รู้จักธรรมชาติแห่งพระเจ้าของเราเอง
ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ มหาวิทยาลัยเออร์วีน แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา
2 มิถุนายน 2541 (ต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ ไม่ได้ตัดทอนเนื้อความ)
 
คำถามที่ชวนพิศวงงงงวยนับตั้งแต่โบราณกาล
การรู้แจ้งคือสภาพธรรมชาติของเรา
ผู้ที่โชคดีคือผู้ที่ค้นพบคำสอนอันแท้จริง
คำถาม-คำตอบ
วิญญาณต้องการอาหารหล่อเลี้ยงทางจิตวิญญาณ
ทำไมเราจึงมายังโลกนี้
ชดใช้กรรมในความฝัน
การรู้แจ้งคือกุญแจสู่ทุกสิ่ง
อาจารย์มีแต่ให้ ไม่เคยรับ
 
คำถามที่ชวนพิศวงงงงวยนับตั้งแต่โบราณกาล
   
 

เราต้องเริ่มต้นมาจากที่ใดที่หนึ่ง และชีวิตของเราได้เริ่มต้นมาเป็นเวลานานแล้ว หรือบางทีมันอาจจะเพิ่งเริ่มต้น และเราได้ลืมไปว่าจริงๆ แล้วเรามาจากที่ไหน นั่นเป็นคำถามเดียวเท่านั้นซึ่งพวกเราส่วนใหญ่ พวกเราเป็นจำนวนมากไม่สามารถบอกได้ เรื่องอื่นๆนั้นเราฉลาดพอที่จะรู้ เราสามารถเรียนรู้ได้จากหนังสือ เราสามารถทำการทดลองได้ในห้องทดลอง เราสามารถใช้สสารทางเคมีหรือความรู้ทางวิทยาศาสตร์เพื่อแก้ไขปัญหาเพื่อที่จะให้คำตอบ  แต่คำตอบเดียวเท่านั้นซึ่งน่างุนงงที่สุดก็คือ “เรามาจากที่ใด?” และอีกคำถามหนึ่งซึ่งน่างุนงงพอๆ กันก็คือ “เราจะไปที่ไหนหลังจากนี้?” เป็นที่ปรากฏชัดว่าสำหรับพวกเรานั้นชีวิตไม่ได้จบสิ้นในโลงศพเรารู้ดีในเรื่องนั้นเพียงแต่เราไม่สามารถพิสูจน์ได้ สำหรับนักบุญผู้มีปัญญาในสมัยโบราณคำถามเหล่านี้เป็นคำถามที่ง่ายมาก พวกเขารู้ดีว่าพวกเขามาจากที่ใดและพวกเขาก็รู้ดีว่าพวกเขาจะไปยังที่ใด สำหรับพวกเขาแล้วปัญหาเรื่องการตายไม่มีน่าดึงดูดใจหรือน่าตกใจเลย  เพราะเหมือนอย่างที่นักบุญในไบเบิลได้กล่าวไว้ว่า ฉันตายทุกวัน

การตายทุกวันหมายความว่าอย่างไร? เมื่อเราดึงตัวเราเข้าสู่ภายในเพื่อเข้าไปยังอาณาจักรแห่งพระเจ้า นั่นก็คือเวลาที่เราตาย เราตายชั่วคราวแล้วเราก็กลับคืนสู่ชีวิตอีกครั้งหนึ่ง

ดังนั้น การกลับชาติมาเกิดสามารถเกิดขึ้นได้ไม่ว่าเวลาใดในระหว่างชีวิตปกติของเราถ้าเราทำตามขั้นตอนของพระเยซู   ของนักบุญในสมัยโบราณ เนื่องจากว่าเราตายเพียงครั้งเดียว หรือเราตายทุกวันเราจึงทราบดีว่ามีอีกชีวิตหนึ่ง มีโลกอื่นนอกเหนือจากโลกทางวัตถุนี้ เราก็จะเป็นอิสระที่จะท่องเที่ยวไปทั่วจักรวาล เราค้นหาความลึกลับของจักรวาล  เราทราบดีว่าการตายนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร และอันที่จริงแล้วเราก็ทราบว่าเราไม่เคยตาย เรายังทราบว่าเราไม่มีแม้กระทั่งกายเนื้อ มันอาจจะดูแปลกแต่มันก็เป็นความจริง

