รู้จักธรรมชาติแห่งพระเจ้าของเราเอง

ชดใช้กรรมในความฝัน

   

ถาม: เราชดใช้กรรมในความฝันของเราหรือไม่? เราชดใช้กรรมได้อย่างไร?

ตอบ: เราใช้กรรมในความฝันของเราก็ต่อเมื่อเป็นพระกรุณาของพระเจ้า มิฉะนั้นแล้วส่วนใหญ่เราจะต้องชดใช้ทางด้านร่างกายเหมือนอย่างตาต่อตา ฟันต่อฟัน เมื่อได้รับการประทับจิตหรือได้รู้แจ้ง เราก็จะมีชีวิตอยู่ภายใต้พระกรุณาของพระเจ้า เราไม่มีชีวิตอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรมมากนักอีกต่อไป ยกเว้นกรรมลิขิตบางอย่างที่มีอยู่แล้ว เหมือนอย่างเช่นเราจะต้องมีกรรมที่แน่นอนบางอย่างเพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ในชาตินี้ เราก็จะต้องมีกรรมนั้นต่อไป แต่มันก็สามารถลบได้ในระดับหนึ่ง มันสามารถทำให้เบาบางลง สามารถทำให้ลดน้อยลงได้มาก หรือสามารถชดใช้ในความฝัน เฉพาะในเวลานั้นเท่านั้น

ถาม: ท่านอาจารย์เกิดอะไรขึ้นถ้าบุคคลหนึ่งได้รับการประทับจิตแต่ไม่สามารถนั่งสมาธิตามที่กำหนดไว้ 2 ชั่วโมงครึ่งได้

ตอบ: ถ้าเช่นนั้นเขาก็คงจะอยู่ในชั้นเรียนเป็นระยะเวลาหนึ่ง (เสียงหัวเราะ) เหมือนอย่างพวกเธอที่เป็นนักเรียน เกิดอะไรขึ้น ถ้าเธอลงทะเบียนเรียนวิชาหนึ่ง แล้วเธอก็เรียนไม่ดี? เธอก็จะต้องอยู่ในชั้นนั้น (ท่านอาจารย์และทุกคนหัวเราะ) แทนที่จะได้ ‘เอ’ เธอก็จะได้ ‘เจ’ มันก็เป็นแบบนั้น แต่ถึงอย่างไรเธอก็ยังคงเป็นนักศึกษาวิทยาลัยอยู่ เธอไม่ใช่เป็นเด็กนักเรียนประถมหรือเด็กอนุบาล อย่างน้อยที่สุดเธอก็เป็นนักเรียนวิทยาลัย เรื่องนั้นไม่มีข้อสงสัยใดๆ เพียงแต่มีความเป็นนักศึกษาน้อยกว่า

ถาม: ฉันอยากรู้มากขึ้นเกี่ยวกับบุคคลที่ถ่าย ทอดธรรมวิถีกวนอิมให้กับท่าน เขาเป็นพระเยซูกลับชาติมาเกิดหรือว่าเป็นตัวท่าน? เขาหรือหล่อนมีชื่อที่ท่านจะแบ่งปันให้พวกเราทราบได้ไหม?

ตอบ: ฉันได้บอกให้เธอทราบในเทปม้วนหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว ท่านมีชื่อว่าอาจารย์คูดาจี ท่านได้กลับไปสู่พระเจ้าแล้ว พระเยซูไม่เคยกลับชาติมาเกิด และอาจารย์คนอื่นๆ ก็เช่นกัน การกลับชาติมาเกิดนั้นมีสำหรับพวกเราเท่านั้นพวกมนุษย์พวกคนที่เต็มไปด้วยกรรม เพราะฉะนั้นเธออาจจะพูดว่าพระเยซูได้กลับชาติมาเกิด หรือเธออาจจะพูดว่าพระเยซูไม่ได้ กลับชาติมาเกิดก็ได้ ไม่ใช่เป็นพระเยซูที่กลับชาติมาเกิด มันเป็นพลังพระคริสต์ซึ่งกลับมา พลังพระคริสต์ซึ่งลงมายังบุคคลต่างๆกันด้วยพระประสงค์ของพระเจ้าเพื่อจะช่วยมวลมนุษย์ เพราะฉะนั้นเธออาจจะพูดได้ว่า “ใช่” เธออาจจะพูดได้ว่า “ไม่ใช่” (เสียงปรบมือ)

ถาม: คำสอนของท่านเกี่ยวข้องกับศาสนาโดยทั่วไปอย่างไร? คำสอนของท่านช่วยเสริมความศรัทธาของเราในศาสนาของเราเองหรือไม่?

ตอบ: ใช่ มันช่วยเสริม เธอก็รู้อยู่แล้ว ฉันทำให้เธอเข้าใจศาสนาของเธอได้ดีขึ้นลึกซึ้งขึ้น และถ้าตัวเธอเองได้รู้แจ้งเธอก็จะกลายเป็นศาสนา เธอจะกลายเป็นสัจธรรม เธอจะสามารถเขียนคัมภีร์ไบเบิลอีกเล่มหนึ่งได้ แต่เธอไม่จำเป็นที่จะต้องทำเช่นนั้นมีไบเบิลเล่มเดียวก็พอแล้ว เธอเพียงแค่พิสูจน์มัน เธอเพียงแค่เข้าใจมันสิ่งนั้นก็นับว่าดีแล้ว

ถาม: ท่านจะบอกให้เราทราบในเรื่องความฝันของเราได้ไหม?

