้าข้าพเจ้าปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่าง ประกอบด้วยบิดามารดา ภรรยา ลูกๆ
รวมทั้งญาติมิตรต่างๆ ด้วย
ข้าพเจ้าต้องบำเพ็ญอีกกี่ปีจึงจะสำเร็จเป็นพุทธะได้"
อาจารย์เขาจึงตอบว่า "ถ้าเจ้าขยันหมั่นเพียร 5 ปี - 15 ปี
สำเร็จเป็นพุทธะได้" คนๆ นั้นตอบว่า "มันช้าเกินไป
ถ้าข้าพเจ้าไม่รับประทาน ไม่ดื่ม และไม่นอนด้วย
ทุกวันจะนั่งขัดสมาธิอยู่ที่นี่ตลอด 24 ชั่วโมง ท่านคิดว่าอีกนานเท่าไหร่จึงจะสำเร็จเป็นพุทธะได้?" อาจารย์เขาตอบว่า
"ถ้าทำเช่นนี้ประมาณ 30 ปี - 50 ปีจึงจะสำเร็จเป็นพุทธะได้"
(ท่านอาจารย์กับทุกคนหัวเราะ) ฟังเข้าใจไหม? ใจร้อนเกินไป!
เขาคิดว่าเขาเป็นใครหรือ?
สำเร็จเป็นพุทธะหรือไม่สำเร็จมันจะเป็นอะไรไป?
ใครต้องการคนอย่างเขา!
|
|
|
|
ท่านศากยมนีพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ
ทั้งอินเดียก็เป็นสถานที่ของนักบุญ
คนมากมายที่รับประทานมังสวิรัติและเข้าใจถึงการบำเพ็ญ
แต่พระองค์ก็โปรดได้ไม่กี่หมื่นคนเท่านั้น
แม้แต่หลังจากที่พระองค์จากโลกนี้ไปแล้วก็ยังมีคนใส่ร้ายป้ายสีพระองค์
ศาสนาอื่นกล่าวหาพระองค์ว่าเป็นนอกรีต คนชั่ว ภูตผีปีศาจ!
ในทำนองเดียวกัน พระเยซูก็ถูกคนใส่ร้ายป้ายสี จนถึงปัจจุบันพระองค์ทั้ง
2 ก็ยังถูกคนใส่ร้ายป้ายสีก็เพราะสำเร็จเป็นพุทธะนั่นเอง
พระเจ้ามีพระบัญชาให้พระองค์ไปโปรดสัตว์
พระองค์จึงจำใจต้องไปโปรดสัตว์
ผู้ที่มีความจริงใจมาขอให้พระองค์ถ่ายทอดธรรม
พวกพระองค์ไม่อยากปฏิเสธเพราะเกรงว่าจะทำให้พวกเขาเสียใจ ดังนั้น
การสำเร็จเป็นพุทธะจึงมิได้วิเศษวิโสอะไร
ทุกคนจะสำเร็จเป็นพุทธะในที่สุด |
|
แต่ก่อนพระศากยมุนีพุทธเจ้ามีศิษย์คนหนึ่งก็ไม่ยอมนอนทั้งคืน
ดูเหมือนกลางวันนั่งสมาธิ กลางคืนสวดมนต์อะไรทำนองนั้น
ต่อมาดวงตาแทบจะบอด พระศากยมุนีพุทธเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า
"เจ้าทำเช่นนั้นจะกลายเป็นมารอย่างรวดเร็ว
มิใช่เป็นพุทธะอย่างรวดเร็ว เหมือนกับเวลาเจ้าดีดพิณ
ถ้าเส้นพิณมันตึงเกินไปมันจะมีเสียงหรือ?" เขาตอบว่า
"ไม่มีเสียง" "ถ้าเส้นพิณหย่อนเกินไปมันจะมีเสียงหรือ?"
เขาตอบว่า "มันก็ไม่มีเสียงเช่นกัน"
พระศากยมุนีพุทธเจ้าจึงตรัสว่า "เดินสายกลางดีที่สุด" |
|
ดังนั้น
ชีวิตที่สมดุลจึงจะเป็นสัจธรรม ใจที่เป็นธรรมดาก็เป็นสัจธรรม
พวกเราไม่ควรอยากได้อะไร พวกเราอยากรีบเป็นพุทธะมันก็เป็นการอยาก
ทำอะไรก็ให้สมดุลดีที่สุดเหมือนกับเด็กที่เพิ่งคลอดออกมาใหม่ๆ
เธอเรียกเขาให้มาขี่จักรยานเขาจะขี่ได้อย่างไร?
