รู้จักธรรมชาติแห่งพระเจ้าของเราเอง

  คำถาม-คำตอบ

พิธีกร: นับเป็นเกียรติที่ได้มีอาจารย์ผู้รู้แจ้งซึ่งเราสามารถถามคำถามและได้รับคำตอบที่แท้จริง ท่านคือผู้ที่รู้สัจธรรม และฉัน นักศึกษาที่จบจากมหาวิทยาลัยเออร์วีนรู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากที่ได้มีอาจารย์ผู้รู้แจ้งในสถานศึกษาของเรา
คำถามแรก: ท่านอาจารย์โปรดกรุณาอธิบายถึงแหล่งดั้งเดิมของการบำเพ็ญสมาธิวิถีกวนอิมและจะบำเพ็ญได้อย่างไร?

 

ตอบ: ตามที่ฉันได้กล่าวไว้ในตอนต้นมันมาจากพระเจ้า นับตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ นับตั้งแต่การสร้างโลกได้เกิดขึ้น เนื่องจากเราเริ่มเล่นละครแห่งชีวิต พระเจ้าจึงได้ประทานหนทางนี้ให้แก่เราเพื่อที่จะกลับไปยังพระองค์ นั่นก็คือที่เริ่มต้นของมัน ส่วนเรื่องที่ว่าจะบำเพ็ญอย่างไร ถ้าหากเธอสนใจ ฉันจะอธิบายให้ละเอียดเพิ่มขึ้นในภายหลังหากเธออยู่ต่อ จะต้องอธิบายให้มากขึ้นในรายละเอียด เธอจะได้ไม่งุนงงสับสนเมื่ออยู่ที่บ้านถ้าหากฉันไม่อยู่ เธอจะต้องรู้ในครั้งเดียวและตลอดไป แล้วเธอก็จะไม่มีวันลืมมันได้อีกต่อไป เธอสามารถทำได้ด้วยตัวเธอเองที่บ้าน ไม่ว่าครูจะตายไป มีชีวิตอยู่ อยู่ที่ตรงนี้หรือที่ตรงนั้น หรือจะไม่มีวันได้พบอีก

เพราะฉะนั้นเธอจะต้องเรียนรู้อย่างละเอียดถี่ถ้วน มันกินเวลาไม่นานอาจจะ 2-3 ชั่วโมง เพื่อที่จะอธิบายทุกสิ่งทุกอย่าง แต่นั่นก็เพื่อตลอดชีวิต

เราไม่มีเวลามากนักที่นี่ ฉันขอบอกเธอเพียงย่อๆ ว่าธรรมวิถีกวนอิมนั้นจริงๆ แล้วไม่ใช่เป็นธรรมวิถี มันเป็นพลังที่มีอยู่โดยธรรมชาติ ซึ่งเป็นพลังของพระเจ้าเพื่อที่จะพิสูจน์ว่าเราคือพระเจ้า เพราะเรามีพลังพระเจ้านั้น ในเวลาประทับจิตอาจารย์เพียงแค่ช่วยให้เธอจำมันได้ และเธอจะจำมันได้ทันที และเธอจะรู้สึกมันได้ เธอจะรู้สึกได้ถึงพลัง บางครั้งมันก็ทำให้เธอสั่นสะเทือนแต่ต่อมาเธอก็จะสงบลง เพราะเธอรู้ว่าเธอคือพระเจ้า ในตอนเริ่มต้นมันอาจจะตื่นเต้น แต่ในภายหลัง “มันโอเค มีอะไรหรือเปล่า? ทุกคนคือพระเจ้า ไม่ใช่เป็นเรื่องใหญ่โตอะไร” (เสียงหัวเราะ)

ถาม: ทำไมจึงจำเป็นที่จะต้องล้างกรรมในอดีต?

ตอบ: มันไม่จำเป็นถ้าเราต้องการมีชีวิตอยู่ที่นี่ต่อไป แต่ถ้าหากเราต้องการกลับไปยังที่ที่เราจากมา เราก็จะต้องชดใช้หนี้ทั้งหมดไม่ว่าจะด้วยความทุกข์หรือด้วยยาแห่งการรู้แจ้ง ทันทีที่เรารู้แจ้งกรรมในอดีตก็จะถูกลบล้างไป แต่กรรมในปัจจุบันจะยังคงดำเนินต่อไปกรรมในอนาคตจะไม่ดำรงอยู่  และด้วยเหตุนี้เราจึงสามารถเป็นอิสระที่จะกลับไปยังอาณาจักรของพระเจ้า สิ่งที่ทำให้เราอยู่ที่นี่ก็คือการสะสมของกรรมในอดีต กรรมหมายความว่าอะไร? มันเป็นคำสันสกฤตสำหรับเหตุและผล สำหรับสิ่งที่เราเรียกว่าหว่านพืชอย่างไรก็จะได้รับผลเช่นนั้น  ในคัมภีร์ไบเบิล เราได้หว่านการกระทำทั้งดีและเลวนับเป็นพันๆ ล้านๆปี นับตั้งแต่เริ่มต้น เราจึงได้ดำรงอยู่ที่นี่ต่อไป เพราะเราเฝ้าจ่ายและยืมและจ่ายและชดใช้ตลอดเวลา เราได้กลับมาเพื่อที่จะชดใช้หนี้ในอดีต เพราะฉะนั้นเพื่อที่จะให้หนี้หมดไปเพื่อที่จะเป็นอิสระจากพันธะเราจึงต้องลบล้างกรรมในอดีต สิ่งเดียวเท่านั้นที่เราสามารถลบล้างกรรมในอดีตในครั้งเดียวและทั้งหมดก็คือการรู้แจ้ง  ทันทีที่เรารู้แจ้งอดีตก็จะหายไป  เหมือนอย่างเธอเปิดไฟไม่สำคัญว่าความมืดนั้นได้อยู่ในห้องนี้เป็นเวลากี่พันปีในพริบตามันก็จะหายไป ไม่มีหนทางอื่นใดที่เราจะสามารถลบล้างกรรมในอดีตได้เพราะมันมากเกินไป  มันมีมากเกินไป ดังนั้นการรู้แจ้งจึงมีความจำเป็นมาก

