เป็นเพราะว่าที่นั่นเป็นโลกแห่งการบำเพ็ญ ซึ่งดีกว่าโลกของเราหรือดาวเคราะห์บางดวง ที่เราพูดถึงคือดาวเคราะห์ที่มีลักษณะคล้ายกับโลกมนุษย์ของเรา จึงเรียกมันว่าโลกเรียกมันว่าดาวเคราะห์ทางวัตถุ ทั้งนี้ เป็นเพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างสร้างด้วยวัตถุซึ่งสามารถมองเห็นด้วยตาและจับต้องได้ สัมผัสได้ ส่วนภูมิภพหรือโลกแห่งการบำเพ็ญ เราอาจเรียกมันโลกแห่งการบำเพ็ญชั่วคราวก่อน เพราะฉันไม่ทราบจะเรียกชื่อมันอย่างไรดี (โลกวิญญาณ) ซึ่งอันดับชั้นหรือเป็นภูมิภพของพุทธะพระโพธิสัตว์ที่นั่นจะไม่มีร่างกาย เราจะต้องมีคลื่นหรือแรงสั่นสะเทือนเหมือนๆ กับพวกเขา จึงสัมผัสพวกเขาได้และมองเห็นพวกเขาได้ เนื่องด้วยแรงสั่นสะเทือนของเราหยาบเกินไป เราจึงมองไม่เห็นพวกเขา

 

 

เหมือนอย่างปัจจุบันเราไม่ต้องพูดถึงภูมิภพที่สูง เพียงแต่จิตวิญญาณของคนที่ตายไป ก็มีแต่บางคนเท่านั้นที่มองเห็น บางคนไม่สามารถมองเห็น เนื่องจากแรงสั่นสะเทือนของเรากับเขาไม่เหมือนกัน มิได้หมายความว่าพวกเขาไม่มีร่างกายอยู่ เพียงร่างกายมีลักษณะต่างกันเท่านั้น เปรียบเสมือนเต็นท์หลังหนึ่ง มันดูเหมือนบ้านหลังหนึ่ง แต่คุณภาพต่างกัน เราใช้มีดกรีดหรือใช้มือฉีกมันก็จะแตกออกมาเป็นชิ้นๆ ได้ ส่วนบ้านที่ทำด้วยไม้จะมีความคงทนถาวรกว่า คุณภาพดีกว่า สำหรับบ้านที่สร้างด้วยหินปูนก็ยิ่งมีความคงทนถาวรกว่าอีก

 

ปัจจุบันชาวฮ่องกงชอบสร้างบ้านด้วยกระจกซึ่งดุสวยงามและเบาบาง สุขสบาย เมื่ออยู่ข้างในมองออกมาข้างนอกจะรู้สึกสุขสบาย ในประเทศฮ่องกงถ้าหากสร้างสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดด้วยปูนซีเมนต์ ซึ่งสูงมากใหญ่มาก ก็เกรงว่าจะสร้างแรงกดดันให้ผู้คน ดังนั้นการสร้างบ้านสร้างตึกของฮ่องกงปัจจุบันดูจะทันสมัยขึ้น จนใกล้เคียงกับบ้านของประเทศที่พัฒนาแล้ว มีบ้านที่สร้างด้วยกระจกในโลกนี้ เมื่อดูแล้วเหมือนกับมีบ้านแต่ไม่ทำให้คนรู้สึกมีแรงกดดัน ซึ่งสามารถเดินไปผ่านมาอยู่เหนือกำแพงได้ เพราะว่ามันมีก็เหมือนไม่มี เป็นสิ่งที่นิ่มนวลมากและให้ความสุขสบายมาก ในรอบด้านไม่มีกำแพงที่กั้นสายตาคน ซึ่งสภาพแบบนี้จะดูกว้างและโล่งมาก มีบ้านก็ดูเหมือนไม่มีเหมือนบ้านหลังใหญ่ หรือตึกสูงที่สร้างด้วยกระจกในปัจจุบัน แบบนั้นจะมีสภาพใกล้เคียงกับโลกดวงอื่นที่เจริญแล้ว แต่มิได้หมายความว่าโลกดวงอื่นที่เจริญแล้วจะเป็นโลกแห่งการบำเพ็ญทั้งหมด ฉันมิได้บอกว่ามันเป็นดินแดนที่มีอันดับชั้นสูงสุด แต่สามารถบอกได้ว่าโลกเหล่านั้นเป็นแดนสวรรค์

