การประทับจิตนั้นเสมือนเวลาเราไปสมัครงานในสถานที่ทำงานแห่งหนึ่ง เจ้าของกิจการรับเราเข้าทำงาน แต่ก็มิได้หมายความว่าเราเพียงแต่เขียนใบสมัครเท่านั้น จากนั้นทุกเดือนเราจะได้รับเงินเดือนแต่เราต้องเข้าไปทำงานทุกวันรับผิดชอบต่อเจ้านาย ทำงาน 1 วัน จะได้เงิน 1 วันของวันนั้น ในทำนองเดียวกันเรานั่งสมาธิทุกวัน หามาได้ซึ่งสติปัญญาของตนเอง จากนั้นเราได้เห็นสิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งไม่ใช่อิทธิปาฏิหารย์หรือบุญกุศลแต่เป็นพลังที่เราได้ประหยัดมันเอาไว้

แม้ว่าเราจะต้องพัฒนาตนให้มีความอิสระ แต่ก็ควรเข้าใจว่าสิ่งใดควรจะกระทำและได้ผลดีกว่า มิใช่เพราะเรามีความเป็นอิสระจากนั้นเราจะทำสิ่งใดก็ได้ เป็นต้นว่า เรากระทำสิ่งต่างๆ ควรใช้สมอง ความคิด ใช้สติปัญญา เมื่อเรามีพร้อมแล้วก็ควรใช้ให้เป็นประโยชน์ มิใช่ทำแบบหลับหูหลับตาจะทำสิ่งใดก็ทำตามใจชอบ ซื้อของดีมีคุณภาพกับการซื้อของไม่ดีด้อยคุณภาพ เราต้องใช้เวลาในการซื้อเหมือนๆ กัน อาจต้องเสียเงินเท่าๆ กัน หรือเสียเงินมากกว่า

 

เพราะฉะนั้นไม่ว่าเราจะทำอะไร ขอให้ใช้สมอง ใช้สติปัญญา จากนั้นเราจะประหยัดเวลา ประหยัดพลัง และเป็นผลดีต่อตนเองและผู้อื่น ฉะนั้นการบำเพ็ญจะมีลักษณะเป็นเช่นนี้ดังที่กล่าวมา มิได้เป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลแต่อย่างใด ซึ่งสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ มากมายที่ในอดีตก่อนเราจะฝึกสมาธิแก้ไขมิได้นั้น จึงเป็นการสมเหตุสมผลตามทฤษฎีตรรกศาสตร์

 

เหมือนเมื่อก่อนเรามีเงินแต่ใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่าย เห็นอะไรก็ซื้อมาหมดแม้กระทั่งสิ่งของที่ไม่จำเป็นก็ซื้อ เมื่อซื้อกลับไปแล้วหาที่วางมิได้ จากนั้นยิ่งวางของระเกะระกะยิ่งทำให้เราเครียดเพราะของมีมาเกินไป ทำให้ไม่มีที่ๆ จะให้คนอยู่ก็เกิดความเครียดและไม่สบาย เวลานี้เราได้นำของเหล่านั้นทิ้งแล้ว บ้านเราก็จะไม่รกอีกต่อไป การทำเช่นนี้ช่วยให้มีสถานที่กว้างและประหยัดเงินทอง วันข้างหน้าเราเห็นสิ่งของที่สำคัญและสวยงามถูกใจ ก็สามารถนำเงินที่เราได้ประหยัดสะสมเอาไว้ออกมาซื้อ เวลาซื้อเราก็ทราบว่าเราชอบมันจริงๆ ซึ่งจะทำให้เรามีความสุขและรู้สึกคุ้มค่า สิ่งที่ได้มาเป็นของดี เราคิดว่ามันมหัศจรรย์มาก ทำไมที่ผ่านมาเราถึงไม่คิดสิ่งนี้เลย คิดว่าของชิ้นนี้ฟ้าประทานมาให้เรา ใช่ที่ไหนมันคือเงินทองของเธอเองที่เธอได้ประหยัดสะสมเอาไว้ จึงซื้อของที่มีค่าได้ ในอดีตเธอใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย ของที่มีค่าเธอเห็นก็ยังไม่กล้าไปดู ยิ่งมิต้องพูดถึงจะซื้อเลย

