ช่วงเวลาปิดภาคฤดูร้อนของปีที่ผ่านมา
ข้าพเจ้าไปที่เมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง เป็นเมืองที่ข้าพเจ้าไม่คุ้นเคยมาก่อน
เมื่อลงจากถนนสายด่วน บวกกับอากาศที่มือครึ้ม แยกทิศทางไม่ออก
และไม่ทราบว่า จะเดินเข้าเมืองทางไหน
บนถนน นอกจากรถวิ่งอยู่ไม่กี่คันแล้ว หาคนถามทางไม่ได้สักคน
มีรถแท็กซี่วิ่งผ่านข้าพเจ้าไป
ข้าพเจ้าไม่ได้ขึ้นรถ เดินอยู่บนทางเท้าคนเดียว ขณะนั้น
มีชายวัยกลางคนถีบรถสามล้อเข้ามา เรียกข้าพเจ้าขึ้นรถเพื่อเข้าเมือง
ข้าพเจ้ารู้สึกลังเลใจ เพราะที่ผ่านมา เคยถูกหลอกมาหลายเมือง
บาดแผลยังอยู่ในความทรงจำ
ชายคนนั้นพยายามเรียกข้าพเจ้าเจ้าขึ้นรถ และบอกว่า
ขอเงินเพียง
1
เหรียญเท่านั้น
ข้าพเจ้าแทบไม่เชื่อหูตัวเอง
เงิน
1
เหรียญ!
ราคาค่าไอศกรีม
แท่งเดียว
?!
แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ยอมขึ้นรถ
ชายคนนั้นหัวเราะและกล่าวว่า
“ความจริง
ข้าพเจ้าเข้าเมือง ก็ต้องวิ่งรถว่าง ขอให้ข้าพเจ้าไปส่งท่าน ได้
1
เหรียญก็ยังดี”
เมื่อฟังคำพูดที่เขาพูดจากใจจริง ข้าพเจ้าก็เชื่อ
แต่ก็ยังระมัดระวัง จึงบอกกับเขาว่า
“ขณะนี้ท่านก็พูดดีหรอก
แต่เข้าไปในเมือง ข้าพเจ้าเป็นคนนอกพื้นที่ แล้วเมื่อนั้น
ข้าพเจ้าจะทำอะไรได้
!”
ชายคนนั้นรู้สึกผิดหวัง เลยให้ข้าพเจ้าตัดสินใจเอง
สุดท้ายข้าพเจ้าก็ยอมขึ้นรถ
ระยะทางไกลพอสมควร แต่ชายคนนั้นก็ยืนยันว่า
“ไม่ว่าท่านจะไปตรงไหนของเมือง
ข้าพเจ้าจะเก็บเงินท่านเพียงเหรียญเดียว
สิ่งที่ข้าพเจ้าพูดไว้นั้น ข้าพเจ้าต้องทำได้”
เมื่อคุยกับเขาไปตลอดทาง ข้าพเจ้าทราบว่า เขาเป็นคนตกงาน
อยู่กับพ่อแม่ที่ชราภาพ ยังไม่มี
ครอบครัว
ข้าพเจ้าเห็นเท้า
2
ข้างของเขาต้องถีบรถทุกวัน
ทั้งมือและหลังที่ถูกแดดแผดเผาทุกวัน มั่นใจว่า
เขาเป็นคนซื่อคนหนึ่ง ดังนั้น จึงรู้สึกเห็นใจเขา
และเกิดความรู้สึกรักเขาขึ้นมา
เมื่อเข้าเมืองแล้ว ข้าพเจ้าเห็นท่ารถประจำทาง
จึงคิดจะลงจากรถ ขึ้นรถเมล์ไปบ้านเพื่อน เพราะอากาศมันร้อนเหลือเกิน
ข้าพเจ้าคิดจะให้โอกาสเขาไปรับแขกใหม่ เพื่อได้เงินอีก
1
เหรียญ แต่ชายคนนั้นก็ไม่ยอมให้ข้าพเจ้าลงจากรถ
ถ้าข้าพเจ้าลงจากรถ เป็นการไม่เชื่อใจเขา
เขาขอร้องให้ข้าพเจ้านั่งเขาต่อไป
เพราะเขาบอกแล้วว่าจะต้องส่งข้าพเจ้าไปถึงที่
ในที่สุด เราทั้งสองก็ไปถึงจุดหมาย ข้าพเจ้าให้เขา
5
เหรียญ เขาไม่รับ เพราะเขาไม่มีเงินทอน
ข้าพเจ้าบอกว่า
“นี่เป็นค่ารถของท่าน
ไม่ต้องทอน”
เขาจ้องมองอย่างสงสัย
ข้าพเจ้าบอกเขาว่า เป็นเงินที่เขาสมควรได้
เพราะความซื่อสัตย์ของเขา
ข้าพเจ้าหวังว่า เขาจะรักษาความบริสุทธิ์และความดีไว้
ขณะนั้น เขาซาบซึ้งและจับมือข้าพเจ้าไว้แน่น
แล้วเราทั้งสองก็จากไปอย่างอาลัยยิ่ง
ข้าพเจ้าไม่ใช่คนมีเงิน
และเพียงเล็กน้อยก็เปลี่ยนแปลงชีวิตเขาไม่ได้
แต่ข้าพเจ้าหวังจะให้กำลังใจเขา
เพื่อแสดงออกถึงความรักความซาบซึ้งของข้าพเจ้า
ต่อมา ข้าพเจ้าทราบจากเพื่อนมาว่า
เศรษฐกิจเมืองนี้ล้าหลังมาก ถ้าหากตอนนั้นข้าพเจ้าขึ้นรถแท็กซี่
ค่ารถก็เพียง
4
เหรียญ เท่านั้น
แต่ข้าพเจ้าก็ทราบว่า ที่ข้าพเจ้าไม่ได้นั่งรถแท็กซี่
เป็นเพราะพระเจ้าให้โอกาสเรียนรู้ เรียนรู้ความบริสุทธิ์
จริงใจและมั่นใจจากคนอื่น
หลังจากบำเพ็ญแล้ว พวกเราจึงจะรู้ค่าของความซื่อสัตย์
จริงใจ และมั่นใจ ซึ่งเงินทางโลกหาซื้อไม่ได้