เป็นเพราะว่าต้องมีคนแบบชาวสวรรค์จึงสามารถคิดสร้างบ้านแบบนั้นได้ และชอบอยู่บ้านแบบนั้นใกล้เคียงกับโลกที่เป็นระดับสูง สภาพเป็นเช่นนี้เท่านั้น จิตใต้สำนึกของพวกเขาจำได้ว่ามีสถานที่แห่งหนึ่งที่เมื่อคราวที่เขาเคยอยู่มีบ้านเป็นลักษณะแบบนี้ ยกตัวอย่างเช่น ดาวเคราะห์บางดวงที่ล้าหลัง พวกเขาไม่คิดที่จะสร้างบ้านแบบนี้ ไม่แม้กระทั่งคิด ยิ่งมิต้องพูดถึงจะสร้าง ควรจะต้องเป็นโลกที่มีระดับใกล้เคียงกับโลกที่เจริญแล้วจึงจะคิดสร้างบ้านแบบนี้ จากนั้นก็สามารถสร้างขึ้นเองและชอบบ้านอาศัยอยู่ในบ้านกระจกแบบนี้ แต่สิ่งที่ฉันได้พูดมาเป็นเรื่องแนวทฤษฎีตรรกศาสตร์เท่านั้น เป็นทฤษฎีทางตรรกศาสตร์แบบทั่วไปเท่านั้น แท้จริงคนบำเพ็ญอยู่ที่ไหนก็ได้ทั้งนั้น บ้านที่สร้างด้วยกระจกใสมิได้เป็นภูมิภพที่มีระดับสูงสุด บ้านมิใช่เรื่องที่สำคัญ หลังจากที่เราบำเพ็ญแล้วเราจะสร้างบ้านของตนเองขึ้น เราอยากได้บ้านในวินาทีเดียว มันก็ถูกเสกขึ้นมาทันทีตามที่เราชอบ ขึ้นอยู่กับความสามารถในการสร้างภาพจินตนาการของเรา และความสามารถในการสร้างบ้านของเรามีระดับไหน เธอก็สามารถสร้างได้ ยังไม่ทันได้ขึ้นไปบ้านของเธอก็สร้างเสร็จเรียบร้อยคอยเธออยู่แล้ว ขึ้นอยู่กับบุญกุศลของเธอว่ามีมากเพียงใด บ้านของเธอก็จะออกมาแบบนั้น

ในสมัยพุทธกาลตอนที่พระพุทธเจ้ายังมีพระชนม์ชีพอยู่  พระองค์มีลูกพี่ลูกน้องคนหนึ่งซึ่งเป็นนักบวช คนๆ นั้นบำเพ็ญไม่ค่อยดีชอบกินเที่ยวเล่นสนุกสนาน มักชอบหนีออกไปแอบดูภรรยาคนสวยของเขา ต่อมาพระพุทธเจ้าก็ไม่ทราบว่าจะจัดการกับคนๆ นี้อย่างไรสั่งสอนอบรมแล้วก็ไม่ฟัง มีครั้งหนึ่งเมื่อตอนที่พระรูปนี้นั่งสมาธิได้ขึ้นไปเห็นภูมิภพที่สวยงามมาก มีนางฟ้าเทวดามากมายมาต้นอรับท่านมีเสียงดนตรี่ไพเราะมาก และวิวทิวทัศน์งดงามมาก ประสาทราชวังที่ใหญ่โตมโหฬารและสว่างไสว โดยคณะนางฟ้าเทวดาได้นำท่านเข้าไปข้างใน จากนั้นจะมีนางฟ้าคอยมาเฝ้าปรนนิบัติท่านเต้นรำให้ท่านดู ร้องเพลงให้ท่านฟัง เอาสุราของสวรรค์ให้ดื่ม เอาอาหารที่ดีให้ท่านฉัน จากนั้นท่านได้ถามนางฟ้าว่า ไม่ทราบที่นี่ที่ไหนเป็นวังของใคร ทำไมจึงสวยแบบนี้ แล้วพวกเอเป็นลูกสาวบ้านไหน ทำไมจึงสวยเพียงนี้คำถามเขาคงคิดว่าคงเป็นคำถามทำนองนี้