 

ในทำนองเดียวกันในอดีตเราเสียพลังไปมากมายเพื่อดูสิ่งภายนอก เพราะคิดว่าสิ่งเหล่านั้นจะช่วยปลอบให้เรามีความสุข แท้จริงแล้วมันมีแต่ทำให้เราทุกข์ใจยิ่งกว่า เปรียบเสมือนเราได้นำของที่สารพัดอย่างที่ไม่ดีเข้ามาในบ้าน มาทำให้พื้นที่ในบ้านแคบลงและจิตใจอึดอัดรู้สึกแรงกดดันมีมาก มาจนทุกวันนี้สิ่งต่างๆ ในอดีตที่ผ่านมาพวกเธอไม่สามารถจัดการได้ หรืออุปสรรคที่ฝ่าฟันไม่ได้และกรรมที่ผูกพันที่แก้ไม่ได้ แต่เนื่องด้วยทุกวันนี้เราได้ประหยัดพลังงานไว้มันจึงช่วยเราจัดการกรรมผูกพันในอดีตที่ผ่านมาที่เราจัดการกับมันไม่ได้ให้ลดน้อยลง ทำให้เรามีความสุขขึ้นมาบ้างหรือว่าอาจจะใช้วิธีอื่นๆ จัดการ  ดังนั้นการบำเพ็ญบางครั้งจะทำให้ชีวิตเรามีความสุข

 

แต่ว่าเราต้องตั้งใจบำเพ็ญจริงๆ มีความศรัทธาจากใจจริง เพราะการที่เรามีความจริงใจทำให้เรามีสมาธิ ถ้าหากเราไม่จริงใจ เราก็จะมักง่าย เฉื่อยชา จะทำก็ได้ไม่ทำก็ได้ ซึ่งเป็นเหตุผลอย่างหนึ่งที่เป็นไปอยู่ ฉันต้องกล่าวเปรียบเทียบทางโลกพวกเธอจึงจะเข้าใจ ยกตัวอย่างเช่น เธอรักคนๆ หนึ่งจากใจจริง แม้ว่าจะต้องทุกข์ทรมานเพียงใดก็ไม่กลัว ไม่ว่าบ้านเขาอยู่ไกลเพียงใด เธอก็จะเดินทางไปหาเขา ไม่ว่าอุปนิสัยใจคอของเขาจะเป็นแบบไหนเธอก็ยอมรับได้ เธอทนได้จนกว่าจะได้แต่งงานกับเขา ถ้าหากเธอไม่คอยจริงใจกับเขา เมื่อเธอเห็นเขาก็เหมือนไม่ได้เห็น ไม่รู้สึกพิเศษอะไร ไม่รู้สึกคิดถึงเขาเลย ไม่คิดว่าจะต้องเห็นเขาให้ได้ และไม่คิดจะหาทางแต่งงานกับเขา ไม่คิดจะต้องเอาชนะใจเขา ในเมื่อเธอไม่มีความพยายาม เธอก็ไม่ได้เขามาครอบครองอย่างแน่นอน ทั้งนี้ เป็นเพราะเธอไมคิดอยากได้เขา หรือเธออาจคิดอยากได้คนอื่นหรือสิ่งอื่น หรือเธออาจจะอยากพักผ่อน อยากเล่นสนุกสนาน ทำให้เธอมิได้คิดถึงเขาเท่าไร ดังนั้นเธอจึงไม่ได้เขามา และเขาก็จะไม่ค่อยสนใจเธอด้วย เพราะเธอไม่จริงใจมากนัก เธอไม่มีสื่อที่จะอึงดูดเขา ไม่มีพลังแห่งการดึงดูดทำให้เขาทราบซึ้ง