เพราะเหตุนี้เมื่อพระเยซูถูกตรึงกางเขนพระองค์จึงไม่กลัว พระองค์ไม่ได้ร้องไห้ พระองค์ไม่ได้ร้องขอชีวิต พระองค์ไม่ได้วิ่งหนีไป พระองค์อาจจะทำเช่นนั้นก็ได้ แต่พระองค์ไม่ต้องการ พระองค์ไม่จำเป็นที่จะต้องทำ พระองค์จำนนทุกสิ่งต่อพระประสงค์ของพระเจ้า เพราะพระองค์ทราบว่าพระองค์กำลังจะไปที่ใด พระองค์ทราบอยู่ตลอดเวลา พระองค์ทราบว่าไม่มีเรื่องอย่างเช่นความตายหรือความทุกข์ ความทุกข์อันแท้จริงเกิดขึ้นเมื่อเราไม่ทราบว่าเรามาจากที่ใด และเราจะไปยังที่ใด  เนื่องจากพระเยซูทราบอยู่แล้วพระองค์จึงเลิกแสวงหาความสบายทางวัตถุ พระองค์ไม่กลัวตายและพระองค์ก็ได้ไป เพราะพระองค์ทราบว่าพระองค์จะอยู่ที่นั่นเสมอไป และพระองค์ทราบว่าเป็นเพียงกายเนื้อเท่านั้นซึ่งเน่าเปื่อยในสายตาของมนุษย์  แต่ในปัญญาของพระเยซูไม่มีสิ่งเช่นนั้นแม้กระทั่งอย่างเช่นกายเนื้อ

เรื่องนี้ยากที่จะพิสูจน์ เว้นเสียแต่ว่าเราได้เดินบนเส้นทางเดียวกับมหาอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่อย่างเช่น พระพุทธเจ้าหรือพระเยซู  พระองค์เดินบนเส้นทางเดียวกัน ดังนั้น  พระองค์จึงเทศนาในเรื่องเดียวกัน  ถึงแม้ว่าเราจะตั้งชื่อว่าศาสนาพุทธหรือศาสนาคริสต์ก็ตาม  เรามีคำศัพท์เฉพาะมากมายและได้แบ่งแยกสัจธรรมออกเป็น 2 หมวดหมู่ซึ่งแตกต่างกันซึ่งทำให้เราสับสน  แต่อันที่จริงแล้วโดยพื้นฐานแล้วอาจารย์มักจะสอนเรื่องเดียวกันเสมอ  ถ้าหากเราตัดริบบิ้นกระดาษที่ห่อของและวิธีการที่แตกต่างกัน  ความสามารถพิเศษและคำพูดของอาจารย์แต่ละคนออกไป มันก็จะเป็นสิ่งเดียวกัน โดยเฉพาะหลังจากที่เราได้รู้แจ้งแล้ว หรือเราได้เดินเส้นทางเดียวกันและบำเพ็ญสิ่งเดียวกันเราก็จะรู้ว่ามันเป็นสิ่งเดียวกัน เพราะทั้ง 2 พระองค์ได้เดินไปบนเส้นทางเดียวกัน สมมุติว่าพวกเราทั้งหมดเข้ามายังห้องประชุมนี้นั่งอยู่ที่นี่สักชั่วครู่  แล้วหลังจากนั้นเราก็ออกไปและบอกลักษณะของห้องเดียวกันก็จะไม่มีความแตกต่างกัน

