วิธีที่จะค้นพบทรัพย์สมบัติภายใน
 
การทำสมาธิสามารถเผยความลับของความตาย

ถ: เขาอยากจะถามท่านว่าเขาจะมาเกิดใหม่อีกหรือเปล่าหลังจากที่ตายไปแล้ว เมื่อก่อนนี้เขาฟังพระองค์หนึ่งเทศน์สอนแต่เนื่องจากพระองค์นั้นยังไม่ตาย แล้วเขารู้ได้อย่างไรว่าเรากลับมาเกิดอีก? เราจะเชื่อเขาได้อย่างไร?

อ: พระทั้งหลายไม่ควรจะถูกสงสัยเพราะว่าพวกท่านเทศน์สอนจากปัญญาของพุทธะ และร่ำเรียนมาจากพระสูตรต่างๆ และบางทีพวกท่านอาจจะเรียนรู้มาจากการฝึกสมาธิของพวกท่านก็ได้ ถ้าหากว่าพวกท่านฝึกสมาธิ เราไม่จำเป็นต้องตายเพื่อจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากความตาย แน่นอน บางคนถามฉันว่า “จะเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่ฉันตายแล้ว?” ฉันก็บอกพวกเขาไปเหมือนกันว่า “ฉันยังไม่ตายเลย ฉันไม่รู้หรอก” แต่เวลาเราทำสมาธิ เราสามารถไปถึงระดับต่างๆมากมายของความเข้าใจและของสภาวะความดำรงอยู่ ตอนนั้นเราก็สามารถรู้ว่าคนเกิดใหม่หรือว่าไม่เกิดใหม่หลังจากตาย นี่เป็นเรื่องที่ง่ายมากที่จะตรวจดู ไม่มีปัญหา ถ้าเธออยากจะพิสูจน์ เธอก็มาศึกษากับธรรมวิถีกวนอิมได้ และเธอจะรู้ด้วยตัวเอง มันเป็นการดีที่จะตรวจสอบทุกสิ่งทุกอย่างที่เราได้ยิน และที่เราไม่เชื่ออะไรไปแบบไม่ไตร่ตรอง แบบนั้นเป็นการฉลาดมาก วิธีที่เธอทำนั้นฉลาดมาก แต่แทนที่จะแค่สงสัยพระหรือว่าแค่ตั้งคำถามเท่านั้น เราจะต้องหาวิธีที่จะรู้คำตอบ วิธีที่จะตรวจดูมันด้วย
ถ: อยากจะทราบว่าการประทับจิตคืออะไร และวิธีที่จะได้รับการประทับจิต?
อ: การประทับจิตคือเวลาที่ผู้ที่เรียกว่าครูนั่งอยู่กับเธอเงียบๆ ไม่ว่าจะอยู่ต่อหน้าเธอหรือว่าอยู่ไกลออกไปหลายพันไมล์ และพยายามติดต่อสื่อสารกับปัญญาภายในของตัวเธอเอง และเปิดประตูแห่งอวิชชาให้เธอ เพื่อให้เธอได้เห็นแสงสว่างได้ยินคำสอนของพระเจ้าโดยตรง และก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาแล้ว เวลาที่ครูอยู่ด้วยก็มีการสอนด้วยคำพูดบ้าง แต่บางครั้งแม้แต่การสอนด้วยคำพูดก็ไม่จำเป็น เพราะว่าการถ่ายทอดเป็นแบบจากใจสู่ใจ จากจิตสู่จิต จากธรรมชาติพุทธะของเราสู่ธรรมชาติพุทธะของเราเอง ไม่จำเป็นต้องใช้ภาษาหรือการกระทำใดๆ จากผู้เป็นอาจารย์หรือจากลูกศิษย์ ถ้าเธออยากได้รับการประทับจิต ที่เธอต้องทำก็คือแค่ออกไปลงชื่อ แล้วเราจะจัดการดูแลกับเธอหลังจากจบการบรรยายแล้วหลายคนก็ได้รับการประทับจิตอย่างไม่เป็นทางการด้วยเช่นกันจากความศรัทธาเชื่อมั่นในตัวผู้เป็นอาจารย์และจากความจริงใจ แม้ว่าพวกเขาจะยังไม่เคยพบเห็นตัวอาจารย์และแม้ว่าพวกเขาจะอยู่ห่างไกลออกไปหลายพันไมล์
การทำสมาธิจำเป็นต้องมีครูผู้มีประสบการณ์
ถ: เขาเคยนั่งสมาธิวันละสามชั่วโมงมาเป็นเวลา 9 วัน และเขาได้เห็นภาพในอนาคตบางอย่างสองครั้ง เขาอยากจะรู้ว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น เพราะว่าเขาไม่รู้สึกว่านี่เป็นความจริงที่แท้จริงหรือเป็นปรากฏการณ์ที่แท้จริง?