นางฟ้าทั้งหลายได้ตอบท่านไปว่า "วังแห่งนี้เดิมทีจะมีไว้เพื่อให้ลูกพี่ลูกน้องของพระพุทธเจ้าอยู่ ท่านชื่ออะไรนะ?" นางฟ้าแกล้งทำเป็นไม่รู้จักชื่อ โดยกล่าวต่อว่า "ถ้าหากท่านบำเพ็ญดี หลังจากที่ท่านตายแล้วจะได้มาอยู่ที่นี่ พวกเราเป็นข้าทาสบริวารของท่าน" เมื่อท่านเห็นคนใช้พวกนี้สวยมาก สวยยิ่งกว่ามเหสีท่านอีกหลายร้อยหลายหมื่นเท่า มีความสุขมาก สุราที่นี่ก็มีรสชาติดีมากอาหารทุกอย่างอร่อยไปหมด ลุกท้อหรือสิ่งอื่นๆ ล้วนดีไปหมด ดีกว่าโลกมนุษย์มากทีเดียว ท่านได้บอกกล่าวว่า "ถ้าเป็นเช่นนี้ ข้าจะสามารถอยู่ที่นี่ต่อไปได้ตั้งแต่วันนี้เลยได้ไหม เป็นเพราะข้าก็คือลูกพี่ลูกน้องของพระพุทธเจ้าคนนั้น นี่ก็คือบ้านของข้าพวกเธอเป็นของข้าหมด ดีแล้วข้าจะอยู่ที่นี่แล้ว"

นางฟ้าทั้งหลายตอบว่า "ไม่ได้ๆ ท่านยังบำเพ็ญไม่ดีพอ รอจนกว่าท่านบำเพ็ญดีแล้ว และเมื่อเวลาอันกำหนดมาถึง ท่านจึงจะขึ้นมาได้ พวกเราจะรอท่านอยู่ที่นี่ วันนี้เพียงแต่เปิดโอกาสให้ท่านได้เห็นครั้งหนึ่งเท่านั้น เพื่อให้ทราบว่าต่อไปท่านจะต้องไปอยู่ที่ไหน" เปรียบเสมือนเวลาเราไปซื้อบ้านไว้หลังหนึ่งเพื่อพิจารณาว่าตรงตามที่เราต้องการหรือไม่ "เวลานี้ทราบแล้วถูกใจท่านอนาคตท่านก็ขึ้นมา พวกเราคอยท่านอยู่ที่นี่ ไม่นานหรอกอาจจะ 1 วัน 2 วันท่านก็จะขึ้นมาแล้วละ"

พระสงฆ์รูปนี้ได้กล่าวว่า "ทำไมถึงบอกว่า 1 วัน 2 วันเท่านั้นล่ะ? ไหนพวกเธอบอกว่าการบำเพ็ญอยู่ข้างล่างต้องใช้เวลาถึงหลายสิบปีอย่างไร"  พวกเขาบอกว่า "ถูกต้องเพราะทางนี้หลายวันโลกมนุษย์จะเป็นเวลาหลายปี" (อาจารย์หัวเราะ)  พระสงฆ์รูปนั้นรู้สึกผิดหวังมาก จากนั้นจึงได้ตกลงมาทันทีไม่สามารถอยู่ที่นั่นได้อีก เพราะการบำเพ็ญของท่านยังไม่มีความแข็งแกร่งพอ และเวลายังไม่มาถึงท่านรู้สึกเสียดายอย่างยิ่งๆ อาลัยอาวรณ์สถานแห่งนั้นมาก