ถาม: ท่านอาจารย์ที่เคารพ ฉันรักท่านมาก ฉันอยากจะถามท่านถึงเรื่องการค้นคว้าที่ใช้สัตว์ ท่านคิดอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้? ท่านคิดว่าการค้นคว้าโดยการใช้สัตว์นั้นปราศจากศีลธรรมจรรยาหรือเปล่า?

ตอบ: เธอหมายถึงเพื่อจุดประสงค์ทางการแพทย์โดยการทดลองกับสัตว์ก่อนใช่ไหม? ใครที่ถาม? (คนที่ถามคำถามไม่ได้เปิดเผยตัวเขาเพื่อที่จะทำความกระจ่างให้กับคำถามของท่านอาจารย์) เอาละ เธอต้องการให้ฉันพูดอะไรล่ะ? เธออยากจะให้ฉันสร้างความขุ่นเคืองให้กับระบบการแพทย์ทั้งหมดหรือ แล้วให้พวกเขามาฆ่าฉันหรือ? (เสียงหัวเราะ) บางคนก็พูดว่ามันจำเป็นที่จะต้องทดลองกับสัตว์เพื่อที่จะช่วยเหลือมนุษย์  ถ้าหากเจตจำนงมีความบริสุทธิ์เราก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะตัดสินผู้ใด แต่จากจุดยืนของสัตว์มันเป็นสิ่งที่ขาดความปรานีมากเป็นสิ่งที่ไม่มีความเมตตาในการกระทำ ฉันหวังว่าเราจะไม่ต้องทำเรื่องนั้น ฉันหวังว่าเราทั้งหมดจะได้รู้แจ้งและรักษาตัวเราจากภายใน (เสียงปรบมือ)

ถาม: ฉันมีดวงวิญญาณหรือไม่? ถ้าหากไม่มี การกลับชาติมาเกิดเป็นไปได้อย่างไร?

ตอบ: ในไบเบิลกล่าวไว้ว่าเธอมีดวงวิญญาณ เพราะฉะนั้นเธอก็จะต้องมีสักดวง (ท่านอาจารย์หัวเราะ) ในการกลับชาติมาเกิด อันที่จริงแล้วมันไม่ใช่เป็นดวงวิญญาณที่กลับชาติมาเกิด ดวงวิญญาณนั้นมีชีวิตอยู่ตลอดกาล ไม่ตาย ไม่ดำรงชีวิต ไม่กลับชาติมาเกิด มันเป็นประสบการณ์ของชีวิต เป็นการเชื่อมประสานระหว่างร่างกายและจิตวิญญาณเมื่อเรากำลังทดลองในสิ่งที่เรียกว่าชีวิตที่นี่  ซึ่งไปยึดมั่นว่าเราดำรงอยู่ ที่กลับชาติมาเกิด และถ้าเราไม่สลัดตัวเราให้หลุดพ้นจากการทดลองเช่นนี้ซึ่งเราเรียกว่าตัวเรา เราก็จะกลับชาติมาเกิด อันที่จริงแล้วเราไม่ได้กลับชาติมาเกิด เราไม่เคยตาย เราเพียงแค่เจ็บป่วย เราเพียงแค่เป็นโรคจากเหตุการณ์เหล่านี้ จากภัยพิบัติเหล่านี้ซึ่งบังเอิญมาผูกมัดเราไว้ ถ้าเราไม่ตัดตัวเราให้สะบั้นออกไปจากสิ่งนั้น ก็แน่นอนละที่เราจะมีความเกี่ยวข้องกับสิ่งนั้นตลอดกาล เหตุและผลเปลี่ยนแปลง เคลื่อนไหว เพิ่มเติม ลดน้อยลงอยู่ตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้เราจึงพูดว่าเรากลับชาติมาเกิด ถ้าหากเรารู้แจ้งไม่พอก็เป็นแบบนั้นแหละ

ถาม: ท่านอาจารย์ ถ้าหากคนคนหนึ่งต้องการแสดงออกในการทำงาน แต่พบว่าถูกปิดกั้นโอกาส เราควรจะมีท่าทีในการทำงานอย่างไร และเราควรจะทำเช่นไร? ความทะเยอทะยานในสถานทำงานนั้นผิดหรือไม่? ฉันจะรู้สึกขอบคุณที่ท่านให้แสงสว่างในเรื่องนี้