การรู้แจ้งคือสภาพธรรมชาติของเรา
 

การรู้แจ้งเป็นอย่างไรกันจึงทำให้คนเป็นจำนวนมากทำให้มันดูลึกลับและยกย่องมันมากเหลือเกิน  และกระตุ้นให้เราเรียกร้องมันกลับมาอีกครั้งหนึ่ง? มันไม่ใช่เป็นการรู้แจ้งเลย มันเป็นเพียงสัจธรรม มันควรที่จะเป็นเช่นนั้น มันเป็นแบบที่มันเป็น  และถ้าเราไม่รู้จักการรู้แจ้งเราก็จะมีความทุกข์อย่างมากต่อไป จนกว่าเราจะตระหนักว่าสิ่งอื่นๆ นั้นไม่สำคัญยกเว้นการได้รู้จักพระเจ้า เมื่อเราเริ่มที่จะอยากรู้จักพระเจ้าๆ ก็จะส่งคนอื่นมาเป็นเพื่อน ผู้ชี้นำ พี่ชายที่มีประสบการณ์ เพื่อที่จะแสดงให้เรารู้ว่าจะต้องทำอะไร หลังจากที่เรารู้ว่าจะต้องทำอะไรแล้วนั่นก็คือตอนที่เราได้รู้แจ้ง เราอาจจะไม่รู้แจ้งยิ่งใหญ่ในทันทีเหมือนอย่างพระพุทธเจ้าหรือพระเยซูแต่เราก็ได้รู้แจ้งขึ้นมาบ้าง จากนั้นทุกๆ วันเราก็ดำเนินตามขั้นตอนไปเรื่อยๆ แล้วเราก็จะยิ่งใหญ่เหมือนเดิม เราจะเข้าใจในสิ่งที่พระเยซูได้กล่าวกับเราเหมือนอย่างเช่น “อะไรก็ตามที่ฉันทำ เธอสามารถทำได้ดีกว่า หรือเธอสามารถทำได้ดีเหมือนๆกัน” และ “ฉันและพระบิดาของฉันเป็นหนึ่งเดียวกัน” เราจะเข้าใจว่าเราทั้งหมดต่างก็เป็นบุตรของพระเจ้า เราจะเข้าใจว่าเราเป็นวิหารของพระเจ้า และมีเพียงพระจิตอันศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่อาศัยอยู่ภายในตัวเรา

ถ้าหากพระเจ้าอาศัยอยู่ในตัวเรา เช่นนี้แล้วเราคืออะไร? เราคือพระเจ้า ถ้านี่คือบ้านแห่งเดียวเท่านั้นและพระเจ้าอาศัยอยู่ภายใน ถ้าเช่นนั้นมีใครอื่นอีกที่อยู่ในนั้น? จะเป็นไปได้ไหมที่ฉันและพระเจ้าอาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน? พระองค์ไม่ได้ตรัสว่าฉันและพระเจ้าอาศัยอยู่ในนั้น พระองค์ตรัสว่าฉันและพระบิดาของฉันเป็นหนึ่งเดียวกัน ถ้าหากฉันและพระบิดาของฉันเป็นหนึ่งเดียวกัน แล้วทำไมเราจึงไม่รู้จักพระองค์ล่ะ? ถ้าหากพระจิตอันศักดิ์สิทธิ์อาศัยอยู่ภายในวิหารหลังนี้ และกายเนื้อนี้เป็นวิหารแห่งเดียวเท่านั้น และมีคนคนเดียวเท่านั้นที่อาศัยอยู่ภายในซึ่งก็คือพระเจ้า ถ้าเช่นนั้นแล้วใครล่ะที่อยู่ข้างใน? มีเพียงคนเดียวเท่านั้น พระเจ้าคนเดียวเท่านั้น

 

แต่ก่อนเรื่องนี้ได้ทำให้ฉันร้องไห้ในบางครั้ง ฉันพูดว่า “ถ้าฉันเป็นพระเจ้า ทำไมฉันจึงมีความถ่อมตนนัก? ทำไมฉันจึงอ่อนแอนัก? ทำไมฉันจึงตัวเล็กนัก ทำไมฉันจึงโง่เขลานัก? ทำไมฉันจึงมีความทุกข์มากนัก? บ้านของฉันอยู่ที่ไหน?” และนั่นก็คือตอนที่เราเริ่มถามตัวเราว่าจะทำให้ได้ความรุ่งโรจน์ของเรากลับคืนมาอีกครั้งอย่างไร? นั่นคือตอนที่การรู้แจ้งเริ่มต้นคืบคลานเข้ามาหาเรา หรือเรากำลังคืบคลานไปสู่การรู้แจ้ง หรือเราอาจจะกำลังวิ่ง กำลังบิน ก็สุดแล้วแต่ บางคนบิน บางคนเดิน บางคนอาจจะไปโดยรถไฟ ด้วยเหตุนี้ในเวลาที่เรียกว่าการรู้แจ้ง บางคนจึงรู้แจ้งมากกว่า บางคนมีการรู้แจ้งที่ “ยิ่งใหญ่” น้อยกว่า ทั้งนี้ก็เป็นเพราะว่าบางครั้งเราเลือกที่จะไปเร็วกว่า บางครั้งเราเลือกที่จะไปช้ากว่า

