หลังจากรู้แจ้งแล้วเท่านั้น
เราจึงสามารถใช้อารมณ์ได้อย่างฉลาด

 ปราศรัยโดย ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่  ที่มหาวิทยาลัย ฮาร์วาร์ด, บอสตัน, สหรัฐอเมริกา
27 ตุลาคม 1989 (เดิมเป็นภาษาอังกฤษ)

ถ : ฉันรู้สึกว่าตัวเองมีความรู้สึกโกรธและเกลียดบ่อยๆ ฉันคิดว่ามันขัดขวางฉันจากการได้รู้จักกับปัญญา และฉันเห็นคนที่บำเพ็ญปฏิบัติมาอย่างดีมาก ค่อนข้างจะมีความรักและใจเย็นสงบมาก ฉันสงสัยว่ามันเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร และทำไมจึงเป็นแบบนั้น? และท่านพอจะบอกให้ฉันรู้ได้ไหมว่า ทำไมจึงมีความโกรธและความเกลียด? และเราจะทำอย่างไรเพื่อจะหยุดความโกรธและก็ไม่ให้มีความเกลียด?

อ : ก่อนอื่นเราจะต้องรู้จักธรรมชาติของความโกรธและความเกลียดก่อน เพื่อที่จะถอนรากถอนโคนมันออกมา ความโกรธและความเกลียดก็เป็นวิธีป้องกันตัวเองอย่างหนึ่ง บางครั้งเธอรู้สึกว่าถูกคุกคามจากความคิดเห็น หรือวิธีการใช้ชีวิต หรือพฤติกรรมของคนอื่น มันอาจจะทำร้ายอัตตาของเธอ ทำอันตรายต่อความภาคภูมิใจของเธอ หรือทำร้ายต่อร่างกายหรือจิตใจของเธอ เธอจึงรู้สึกโกรธ และบางครั้งก็ขุ่นเคืองไม่พอใจ ความเกลียดเป็นคำที่รุนแรงมาก ฉันไม่อยากจะใช้คำนี้ในเวลาปกติธรรมดาทุกๆวันหรอก เพราะว่าที่จริงแล้วสิ่งที่เราทำคือการขุ่นเคืองแค้นใจ ไม่ใช่เกลียดจริงๆ ความเกลียดมันลึกลงไปมากกว่านั้น ส่วนมากเราจะไม่พอใจคนอื่น เมื่อเรารู้สึกว่ามันคุกคามต่อความมั่นคงของตัวเรา เพราะฉะนั้นก็อย่าตำหนิตัวเองมากไปเวลาที่เธอโกรธขึ้นมา เพียงแต่เธอต้องวิเคราะห์ดูว่าความโกรธนั้นมาจากไหน ดูว่าเธอเป็นฝ่ายถูกหรือเป็นฝ่ายผิด บางครั้งเธอมีสิทธิที่จะแสดงความโกรธออกมาภายนอกได้บ้างนิดหน่อย เพื่อป้องกันตัวเอง วิธีแก้ของปัญหานี้ไม่ใช่การที่จะหยุดความโกรธ แต่ให้รู้ว่าเมื่อไรเธอจึงควรจะแสดงความโกรธออกมาบ้างเล็กน้อย และเมื่อไรที่เธอไม่ควรจะแสดง เพื่อที่จะควบคุมมัน และใช้มันให้เป็นประโยชน์ต่อตัวเธอเอง ไม่ใช่ว่าหยุดมันไปหมด ฉันมีเรื่องอะไรนิดหน่อยเกี่ยวกับงูตัวหนึ่งที่จะเล่าให้เธอฟัง