ตอบ: อา เรากลับไปสู่ชีวิตจริง ชีวิตของการทำงาน (ท่านอาจารย์หัวเราะ) ความทะเยอทะยานในการทำงานนั้นไม่ใช่สิ่งที่ผิด ความทะเยอทะยานเป็นสิ่งที่จะต้องมีในการทำงาน มิฉะนั้นแล้วเราจะทำงานได้อย่างไร เราจะก้าวหน้าได้อย่างไร? เธอจะทำให้นายและตัวเธอพอใจได้อย่างไร? เธอจะทำกำไรให้กับบริษัทของเธอได้อย่างไร? นั่นคือหน้าที่ มันเป็นหน้าที่ที่จะต้องทะเยอทะยาน การทะเยอทะยานไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องเหยียบหัวคนอื่นเพื่อที่จะไต่เต้าไปข้างหน้า ความทะเยอทะยานและความชั่วร้ายหรือความอิจฉานั้นแตกต่างกัน เราทะเยอทะยานได้ เราสามารถพัฒนาตัวเราได้ตลอดเวลาโดยที่ไม่ต้องไปกดขี่ผู้อื่น ถ้าเรารู้สึกถูกข่มในระดับหนึ่ง เราก็จะต้องหาเหตุผลที่คนอื่นนั้นกดขี่เราว่าเรานั้นมีความสามารถไม่พอหรือเปล่า ว่ามันเป็นปัญหาส่วนบุคคลหรือเปล่า หรือเป็นคนอื่นที่ชั่วร้ายเกินไปกับเราหรือเปล่า ถ้าเราทำได้ก็ขอให้พูดกับคนๆ นั้น ถ้าเรารู้ว่าเราถูก รู้ว่าคนคนนั้นผิดแล้วเราก็พูดกับคนนั้น  ถ้าหากเขาหรือหล่อนดีขึ้นก็ขอให้ยกโทษให้กับเขาหรือหล่อน ถ้าหากเขาไม่ดีขึ้น อย่างไรก็ขอให้ยกโทษให้เขาทำงานของเธอต่อไป เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงความขัดแย้งได้ในชีวิตนี้ นั่นคือความจริง แม้กระทั่งความสัมพันธ์ส่วนบุคคล บางครั้งสามีและภรรยาก็อิจฉาซึ่งกันและกัน ถ้าหากคนๆ หนึ่งนั้นประสบผลสำเร็จมากเกินไป นั่นคือปัญหาของสมองมนุษย์มันไม่ใช่ปัญหาของวิญญาณ ไม่ใช่ปัญหาของคนรู้แจ้ง (เสียงปรบมือ)

วิญญาณต้องการอาหารหล่อเลี้ยงทางจิตวิญญาณ
ถาม: ทำไมจึงจำเป็นต้องนั่งสมาธิวันละ 2 ชั่วโมงครึ่ง?

ตอบ: ก็เหมือนกับที่เธอต้องกินแฮมเบอร์เกอร์ 2 หรือ 3 ชิ้นอยู่เสมอ (ท่านอาจารย์และทุกคนหัวเราะ เสียงปรบมือ) นั่นก็คือปริมาณของอาหารที่อาจจะมากกว่าหรือน้อยกว่าซึ่งเธอกินทุกวันเพื่อให้ร่างกายของเธอมีชีวิตอยู่ เพราะฉะนั้นจึงมีอาหารหล่อเลี้ยงทางจิตวิญญาณส่วนหนึ่งซึ่งเธอจะต้องกินทุกวันเพื่อที่จะให้คุณสมบัติที่เป็นเหมือนพระเจ้านั้นแข็งแรงขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง เธอไม่จำเป็นที่จะต้องทำเช่นนั้นแต่สิ่งนี้ได้ถูกกำหนดเอาไว้ หมอได้กำหนดปริมาณที่แน่นอนเอาไว้ มันอยู่ในราวๆนี้ มันไม่ได้เข้มงวดมากนัก 

นอกจากนั้นเราสามารถที่จะทำสมาธิในเวลานอนได้ด้วยเช่นกัน เราสามารถทำสมาธิในรถบัส ในเครื่องบิน ในห้องน้ำ ขออภัย (เสียงหัวเราะ) ใช่ๆ เราทำแบบนั้นได้ เราสามารถทำงานหลายๆ อย่างในเวลาเดียวกัน มีเวลาอยู่เสมอที่จะทำสมาธิ ให้ลดรายการที่ไม่น่าชมบางอย่างของทีวีลงไป อ่านเฉพาะสิ่งที่จำเป็นในหนังสือพิมพ์ พูดให้น้อย พูดโทรศัพท์ให้น้อยลง แล้วเธอก็จะมีเวลามาก นอนให้น้อยลง บางครั้งเราไม่ได้นอน เราอยู่ในเตียง พลิกตัวไปมาจนสาย (เสียงหัวเราะ) นั่นคือเวลาที่เราสามารถทำสมาธิได้อย่างยอดเยี่ยมมาก แทนที่จะพลิกตัวไปมาก็ขอให้ทำสมาธิรวบรวมสมาธิก็เท่านั้นเอง ง่ายมาก แทนที่จะคิดเรื่องไร้สาระทั้งหลายก็ขอให้เธอรวบรวมสมาธิ  นั่นก็คือการทำสมาธิ  เธอไม่จำเป็นที่จะต้องนั่งลงและไขว้ขาเหมือนอย่างพุทธะ เธอเพียงแต่นอนลงและรวบรวมสมาธิ ฉันกำลังแสดงให้เธอรู้ว่าจะใช้เวลา “เกียจคร้าน” ของเธอได้อย่างไร โอ้ ขอโทษที (ท่านอาจารย์และทุกคนหัวเราะ) เวลา “ที่ไม่เกิดประโยชน์” ของเธอ หรือเวลาอื่นๆ ที่เธอคิดโน่นคิดนี่ไปเรื่อยเปื่อยและไม่ได้ทำอะไร  เวลาเหล่านั้นเราสามารถรวบรวมเข้าไว้ด้วยกันและระลึกถึงพระเจ้า ง่ายมาก (เสียงปรบมือ)

ถาม: ท่านเชื่อหรือไม่ว่าสักวันหนึ่งจะมีสันติภาพเกิดขึ้นในโลก?