 

ในทำนองเดียวกันสติปัญญาของเราและพลังของเรามีมากจนมิอาจประเมินได้ หากเราต้องการมันจริงๆ เราจึงจะเริ่มคิดหาทางเอามันมา สมองของเราและจิตวิญญาณของเราจะสามารถคิดหาทางเอามันได้ ถ้าหากเราไม่ต้องการมัน ก็จะเอามันมาไม่ได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลใช่ไหม? (ทุกคนตอบว่าถูกต้อง)  ไม่ว่าสิ่งใดๆ ก็คล้ายคลึงกันถ้าหากเราต้องการมันจริงๆ เราจะต้องใช้ความพยายามเพื่อหามันมาให้ได้ มิฉะนั้นแล้วแต่เวรกรรม ชอบก็มาไม่มาก็ตามใจ ดังนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดของการปฏิบัติธรรมคือ ต้องมีความจริงใจ มิใช่แต่กิริยาภายนอกที่แสดงให้เห็นเท่านั้น มิได้หมายความว่าการนั่งสมาธิของเราห้ามมิให้ผู้อื่นทราบ เพียงแต่มิให้มีอาการแห่งการทะนงตนชอบโอ้อวดเท่านั้น

 
เหตุใดประสบการณ์ของเราจึงบอกผู้อื่นมิได้

แต่เมื่อมีคนถามว่าเราบำเพ็ญอะไร เราก็ต้องบอกว่าเราบำเพ็ญธรรมวิถีกวนอิม หลังจากที่เราบำเพ็ญแล้วรุ้สึกดีมาก เรานั่งสมาธิวันละกี่ชั่วโมง เรารับประทานอาหารมังสวิรัติ เพียงแต่ประสบการณ์ห้ามบอกเล่าสู่กันฟัง เหตุใดจึงต้องทำเช่นนี้ เพราะว่าถ้าหากเราบอกเขาแล้ว ใช่ว่าเขาจะเชื่อเธอเขาอาจจะหัวเราะเยาะเธอ คนทางโลกส่วนใหญ่ไม่เชื่อ เหมือนเมื่อวานนี้ที่อาจารย์ได้เล่าเรื่องเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาว มีคนถามว่าทำอย่างไรจึงจะพิสูจน์ได้ว่ามนุษย์ต่างดาวมีจริง มันเป็นเรื่องที่จินตนาการขึ้นเองหรือไม่? ทั้งๆ ที่หนังสือพิมพ์ก็ได้เคยลงข่าวเกี่ยวกับจานบินและมนุษย์ต่างดาวมาแล้วมากมาย โทรทัศน์ก็เคยประกาศข่าวเรื่องเหล่านี้ แต่เขาก็ยังไม่เชื่อยิ่งมิต้องพูดถึงภูมิภาพภายในที่เราเห็น เราไม่สามารถเอาจานบินมาให้เขาดู (ท่านอาจารย์หัวเราะ) แล้วพวกเธอจะให้เขาเชื่อได้อย่างไร?