ตอบ: ความฝันมีหลายชนิด บางครั้งก็ดี บางครั้งก็ไม่ดี บางครั้งความฝันก็กลายเป็นจริงขึ้นมา บางครั้งความฝันก็เป็นเพียงชิ้นส่วนของการเก็บสะสมข้อมูลต่างๆกันประจำวัน มันจึงเป็นเหมือนกับสลัดผักรวม บางครั้งความฝันก็เป็นการบอกให้รู้อนาคตหรือทบทวนเรื่องราวในอดีตหรือเป็นความปรารถนาที่ลึกที่สุดของเธอ นั่นเป็นความฝันที่มีทัศนวิสัยที่เหนือมนุษย์ซึ่งเป็นนิมิตชนิดหนึ่ง ผู้บำเพ็ญกวนอิมจำนวนมากหรือคนที่นั่งสมาธิมีความฝันชนิดนี้เหมือนนิมิต พวกเขาฝัน แต่ฝันนั้นแจ่มชัดในเรื่องสีสัน แสง ความแจ่มจรัสและสุกสว่างมาก มันไม่ใช่ความฝันอีกต่อไปมันเป็นนิมิต พวกเขาไปสวรรค์และอะไรแบบนั้น เมื่อเธอนั่งสมาธิและไปสวรรค์มันเกือบจะเหมือนเป็นความฝัน ยกเว้นเมื่อเธอตื่นขึ้นมาแล้วเธอจะรู้สึกตื่นเต้นมาก ตื่นเต้นดีใจมาก มีพลังมาก เต็มไปด้วยชีวิตและความรัก จนเธอไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไรกับตัวเธอ เธออยากจะกอดทุกคนและจูบพวกเขาแต่อย่าไปทำแบบนั้น (เสียงหัวเราะ) คนจะคิดว่าเธอสติไม่ดี

ถาม: สัตว์และพืชมีพระเจ้าของพวกมันไหม?

ตอบ: เรามีพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น (เสียงหัวเราะ) พระเจ้าองค์เดียวกัน พระเจ้าองค์เดียวสำหรับทุกคน พระเยซูได้พูดว่าจงมองดูดอกลิลลี่ในท้องทุ่ง พระบิดาได้ดูแลพวกมันอย่างไร [Mtt 6:28] เพราะฉะนั้นจะต้องเป็นพระเจ้าองค์เดียวกัน (เสียงหัวเราะ) เธออ่านคัมภีร์ไบเบิล แต่เธอกลับมาถามคำถามฉันมากมาย ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในไบเบิลหมดแล้วไม่ใช่หรอกหรือ?

ถาม: ฉันจะตัดขาดจากประสบการณ์ในอดีตชาติให้หมดสิ้นไปได้อย่างไร?

ตอบ: ประสบการณ์ในอดีตชาติ? ฉันได้บอกเธอแล้วไงล่ะ การประทับจิต ในเวลาประทับจิตกรรมที่เก็บสะสมไว้อาจารย์จะลบล้างออกไป ดังนั้นเธอจึงไม่มีกรรมในอดีตอีกต่อไปแต่ก็ยินดีถ้าเธอจะไปเก็บเอากรรมบางอย่างมาถ้าเธอต้องการ (ท่านอาจารย์หัวเราะ) ถ้าเธอต้องการกลับมายังชาตินี้ ก็ขอยินดีต้อนรับ

ถาม: โปรดกรุณาชี้แจงว่าท่านหมายความว่าอย่างไรเมื่อท่านพูดว่าเราเป็นบุตรของพระเจ้า และเราทั้งหมดต่างก็เป็นพระเจ้า ท่านหมายความว่าการบูชาพระเจ้านั้นไม่มีความจำเป็นเนื่องจากเราก็เป็นพระเจ้าอยู่แล้วใช่ไหม?

ตอบ: ไม่ใช่ มันมีความจำเป็น เราบูชาพระเจ้ามากยิ่งขึ้นเสียด้วยซ้ำหลังจากที่เราได้รู้จักว่าใครคือพระเจ้า ท่านเป็นผู้ที่มีความรักอย่างไรและท่านอยู่ใกล้เราอย่างไร ใกล้ชิดเสียยิ่งกว่าเพื่อนที่เป็นที่รักยิ่งในโลกนี้ ใกล้เสียยิ่งกว่าผิวหนังของเราเอง ในเวลานั้นเธอบูชาพระเจ้าจริงๆ บูชาด้วยความหมายที่แท้จริงมากกว่า ในขณะนี้เราเพียงแต่สั่งพระเจ้า “โอ ได้โปรดให้เงินฉัน ได้โปรดให้ภรรยาแก่ฉัน ได้โปรดให้งานฉัน ได้โปรดๆๆ…” เราไม่รู้จักพระเจ้าจริงๆ เราคือพระเจ้า แต่เรายังไม่เป็นพระเจ้า  เพราะฉะนั้นขอให้รู้จักพระเจ้าก่อนแล้วจึงค่อยมาถามคำถามฉันในภายหลัง  หลังจากที่เธอรู้จักพระองค์แล้วเธอก็มาบอกฉัน

ถาม: ความรักของมนุษย์มีบทบาทในการรู้แจ้งของเราอย่างไร?

ตอบ: ความรักของมนุษย์? เป็นการดีที่จะถูกรักไม่ว่าจะโดยมนุษย์หรือโดยสัตว์ ทุกครั้งที่เราถูกรักไม่สำคัญว่าใครรักเรา อะไรที่รักเรานั่นก็คือพระเจ้าที่รักเรา มันไม่ใช่เป็นความรักของมนุษย์ มันไม่ใช่เป็นความรักของมารดา มันไม่ใช่เป็นความรักฉันท์พี่น้อง  อันที่จริงแล้วทั้งหมดต่างก็เป็นความรักของพระเจ้า ไม่ว่าจะแบ่งแยก ถูกทำให้ลดน้อยลงหรือปรับเปลี่ยน ทุกคนที่รักเรานั่นก็คือพระเจ้าที่รักเรา ดังนั้นจึงไม่เป็นพิษเป็นภัยอะไรมีแต่ช่วยเหลือเท่านั้น เมื่อใครบางคนรักเรา เมื่อคน 2 คนรักกันและกัน รู้แจ้งด้วยกัน ก็จะเป็นประโยชน์มากนับว่าดีมาก

ถาม: ท่านคิดอย่างไรเกี่ยวกับทฤษฎีวิวัฒนาการ? ปัญหาของมันคืออะไร?