อ: แต่ว่าเขานั่งสมาธิด้วยวิธีไหนล่ะ? เขาไม่ได้พูดถึงหรือ? (ตอบ: เปล่า) ถ้าเธอศึกษากับครูคนไหน ก็ควรขอคำชี้แนะนำทางต่อไปจากครูของเธอด้วย สำหรับคนที่ศึกษากับฉัน พวกเขาเขียนมาถามฉันเป็นการส่วนตัว แต่สำหรับคำชี้แนะทั่วๆไปแล้ว ถ้าหลังจากที่ทำสมาธิ หลังจากที่เธอเห็นภาพหรือได้ยินเสียงดนตรีสวรรค์แล้วเธอรู้สึกดี ผ่อนคลายและมีความรักมากขึ้นนั่นคือภาพที่แท้จริง แต่ถ้าเธอรู้สึกปั่นป่วนไม่สบายใจ ตกใจหรือรู้สึกถูกข่มขู่คุกคามในบางแง่ ก็หมายความว่าภาพที่เธอเห็นเป็นภาพลวงตา เป็นภาพมายา และเธอไม่ควรจะเชื่อถือไว้วางใจมันอีก เรามีการเห็นภาพภายใน บางครั้งไม่ใช่จากสมาธิเท่านั้น แต่ว่าบางครั้งบางคนจะมีภาพลวงตาได้จากการเสพยาเสพติด หรืออยู่ในสถานการณ์ที่เจ็บปวดที่สุดหรือว่าขาดออกซิเจน ดังนั้นจะเป็นการฉลาดที่จะหาครูที่มีประสบการณ์ เพราะว่าหนทางบำเพ็ญนั้นยาวไกลและก็อันตรายในบางครั้งถ้าหากว่าไม่มีผู้ชี้นำทางที่ดี
ถ: ชีวิตหลังความตายเป็นอย่างไร?
อ: ถ้าฉันบอกว่าฉันรู้เขาก็จะถามฉันว่า “ท่านยังไม่ตายแล้วท่านรู้ได้อย่างไร?” จากพระสูตรทางศาสนาฉบับต่างๆ หลังจากตายแล้วคนมีชีวิตแบบต่างๆ กัน แล้วแต่ว่าพวกเขาใช้ชีวิตอย่างไรในปัจจุบัน ถ้าเราใช้ชีวิตที่มีคุณธรรมและฝึกบำเพ็ญปฏิบัติปัญญา เราก็จะไปยังระดับของการดำรงอยู่ที่สวยงามและสงบสุขมาก ถ้าชีวิตของเราเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีของความรักและความเสียสละเราก็จะไปยังระดับของการดำรงอยู่ที่ต่ำกว่า ต่ำแค่ไหน สูงแค่ไหนก็แล้วแต่ว่าเราใช้ชีวิตของเราอย่างมีคุณธรรมแค่ไหนมีปัญญาแค่ไหน หรือเสียหายแค่ไหน มีหนังสือหลายเล่มในสมัยใหม่นี้เกี่ยวกับเรื่องการเห็นภาพหลังความตายของผู้บำเพ็ญคนต่างๆ และก็มีหนังสือมากมายจากคนธรรมดาที่ตายไปช่วงระยะเวลาหนึ่งในทางการแพทย์ แล้วก็กลับมามีชีวิตใหม่และเล่าเรื่องราวต่างๆ ของพวกเขา เพราะฉะนั้นเธออาจจะหาอ่านในห้องสมุดได้
ถ: มีความแตกต่างอะไรไหมระหว่างการทำสมาธิของอาจารย์กับการทำสมาธิของศาสนาพุทธ?