 

เราเลือกในเรื่องนั้นอย่างไร? เราเลือกก่อนที่เราจะมาเกิด เราเลือกก่อนการสร้างโลกจะเริ่มต้นเล่นบทบาทของเราในโลกวัตถุนี้หรือในส่วนใดของจักรวาล เรากระจายไปทั่ว เราเป็นหนึ่งเดียว แล้วก็เป็นมากมายตามที่พระเจ้าประสงค์จะให้เป็นเช่นนั้น เรามีส่วนร่วมในการออกแบบอันยิ่งใหญ่ของการสร้างโลกเพื่อที่จะเล่นละครแห่งชีวิตอันมีสีสัน และในตอนนี้เมื่อเวลาที่บทบาทของเราจะต้องจบลงได้มาถึง ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นเช่นนั้น หรือเมื่อเราเหนื่อยล้าแล้วเราก็ต้องการที่จะลาพัก เราต้องการที่จะกลับบ้าน คนอื่นๆ หรือวิญญาณดวงอื่นๆ ก็จะเล่นบทบาทของเราต่อไปแล้วก็จะเริ่มกลับไปยังบ้าน นั่นก็คือตอนที่การรู้แจ้งได้เกิดขึ้น มันเรียบง่ายมาก เราเป็นพระเจ้า เราเลือกที่จะโง่เขลาเพื่อที่จะเล่นละครแห่งชีวิตนี้เพื่อที่จะให้การสร้างโลกนั้นมีสีสันและมีชีวิตชีวา ให้มันแตกต่าง ให้มันสนุก รวมทั้งเพื่อที่จะได้รู้ว่าจริงๆ แล้วเราเป็นใคร  ในสวรรค์มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นไม่มีอย่างอื่น เราไม่รู้จักพระเจ้าเพราะเราเป็นพระเจ้า เพราะฉะนั้นเราจึงต้องเป็น “แบบที่ไม่ใช่เป็นพระเจ้า” เราเลือกที่จะมาที่นี่เพื่อจะให้แตกต่างจากพระเจ้าเพื่อว่าเราจะได้เห็นและเปรียบเทียบและทราบว่าเราคือพระเจ้า

 

การรู้แจ้งเป็นจุดมุ่งหมายของทุกคนที่มายังจักรวาลแห่งวัตถุนี้ เนื่องจากเราต้องการรู้จักพระเจ้า เราจึงได้เลือกที่จะเล่นบทบาทที่โง่เขลานี้เพื่อที่เราจะได้รู้จักพระเจ้าและตัวเราจริงๆ เหมือนอย่างถ้าในโลกนี้มีเพียงผู้ชายเท่านั้น เราก็จะไม่รู้จักความแตกต่างระหว่างผู้ชายและผู้หญิง เราจะไม่รู้ว่าเราเป็นผู้ชาย เว้นเสียแต่ว่าจะมีผู้หญิง เราจะไม่รู้จักกลางวันถ้าไม่มีกลางคืน  ถ้าหากเรามีชีวิตอยู่แต่ในแสงสว่างเราก็จะไม่รู้ว่าความมืดคืออะไร นั่นคือคำตอบที่ฉันได้ค้นพบ แต่การที่จะค้นพบความหมายอันแท้จริงของมัน ที่จะตระหนักถึงความหมายอันแท้จริง พวกเราแต่ละคนจะต้องค้นหาวิธีการที่จะค้นหามันด้วยตัวเขาหรือตัวหล่อนเอง มันไม่ใช่ด้วยการฟัง ด้วยการได้ยิน ด้วยการพูดที่จะทำให้เรารู้ว่าเราเป็นพระเจ้า แม้ว่าเราจะเชื่อคัมภีร์ไบเบิล ในขณะนี้เราก็ยังคงไม่รู้ว่าเราเป็นพระเจ้าหรือว่าเรารู้แล้ว? ฉันเดาว่าพวกเธอบางคนทราบเพราะเธอรู้แจ้งแล้ว บางคนก็ได้ศึกษากับอาจารย์ท่านอื่นๆ หรือครูคนอื่นๆ และแน่นอนเธอก็ได้รู้ในระดับหนึ่งว่าเธอไม่ใช่เป็นเพียงแค่ร่างกาย เธอไม่ใช่ร่างกายเลย