ตอบ: โธ่ ฉันไม่ใช่เป็นนักวิทยาศาสตร์ เธอหมายความว่าเรามาจากลิงและอะไรพรรค์นั้นใช่ไหม? (ท่านอาจารย์และทุกคนหัวเราะ) เราทั้งหมดต่างก็มาจากพระเจ้า อาจจะมีความเกี่ยวโยงบางอย่างระหว่างมนุษย์และสัตว์ เพราะบางครั้งมนุษย์และสัตว์อาศัยอยู่ร่วมกัน บางครั้งพวกเขาก็เลี้ยงดูซึ่งกันและกันด้วยความบังเอิญ ดังนั้นจึงอาจเป็นไปได้ แต่มนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์ที่มีความแตกต่างมาก เราไม่ได้วิวัฒนาการเราถูกสร้างให้เป็นเหมือนพระเจ้าทั้งหมดก็มีเท่านั้น พระเจ้าก็สร้างสัตว์ด้วยเช่นกัน พระองค์ได้กล่าวไว้ในบทแรกไม่ใช่หรอกหรือ? ในคัมภีร์เก่าหน้า 1 ได้กล่าวไว้ว่าพระเจ้าสร้างมนุษย์และผลไม้ สมุนไพรทั้งหลาย พระองค์ได้กล่าวถึงการเป็นมังสวิรัติอยู่หลายแห่ง พระองค์กล่าวว่าฉันได้สร้างผลไม้และสมุนไพร ทั้งหลายในท้องทุ่งซึ่งเป็นที่น่ายินดีต่อสายตาและมีรสอร่อย ทั้งหลายนี้จะเป็นอาหารของเธอ พระองค์ยังได้กล่าวว่าสำหรับสัตว์ทั้งหลาย ฉันได้สร้างอาหารสำหรับสัตว์แต่ละชนิดด้วยเช่นกัน พระองค์ไม่ได้กล่าวว่าเราวิวัฒนาการมาจากสัตว์ พระองค์กล่าวว่าเราคือผู้ปกครองของอาณาจักรสัตว์ เราคือกษัตริย์ของพวกมัน ดังนั้นจึงไม่มีเรื่องสับสนในเรื่องวิวัฒนาการ เราเป็นมนุษย์ สัตว์ก็มาจากพระเจ้าด้วยเหมือนกันแต่พวกมันไม่ใช่มนุษย์

ถาม: เพื่อบรรลุการรู้แจ้งที่สมบูรณ์ ซึ่งสามารถทำได้ในชาติเดียว เป็นไปได้ไหมที่จะทำโดยไม่ไปต้องหิมาลัยเหมือนที่ท่านได้ทำ เราจะใช้เวลาน้อยกว่า 7 ปีหรือไม่เนื่องจากท่านเป็นอาจารย์ที่สมบูรณ์พร้อมและมีเมตตาเช่นนี้?

ตอบ: เธอไม่จำเป็นต้องไปยังภูเขาหิมาลัย ฉันได้บอกเธอแล้ว มันเป็นกรรมของฉันๆ จะต้องไปที่นั่น กรรมของเธอนั้นดีกว่าเธอนั่งอยู่ที่นี่และรู้แจ้งบนโซฟา (ท่านอาจารย์และทุกคนหัวเราะ) มันอาจจะกินเวลา 7 ปี 7 เดือน สุดแล้วแต่เธอขึ้นอยู่กับชะตากรรมของเธอ ซึ่งนั่นก็คือขึ้นอยู่กับทางเลือกที่เธอได้เลือกด้วยตัวเธอเองก่อนที่เธอจะมาเกิด เรื่องนั้นฉันไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้มีเพียงเธอเท่านั้นที่ทราบ เธอพึงพอใจกับตัวเธอเอง กับทางเลือกที่เธอได้ทำก่อนที่เธอจะมาที่นี่ เพราะฉะนั้นไม่ต้องรีบเร่ง จะเป็นอย่างไรนั่นก็เป็นทางเลือกของเธอ เธอและพระเจ้าได้ทำข้อตกลงเรียบร้อยแล้วว่าเธอจะใช้เวลา 7 ปี ใช้เวลา 17 ปี 20 ปีหรืออะไรก็ตามแต่  เรามีชีวิตที่เป็นนิรันดรไม่มีปัญหาในเรื่องที่ว่าจะเป็นกี่ปี  แต่การรู้แจ้งจะเกิดขึ้นทันทีในเวลาประทับจิต มันเป็นเพียงการรู้แจ้งที่สมบูรณ์ บางครั้งก็แตกต่างออกไปขึ้นอยู่กับคน ขึ้นอยู่กับความขยันของเธอ  ขึ้นอยู่กับว่าเธอรีบร้อนแค่ไหนที่จะกลับบ้าน เธอมีรถยนต์ เธอจะขับเร็ว เธอจะขับช้าก็ได้ อย่ามาถามฉันว่า 7 ปีหรือกี่ปี  มันไม่สำคัญอะไร หลังจากที่เธอรู้แจ้งแล้วเธอจะมีความสุขมากขึ้นๆ ทุกๆ วัน เธอไม่สนใจว่าจะเป็นกี่ปี  ในตอนนั้นเธอจะไม่คิดถึงเรื่องการรู้แจ้งอีกต่อไปเสียด้วยซ้ำ เพราะเธอรู้จักพระเจ้า เธอรู้จักความสุข เธอสมปรารถนาพึงพอใจ

ถาม: ความชั่วร้ายของโลกหรือกรรมที่เป็นลบสามารถแปรเปลี่ยนเป็นกรรมดีหรือกรรมที่เป็นบวกโดยการที่คนใช้เปลวไฟสีม่วงหรือแสงสีทองแห่งพลังงานของมหาตมะได้หรือไม่?

ตอบ: พลังงานที่เป็นลบมีความจำเป็นสำหรับเราที่จะทำให้รู้จักพระเจ้า เราได้เลือกที่จะรู้จักความมืดเพื่อทำให้เรารู้จักแสงสว่าง วิธีนั้นเราสามารถพูดได้ว่าเราเปลี่ยนสิ่งที่เป็นลบให้เป็นบวก มิฉะนั้นแล้วสิ่งที่เป็นลบก็คือสิ่งที่เป็นลบ สิ่งที่เป็นบวกก็คือสิ่งที่เป็นบวก ไม่มีทางเลยที่เธอจะพูดว่าความมืดคือแสงสว่าง  แต่ความมืดมีเพื่อช่วยให้แสงมีความสว่างในความมืดเพื่อเธอจะได้รู้จักมัน  ฉันเดาว่าสิ่งที่เขาหมายถึงก็คือถ้าเธอนั่งสมาธิแล้วเธอได้เห็นแสง เธอสามารถทำให้พลังที่เป็นลบเป็นกลางได้หรือเปล่า แน่นอน นั่นก็คืออย่างที่มันเป็น เมื่อแสงมา ความมืดก็จะหายไป ไม่ว่ามันจะเป็นเปลวไฟสีม่วงหรือเปลวไฟสีทอง ขึ้นอยู่กับระดับของจิตสำนึก แสงสีม่วงเป็นแสงในระดับที่ต่ำกว่า แสงสีทองนั้นอยู่ในระดับที่สูงกว่า เธอจะรู้จักมันในภายหลังเมื่อเธอนั่งสมาธิ