อ: ไม่ควรจะมีความแตกต่างใดๆ แต่ว่ามันก็มีอยู่ในขณะนี้ เพราะว่าการฝึกสมาธิส่วนใหญ่ในแบบทางพุทธที่ทำกันมานานหลายอย่างอยู่ในขณะนี้นั้นแตกต่างจากการบำเพ็ญสมาธิที่แท้จริงที่พระพุทธเจ้าถ่ายทอดให้ลูกศิษย์ของพระองค์ การบำเพ็ญสมาธิของเราให้การรู้แจ้งในทันที ส่วนใหญ่ของธรรมเนียมปฏิบัติแบบทางพุทธในปัจจุบันนี้ หมายถึงการฝึกสมาธิไม่ได้ให้คำรับประกันแบบนี้ เราฝึกธรรมวิถีกวนอิม มันได้รับการรับรองและพิสูจน์จากผลที่ได้ต่างๆจากลูกศิษย์นับพันนับล้านคนว่าเราได้รับการหลุดพ้นในชาตินี้ นี่เป็นชาติสุดท้ายที่เราต้องทนทุกข์ นี่สอดคล้องต้องกันกับคำสอนของพระพุทธเจ้าฉบับดั้งเดิมวิธีดั้งเดิม เพราะว่าลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าในช่วงชีวิตของพระองค์ได้กลายเป็นอรหันต์ โพธิสัตว์หรือผู้ที่เป็นอิสระหลุดพ้นแล้วในทันทีหลังจากที่พระพุทธเจ้าถ่ายทอดการตื่นขึ้นแบบเงียบๆ ให้พวกเขา ญาติมิตรของเราทุกคนก็จะได้รับการปลดปล่อยให้หลุดพ้นด้วย แม้ว่าพวกเขาจะยังไม่ถึงระดับของความเป็นพุทธะ

การเป็นอิสระหลุดพ้นและความเป็นพุทธะนั้นยังคงแตกต่างกันอยู่ ด้วยการบำเพ็ญแบบของเราๆ สามารถลิ้มรสสภาวะของการรู้แจ้งได้ทันทีในระหว่างช่วงเวลาแรกของการประทับจิตและก็ได้รู้ต่อไปด้วย การฝึกปฏิบัติแบบที่ทำกันมานานทางพุทธแบบอื่นส่วนใหญ่ในปัจจุบันไม่ได้ให้สิ่งนี้ หมายความว่าเธอสามารถทำสมาธิโดยมีครูแต่ว่าเธอไม่ได้รับอะไร เธอไม่รู้ว่าเธอรู้แจ้งหรือไม่ แต่วิธีของเราเธอจะรู้ เพราะว่ามีเครื่องพิสูจน์ให้เธอรู้ ให้เธอรู้สึกและตระหนักว่าเธอรู้แจ้งแล้วว่าเธอแตกต่างไป ว่าเธอถูกปลุกให้ตื่นแล้ว มีแสงสว่างมากและมีเสียงดนตรีอยู่กับการตื่นของคนนั้น ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้ ก็ไม่ใช่การตื่นขึ้น และก็มีความรู้สึกของความปีติยินดีของการสลัดภาระที่มีมานานทิ้งไป รู้สึกว่ามีบางอย่างหลุดจากบ่าของเราไป เหมือนกับเราปลดภาระทั้งหลายออกไป รู้สึกปีติสุขใจ รู้สึกเบาสบาย รู้สึกสุขล้น นี่คือเครื่องพิสูจน์การรู้แจ้ง ซึ่งจะมีสืบต่อไปทุกวันตลอดชีวิตของเธอหลังจากที่ประทับจิตแล้วและก็ดีขึ้นๆ ทุกวัน และก็จะทำให้เรามีปัญญามากขึ้น มีความรักมากขึ้น มีความอดทนมากขึ้นและทำให้เราเป็นคนใหม่แตกต่างจากเดิม เพราะว่าเราได้เข้าสู่ความเป็นนักบุญแล้ว