ตอบ: (ท่านอาจารย์หัวเราะ) เธอเชื่อเช่นนั้นหรือเปล่า? (เสียงหัวเราะ) อาจจะในปี 3000 ก็ได้!  ไม่ จะไม่มีวันเกิดสันติภาพในโลกได้เลย เพราะมิฉะนั้นแล้วมันก็ไม่ถูกเรียกว่าเป็นโลก มันจะถูกเรียกว่าเป็นสวรรค์ (เสียงปรบมือ)

ถาม: ท่านอาจารย์ที่เคารพ ขอบคุณที่มาอยู่ ณ ที่นี้ ลางสังหรณ์มาจากที่ใด? เราจะรู้ได้อย่างไรว่าจะใช้การตัดสินใจอันไหน? บางครั้งฉันก็รู้สึกสับสนงุนงง ฉันมีทางเลือก 2 ทางและบางครั้งมันก็ยากมากที่จะตัดสินว่าจะเลือกอันไหน  เพราะแต่ละทางเลือกก็ประกอบขึ้นเป็นชีวิตของฉัน และฉันไม่รู้จริงๆ ว่าฉันควรจะทำอันไหน? ฉันอยากจะถึงจุดที่ฉันรู้อย่างแน่นอนว่าฉันควรจะตัดสินใจเลือกอันไหน

ตอบ: เรื่องนั้นต้องใช้เวลาด้วยเหตุนี้เราถึงต้องรู้แจ้งไงล่ะ  ด้วยเหตุนี้เราถึงจะต้องให้ได้พลังของปัญญากลับคืนมาซึ่งเราได้ลืมไป เราปล่อยให้ความยุ่งยากทางโลกมากมายเกินไปมาบดบังทัศนะของเรา ด้วยเหตุนี้เราจึงตัดสินใจไม่ได้ เราไม่สามารถตัดสินใจได้เพราะเราไม่รู้ เราไม่มีความแจ่มชัด ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องให้มีความแจ่มชัด เวลา 2 ชั่วโมงครึ่งที่เราเก็บเอาไว้ทุกวันก็เพื่อทำให้จิตใจเราโล่งปลอดโปร่งแจ่มชัด  เพื่อที่จะกลับไปยังแหล่งดั้งเดิมให้เป็นเหมือนพระเจ้า แล้วเราก็จะรู้ว่าควรจะทำอะไรที่ดีกว่า มันจะแจ่มชัด มันจะแจ่มชัดมาก

ในขณะเดียวกันถ้าหากเธอไม่ได้นั่งสมาธิมากนัก  ถ้าหากเธอไม่ต้องการนั่งสมาธิและถ้าเธอมีลางสังหรณ์ นั่นก็คือสิ่งที่หลงเหลืออยู่ของสิ่งใดก็ตามที่หลงเหลือมาจากสิ่งที่เรียกว่าปัญญาที่เหมือนพระเจ้า  บางครั้งมันก็ถูกบดบังด้วยความกังวลทางโลกและความพยายามที่จะมีชีวิตอยู่รอด แต่บางครั้งมันก็แจ่มชัดนั่นก็คือสิ่งที่เราเรียกว่าลางสังหรณ์  ถ้าหากเธอไม่ค่อยจะแจ่มชัดนักเธอก็จะต้องเสี่ยงเอา เธอจะต้องใช้ความรู้สึกว่าอันไหนนั้นเหมาะสมกว่า หรืออันไหนมีเปอร์เซ็นต์สูงกว่าแล้วเธอก็ทำไป  เธอจะต้องเสี่ยงไม่มีใครที่จะมาบอกเราว่าจะต้องทำอะไร ขอให้สวดถึงพระเจ้าแล้วก็เลือกสักอันหนึ่ง หรือมิฉะนั้นเธอก็ฉีกกระดาษ 2 ชิ้น – อันหนึ่งข้างซ้าย อันหนึ่งข้างขวา แล้วเธอก็เลือกมา 1 อันไม่ว่าวิธีไหนก็เสี่ยงทั้งนั้น  เพราะฉะนั้นเธอจึงต้องมีปัญญาของเธอเอง พลังอาจารย์ของเธอเอง