 

บางครั้งในระหว่างที่อยู่ในสมาธิเธอจะพบว่าเธอไม่มีร่างกาย  เธอรู้ว่าเธอมีตัวตนอยู่แต่ไม่ใช่ร่างกาย เธอไม่พบว่ามีร่างกายใดๆ เธอไม่พบร่องรอยใดๆ ของสสารทางวัตถุที่เราเรียกว่าเนื้อหนัง กระดูก ร่างกาย เส้นผมหรืออะไรก็ตาม มันมีแต่แสงเต็มไปหมดเท่านั้น มันมีแต่พระเจ้าเท่านั้น นั่นก็คือตอนที่เราได้ตระหนักอย่างแท้จริงว่าเราคือพระเจ้า ว่าพระเจ้าเท่านั้นที่อาศัยอยู่ภายในวิหารหลังนี้ และในท้ายที่สุดวิหารนั้นก็หายไปด้วยเช่นกัน มีเพียงการตระหนักรู้เช่นนี้เท่านั้นที่จะทำให้เรามีความสุข มีความสุขอย่างแท้จริง มิฉะนั้นแล้วไม่ว่าเราจะอ่านไบเบิลมามากเท่าไร  ไม่ว่าครูอื่นๆ มากมายเท่าไรได้บอกเราว่าเราเป็นพระเจ้า เราจะไม่มีวันเชื่อได้ เราจะไม่มีวันรู้ว่าจริงๆ แล้วเราเป็นบุตรของพระเจ้าหรืออาณาจักรของพระเจ้านั้นอยู่ภายในตัวเธอ

เราอ่านไบเบิลทุกวันเราจำไบเบิลได้ขึ้นใจ  เราอาจจะสามารถท่องไบเบิลได้จากหน้าแรกจนถึงประโยคสุดท้ายแต่ก็ยังคงไม่รู้จักพระเจ้า เราสวดถึงพระเจ้าทุกวัน สวดถึงพระเจ้าที่เราไม่รู้จักเสียด้วยซ้ำเพื่อให้ตอบคำถามของเรา ให้สนองข้อเรียกร้องของเรา ให้ตอบความปรารถนาของเรา และตลอดเวลาเราก็เป็นสิ่งนั้น เราเป็นคนที่เรากำลังสวดถึง บางครั้งเราก็โกรธพระองค์ เพราะเราคิดว่าพระองค์ไม่ได้ตอบเรา พระองค์ไม่ได้สนองข้อเรียกร้องของเรา เราจะไม่โทษ ติเตียนอีกต่อไปถ้าเพียงแต่เรารู้ว่าเราคือพระเจ้า เราจะไม่มีความจำเป็นที่จะต้องสวดอีกต่อไป  อะไรก็ตามที่เราคิดเราก็จะมี อะไรก็ตามที่เราต้องการเราจะได้มา แต่เราก็จะไม่ต้องการอีกต่อไป

 