เราใช้ชีวิตของทางโลกมนุษย์ทั่วไป แต่ว่าเรามีจิตวิญญาณของนักบุญ ถ้าวิธีอื่นใดสามารถให้ทั้งหมดนี้แก่เธอได้ นั่นก็เป็นวิธีที่แท้จริงสำหรับการรู้แจ้ง วิธีอื่นๆทุกวิธีเราสามารถฝึกปฏิบัติได้ เราสามารถใช้ได้ แต่ว่ามันก็แค่เป็นการชั่วคราว เพื่อการก้าวย่างในเบื้องต้น และไม่ได้นำเราไปถึงบัลลังก์อันสมบูรณ์แท้แห่งปัญญา (คนปรบมือ)

การทำสมาธิเป็นการสวดภาวนาที่ลึกซึ้งที่สุด
ถ: เวลาที่ฉันมีปัญหามีความยุ่งยาก ฉันก็สวดต่อพระเจ้า บางครั้งฉันก็ได้รับคำตอบบ้าง คำถามของฉันคือ ฉันจะรู้หรือว่าจะตัดสินได้อย่างไรว่าคำตอบนั้นเป็นคำตอบหรือการชี้นำทางจากพระเจ้าอย่างแท้จริง
อ: เวลาที่เราสวดอธิษฐานอย่างหนักเราจริงใจมาก ตอนนั้นเราจะสามารถติดต่อกับพลังพรของพระเจ้าภายในได้ นั่นคือเวลาที่เราได้รับการตอบ ไม่อย่างนั้นเราก็ไม่ได้ การทำสมาธิเป็นการสวดภาวนาที่จริงใจที่สุด ลึกซึ้งที่สุด ด้วยเหตุนี้เราจึงจะได้รับการตอบเสมอ หลังจากประทับจิตแล้ว ผู้เป็นครูจะเปิดการติดต่อเชื่อมโยงกับพลังพระเจ้าที่อยู่ภายในที่สุดหรือว่าธรรมชาติพุทธะของเรา เราจึงมีการติดต่อถึงกันอยู่ทุกวัน และเมื่อไรที่เราสวดถึงเราจึงได้รับคำตอบ แล้ววันหนึ่งเราก็จะไม่มีการสวดขออีกต่อไปเราจะเป็นผู้ที่ตอบคำสวดอธิษฐานของผู้อื่นแทน นี่คือเป้าหมายของการบรรลุทางจิตวิญญาณ พวกเราทุกคนสามารถจะไปถึงจุดนั้นได้ (คนปรบมือ)
ถ: ถ้าเราอยากจะได้รับการหลุดพ้นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เราควรจะทำอย่างไร? อีกคำถามก็คือ ถ้าเราบำเพ็ญอยู่ในครอบครัว หมายความว่าเราไม่ต้องทิ้งครอบครัวของเราไป มันจะช้ากว่าการทิ้งครอบครัวหรือไม่?
อ: ข้อแรก เธอก็ไปลงชื่อที่โต๊ะสำหรับเรื่องการประทับจิตข้างนอกก่อน ข้อที่ 2 ถ้าเราบำเพ็ญอยู่ที่บ้าน มันจะช้ากว่าการเป็นพระหรือการละทิ้งบ้านไหม ใช่ไหม? ไม่หรอก ไม่ช้ากว่า เพราะว่าถึงแม้ว่าเธอจะมาเป็นพระ เธอก็จะมีธุระยุ่งเช่นกัน มีเวลาแค่บางช่วงในแต่ละวันที่พระสามารถจะบำเพ็ญได้ อีกอย่างหนึ่งพวกเขาก็ต้องเอาใจใส่กับธุระการงานของทางวัด เอาใจใส่กับผู้ที่นับถือศรัทธาทั้งหลาย เอาใจใส่กับสิ่งอื่นๆ ทุกอย่างในระดับของทางโลกเหมือนกับที่เราทำ แต่ว่าในสถานที่ที่ต่างกัน เราอยู่บ้านดูแลครอบครัวของพุทธะของเรา และเราก็บำเพ็ญไปเมื่อมีเวลา อย่างเช่นตอนเช้าตรู่และตอนกลางคืนก่อนเข้านอน นั่นก็ใช้ได้แล้ว เซนควรจะอยู่ในชีวิตประจำวันเช่นการนั่ง การยืน การนอนและการเดิน มันควรจะเป็นเซนหมด ไม่อย่างนั้นพุทธะทำอะไรล่ะ? เราจะเป็นพุทธะที่กำลังนั่งอยู่เฉยๆ ตลอดเวลาไม่ได้