แม้เธอจะรีบให้เขาสำเร็จโตเป็นผู้ใหญ่ แต่ก็ไม่สามารถเร่งเขาได้
เพราะเด็กแม้แต่เดินก็ยังเดินไม่เก่งแล้วเธอบอกให้เด็กวิ่ง
เด็กจะวิ่งได้อย่างไร? แม้เด็กจะพยายามวิ่งสักพักเด็กก็จะล้มลงแล้วจมูกก็จะแตก ร่างกายบาดเจ็บ
เป็นเพราะใจร้อนนั่นเอง |
|
พวกเราต้องดูแลใจของตนเองว่าตนเองใจบริสุทธิ์หรือเปล่า
มีอุดมการณ์สูงส่งหรือไม่ ความโลภ โกรธ หลง ควบคุมให้ดีหรือยัง
มีความรักความอดทนต่อผู้อื่นหรือไม่ มีความใจกว้าง เข้าใจ
และให้อภัยต่อผู้อื่นหรือไม่
สามารถให้อภัยผู้อื่นเมื่อผู้นั้นทำผิด?
ถ้าสามารถทำได้ทั้งหมดจะเป็นมหาอาจารย์ได้ทันที
ถ้าเรายังไม่ดีพร้อมสมบูรณ์
จะเป็นมหาอาจารย์แล้วมีประโยชน์กับใครได้เล่า?
ตนเองยังไม่สามารถลบความรู้สึกที่เป็นบาปจากใจได้
ยังไม่สามารถอยู่เหนือความทิฐิและอวิชชาของตนเองได้ ใจยังคับแคบ
ยังรับคนไม่ได้มาก ความรักยังมีน้อยรักคนได้ไม่มาก แล้วรีบจะเป็นพุทธะจะมีประโยชน์อะไร? ถึงจะเอาพลังของพุทธะทั้ง 10 ทิศมาให้กับคนที่ใจแคบ
ตื่นเต้น และอวิชชาจะมีประโยชน์อะไรเล่า? |
|
|
 |
|
|
มีพลังแต่ไม่มีความรักก็เป็นมาร มารกับพุทธะไม่ได้แตกต่างกันมาก
มีพลังพอๆ กัน แต่พุทธะมีความรัก มารไม่มี มารมีความเห็นแก่ตัวมาก
เรียกร้องทุกสิ่งทุกอย่าง จะเอาทุกสิ่งทุกอย่าง
เอาแต่วิจารณ์ไม่ให้อภัย พุทธะแม้จะมีวิจารณ์ก็ให้อภัยได้
เมื่อใดควรวิจารณ์พระองค์ก็วิจารณ์เพื่อช่วยให้คนก้าวหน้าและเห็นความบกพร่องของคน
ควรให้อภัยพระองค์ก็ให้อภัย ให้กำลังใจ
เพื่อให้พวกเขามีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ไม่ตำหนิติเตียนตนเองมากจนเกินไป |
|
มิใช่ต้องมีทุกสิ่งทุกอย่างจึงจะเป็นพุทธะได้ พุทธะมิใช่มีด้านเดียว
ถ้ามีแต่การให้อภัยโดยไม่มีการวิจารณ์กันบ้างก็ไม่ดี!
เป็นต้นว่า ต้องวิจารณ์ต้องสั่งสอนแต่กลับไปสรรเสริญพวกเขามันก็แย่ซิ มันเป็นการส่งเสริมคนทำชั่วทำลายพลังการตัดสินใจของผู้บำเพ็ญ ดังนั้น
อาจารย์จึงบอกพวกเธอว่า "ด้านลบกับด้านบวกสมดุลจึงจะเป็นพุทธะได้"
พวกเราควรมองโลกให้ทะลุปรุโปร่ง
เพราะเราอาศัยอยู่ในโลกนี้ยังต้องรับประทานข้าว นอนหลับ
และปฏิบัติตนต่อผู้อื่น ดังนั้น เราเป็นคนธรรมดาดีที่สุด
อันดับชั้นที่อยู่ภายในของเรา การบำเพ็ญของเราๆ
รู้ก็พอแล้วไม่ควรแสดงออกมาภายนอก |
|