ถาม: ท่านได้เดินทางไปเหนือสวรรค์และแสงหรือเปล่า ถ้าใช่ ที่นั่นเป็นอย่างไร? (ท่านอาจารย์และทุกคนหัวเราะ)
ตอบ: เธอต้องการชิมช็อกโกแลตของฉันซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ (เสียงหัวเราะ) (เสียงปรบมือ) เพราะฉันเป็นคนที่กินมัน แต่ฉันมีช็อกโกแลตอีกชิ้นหนึ่ง และฉันยินดีให้เธอลองชิมดู ฉันสามารถบอกเธอได้ว่ามันหวาน มันเป็นก้อนมันชุ่มฉ่ำ แต่เธอก็เพียงแต่ได้ยินคำพูดเธอไม่เข้าใจ เธอจะต้องกินมัน กินช็อกโกแลต รับการประทับจิตนั่งสมาธิแล้วเธอก็จะรู้  ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ ไม่มีอะไรเลยที่เป็นไปไม่ได้เลยสำหรับเราที่เป็นมนุษย์
การรู้แจ้งคือกุญแจสู่ทุกสิ่ง

ถาม: อะไรคือวิธีการที่ได้ผลที่สุดที่จะขจัดนิสัยที่เลวๆจากชีวิตของคนคนหนึ่ง เมื่อพวกเขารู้สึกเสมือนเป็นโซ่รอบเท้าและมือของฉัน?

ตอบ: มันยาก แต่ถ้าเรารู้แจ้งสิ่งต่างๆ ก็จะเปลี่ยนแปลงและเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว เปลี่ยนแปลงอย่างเด่นชัด นั่นคือวิธีการที่นักบุญถูกสร้างขึ้นมา ด้วยเหตุนี้จึงมีกล่าวไว้ในวัฒนธรรมของเธอว่านักบุญทั้งหลายมีอดีต และคนบาปทั้งหลายมีอนาคต ขอให้เชื่อในพระเจ้า ยอมรับพระกรุณาของพระเจ้าด้วยการบำเพ็ญอย่างขยันขันแข็ง โดยการผ่านแสงแห่งการชี้นำภายในตัวเธอ โดยผ่านพระเจ้าในตัวเธอ

 
ทุกอย่างเป็นไปได้ เธอสามารถแม้กระทั่งยกระดับตัวเธอจากความตายมาสู่ชีวิต เธอสามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บของเธอเอง ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนิสัยโรคที่ถึงตายด้วยซ้ำ ทุกอย่างเป็นไปได้ในแสงของพระเจ้า ด้วยเหตุนี้ฉันจึงมาบอกข่าวดีให้เธอทราบ ข่าวที่ดีมาก
ถาม: ถ้าหากเธอเป็นบุตรบุญธรรม ครอบครัวที่เป็นสายเลือดหรือที่รับเลี้ยงดูเธอ ทางสายไหนที่ได้รับการช่วยเหลือ?

ตอบ: ทางสายเลือดแต่ที่รับเลี้ยงดูก็ด้วยเช่นกัน เพราะฉันได้บอกเธอแล้วแม้กระทั่งหมา แมวของเธอก็ยังได้รับประโยชน์ เธอจะเห็นได้ในเรื่องนี้ ฉันไม่ได้ล้อเล่น เธอจะเห็นว่าหมาของเธอแมวของเธอรู้แจ้ง พวกมันจะเปลี่ยนแปลงไป มันจะนั่งใกล้ๆ เธอมันจะนั่งสมาธิกับเธอ (เสียงหัวเราะ) ใช่ มันจะกลายเป็นแมวนักบุญ มันจะกลายเป็นมังสวิรัติเสียด้วยซ้ำ (เสียงหัวเราะ) (เสียงปรบมือ) ใช่ อ่านธรรมสารของเราสิ มีเรื่องจริงมากมายในนั้น ทุกอย่างที่เธออ่านในนั้นเป็นความจริง วิญญาณทั้งหลายยังคงมีชีวิตอยู่ เธอได้พบนักบุญสมัยใหม่ในหน้าหนังสือเหล่านั้น แม้กระทั่งแมวและหมาก็น่ารักมาก ธรรมวิถีกวนอิม! แม้กระทั่งเพื่อนและคู่รักของเธอซึ่งไม่เกี่ยวข้องทางสายเลือดก็ยังได้รับประโยชน์จากการบำเพ็ญของเธอจากแสงของเธอ เพราะพระพรของพระเจ้านั้นมีความกรุณาปรานีมาก เราไม่สามารถจินตนาการได้ มันเหลือเชื่อ!

ถาม: ถ้าเธอได้รับการประทับจิต นั่นหมายความว่าเธอไม่สามารถฆ่าแมลง หนูและอื่นๆ ที่เข้ามาในบ้านของเธอใช่ไหม? แล้วเรื่องการดึงวัชพืชล่ะ? (เสียงหัวเราะ)

ตอบ: ในบางกรณีพวกปลวกจะย้ายออกไป ถ้าหากเธอรักษาบ้านของเธอให้สะอาดถูกสุขอนามัย เธอก็ไม่ต้องฆ่าพวกมัน การดึงวัชพืชนั้นทำได้ ขอเพียงท่องชื่อของพระเจ้าและทำตามที่เธอต้องทำ เธอไม่ได้ฆ่าด้วยความรุนแรง เธอไม่ได้ฆ่าด้วยความเกลียดชัง แต่เธอต้องปกป้องสุขภาพของเธอและสมาชิกในครอบครัวของเธอ ถ้าหากมันจำเป็นจริงๆ มิฉะนั้นแล้วในหลายกรณี เมื่อผู้ประทับจิตของเรานั่งสมาธิ แมลงที่เป็นภัยทั้งหลายก็จะหายไป พวกแมลงและอะไรแบบนั้นจะไม่เข้ามาใกล้ มันสะดวกมากและประหยัดดีทุกอย่างจะไปจากเรา

ถาม:  ท่านคิดว่าการหย่าร้างนั้นเป็นอย่างไร?