บางครั้งเราก็สามารถปลีกตัวไปบำเพ็ญอยู่เงียบๆ สักหนึ่งหรือสองสัปดาห์หรือว่าหนึ่งเดือน นั่นก็ใช้ได้ แต่ว่าจะทำอย่างนั้นตลอดเวลาไม่ได้ เรามีพันธะหน้าที่ต่างๆ ต่อสังคม แม้กระทั่งในฐานะพระก็ตาม พระพุทธเจ้านั่งบำเพ็ญอยู่อย่างนั้นเพียง 49 วัน และหลังจากนั้นและก่อนหน้านั้น พระองค์ก็ต้องเดินไปเดินมาหรือทำสิ่งอื่นๆ หลายอย่าง เรามีพระนักบวชอยู่มากมายในไต้หวัน แต่นักบวชส่วนใหญ่หรือหลายคนก็ต้องดูแลเอาใจใส่จัดการเกี่ยวกับงานศพสำหรับคนตาย บางครั้งพวกเขาไม่มีเวลาจะกินด้วยซ้ำ พวกเขาต้องรีบเดินทางจากที่หนึ่งไปอีกที่ เพราะฉะนั้นมันไม่ได้เป็นเหมือนกับที่เธอคิดเสมอไปว่าการเป็นพระนักบวชแล้วเธอจะมีเวลามากเพื่อจะได้นั่งทำสมาธิไป ไม่เป็นความจริง
การรู้แจ้งอยู่เหนือกาลเวลาและระยะทาง
ถ: โลกนี้เกิดขึ้นมาอย่างไร? ทำไมมนุษย์จึงต้องเกิดมา แม้ว่าเราจะรู้ว่าหลังจากที่เราเกิดมาแล้วเราต้องเผชิญกับการเวียนว่ายตายเกิดไปไม่รู้จักจบ?
อ: มันเป็นเรื่องยาว ฉันมีเวลาไม่พอหรอก ถึงแม้ว่าฉันจะตอบเธอตั้งแต่วันนี้ไปจนกระทั่งถึงวันที่ฉันไปนิพพานว่าโลกนี้ถูกสร้างขึ้นมาอย่างไร แต่ถ้าเธอยังยืนกรานอยากรู้ ฉันคิดว่าเราทั้งคู่ก็ต้องมาเกิดใหม่อีกในโลกที่ทุกข์ทนนี้เพื่อที่จะเล่าเรื่องว่าโลกนี้ถูกสร้างขึ้นมาอย่างไรให้เธอฟังฉันไม่คิดว่าเธอจะชอบอย่างนั้นหรอก เพราะฉะนั้นคำตอบที่รวดเร็วที่สุดก็คือการรู้แจ้ง หลังจากที่เธอได้รู้แจ้งอย่างสมบูรณ์แล้ว เธอจะรู้ทุกอย่าง แม้กระทั่งรู้เรื่องราวหลายๆ ชาติในชั่วแวบ เพราะเมื่อมีการรู้แจ้งเราก็จะข้ามขอบเขตจำกัดของกาลเวลาและระยะทาง เมื่อไม่มีกาลเวลามาเกี่ยวข้องเราก็จะรู้อะไรหลายสิ่งหลายอย่างโดยไม่ต้องใช้เวลามาก เพราะฉะนั้นบางครั้งเรานั่งอยู่ในสมาธิเป็นเวลาหลายชั่วโมง แต่ว่าเรารู้สึกเหมือนกับเป็นเวลาเพียงแค่นาทีเดียวเท่านั้น เรารู้อะไรหลายอย่างที่ใช้เวลาหลายศตวรรษที่จะเข้าใจ ดังนั้นเราจึงต้องแสวงหาปัญญาภายในอันนี้
คำตอบทุกอย่างมีอยู่ภายใน
ถ: ทำไมเราจึงมีศาสนาต่างๆมากมายเหลือเกินในโลกนี้? ศาสนาไหนเป็นศาสนาที่แท้จริง?