ถาม:  ท่านอาจารย์ที่เคารพ ถ้าหากฉันสวดถึงท่านอย่างจริงใจ ฉันจะได้รับการหลุดพ้นตลอดกาลหรือไม่?
ตอบ: ฉันก็คิดว่าเป็นอย่างนั้น (ท่านอาจารย์หัวเราะหึๆ) แต่เพียงแค่คนเดียวเท่านั้นนะ ในขณะที่ถ้าตัวเธอเองรู้แจ้งเธอก็สามารถพาผู้อื่นไปกับเธอได้ด้วย เหมือนอย่างคนเดียวได้รู้แจ้ง ญาติและเพื่อนหลายชั่วโคตรของเธอ แม้กระทั่งสุนัขและแมวก็จะได้รับการหลุดพ้น ถ้าเธอสวดถึงพระเจ้า เธอก็จะได้ตั๋วเพียงใบเดียวเท่านั้นถ้าหากเธอมีความจริงใจจริงๆ เธอไม่รู้แม้กระทั่งว่าเธอมีความจริงใจหรือไม่ บางครั้งมันก็ยากที่จะบอก
ถาม: นรกมีอยู่จริงตามที่ไบเบิลได้บอกไว้หรือเปล่า?
ตอบ: เธอคิดว่าอย่างไรล่ะ? มันมีจริงหรือเปล่า? ขอให้มองดูโลกของเรา แล้วเธอก็จะรู้คำตอบ ไม่จำเป็นที่จะต้องมองไปยังที่อื่น มีตลกเลวๆ เกี่ยวกับนรกอยู่เรื่องหนึ่ง เธออยากฟังไหมล่ะ?  อยากหรือไม่อยาก? (ผู้ฟัง: อยาก!) (เสียงหัวเราะ) และอย่าโกรธล่ะ  มีผู้หญิงอยู่คนหนึ่งอายุ 18 หรือ 19 ปี กลับมาบ้านร้องไห้ต่อหน้าแม่ของหล่อน “โอ้ มอมมี่ ฉันไม่ต้องการแต่งงานกับจอห์นอีกต่อไป ฉันขอยกเลิกการแต่งงาน!” คุณแม่ก็พูดว่า “ทำไมล่ะจ๊ะที่รัก? ลูกก็หมั้นแล้วนี่ ลูกกำลังจะแต่งงานอาทิตย์หน้า มีปัญหาอะไรหรือ?” เด็กผู้หญิงคนนั้นก็พูดว่า “ลูกไม่ชอบเขาอีกต่อไปแล้วละ เขาเป็นคนนอกศาสนา เขาไม่เชื่อแม้กระทั่งในเรื่องนรก” คุณแม่จึงพูดว่า “อย่ากังวลไปเลยลูกรัก หลังจากแต่งงานแล้ว เขาก็จะเชื่อเอง!” (เสียงหัวเราะ) (เสียงปรบมือ) ตลกเลวๆ มันไม่เป็นจริงเช่นนั้นเสมอไปหรอก
ทำไมเราจึงมายังโลกนี้
ถาม: ท่านอาจารย์ ทำไมเราจึงยังคงตกมาที่โลกนี้อีก? ทำไมเราจึงไม่สามารถคงอยู่ในรูปจิตสำนึกที่บริสุทธิ์ดังเดิมสำหรับผู้ที่ตั้งแต่แรกเริ่มไม่ต้องการที่จะมาเกิด ฉันเข้าใจในเรื่องกรรม แต่ว่ากรรมเป็นหนี้และเป็นเจ้าหนี้ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการของพระผู้สร้างหรือเปล่า? ทำไมพระองค์จึงต้องการให้เราได้รับทุกข์จากกรรมมากเช่นนั้น?

ตอบ: พระองค์ไม่ได้ต้องการ เราต่างหากที่ต้องการ นั่นคือส่วนหนึ่งของการตกลงกัน เพื่อว่าเราจะได้เรียนรู้ถึงความแตกต่างระหว่างความเป็นพระเจ้าและความไม่เป็นพระเจ้าเพื่อว่าเราจะได้รู้จักแสงเมื่อเรากลับคืนสู่แสงอีกครั้งหนึ่ง เราจงใจไปสู่ความมืดเพื่อว่าเราจะได้รู้จักแสงซึ่งสว่างเต็มที่ สำหรับผู้ที่ไม่เคยต้องการไปจากสวรรค์พวกเขาก็ไม่ได้มาที่นี่  มีบางคนอาจารย์บางคนที่ไม่เคยไปจากสวรรค์เลย นั่นเป็นเรื่องที่แน่นอน บางคนจากสวรรค์เพื่อมายังที่นี่ มาสอนเรา บางคนก็ได้กลับชาติมาเกิดหลายครั้งหลายหนและได้กลายเป็นอาจารย์ เรามีทางเลือกของเรา เราเลือกเพราะเราต้องการเช่นนั้น

มีคำตอบมากมายในเรื่องนี้ แต่พูดโดยสรุปมีจุดมุ่งหมายหลัก 2 อย่างที่เรามีกรรม เรื่องแรกก็คือเราต้องการรู้จักพระเจ้า เรามีจุดมุ่งหมายมายังที่นี่โดยมีจุดมุ่งหมายเพียงเพื่อให้ได้รู้จักพระเจ้า มีบางครั้งเรามีชีวิตอยู่ในสวรรค์ซึ่งเต็มไปด้วยแสง ทุกคนเป็นนักบุญ ทุกคนเป็นพระเจ้า แล้วเราก็พูดว่า “พระเจ้า พระเจ้าคืออะไรกัน?” พระเจ้าจึงพูดกับเธอว่า “เธอคือพระเจ้า พระเจ้าคือเธอ พระเจ้าคือสิ่งนั้น” “ฉันไม่รู้ว่าพระเจ้าคืออะไร” พระองค์พูดว่า “เธอคือแบบนี้ มันคือพระเจ้า” แต่วิญญาณก็ไม่ได้เข้าใจอย่างถ่องแท้และได้ถามพระเจ้าว่า “ฉันจะรู้จักพระเจ้าได้อย่างไร? ฉันจะรู้ว่าตัวฉันเป็นพระเจ้าได้อย่างไร?” พระเจ้าได้บอกเขาว่า “ถ้าเช่นนั้นเธอก็ต้องกลายเป็นสิ่งที่แตกต่างจากพระเจ้า แตกต่างจากตัวเธอก่อน แล้วเมื่อเธอมองย้อนหลังเธอก็จะทราบ” ด้วยเหตุนี้เราจึงได้ลงมายังที่นี่ จุดมุ่งหมายที่เรามายังที่นี่ก็เพื่อจะรู้จักตัวเราให้ดีขึ้น