ในเวลานั้นเราสามารถพูดได้ว่าพระเจ้าคือคนเลี้ยงแกะของฉัน ฉันจะไม่มีความต้องการเพราะฉันสมปรารถนาแล้ว ไม่สำคัญว่าเราขับรถเมอร์ซีเดส เราขี่จักรยานหรือเราเดิน เราก็จะมีความสุขมาก เราจะมีความสมปรารถนา เรามีความอุดมสมบูรณ์อยู่ภายในจนไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้เราไม่มีความสุขได้ แม้ถ้าเราเป็นกษัตริย์หรือเป็นขอทาน เราก็จะมีความสุขเท่ากันไม่ว่าในสถานการณ์ใดๆ เพราะเรารู้จักความสุขจริงๆ ในเวลานั้นความสุขก็คือเรา  และนั่นก็คือสิ่งที่การรู้แจ้งจะนำมาให้ มันไม่ใช่เป็นทฤษฎีที่เราควรจะฟังมันคือประสบการณ์ มันคือความรู้มันคือการตระหนักรู้ซึ่งเราจะต้องให้ได้มา มิฉะนั้นแล้วเราจะไม่สามารถเข้าใจหลายสิ่งหลายอย่างที่เราต้องการเข้าใจ มิฉะนั้นแล้วเราจะเข้าใจซึ่งกันและกันผิดๆ ต่อไปและทุกข์ทรมานมากไม่ว่าจะเป็นในความสัมพันธ์ส่วนตัว ในการติดต่อทางธุรกิจหรือในการติดต่อที่เป็นความรักกับพระเจ้า เราจะไม่มีความเข้าใจและความรักอันแท้จริงซึ่งยิ่งใหญ่มากจนถึงกับทำให้เราสามารถให้อภัยศัตรูของเรา เพราะในเวลานั้นเราจะตระหนักได้ว่าไม่มีศัตรูใดๆ

 

เราอ่านไบเบิลมามากมาย อย่างเช่น เธอจะต้องให้อภัยศัตรูของเธอ รักเพื่อนบ้านของเธอ แต่เราจะไม่มีวันเข้าใจว่าทำไม จนกระทั่งเราได้ตระหนักอย่างแท้จริงว่าเราคือใคร หรือเราคืออะไร และในตอนนั้นก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอธิบายอีกต่อไป ความรักจะไหลออกมาจากตัวเรา แสงจะล้อมรอบตัวเรา เรากลายเป็นสิ่งนั้น เรากลายเป็นความรัก เรากลายเป็นแสงเรากลายเป็นสิ่งที่เราต้องการอยู่เสมอที่จะเป็น เรากลายเป็นสิ่งที่เราสวดขออยู่เสมอ เราเป็นเหมือนอย่างพระเจ้า ด้วยเหตุนี้อาจารย์อย่างเช่นพระเยซู เราบูชาท่านเพราะพระองค์มีความเป็นพระเจ้า ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงชื่นชมในตัวพระพุทธเจ้า เพราะพระองค์มีความเป็นพระเจ้า พระองค์เป็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เราจินตนาการว่าพระเจ้าจะเป็น แต่เราสามารถเป็นเช่นนั้นได้เหมือนกัน

 

พระเยซูได้บอกเราไว้ และเราจะต้องเชื่อพระองค์ๆ ไม่มีเหตุผลที่จะโกหกเรา พระองค์ไม่ได้เอาเงินจากใคร พระองค์ไม่ได้สร้างโบสถ์หรือบ้านในขณะนั้นเสียด้วยซ้ำ พระองค์เดินๆ ไม่มีทรัพย์สมบัติใดๆ  พระองค์ไม่มีเหตุผลเลยที่จะโกหกวิญญาณใดๆ  ในโลกนี้ พระองค์ได้บอกพวกเราว่า: อะไรก็ตามที่ฉันทำได้ เธอก็ทำได้เช่นกัน พวกเธอทั้งหมดคือบุตรของพระเจ้า พระองค์ได้กล่าวไว้เช่นนั้น เราจะต้องเชื่อพระองค์ ตอนนี้สิ่งเดียวเท่านั้นที่พวกเราจะต้องทำก็คือตระหนักในสิ่งที่พระองค์ได้พูดไว้ พิสูจน์ให้ตัวเราทราบเพราะพระองค์ได้สัญญาในเรื่องนั้นไว้แล้ว เราจะต้องค้นหาว่าจะต้องทำอย่างไร จะตระหนักรู้ในคำสัญญาเหล่านี้ได้อย่างไร  นี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมดของการรู้แจ้ง เรียบง่ายมาก