อ: ศาสนาไหนก็ได้ เลือกมาศาสนาหนึ่ง ถ้าเธอเข้าใจศาสนาหนึ่งอย่างละเอียดลออโดยตลอด เธอก็จะเข้าใจศาสนาอื่นใดก็ได้ ไม่อย่างนั้นเราก็จะมีการโต้แย้ง โต้ตอบกันไปมาและก็มีสงครามระหว่างศาสนาต่างๆ ซึ่งนำเราไปสู่สัจธรรมเดียวเท่านั้นกันอยู่เสมอ ถ้าไม่รู้แจ้งมันก็ยากมากที่จะทำให้ตัวเราเองเชื่อว่าศาสนาทั้งหมดทุกศาสนาเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่ว่าฉันจะอธิบายให้เธอฟังมากมายแค่ไหน มันก็เป็นความรู้ของฉันเอง ไม่ใช่ของเธอ เพราะฉะนั้นเธอต้องมีต้องได้ความรู้ของเธอเอาเอง
ถ้าคนที่เคร่งศาสนาทุกคนสามารถจะเข้าใจศาสนาของพวกเขาเองแล้ว มันก็จะไม่มีสงครามอย่างแน่นอนทั้งระหว่างศาสนาและแม้แต่ภายในศาสนาเดียวนั้น อย่างที่เธอรู้ว่ามันมีเกิดขึ้นอยู่ในโลกทุกวันนี้ บุคคลที่รู้แจ้งแล้วเท่านั้นที่สามารถจะเป็นคนที่เคร่งศาสนาแบบ 100% เต็มอย่างลึกซึ้งและแท้จริง ผู้นั้นจะเข้าใจภราดรภาพของมนุษยชาติแม้ว่าจะมีเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ลัทธิและศาสนาต่างๆ ก็ตาม บุคคลผู้นั้นจะเป็นผู้รักษาสันติภาพความสงบสุขที่แท้จริงของโลกนี้
ถ: จำเป็นไหมที่จะสวดมนต์ภาวนาก่อนจะทำสมาธิ?
อ: เราจะทำก็ได้แต่ว่ามันไม่จำเป็น สมาธิเป็นการสวดภาวนาที่ลึกซึ้งที่สุดซึ่งเราจะได้รับสิ่งใดๆ ที่เราต้องการ
สิ่งใดๆ ที่ดีสำหรับความผาสุกทางกายและทางจิตใจของเธอจะเข้ามาหาเธอเองโดยอัตโนมัติไม่ว่าเธอจะสวดขอมันหรือไม่ก็ตาม ยิ่งเขาบำเพ็ญมากขึ้นก็ยิ่งต้องการน้อยลง ยิ่งเขาบำเพ็ญมากขึ้นเขาก็สวดขอน้อยลง จงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้าก่อนอื่นใดแล้วสิ่งอื่นๆ ทุกสิ่งก็จะตามมาเอง
ถ: มีบุญกุศลคุณความดีอะไรไหมในการสวดอธิษฐานภาวนาหรือว่ามันเป็นแค่คำกล่าวอย่างหนึ่งเท่านั้นเอง?
อ: ไม่ใช่ มันมีคุณความดีอยู่ ถ้าเราไม่มีการรู้แจ้งที่สมบูรณ์ เราก็ต้องสวดอธิษฐานเสมอเพื่อให้ได้รับการรู้แจ้งและการหลุดพ้น และก็แน่นอนสวดอธิษฐานสำหรับสิ่งที่เรามีความจำเป็นต้องการสำหรับ สิ่งที่ความจำเป็นต่างๆ ของเราเรียกร้องต้องการในชีวิตนี้ ไม่ว่าการสวดของเราจะได้รับการตอบรับหรือไม่ เวลาเราสวดเราก็ได้รับความสบายใจแล้วทางด้านจิตใจและนั่นก็ดีมากเช่นกัน การสวดที่จริงใจจำเป็นเสมอเพราะว่าชาวสวรรค์จะรับฟังข่าวโดยอาศัย ความสว่างของจิตวิญญาณของเราซึ่งถูกส่งไปยังสวรรค์ทางการสวด และพวกเขาจะมาช่วยเรา เราสามารถสวดเพื่อความผาสุกของคนอื่นๆ ได้ ถ้าเรามีความจริงใจการสวดอธิษฐานเหล่านี้ทุกอย่างจะได้รับการตอบทันที
 
     
1 2 3