อีกคำตอบหนึ่งก็คือเนื่องจากการสร้างโลกยังไม่ได้เริ่มต้น ไม่มีอะไรปรากฏในโลกนี้หรือในโลกอื่นๆ พระเจ้าจึงได้สร้างแผนการขึ้น พระองค์ต้องการให้การสร้างโลกนั้นเกิดขึ้นมาให้เป็นจริงขึ้นมาและให้เรามีส่วนร่วม เรามีความสุขที่ได้เล่นทุกส่วนของการออกแบบอันยิ่งใหญ่เพียงเพื่อความสนุกสนาน เพียงเพื่อทำให้ชีวิตมีสีสันมากขึ้น บางคนก็เล่นส่วนของเขาอย่างรู้ตัว และเพื่อจุดมุ่งหมายที่ว่าวันหนึ่งพวกเขาจะได้กลายเป็นพระเจ้าอีกครั้งหนึ่ง พวกเขาจะได้รู้จักพระเจ้าอีกครั้งหนึ่งเพื่อที่จะรู้จักพระเจ้า พวกเขาต้องเล่นบทบาทที่แตกต่างกันมากมาย และบทบาทหนึ่งก็เกี่ยวข้องกับอีกบทบาทหนึ่ง เหมือนอย่างเช่นในภาพยนตร์เธอมีตัวเอก เธอมีตัวประกอบและอะไรแบบนั้น มิฉะนั้นแล้วมันก็จะไม่สำเร็จ ดังนั้นตอนนี้กรรมของเราจึงรู้สึกหนักมากและไม่มีเหตุผลเป็นอย่างมาก แต่ในตอนนั้นสำหรับเราแล้วมันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร เพราะเราคือพระเจ้า เราไม่ได้เห็นความทุกข์ยาก เราไม่ทราบปัญหา เราไม่ได้มองดูอุปสรรคว่าเป็นสิ่งที่ไม่เป็นที่พึงปรารถนา

สำหรับเราแล้วทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเพียงแค่การละเล่น จนกระทั่งเราได้มาเล่นจริงๆ เราจึงรู้สึกถึงความทุกข์นั้น แต่นั่นก็คือส่วนหนึ่งของเกม ส่วนหนึ่งของแผนของจักรวาล ถ้าเราไม่เล่นบทบาทของเรา เราก็จะไม่ดำรงอยู่ จะไม่มีอะไรที่นี่ ฉันจะไม่ได้มานั่งอยู่ที่นี่ เธอจะไม่ได้นั่งอยู่ที่ตรงนั้น เธอจะไม่เป็นคนผมบลอนด์ ฉันจะไม่เป็นคนผมดำ จะมีอะไรล่ะ? ทุกอย่างจะธรรมดามาก มันก็นับว่าดี ด้วยเหตุนี้อาจารย์ที่มีความสมบูรณ์พร้อมทั้งหลายจึงพูดว่าทุกสิ่งทุกอย่างภายใต้ดวงอาทิตย์นั้นมีความสมบูรณ์พร้อม พระเยซูได้กล่าวว่าพวกเธอทั้งหลายเป็นบุตรของพระเจ้า พวกเขาได้ตระหนักว่าไม่มีอะไรที่จะต้องทำ  ทุกคนนั้นสมบูรณ์พร้อม แต่เรายังไม่ได้ตระหนักในเรื่องนี้ เราจึงมีความทุกข์ เราจะต้องตระหนักรู้แบบเดียวกันกับที่พวกเขารู้ แล้วเราจึงจะรู้ว่าทำไม แล้วเราจะมองดูความทุกข์ว่าไม่ใช่ความทุกข์ มันยังคงเป็นความทุกข์ มันยังคงเจ็บปวดเมื่อใครบางคนหยิกเธอ แต่เธอเข้าใจว่ามันเป็นเพียงเพื่ออะไรบางอย่าง เธอไม่รู้สึกทุกข์ เธอไม่จมลงไปในความทุกข์ เพียงแต่ลอยขึ้นมาอยู่เหนือความทุกข์

ถาม: ท่านอาจารย์ที่เคารพ ภรรยาของผมได้มาอยู่ที่นี่ในวันนี้เพื่อรับการประทับจิต เธอได้เป็นมังสวิรัติมาเป็นเวลานานแล้ว ผมได้พยายามแต่ก็ทำไม่ได้ ได้โปรดบอกให้ผมทราบด้วยว่าเป็นเพราะเหตุใดและจะทำเช่นไร

ตอบ: สงสัยภรรยาเธอควรที่จะไปการเรียนการทำอาหารมังสวิรัติให้มากขึ้น สามีที่น่าสงสารไม่สามารถที่จะกินได้เมื่อมันไม่อร่อย เพราะฉะนั้นอันที่จริงแล้วการรู้แจ้งก็เริ่มต้นที่นี่ด้วยเหมือนกัน (ท่านอาจารย์ชี้ไปยังท้องของท่าน) ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ที่ตรงนี้ (อาจารย์ชี้ไปยังตาปัญญา) (เสียงหัวเราะ) ตอนที่ฉันได้พบสามีของฉันเป็นครั้งแรก (อดีตสามีของฉัน เขาแต่งงานใหม่แล้ว) ฉันเป็นมังสวิรัติ เขาไม่ได้เป็น เขาเป็นนายแพทย์ เน้นหนักในความเป็นจริง มีชีวิตแบบทางโลกมาก เขาเป็นคนราศรีพฤษภ ในทางตะวันออกเขาอยู่ในราศีวัวตัวผู้เพราะฉะนั้นเขาจึงเป็นวัวตัวผู้กำลัง 2 ดังนั้นเขาจึงไม่เชื่อในเรื่องเหลวไหลทั้งหลาย แต่เพราะฉันทำอาหารได้อร่อยมาก เขาจึงกินอาหารทุกวันกับฉัน และเขาก็ไม่ต่อต้านอาหารมังสวิรัติ หลังจากที่ฉันจากเขาไปเพื่อ “ความคิดเพื่อช่วยโลก” (ท่านอาจารย์พูดล้อเล่น) เขาก็ได้รวบรวมสูตรปรุงอาหารทั้งหมดของฉันและทำอาหารให้เพื่อนเขากิน เขามักจะโฆษณาอยู่เสมอๆ ว่า “ภรรยาของฉันเคยทำอย่างนี้ ภรรยาของฉันเคยทำอย่างนั้น และผักทั้งหลายนั้นอุดมไปด้วยวิตามิน” เขาทำเหมือนกับสูตรที่ฉันได้ทิ้งไว้ให้