ฉันเป็นคนชะตากรรมไม่ดี ถูกเลือกมาเป็นอาจารย์ผู้รู้แจ้ง ดังนั้นจึงต้องพูดทุกเรื่องออกมา อดทนให้ผู้คนหัวเราะเยาะ แต่อย่างไรก็ตม ก็ควรมีบุคคลคนหนึ่งที่เสียสละตนเอง เมื่อพระเจ้าได้สั่งให้ฉันเป็น และมอบภาระหน้าที่นี้ให้ฉันก็ต้องทำ มิฉะนั้นแล้วทำไมเวลาฉันเล่าประสบการณ์และอันดับชั้นแห่งการบำเพ็ญของตนเองออกมาก็มักจะถูกผู้คนหัวเราะเยาะ พวกเขาคิดว่าเพี้ยนซึ่งเดิมทีฉันคิดว่า พูดออกมาเพื่อให้พวกเขาเชื่อและคิดที่จะบำเพ็ญ แต่พวกเขากลับหัวเราะเยาะฉัน โจมตีฉัน ทำให้ฉันหมดกำลังใจ พวกเขาโจมตีว่าเรื่องต่างๆ ที่ฉันพูดเป็นเรื่องที่เพ้อเจ้อ จากนั้น เธอก็ไม่มีกำลังใจ ความวุ่นวายทั้งหลายก็เกิดขึ้น มิได้หมายความว่าเราเล่าประสบการณ์เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง แต่เมื่อเราพูดออกมาแล้วประสบการณ์ของเราก็สูญหายไป จากนั้นการบำเพ็ญของเราก็ถอยหลังลงนิดหนึ่ง เพราะฉะนั้นทางที่ดีเราไม่ควรเล่าประสบการณ์ภายใน เป็นต้นว่าเห็นแสงอะไร เห็นพุทธะองค์ไหน ได้ ได้ยินเสียงอะไร ไม่ควรพูดทั้งสิ้น

ถ้าหากมีคนถามเราเราก็บอกเขาว่า เราบำเพ็ญสายธรรมวิถีนี้ มีบางคนสามารถเห็นแสงได้ บางคนสามารถได้ยินเสียง เอาแบบสรุปรวบรัด แต่ไม่สามารถบอกเขาว่าตัวฉันได้ยินเสียงแบบนี้นะ เธออาจจะบอกเขาได้ว่า ฉันเองก็มีประสบการณ์หนึ่งในนั้น ฉันเองก็มีประสบการณ์ ไม่ใช่ไม่มีแต่เราบอกพวกคุณไม่ได้ พูดเท่านี้ก็เพียงพอ มิได้หมายความว่าห้ามเล่าทั้งหมด หากทำเช่นนี้แล้วผู้อื่นจะทราบได้อย่างไรว่ามีธรรมวิถีกวนอิมอยู่ ซึ่งจะได้ประโยชน์อย่างไร คนอื่นๆ จะมาบำเพ็ญกับเราได้อย่างไร ดังนั้นสิ่งที่จะพูดเราควรพูด เพียงแต่ประสบการณ์ไม่ให้เล่าเท่านั้น และรายละเอียดขั้นตอนการประทับจิตห้ามเล่า นอกจากอาจารย์อนุญาตเป็นกรณีพิเศษแล้วเราไม่ควรพูดอะไร เพราะว่าเรายังเรียนไม่จบ เมื่อพูดออกไปแล้วไม่เกิดประโยชน์ ยกตัวอย่างเช่น เราเพิ่งเรียนภาษาอังกฤษ เอ บี ซี จากนั้นเราก็ออกไปสอน เอ บี ซี ให้เขานั้นจะมีประโยชน์ได้อย่างไร? เหตุผลมีเท่านี้ มิได้ห้ามปรามพวกเธอหรือมีความลับอะไรที่บอกไม่ได้

แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ไม่ควรลืม ก็คืออยู่ในโลกนี้ไม่ว่าเราทำอะไร ถ้าหากไปพูดอวดให้ผู้อื่นฟัง เมื่อไม่นานต่อมาเราก็จะประสบความพ่ายแพ้ การทำงานทางโลกก็มีสภาพเช่นนี้ ดังนั้น การบำเพ็ญเราเก็บไว้เป็นความลับก็ไม่เลว เพราะว่าโลกนี้เป็นโลกของมายา (illusion) ทุกหนทุกแห่งมีบริวารของมารหมด และมักชอบโจมตีทำร้ายคนบำเพ็ญ ฉะนั้นเมื่อเราได้ยินว่าภายในของเรามีสมบัติอันล้ำค่าอยู่ มีความสุขสบาย มีความรู้สึกที่ดี มีนิพพาน ฯลฯ พวกมารจะหาทางแกล้งเรา เพราะเกิดความอิจฉาริษยา พวกเขาเองไม่บำเพ็ญและไม่อยากบำเพ็ญ แต่เมื่อเขารู้ว่าธรรมวิถีดีมากเขาจะต้องทำลายแน่นอน ในโลกของเราก็เช่นกัน ถ้าหากเธอมีเงินทองร่ำรวย มีฐานะ ผู้อื่นก็จะไม่ชอบ หรือว่าเธอสอนคนให้ทำความดีมีศิษย์มากมาย ผู้อื่นก็จะโจมตีเธอ ดังนั้น จึงมีปัญหาความขัดแย้งเกิดกับศาสนาต่างๆ มากมาย อุปสรรคที่เกิดขึ้นกับศาสนาทั้งหลายก็เป็นเพราะว่ายังบำเพ็ญไม่ดีพอ จึงได้ถูกมารใช้เป็นเครื่องมือทั้งหมดมีสภาพเป็นเช่นนี้ มิใช่อาจารย์ห้ามปรามเราหรือควบคุมเราอย่างเข้มงวด ไม่มีแน่นอน เพราะทั้งหมดเป็นเคล็ดลับแห่งการบำเพ็ญและเพื่อป้องกันตนเองเท่านั้น

จิตวิญญาณออกไปท่องเที่ยวดาวเคราะห์ดาวอื่นๆ

เวลานั่งสมาธิเราก็สามารถนั่งโดยการนอน แต่การนอนมักจะทำให้เราหลับได้ง่าย เวลาเรานั่งแบบที่นั่งตัวตรงก็จะหลับอยู่แล้ว ยิ่งมิต้องพูดถึงนั่งท่านอนซึ่งเรื่องก็เคยเกิดกับฉันเองมาแล้ว เพราะว่าเวลาที่ฉันนอนลงก็จะหลับเหมือนกัน แต่มิได้หมายความว่าเวลาที่นอนหลับนั้นเราจะมิได้รับประโยชน์ เราต้องมีเวลาสำหรับนอนให้เพียงพอเพื่อรักษาร่างกาย

จิตวิญญาณภายในของเราก็ต้องการพักผ่อนด้วย จากนั้นการนั่งสมาธิของเราจึงต้องเลือกเอาเวลาที่เหมาะสม เลือกเอาเวลาที่เราไม่เหนื่อย ทำไมจึงต้องเลือกเอาเวลาช่วงเช้าและตอนค่ำ เพราะว่าเวลายามเช้าเราได้นอนหลับเต็มอิ่มแล้วจึงเป็นการดีกว่า แม้เรายังคิดที่นอนต่ออีก แต่เมื่อเรามีความคิดแบบนี้ ทางที่ดีไม่ควรทำตามใจตนเองควรจะลุกขึ้นมา เพราะว่าเวลานี้เป็นเวลาที่นั่งสมาธิได้ผลดีที่สุด ซึ่งเป็นการแน่นอนว่าเธอจะต้องมีความกล้าหาญและตั้งใจ มิฉะนั้นจะเป็นการยากมากที่จะเอาชนะตนเองให้ตื่นนอนได้