ตอบ: ไม่ดี การหย่าร้างเป็นหนทางสุดท้ายของความสัมพันธ์ในด้านความรัก และมันไม่ควรที่จะเกิดขึ้นเลย แต่มันยากมากที่จะแก้ไข เนื่องจากผู้ชายและผู้หญิงนั้นแตกต่างกันมาก ผู้ชายนั้นเยือกเย็นกว่า ตรงไปตรงมา เรียบง่าย ผู้หญิงมีความอ่อนไหวในอารมณ์ มีความโรแมนติกมากกว่า เพราะฉะนั้นคนที่เป็นเหมือนนักรบและนางงามจึงมักจะไม่สามารถเข้ากันได้ดี แต่มีหลายวิธีที่จะประนีประนอมซึ่งกันและกัน มีการให้คำปรึกษาทางด้านการสมรส มีหนังสือในเรื่องนี้ และแน่นอนมีการนั่งสมาธิซึ่งจะประนีประนอมความแตกต่างมากมาย เธอจะเห็นว่าเธอทั้ง 2 ได้เปลี่ยนแปลงไป – มีความรักมากขึ้น มีความเข้าใจมากขึ้น และมีความเรียกร้องน้อยลง ถ้าเธอทั้ง 2 อยู่ในระดับที่เกือบคล้ายคลึงกัน มิฉะนั้นแล้วเธอก็จะยังคงมีความขัดแย้งอยู่ แต่เธอยังคงรักซึ่งกันและกัน เธอจะไม่ใช้การหย่าร้างเข้าจัดการแก้ปัญหามากเท่ากับคนอื่นที่ไม่ได้บำเพ็ญความสงบสุขภายใน พวกเขาจะหย่าร้างกันมากกว่า

ฉันจะไม่หย่าจากสามีของฉันถ้าตอนนั้นฉันได้รู้แจ้ง ฉันขอบอกให้เธอทราบว่าเขาเป็นผู้ชายที่ดีที่สุด และเขาก็ยังคงเป็นอยู่ แต่ตอนนี้เขาเป็นผู้ชายที่ดีที่สุดของคนอื่นไปแล้ว (ท่านอาจารย์ใช้มือแสดงให้เห็นว่าความสัมพันธ์นั้นได้จบสิ้นลงไปแล้ว) หลังจากที่รู้แจ้งแล้ว เธอจะเรียนรู้ที่จะเห็นคุณค่าในตัวคู่ของเธอมากขึ้น ความขัดแย้งในครอบครัวมากมายได้ถูกลบล้างออกไปหลังจากประทับจิตถ้าหากสามีและภรรยานั่งสมาธิด้วยกัน มันช่วยได้จริงๆ เพราะเธอตระหนักว่าเธอทั้ง 2 เป็นพระเจ้า ความรักในตัวเธอจะเกิดขึ้น จะแผ่ขยายเพื่อครอบคลุมความแตกต่างทั้งหลายระหว่างผู้ชายและผู้หญิง เธอจะเรียนรู้ที่จะรักซึ่งกันและกัน เคารพซึ่งกันและกันในฐานะที่เป็นพระเจ้า นอกเหนือจากความรักทางด้านวัตถุ ก็ยังมีความรักอันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งจะผูกมัดเธอทั้ง 2 เข้าด้วยกัน ทำให้เธอมีความรักมากขึ้น มีความรับผิดชอบมากขึ้น และมีความรู้สึกไวมากขึ้นต่อความรู้สึกและความต้องการของอีกฝ่ายหนึ่ง

ถาม: จะเกิดปัญหาอะไรเมื่อคนคนหนึ่งมีกุญแจสู่การรู้แจ้งแต่ไม่ได้เปลี่ยนให้เป็นจิตสำนึกของพระเจ้า?
ตอบ: ในกรณีนั้นเธออาจจะลองดูอีกครั้งในภายหลังเมื่อเวลาของเธอมาถึง ทุกคนมีเวลาของเขา ไม่เป็นไร ไม่ต้องรีบร้อน เรามีเวลาตลอดกาล
ถาม: เป็นความจริงหรือไม่ที่ว่าเหนือระดับที่ 2 จะไม่มีกรรมอีกต่อไป? ถ้ากรรมทำให้เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้ หากเราไม่มีกรรมอีกต่อไป เราจะยังคงมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ไหม?

ตอบ: ไม่มีกรรมหมายความว่าหลังจากโลกที่ 3 ไปแล้ว เมื่อเธอมาถึงระดับที่ “ไร้กรรม” เธอจะไม่ก่อกรรมอีก แต่กรรมในปัจจุบันซึ่งทำให้เธอมีชีวิตอยู่ในชาตินี้จะยังคงมีอยู่ต่อไป จนกระทั่งเวลาของเธอหมดลง และเมื่อไรก็ตามที่เวลาของเธอหมดลง นั่นหมายความว่ากรรมได้หมดไปเธอไม่ต้องอยู่ที่นี่อีกต่อไป แต่เมื่อเธอไปถึงระดับที่ 3 นั่นหมายความว่าบุคคลประเภทที่เธอเป็น สภาพจิตใจของเธอจะไม่ปล่อยให้เธอสร้างกรรมอีกต่อไป เธอจะทำทุกอย่างอย่างมีคุณธรรมโดยอัตโนมัติ แต่ไม่ได้หมายความว่าเธอตายในทันทีเพราะกรรมปัจจุบันยังคงมีอยู่ กรรมที่ได้ลิขิตเอาไว้สำหรับชาตินี้ว่า เธอจะต้องก้าวย่างกี่ก้าว เธอจะต้องสูดลมหายใจเข้าไปเท่าไร เธอจะต้องกินอาหารเท่าไร เธอจะมีชีวิตอยู่กี่วัน ทั้งหมดนี้ได้ถูกเขียนเอาไว้แล้ว เราไม่ได้ลบล้างกรรมเหล่านั้น เราสามารถทำได้ ถ้าหากเราต้องการ แต่ทำไมล่ะ? เพียงแค่มีชีวิตอยู่มากขึ้นอีก 2-3 ปีหรือมากขึ้นอีก 2-3 วัน จะต้องรีบร้อนไปทำไมกัน?  ถึงอย่างไรมันก็เป็นครั้งสุดท้ายอยู่ดี