ถ้าแม้กระทั่งชาวตะวันตก คนเยอรมัน นายแพทย์ที่มีสมองทางวิทยาศาสตร์แบบนั้นสามารถเป็นมังสวิรัติได้ เธอก็สามารถเป็นมังสวิรัติได้ด้วยเหมือนกัน ถ้าหากภรรยาทั้งหลายทำอาหารที่อร่อย เธอก็จะไม่ขาดอะไรไป ยกตัวอย่างเธอกินซุปชามหนึ่ง เช่น ซุปจีน ในซุปมีบะหมี่และเนื้อสัตว์ แทนที่จะใช้เนื้อสัตว์พวกนั้น เธอก็สามารถใช้หมี่กึน เต้าหู้หรือแฮมเจทุกอย่าง ทุกชนิดแม้กระทั่งปลา ทุกอย่างสามารถทำได้เหมือนกันกับอาหารที่ไม่ใช่มังสวิรัติ เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องของความเชี่ยวชาญ ฉันเชื่อว่าหนทางไปสู่การรู้แจ้งนั้นต้องผ่านกระเพาะอาหาร เพราะฉะนั้นภรรยาของเธอขอให้ดูแลนิ้วอันมีฝีมือของเธอ ทำอาหารให้สวยและอร่อยเพื่อว่าสามีของเธอจะได้กินกับเธอได้ ผู้หญิงนั้นง่ายกว่า จริงๆ นะ ทันทีที่เธอเชื่ออะไรบางอย่าง เธอก็กินไม่เลือก (ท่านอาจารย์และทุกคนหัวเราะ) แต่ผู้ชายพวกเขามีความเป็นวิทยาศาสตร์มากกว่า พวกเขาเน้นในความเป็นจริงมากกว่า ไม่มีอารมณ์อ่อนไหวเหมือนอย่างผู้หญิง ผู้หญิงสามารถมีชีวิตอยู่ได้ด้วยความรู้สึก อารมณ์ ความเสน่หา ดังนั้นเมื่อเธอเชื่อ เธอก็จะกินและไม่สนใจว่ามันจะมีรสชาดอย่างไร (เสียงหัวเราะ) แต่ผู้ชายพวกเขาอยู่ในสภาพที่วิกฤตกว่า เพราะฉะนั้นรสชาติจึงต้องมาก่อน จากนั้นจึงจะเป็นการรู้แจ้ง (เสียงหัวเราะ)