มีงูที่ดุร้ายและตัวใหญ่มากอยู่ตัวหนึ่งมันอาศัยอยู่ในโพรงไม้และชอบกินไก่  และทำให้คนกลัวหรือกัดคนอยู่เสมอ  ดังนั้นทุกคนในหมู่บ้านนั้นจึงกลัวมันมาก วันหนึ่งมีมหาโยคีท่านหนึ่งมาถึงที่นั่น และนั่งลงทำสมาธิตรงนั้น  งูตัวนั้นรู้สึกสงบมากและก็เปลี่ยนแปลงไป  ดังนั้น มันจึงถามโยคีท่านนั้นถึงวิธีที่จะหยุดยั้งธรรมชาติที่ดุร้ายธรรมชาติที่ไม่ดีของมันและวิธีที่จะเป็นงูที่ดี  โยคีนั้นจึงสอนศีลห้าให้กับมันว่า  เจ้าต้องไม่ทำอันตรายคน  เจ้าต้องกินมังสวิรัติ  เจ้าต้องไม่โกหก เจ้าต้องไม่ทำอย่างนั้นอย่างนี้ เจ้าต้องไม่เล่นการพนัน แต่ว่างูก็ไม่รู้จักเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นที่สำคัญที่สุดสำหรับมันก็คือการไม่ทำอันตรายคน ดังนั้น มันจึงพูดว่า “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ฉันจะฝึกทำสมาธิ ฉันจะกินมังสวิรัติ ฉันจะไม่กินไก่อีกต่อไปแล้ว และก็ไม่กัดคนด้วย” แล้ววันหนึ่งโยคีท่านนั้นก็ต้องเดินทางไปไหนเป็นระยะเวลาหนึ่ง จึงบอกงูให้อยู่บ้านฝึกทำสมาธิ และก็คอยท่าน  ก็มีพวกเด็กๆ เดินผ่านมาเห็นงูตัวนั้นกำลังนั่งเงียบมากและก็อยู่ในสมาธิจึงไม่กลัวมันอีกแล้ว และอยากจะแก้แค้นมัน  เพราะว่าเมื่อก่อนนี้พวกเขาเคยกลัวมันจึงหยิบก้อนหินมาขว้างมันเจ้างูตัวนั้นก็ไม่ทำอะไร

อาจารย์ไม่ได้บอกว่าเธอไม่ควรจะโกรธ แต่บอกว่าเธอไม่ควรทำอันตรายคน  เขาหมายความว่าไม่ควรจะแสดงความรุนแรงใดๆ อหิงสาหมายถึงความไม่รุนแรง งูตัวนั้นจึงนิ่งเงียบ และก็พยายามทำสมาธิต่อไปอีก แต่พวกเด็กๆ ก็เข้ามาเตะมัน  มาดึงหางมันออกมา ขดตัวมันเป็นวงกลม จับมันปั่นหมุนเป็นวงกลมมันจึงเวียนหัวมาก  แล้วพวกเขาก็เหวี่ยงตัวมัน จับตัวมันตีฟาดกับต้นไม้  ทำสารพัดอย่างจนร่างกายของมันฟกช้ำดำเขียวไปทั่ว  และก็นอนแน่นิ่งจะตายแหล่มิตายแหล่อยู่แล้ว  ในที่สุดอาจารย์นั้นก็กลับมาถึงบ้านก็ถามว่า “เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าน่ะ?” งูก็ตอบว่า “มันเป็นเพราะศีลห้าที่ห้ามรุนแรงนั่นแหละ” โยคีรู้สึกประหลาดใจมากถามว่า “อะไรนะ? อะไรคือไม่ให้รุนแรง?”  “ท่านสอนฉันไม่ให้ใช้ความรุนแรง เมื่อวานนี้พวกเด็กๆ เลยมาดึงหางฉัน ขว้างก้อนหินใส่ฉัน แล้วฉันก็ไม่ได้ตอบโต้ พวกเขาจึงเล่นกันต่อไป จนตอนนี้ฉันเกือบจะตายอยู่แล้ว” 

อาจารย์ก็เลยบอกว่า “เจ้านี่โง่จริง ฉันไม่ได้บอกเจ้าว่าห้ามส่งเสียงขู่ เจ้าส่งเสียงขู่ได้ จะได้ให้คนกลัวหนีไป”

นั่นก็คือความแตกต่างระหว่างการมีปัญญากับการไม่มีปัญญา  เมื่อเราไม่มีปัญญา ไม่รู้แจ้ง  เราก็ทำอะไรไปตามอารมณ์ของเราเอง เมื่อเรามีปัญญาและรู้แจ้งแล้ว เราจะใช้อารมณ์ให้เหมาะสมกับโอกาสและให้เป็นประโยชน์กับตัวเรา ไม่ได้หมายความว่าเธอควรจะกำจัดอารมณ์ทั้งหลายให้หมดไปทุกอย่าง เราเพียงแต่รู้วิธีที่จะใช้มันเท่านั้นเอง เหมือนกับปืนที่อยู่ในมือของคนดี เขาสามารถจะยิงตรงไหนที่เขาต้องการก็ได้ เขาไม่ได้ยิงไปทั่วทุกแห่งและฆ่าคนมากมาย ทีนี้ถ้าเธออยากจะมีพลังควบคุมนี้และมีปัญญา เธอก็ต้องมีการรู้แจ้งก่อน  และการจะได้รู้แจ้งก็ต้องอาศัยครูผู้มีประสบการณ์  เหมือนกับถ้าเธออยากจะเรียนภาษาอังกฤษเธอก็ต้องหาครูภาษาอังกฤษที่มีประสบการณ์ ก็เท่านั้นเอง  ฉันอาจจะเสนอสิ่งนี้ให้แก่เธอได้