อาจารย์มีแต่ให้ ไม่เคยรับ
ถาม: ท่านอาจารย์ที่เคารพ ฉันต้องการบำเพ็ญและสอนการทำสมาธิ แต่ฉันก็มีสิ่งของที่เป็นวัตถุมากมายด้วยเช่นกัน ฉันจะทำได้อย่างไร? ฉันไม่ต้องการทำงานหาเลี้ยงชีพด้วยงานอื่นที่นอกเหนือจากการสอนทำสมาธิ ได้โปรดแนะนำ
ตอบ: คนนั้นคือใคร? คือเธอ ตอนนี้เธอกำลังสอนอยู่หรือเปล่า? และเธอหาเงินจากการสอนนั้นใช่ไหม?
ถาม: ใช่ แต่ไม่พอ
ตอบ: ไม่พอ งั้นจะทำอะไร? เธอจะต้องคบคนให้กว้างขึ้น เธอมาถามคนผิดแล้วล่ะ ฉันไม่รับเงิน
ถาม: ท่านหาเลี้ยงชีพอย่างไร?
ตอบ: ฉันหาเงินด้วยการออกแบบเสื้อผ้า ฉันวาดรูป ฉันทำ… ไม่รู้สิ ฉันทำอะไรอื่นอีกนะ? – อัญมณี ฉันทำหลายสิ่งหลายอย่าง
ถาม: ตกลงท่านแนะนำให้ฉันทำงานอย่างอื่นที่นอกเหนือจากการสอนนั่งสมาธิเพื่อยังชีพใช่ไหม?

ตอบ: ฉันจะแนะนำเช่นนั้น ฉันคิดว่ามันเป็นการสูงส่งกว่าถ้าเราสอนวิถีทางแห่งพระเจ้าโดยไม่คิดเงิน เพราะมันมีอยู่แล้วโดยธรรมชาติในตัวเราแต่ละคน ถ้าเราสามารถทำได้เราไม่ควรหาเงินจากสิ่งนั้น แต่ถ้าเธอมีความจำเป็นในเรื่องเงินทองแล้วคนบริจาคให้เธอก็นับว่าโอเค  รับมันในฐานะที่เป็นของขวัญจากพระเจ้า แต่ตัวฉันเองไม่ได้เรียกร้องเงินทองใดๆ ฉันกลัวมากที่จะรับเงินจากคน ฉันเพียงแต่รู้สึกไม่สบายใจตั้งแต่เป็นเด็กมาแล้ว และไม่ว่าอาจารย์ท่านใดๆนับตั้งแต่โบราณกาลก็ไม่ได้รับอนุญาตให้รับเงินทอง เธอควรที่จะให้ ไม่ใช่รับ แต่ฉันเดาเอาว่าสำหรับครูธรรมดาๆ ที่สอนวิธีการนั่งสมาธิที่แตกต่างออกไปคงจะไม่มีอันตรายอะไร  แต่การเป็นอาจารย์ฉันคิดว่าจะเป็นการดีกว่าที่จะไม่รับอะไร พระพุทธเจ้ารับอาหารวันละมื้อเท่านั้นเพราะพระองค์ไม่ได้ทำงาน นั่นคือน้อยที่สุดที่พระองค์สามารถรับได้  แต่พระองค์ก็จำเป็นที่จะต้องทำ ในเวลานั้นพระองค์ไม่มีหนทางที่จะเดินไปทั่วและหาเงินในเวลาเดียวกัน นอกจากนั้นพระองค์ก็เป็นนักบวช และธรรมเนียมของนักบวชก็คือการบิณฑบาตอาหาร ผู้คนจะเคารพเธอในลักษณะนั้น

ในสมัยใหม่ถ้าหากเธอไปขออาหารตำรวจก็จะขอร้องให้เธอไปเข้าคุก  ดังนั้นฉันจึงทำเช่นนั้นไม่ได้ไม่ใช่ว่าฉันนิยมวัตถุ การออกแบบเพื่อหาเงินเลี้ยงชีพไม่ใช่เป็นมุมมองทางด้านวัตถุนิยม มันเหมาะสมในทางปฏิบัติ เรามีชีวิตอยู่ในยุคสมัยใหม่เราจะต้องแต่งตัวงดงามพอที่จะรับแขกได้ เพราะคนสมัยใหม่ไม่ยอมรับภาพพจน์ที่เป็นขอทานอีกต่อไป เธอจะไปขอทานตามท้องถนนไม่ได้คนจะคิดเอาว่าเธอเป็นคนไร้บ้าน  ข้อแรกพวกเขาจะไม่นับถือเธอแล้วอย่างนี้เธอจะไปสอนพวกเขาได้อย่างไรกัน? เธอจะต้องดูงดงามเหมือนคนอื่นๆ ฉันเคยเป็นนักบวช แต่ในตอนนั้นฉันก็หาเงินด้วยเหมือนกัน ฉันรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องที่จะรับเงินจากคน ฉันหาเงินจากหลายสิ่งหลายอย่าง ฉันปลูกผัก ฉันถักไหมพรมในตอนนั้น  เพราะฉันอยู่ตัวคนเดียวฉันจึงไม่มีค่าใช้จ่ายในการเดินทางมากมายนัก และฉันก็กินอาหารวันละมื้อด้วย เพราะฉะนั้นการหาเงินได้เล็กน้อยจึงพอเพียง

แต่ตอนนี้ฉันได้ขยายกว้างออกไปและฉันต้องเดินทางมาก  ดังนั้นฉันจึงต้องหาเงินมากขึ้น  ฉันคิดหาเทคนิคที่แตกต่างออกไปหลายชนิด อย่างการออกแบบภายใน เช่น โคมไฟแสงสว่าง บางครั้งก็เป็นเครื่องเซรามิค ภาพเขียน การออกแบบเสื้อผ้าและการออกแบบอัญมณี สิ่งเหล่านี้ทำให้ฉันหาเงินได้มากทั่วโลก  ดังนั้นฉันจึงสามารถเดินทางไปทั่วและมีชีวิตอยู่อย่างสุขสบาย ฉันจ่ายให้กับทุกสตางค์ที่ฉันรับมา แม้กระทั่งถ้าผู้ประทับจิตให้ฉันยืมรถ ฉันก็จะจ่ายค่าน้ำมันด้วย ฉันไม่รับมัน ฉันไม่ต้องการทำเช่นนั้น ฉันรู้สึกว่าฉันควรจ่ายค่าใช้จ่ายของฉัน เพราะฉันสามารถทำได้ แม้กระทั่งถ้าลูกศิษย์ของฉันให้อะไรฉันบางอย่างฉันก็จะไม่รับ เว้นเสียแต่ว่าฉันไม่รู้จริงๆ ถ้าฉันรู้ฉันก็จะไม่รับ  ฉันจะคืนมันไปฉันจะให้กลับเป็นเงินหรือคืนเป็นสิ่งอื่น แบบนั้นเธอจะรู้สึกสบายใจกว่า แต่ก็ไม่เป็นไร ถ้าคนมอบให้เธอ และเธอไม่มีหนทางอื่น และเธอมีงานยุ่งเกินไปในการสอนเพื่อหาเลี้ยงชีพ ถ้าเช่นนั้นเธอก็รับมันไว้ รับพอเพียงสำหรับตัวเธอ