ผู้ที่โชคดีคือผู้ที่ค้นพบคำสอนอันแท้จริง
 

การรู้แจ้งนั้นอยู่ในตัวเราอยู่แล้ว อาณาจักรของพระเจ้าอยู่ในตัวเรา อาณาจักรของพระเจ้าอยู่ในมือ “อยู่ในมือ” หมายความว่าเราสามารถได้มันมาอยู่เสมอ มันอยู่ไม่ไกลขอเพียงให้เรารู้ว่าจะทำอย่างไร อาจารย์ในสมัยโบราณได้ตายจากไปแต่คำสอนของพวกเขาเหล่านั้น เชื้อสายสืบทอดแห่งการรู้แจ้งของพวกเขาได้หลงเหลืออยู่บ้าง ณ ที่ใดที่หนึ่งด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง ไม่จำเป็นว่ามันจะยังคงหลงเหลืออยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม ไม่จำเป็นว่ามันจะยังคงหลงเหลืออยู่ในพุทธคยา ประเทศอินเดีย มันอยู่ลึกลงไปในพื้นแผ่นดินเหมือนอย่างแม่น้ำ มันไปทั่วทุกหนแห่ง มันแตกกิ่งก้านสาขาออกไป มันหลบซ่อนตัวอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่ง แล้วมันก็โผล่ออกมายังที่ใดที่หนึ่งอย่างน่าประหลาดใจ 

     

ดังนั้น เราจึงต้องค้นหาว่าในขณะนี้แม่น้ำนั้นได้ผุดขึ้นมาอยู่ ณ ที่ใด และไปให้ถึงแหล่งของแม่น้ำแห่งชีวิต  โชคดีสำหรับผู้ที่รู้ว่าแม่น้ำนั้นได้ผุดขึ้น ณ ที่ใดหลังจากที่มันหลบซ่อนอยู่ใต้พื้นดิน หรือไหลไปยังมุมต่างๆ ของโลก

     

ทำนองเดียวกันกับคำสอนของอาจารย์ในอดีต คำสอนเหล่านั้นไม่ได้หายสาบสูญไป เมื่อใดที่เราพร้อมเราก็จะพบแม่น้ำนั้นอีกครั้งหนึ่งโดยผ่านเพื่อนของเราบางคน ผู้ที่สนิทสนม บางครั้งก็โดยเหตุการณ์ที่ตลกมาก ความบังเอิญที่แปลกประหลาดมาก เราก็จะค้นพบแม่น้ำแห่งคำสอนนั้นอีกครั้งหนึ่ง บางครั้งมันอาจจะง่ายมาก ค้นพบในซุปเปอร์มาร์เก็ต บางครั้งมันก็ยากกว่านี้ เราต้องไปยังภูเขาหิมาลัย บางครั้งเราก็พบมันในห้องสมุดหรือในร้านขายลูกกวาด ใครจะไปรู้ได้? วิธีการทำงานของพระเจ้านั้นลึกลับมากๆ แต่ทั้งหมดนี้ก็เพื่อประโยชน์ของเราเสมอ ไม่จำเป็นว่าพวกเราทั้งหมดจะต้องไปยังภูเขาหิมาลัยหรือที่ใดที่ห่างไกลมากๆ  เพื่อที่จะค้นพบการรู้แจ้ง พระเจ้าได้จัดการด้วยวิธีการต่างๆกันสำหรับพวกเราแต่ละคนตามความปรารถนาของเรา ตามความจริงใจของเรา ตามโชคชะตาของเราซึ่งเขียนไว้ในหนังสือของจักรวาล  เราอาจจะได้พบโอกาสแห่งการรู้แจ้ง ณ ที่นี้ หรือเราอาจจะได้พบโอกาสแห่งการรู้แจ้ง ณ ที่อื่น

 