ถาม: ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ กรุณาอธิบายความสัมพันธ์ทางด้านจิตวิญญาณของเรากับท่าน หลังจากที่ท่านตายไปแล้ว และคนคนนั้นได้รับการประทับจิตแล้ว การเดินทางกลับบ้านของพวกเรายังคงได้รับการรับรองโดยจิตวิญญาณของท่านหรือไม่?
ตอบ: ได้รับการรับรอง (เสียงปรบมือ) ตามที่ได้กล่าวไว้ตั้งแต่ต้น เราไม่ใช่ร่างกาย เราคือจิตวิญญาณ เพราะฉะนั้นเมื่อร่างกายนี้ไปหรือมาก็ไม่มีความแตกต่าง ไม่มีระยะทางระหว่างเรา และฉันก็ได้บอกเธอแล้วว่าในเวลาประทับจิตได้มีการอธิบายธรรมวิถีให้กับเธอเพื่อเธอจะใช้มันได้ตลอดชีวิต ไม่มีอะไรที่จะเข้ามาขวางกั้นได้อีกต่อไป เว้นเสียแต่ว่าเธอจะไม่ต้องการมันและเธอจากไป แต่เมล็ดพันธุ์ก็ยังคงมีอยู่สำหรับชาติหน้า
ถาม: ท่านอาจารย์ ลูก 5 คนของฉันได้รับการประทับจิตเข้าสู่ธรรมวิถีกวนอิมแล้ว แต่ฉันค่อนข้างมีอายุมาก การรู้แจ้งมีไว้สำหรับทุกคนหรือเปล่า? มีเงื่อนไขที่จำเป็นอะไรบ้างหรือว่าความจริงใจเป็นบรรทัดฐานอย่างเดียวเท่านั้น
ตอบ: ใช่ มีความจริงใจก็พอเพียงแล้ว แต่เมื่อคนมีอายุมากเกินไปอย่างเช่นผ่านอายุระดับหนึ่งไป บางครั้งกายเนื้อและความจำก็ไม่เฉียบแหลมอีกต่อไป เช่นนี้เราก็อาจจะบอกพวกเขาว่าให้กลับมาอีกครั้งในคราวหน้าในชาติหน้า หรือเพียงแค่บำเพ็ญวิถีสะดวกก็สามารถช่วยเขาหรือหล่อนได้เหมือนกัน ไม่จำเป็นที่จะต้องได้รับการประทับจิต แต่นั่นก็เป็นการรับประกันสำหรับคนๆ เดียวเท่านั้น ส่วนการประทับจิตนั้นรับประกันสำหรับหลายชั่วโคตรและนั่นก็คือข้อแตกต่าง ด้วยการประทับจิตและการบำเพ็ญด้วยตัวของเธอ เธอยังสามารถกลายเป็นอาจารย์ผู้รู้แจ้งและช่วยวิญญาณได้มากมายด้วย
ถาม: ท่านอาจารย์ทำไมศาสนาคริสต์ส่วนใหญ่จึงไม่เชื่อในเรื่องการกลับชาติมาเกิด? คัมภีร์ไบเบิลได้พูดถึงเรื่องการกลับชาติมาเกิดหรือไม่?
ตอบ: คัมภีร์ไบเบิลได้พูดไว้ แต่ได้ถูกตัดข้อความออกไป เมื่อมีคนถามพระเยซูว่าพระองค์เป็นเอเลียส หรือเปล่า ว่าพระองค์เป็นบุคคลคนนั้นคนนี้ เป็นอาจารย์ในอดีตหรือเปล่า หมายความว่าพระองค์เป็นอาจารย์ในอดีตเหล่านั้นที่กลับชาติมาเกิดหรือเปล่า  พระองค์ก็นิ่งเงียบ นั่นเป็นตอนหนึ่งของไบเบิลที่คนลืมตัดทิ้งไป สมมุติว่าการกลับชาติมาเกิดไม่มีจริงพระเยซูก็จะพูดว่า “ไม่ๆ ไม่มีเรื่องอย่างว่า เรื่องที่อาจารย์กลับชาติมาเกิด ฉันคือตัวฉันเท่านั้น ครั้งเดียว ไม่มีอีกแล้ว ไม่มีก่อน ไม่มีหลัง”  พระองค์นิ่งเงียบ  และในสมัยนั้นการนิ่งเงียบก็หมายถึงโอเค การตกลง การยอมรับ ไม่อย่างนั้นแล้วพระเยซูก็คงจะได้อธิบายเพื่อที่จะไม่ทำให้ลูกศิษย์ของพระองค์เข้าใจผิด แต่พระองค์นิ่งเงียบ
ถาม: ท่านอาจารย์ที่เคารพ ถ้าคนคนหนึ่งได้รับการประทับจิตแล้ว 5 ชั่วโคตรจะได้รับการช่วยเหลือ แล้วสมาชิกครอบครัวที่ยังมีชีวิตอยู่ซึ่งกินเนื้อสัตว์และดื่มแอลกอฮอล์จะได้รับการช่วยเหลือด้วยหรือเปล่า?
ตอบ: พวกเขาก็จะได้รับการช่วยเหลือเช่นกันอย่างน่าเศร้าใจแต่นับว่าโชคดี (ท่านอาจารย์และทุกคนหัวเราะ) นั่นก็คือว่าถ้าหากพวกเขาจงใจไม่ต้องการการหลุดพ้นอาจารย์ก็จะไม่บังคับ แน่นอน เป็นเพราะว่าแต่ละคนนั้นคือพระเจ้า เราจะต้องจำไว้ว่าพวกเราแต่ละคนคือพระเจ้า ไม่มีใครสามารถบอกพระเจ้าว่าให้ทำอะไรได้แม้กระทั่งพระเจ้าองค์อื่น เขาจะเลวอย่างไร เขาจะดีอย่างไรนั่นก็คือการตัดสินใจของเขาเอง เส้นทางในชีวิตของเขาเองที่จะเลือก เขาเลือกที่จะเล่นบทบาทนี้  แม้ว่าเขาเลวก็นับว่าเขาโอเคด้วยเหตุนี้ไบเบิลจึงได้บอกเราว่าจงอย่าตัดสิน
ถาม:  ก่อนที่เราจะกลายเป็นอาจารย์ผู้รู้แจ้ง เราได้ตั้งปณิธาณว่าจะทำสิ่งนี้ทำสิ่งนั้นเพื่อมนุษย์ และเราตั้งปณิธาณว่าจะรับใช้พวกเขา แต่หลังจากที่เราได้กลายเป็นอาจารย์ผู้รู้แจ้ง แล้ว เราก็เปลี่ยนใจด้วยเหตุผลบางประการ เพราะตอนนี้เรามีการมองที่แตกต่างออกไป เราเป็นอิสระที่จะไม่ปฏิบัติตามที่เราได้ตั้งปณิธาณเอาไว้หรือไม่ หรือเราจะต้องปฏิบัติตามที่เราได้ตั้งปณิธาณเอาไว้เนื่องด้วยกฎแห่งกรรม?
ตอบ:  เรามีอิสระ เรามีอิสระที่จะทำสิ่งที่เราต้องการ
ถาม: สวัสดีท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ โปรดแสดงทัศนะของท่านในเรื่องโลกในฐานะที่เป็นสรรพสัตว์ผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งใช้ความรักช่วยนำพวกเราให้กลับไปยังสวรรค์
ตอบ: ทุกอย่างถูกสร้างมาจากพระเจ้า ไบเบิลได้กล่าวไว้เช่นนั้น ทุกอย่างเกิดขึ้นมาจาก “พระวจนะ” ซึ่งหมายถึงแรงสั่นสะเทือนของจักรวาล และแรงสั่นสะเทือนนั้นคือพระเจ้า สิ่งนั้นคือธรรมวิถีกวนอิม นั่นคือสิ่งที่เราสอนให้เธอปรับตั้งเสียงเข้าหา ปรับเข้าหาแรงสั่นสะเทือนของจักรวาล เข้าหาแหล่งของการสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย เพราะฉะนั้นแม้กระทั่งถ้าเราเป็นมนุษย์ ถ้าเรามาจากพระเจ้า โลกอันยิ่งใหญ่หรือทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลก็เช่นกัน มันมีคุณสมบัติของพระเจ้าด้วยเหมือนกัน แต่อาจจะเป็นในรูปแบบที่แตกต่างออกไปหรือมีความหนาแน่นที่แตกต่างออกไป  ดังนั้นในกรณีนั้นโลกจึงเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ด้วยเช่นกันตามที่เธอได้กล่าวถึง เราอาศัยอยู่ที่นี่ เราอาศัยโลกในการมีชีวิตอยู่ แน่นอนเราจะต้องเคารพมารดาผู้ยิ่งใหญ่นี้ (เสียงปรบมือ)
 
     
1 2 3