ถาม: ฉันจะถามอีก 1 คำถามได้ไหม?
ตอบ: แน่นอน
ถาม: ตกลงท่านก็สามารถทำธุรกิจและสอนทางด้านจิตวิญญาณในขณะเดียวกันใช่ไหม?

ตอบ: ใช่ ตอนนี้มันก็เป็นแบบนั้น ฉันสอนทางด้านจิตวิญญาณ แต่ในเวลาว่างฉันก็ออกแบบเสื้อผ้าและอัญมณีคนที่ช่วยฉันจำหน่าย คนที่ช่วยฉันตัดเย็บเสื้อผ้าและอะไรแบบนั้น พวกเขาก็ได้รับเงินด้วยเหมือนกัน บางครั้งเราก็มีภัตตาคารเล็กๆที่ตรงนี้และตรงนั้น เราก็ได้เงินมาจากแหล่งนั้นด้วยเช่นกัน ฉันจ่ายเงินให้กับคนที่ทำงานอยู่ในภัตตาคาร ทุกอย่างเป็นธุรกิจจริงๆ

ถาม: โอเค ขอบคุณมาก
ตอบ: ขอให้พระเจ้าอวยพร!
ถาม: ถ้าหากไม่มีกายเนื้อ แล้วทำไมพระเยซูจึงร้องไห้เมื่อจอห์น เดอะแบ๊บทิสท์ เพื่อนที่ดีที่สุดของพระเยซูถูกตัดศีรษะ?

ตอบ: อ้อ พระองค์ควรจะหัวเราะหรือ? อาจารย์ผู้มีเมตตา ผู้เปี่ยมไปด้วยความรัก ผู้เป็นเหมือนพระเจ้าควรที่จะหัวเราะหรือเป็นเหมือนก้อนหิน ไม่มีความรู้สึกต่อเพื่อนที่ดีที่สุด อย่างจอห์น เดอะแบ๊บทิสท์หรือ? เธอคาดหวังว่าพฤติกรรมของพระองค์ควรจะเป็นเช่นไรหรือ? เธอคาดหวังว่าบุคคลผู้รู้แจ้งควรจะเป็นอย่างไรหรือ? เป็นหินหรือ? เพียงเพราะว่าพระองค์ได้รู้แจ้งก็ไม่ได้ทำให้ปฏิกิริยาเคมีในร่างกายของพระองค์เปลี่ยนแปลงไป น้ำตายังคงไหลออกมาเมื่อถูกอารมณ์กระตุ้นและมันก็ควรจะเป็นเช่นนั้น พระองค์มีความอ่อนโยน มีความเป็นเหมือนสตรี มีความรัก และนั่นก็คือสิ่งที่ดีที่สุดของทั้งหมด มันได้เกิดขึ้นกับพระองค์ มันได้เกิดขึ้นกับเรา เป็นการดีมากเมื่อเธอร้องไห้เมื่อเพื่อนของเธอตาย มันเป็นธรรมชาติมาก พระองค์เป็นคนที่ปกติมากและรู้แจ้งมาก

ถาม: ดูเหมือนว่าหนทางทั้งหมดของฉันกำลังถูกขวางกั้นไว้ ด้วยเหตุนี้ฉันจึงไม่สามารถบรรลุเป้าหมายของฉันได้ ประสบการณ์ในอดีตของฉันได้เผยให้เห็นว่าทุกครั้งที่ฉันก้าวหนึ่งก้าวไปยังเป้าหมายของฉัน ก็จะมีบางสิ่งบางอย่างที่ดึงฉันให้ถอยหลังและห่างออกมา ฉันควรจะทำอย่างไรเพื่อทำให้หนทางของฉันราบรื่น?
ตอบ: เขากำลังพูดถึงหนทางอะไรของฉัน? เพื่อประโยชน์ของผู้ฟัง คนนั้นคือใคร?

(พิธีกร: คนที่ถาม ขอให้คุณยกมือได้ไหม?)

ถาม: (มีคนยกมือ) ฉันไม่ได้เขียนคำถามนี้ แต่มันใช้ได้สำหรับฉัน ฉันคิดว่าเราพบอุปสรรคอยู่เสมอในชีวิตซึ่งน่ากลัดกลุ้มมาก ฉันคิดว่ามันเป็นเรื่องที่พบได้ทั่วไป

ตอบ: โอเค ฉันเข้าใจแล้วละ มันหมายถึงในธุรกิจและในความสัมพันธ์ คำตอบเดียวเท่านั้นก็คือการรู้แจ้ง ฉันไม่มีคำตอบอื่นใด การรู้แจ้งจะชี้นำเธอ จะให้คำตอบแก่เธอ จะให้ความแข็งแกร่งเพื่อที่จะเริ่มต้นใหม่อีกครั้งหนึ่ง หรือเพื่อเอาชนะความยากลำบาก รวมทั้งเพิกเฉยความกังวลที่ไม่จำเป็นในปัญหาต่างๆ กัน เธอจะแก้ปัญหาได้รวดเร็วขึ้น ไม่มีสิ่งอื่นใดสำหรับเราที่จะทำในชีวิตยกเว้นรู้แจ้งก่อน แล้วสิ่งอื่นๆ ก็จะตามมา  ด้วยเหตุนี้ไบเบิลจึงได้กล่าวไว้ว่าค้นหาอาณาจักรของพระเจ้าก่อน นั่นหมายความว่าให้รู้แจ้งแล้วทุกสิ่งอื่นๆ ก็จะมาหาเธอ  ใช่ เป็นความจริง ตอนนี้ฉันหาเงินได้มากกว่าตอนที่ฉันยังไม่รู้แจ้ง เมื่อจำเป็น พระเจ้าก็จะแสดงหนทางให้กับเธอแม้กระทั่งทางด้านวัตถุ  ฉันไม่ได้รู้แจ้งเพื่อที่จะหาเงินเพียงแต่ว่ามันได้เกิดขึ้น เพียงแต่ว่ามันได้เกิดขึ้นที่ทุกสิ่งอื่นๆ ราบรื่นมากโดยที่ไม่ได้ร้องขอ และนั่นเป็นความจริง

ถาม: ฉันจะมีชีวิตที่รู้แจ้งได้อย่างไร?