แต่บางครั้งที่เรานอนหลับ เราจะถูกดึงขึ้นไป เวลาถูกดึงขึ้นไปเรามักจะไม่รู้สึกตัว บางครั้งอาจจะรู้สึกตัว แต่หากเรารู้ตัวเมื่อไหร่กลับเป็นการแย่ ยกตัวอย่างเมื่อวานนี้ มีเพื่อนบำเพ็ญคนหนึ่งได้บอกกับอาจารย์ว่า อาจารย์ เวลาฉันนอนหลับจิตวิญญาณมักชอบออกไปข้างนอก เวลาออกไปแล้วก็เห็นร่างกายตนเองนอนนิ่งอยู่ตอนนั้น ทำให้เกิดความกลัวโดยได้รำพึงว่า ตายแล้วนั่นร่างกายของฉัน ก็ได้กลับเข้ามาในร่างอีก อาจารย์ได้บอกเขาไปว่า พวกเราอยู่ติดกับร่างกายทุกวันไม่มีอะไรที่ต้องคิดมาก บางครั้งได้ออกไปเที่ยวบ้างก็ไม่เลวเหมือนกัน เวลาเราไม่อยู่ร่างกายจะไม่หายไปไหนแน่นนอน มีแต่เวลาที่เราอยู่ติดกับมันเท่านั้นจึงจะยิ่งตะรอนๆ ไปไหนต่อไหนได้ แท้จริงแล้วสภาพเรื่องนี้คือตัวตนที่แท้จริงของเราวิ่ง มิใช่ร่างกายวิ่ง มิฉะนั้นทำไมเวลาคนตายไปแล้วร่างกายยังอยู่ หู ตา จมูกยังอยู่ครบ แล้วทำไมมันจึงไม่วิ่งไปไหนๆ  เธอตีมันมันจะไม่ร้อง เธอด่ามันๆ ก็ไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบ ซึ่งแสดงให้เห็นแล้วว่ามันเป็นร่างกายใช้ไม่ได้ เวลาที่ตัวเราอยู่ข้างในมันจึงจะวิ่งไปที่อื่นได้

ดังนั้นเวลาที่จิตของเราออกไปจึงได้เห็นร่างกายนอนนิ่งอยู่ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ายินดีมากที่จะได้ออกไปและจะไม่วิ่งหายไปไหนไม่ต้องกลัว ถ้าหากเรากลัวก็ขอให้หาอาจารย์ บอกอาจารย์ว่า อาจารย์ช่วยคุ้มครองฉันด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ายินดีมากที่ได้ให้อาจารย์พาขึ้นไปโดยไม่ให้เธอรู้ ถ้าหากให้พวกเธอรู้จะมีความยุ่งยากเกิดขึ้น ดึงไปดึงมาหลายรอบก็ดึงเธอไม่ยอมออกไป มีเพียงกายเนื้อหนังอันเดียวเท่านั้นเราก็จับมันไว้ไม่ปล่อย ทุกๆ วันเราจะอยู่ข้างในกับมันได้ออกไปเป็นครั้งคราวเท่านั้นก็จะรีบกลับเข้าไปอีก จากนั้นก็มาบอกว่าฉันต้องการหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด หลอกใครไม่ทราบ มีเพียงกายเนื้อร่างกายเดียวเท่านั้นก็จับมันไว้แน่นแบบนี้ ไม่สามารถปล่อยวางได้แล้วยังคิดจะไปที่อื่นอีก

ในจักรวาลของเรามีดาวเคราะห์อยู่มากมายไม่ต้องมาสงสัยฉัน พวกเธอมองขึ้นไปบนท้องฟ้าเห็นดวงดาวมากมายก็ต้องทราบแล้ว มันก็คือดาวเคราะห์ทั้งหลายซึ่งบางดวงมีมนุษย์อาศัยอยู่ บางดวงไม่มี บางดวงมีการพัฒนาแล้ว บางดวงยังล้าหลังอยู่ ในจักรวาลเป็นไปไม่ได้ว่ามีโลกเราดวงเดียวเท่านั้นเพราะมันจะดูสิ้นเปลืองเกินไป พระผู้เป็นเจ้าแห่งการสร้างสรรค์จะโง่แบบนั้นหรือสร้างแต่โลกขึ้นมาดวงเดียว ไม่หรอกยังมีดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ อีกมากมาย  ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ได้เดินทางไปค้นหาศึกษาบ้างแล้ว ซึ่งดาวเคราะห์บางแห่งก็ได้ถูกพิสูจน์ว่ามีมนุษย์อาศัยอยู่ เพียงพวกเขาไม่สามารถเข้าไปได้ มีโลกแห่งการบำเพ็ญบางแห่งพวกเขาจะไม่มีร่างกายเหมือนเรา ดังนั้น เราขึ้นไปจึงหาคนไม่พบ แต่มิได้หมายความว่าพวกเขาไม่มีตัวตนจริง

 
     
1 2 3