ฉันก็นับว่าโชคดีเหมือนกันที่ได้พบแม่น้ำที่ผุดขึ้นมาใหม่ และฉันก็ได้ดื่มน้ำแห่งชีวิตนี้ด้วยเหมือนกันซึ่งมีรสอร่อย ฉันรู้ว่ามันรสอร่อยเพราะฉันได้ชิมมันมาแล้ว ฉันจึงได้กลับมาบอกเธอ ฉันสามารถแสดงให้เธอรู้ว่าจะไปเอาน้ำนั้นมาได้จากที่ไหน และให้เธอได้ลิ้มชิมด้วยตัวเธอเอง (เสียงปรบมือ) เป็นเพียงแต่ว่าฉันได้พบมันเป็นคนแรก พบมันก่อนเธอ อาจจะเป็นเธอที่นั่งอยู่ที่นี่ก็ได้ที่จะมาบอกฉัน ใช่แล้ว แต่ตามพระประสงค์ของพระเจ้า พระองค์ก็ได้เลือกผู้หญิงตัวเล็กๆ ง่ายที่จะขนส่ง (ท่านอาจารย์และทุกคนหัวเราะ) เพราะของชิ้นเล็กๆ ไปได้ไกล เป็นการง่ายสำหรับฉันที่จะสอดแทรกเข้าไปยังทุกที่ ค้นหาแม่น้ำให้เธอ เพราะฉะนั้นอย่าได้ถามว่า “ทำไมจึงเป็นฉัน?” ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน (ท่านอาจารย์หัวเราะ) เพียงแต่ว่าจะต้องมีใครบางคนที่ค้นพบอะไรบางอย่างด้วยวิธีการบางอย่าง ณ ที่ใดที่หนึ่ง เวลาใดเวลาหนึ่ง

 

ไม่จำเป็นว่าทุกคนจะต้องค้นพบของอย่างเดียวกันในเวลาเดียวกัน เหมือนอย่างไอน์สไตน์มีทฤษฎีของเขา และเขาก็เป็นคนเดียวเท่านั้น ยกตัวอย่าง นิวตัน คนๆ เดียวก็พอเพียงแล้ว  แล้วเขาก็สามารถแบ่งปันความรู้ของเขากับโลกทั้งโลกได้ และโลกทั้งโลกก็จะได้รับประโยชน์ไม่จำเป็นว่าเราจะต้องมีไอน์สไตน์ 2 คนหรือนิวตัน 2 คน มันอาจจะมากเกินไปถ้าเรามีดวงอาทิตย์ 2 ดวง มันจะร้อนเกินไป แคลิฟอร์เนียนั้นร้อนจริงๆ ในฤดูร้อน สมมุติว่าเรามีดวงอาทิตย์ 2 ดวง มันอาจจะมากเกินความจำเป็น เพราะฉะนั้นดวงเดียวก็พอแล้ว เอาละฉันก็อยู่ที่นี่แล้วฉันมาจากที่ไกลเพื่อที่จะนำข่าวนี้มาให้เธอ  และถ้าหากเธอต้องการที่จะรับมันไว้ ถ้าเธอต้องการค้นพบในเรื่องนี้เราก็เต็มใจเป็นอย่างมากที่จะแบ่งปันมันกับเธอ ไม่มีการคิดเงิน ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ไม่มีเชือกมาผูกมัด ไม่มีทั้งก่อนหลังและในระหว่าง  ก็เป็นแบบนี้เรียบง่าย (เสียงปรบมือ)

 

นับเป็นเวลานานมาแล้วที่ฉันได้ปรากฏในที่สาธารณะแบบนี้ ฉันก็ได้ปรากฏตัวแต่เฉพาะในหมู่เพื่อนพี่-น้องบำเพ็ญ ฉันไม่ได้ปรากฏตัวในที่สาธารณะจริงๆ แบบนี้ เพราะฉะนั้นฉันจึงคิดว่าคำพูดที่คารมคมคายของฉันได้หายไป แต่มันเรียบง่ายมาก บางครั้งฉันไม่รู้สึกว่ามีความจำเป็นที่จะต้องพูด ฉันรู้สึกว่าพวกเธอทั้งหมดก็เข้าใจอยู่แล้ว พวกเธอทั้งหมดทราบดีอยู่แล้ว เพราะพวกเธอทั้งหมดเป็นพระเจ้า ฉันกำลังนั่งอยู่ที่นี่มองดูพระเจ้าทั้งหลาย ด้วยเหตุนี้ฉันจึงรู้สึกมีความสุขมาก ฉันไม่มีความจำเป็นที่จะต้องพูด แต่ในกรณีที่เธอมีคำถามใดๆ ฉันก็อาจจะมีโอกาสได้สาธยายให้มากขึ้นเพื่อคนอื่นๆ เพราะฉะนั้นขออย่าได้เกรงใจที่จะถามหรืออาจจะแบ่งปันความรู้ของเธอกับฉัน

 
     
1 2 3