ตอบ: มีชีวิตอยู่เหมือนอย่างที่เธอเคยมีมาก่อน อาศัยอยู่กับภรรยาของเธอ ลูกของเธอ และสามีของเธอ ทำหน้าที่ของเธอต่อไปและสนุกกับชีวิตของเธอในขณะที่สนุกกับสวรรค์  ไม่มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงยกเว้นความรู้ภายใน ความสุข

ถาม: ท่านมีเหตุผลอะไรที่ไม่เชื่อในเรื่องการรักษาผู้อื่น?

ตอบ: เหตุผลที่ฉันไม่เชื่อก็คือพวกเขาควรเรียนรู้ที่จะรักษาตัวของเขาเอง เราไม่ควรจะเล่นบทเป็นพระเจ้า นั่นคือเหตุผล เรายืนระหว่างพระเจ้าและคนป่วยคนนั้น แต่ละคนมีพลังที่จะรักษาตัวของเขาเอง พระองค์ได้ให้ความเจ็บป่วยแก่คนไข้ในลักษณะที่เป็นพระพรที่แฝงมาเพื่อว่าเขาจะได้เห็นพระเจ้า เมื่อบุคคลคนนั้นมีความจริงใจมากพระเจ้าก็จะปรากฏให้เขาเห็น มิฉะนั้นแล้วเราก็มีการรักษาทางร่างกายและการให้ยาซึ่งควรที่จะใช้เพื่อดูแลสิ่งต่างๆ ที่เป็นวัตถุและไม่แนะนำให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับร่างกายที่เป็นจิตวิญญาณและพลังรักษาโรคซึ่งอยู่ภายในตัวของคน กรรมนั้นไม่ได้ถูกลบล้างออกไปเพียงแค่การใช้มือแตะ มันจะกลับมาอีกเป็น 10 เท่าในภายหลัง บุคคลนั้นจะทุกข์ทรมานมากกว่าเดิมและจะไม่มีวันได้รู้จักพระเจ้า

ถ้าเธอเพียงแต่เชื่อในคนที่รักษาด้วยพลังจิตและลืมพระเจ้า โดยเฉพาะพระเจ้าที่อยู่ภายในตัวเธอ เธอก็จะอยู่ในความเดือดร้อนมากกว่าความเจ็บป่วยนั่นคือความเชื่อของฉัน นั่นคือสิ่งที่ฉันรู้ นั่นคือสิ่งที่ฉันแบ่งปันกับพวกเธอ แต่แน่นอนมันเป็นความเห็นและความรู้ของฉัน ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นของเธอ มันไม่จำเป็นว่าจะต้องได้รับการยอมรับจากเธอ เพียงแต่ว่าเธอมาถามฉันฉันจึงต้องบอกเธอในสิ่งที่ฉันรู้ แต่ฉันไม่ได้ประณามการรักษาหรืออะไรแบบนั้น ถ้าหากเธอต้องการขึ้นไปให้สูงกว่าเธอก็จะต้องหยุดทำในเรื่องนั้น เหมือนอย่างเธอต้องการเรียนเป็นหมอเธอจะต้องเรียนเป็นหมอต่อไป เธอห้ามหยุดกลางคันและกลายเป็นนางพยาบาลและหวังที่จะเป็นหมอในขณะเดียวกัน มันเป็นไปไม่ได้ (เสียงปรบมือ)

ถาม: ท่านอาจารย์ ทำไมจึงจำเป็นที่จะต้องได้รับการชี้นำโดยผ่านการทำสมาธิ?

ตอบ: ไม่มีหนทางอื่นใดการทำสมาธิเป็นเพียงแค่ชื่อเท่านั้น อันที่จริงแล้วมันเป็นการติดต่อภายในกับพลังของพระเจ้า ก็เหมือนกับว่าทำไมจึงต้องกินอาหารวันละ 3 มื้อเพื่อให้ร่างกายมีชีวิตอยู่ สิ่งนี้ก็เพื่อหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณของเธอ เราจำเป็นที่จะต้องนั่งสมาธิ เราจะต้องได้รับการอัดประจุพลังโดยพลังของพระเจ้าอีกครั้งเพื่อที่จะเป็นอิสระจากโซ่ตรวนของโลกทางวัตถุ เพื่อที่จะเป็นพระเจ้าอีกครั้งหนึ่ง เพื่อที่จะเป็นนายของตัวเรา

ถาม: ขอบคุณที่ท่านสละเวลาให้กับพวกเรา

ตอบ: ขอบคุณ (เสียงปรบมือ) ขอบคุณมากที่ท่านตั้งใจฟัง ขอบคุณในความสนับสนุน บรรยากาศที่รู้แจ้ง รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความรักของท่านและทุกสิ่งทุกอย่าง ฉันรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก และฉันจะไปพบเธอในห้องประทับจิต (เสียงปรบมือ) สำหรับผู้ที่ไม่รับการประทับจิตในคืนนี้หรือจะพิจารณาในภายหลัง ขอให้กลับไปบ้านและสวด สวดอธิษฐานถึงพระเจ้า อย่าลืมนะ ขอให้อธิษฐานตลอดเวลา อธิษฐานไม่ว่าเวลาใดที่เธอสามารถทำได้ อธิษฐานด้วยหัวใจของเธอ จนกระทั่งถึงวันที่เธอได้รู้แจ้ง ฉันจะพบเธอที่นั่น (ท่านอาจารย์ชี้ขึ้นไปข้างบน) (เสียงปรบมือ)

 
     
1 2 3