จากนั้นพระพุทธเจ้าก็ได้ส่งเขาลงไปในนรกไปดูสภาพในนั้น เพิ่งจากสวรรค์ตกลงสู่นรก เขาเห็นผีที่น่ากลัวทั้งหลายอยู่ที่นั่นฟันยาวมาก จมูกใหญ่มากตาดำมากเส้นผมดูน่ากลัวมาก ใบหน้าของทั้งหลายแสดงให้เห็นถึงความน่าขยะแขยงและสยองขวัญ มันน่าหวาดกลัวจนไม่อาจที่จะพรรณาได้ พวกเธอไปดูละครที่มีการถ่ายทำภาพของนรกก็จะทราบ การลงโทษคนที่นั่นใช้มีด ใช้ใบเลื่อยตัดเนื้อคนจากนั้นเอาไปปิ้ง ซึ่งมีวิธีการลงโทษสารพัดสารพัดสารเพ ผีทั้งหลายร้องโวยวายอยู่ที่นั่น ร้อนน่ากลัวมาก มีหม้อใบใหญ่ใบหนึ่งข้างๆ มีน้ำมันที่ร้อนเดือดอยู่ จากนั้นผีได้นำเขามาอยู่ข้างหม้อพระสงฆ์รูปนี้ได้ถามว่า "นี่คืออะไร ข้างในไม่เห็นมีคนเลย"

ผีทั้งหลายได้บอกท่านว่า "หม้อนี้มีไว้สำหรับให้ลูกพี่ลูกน้องของพระพุทธเจ้า เขาชื่อนี้... ถ้าหากเขาบำเพ็ญไม่ดีพวกเราจะรอคอยเขาอยู่ที่นี่ เรยังจะใช้เครื่องมือทั้งหลายกับเขาด้วย ต้องตัดเนื้อต้องเลื่อยเขา สับเขา จากนั้นจึงนำมาต้มได้" พวกผีได้เล่าถึงวิธีการจัดการกับท่านอีกมากมาย โดยได้เล่าและพรรณาให้ท่านฟังว่าจะทำอย่างไรกับร่างกายท่าน ต้องตัดส่วนไหน จากนั้นตัดเสร็จแล้วจะเอาไว้ไหนและต้องตัดกี่ครั้ง พวกผีได้เอารายการอาหารเล่มใหญ่มาเล่าให้ท่านฟัง ซึ่งพระสงฆ์รูปนี้ยืนฟังจนตัวสั่นขนลุก เส้นผมลุกเป็นตั้ง โดยได้ตะโกนว่า "ข้าไม่เอา ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่ ข้าไม่ได้เป็นของที่นี่ ข้าเป็นคนของสวรรค์"  พวกผีได้ตอบว่า "การขึ้นสวรรค์ต้องได้มาซึ่งการบำเพ็ญส่วนนรกนั้นสามารถมาได้ทุกเวลา"  จากนั้นพระสงฆ์รูปนี้ร้องอุทานอย่างตกใจ พระพุทธเจ้าจึงนำท่านกลับมา

ฉะนั้นสวรรค์หรือนรกอยู่ในกำมือของเราๆ เป็นผู้ตัดสินใจเอง ดังนั้นไม่ควรโทษว่าใครไม่ดีกับเรา โทษว่าพระเจ้าไม่ช่วยเรา เพราะท่านคือตัวตนที่แจ้จริงของเรา ถ้าหากเราไม่ต้องการช่วยตนเองใครเล่าจะมาช่วยเรา ในรอบทิศไม่มีใครในจักรวาลนี้ทุกคนเป็นบุคคลที่สันโดษทั้งหมด เราต้องทราบว่าตัวเราดีหรือเลว และทราบสิ่งที่ตนเองต้องการ ทราบสิ่งที่ตนเองควรจะกระทำผู้อื่นไม่เกี่ยว เธอทำดีเธอได้ผลบุญที่ดี เธอทำชั่วเธอจะได้รับกรรมสนอง ซึ่งเป็นเรื่องที่ชัดเจนมาก เราเป็นเจ้าชีวิตของตนเองตัดสินอนาคตของตนเอง

ดังนั้น ถ้าหากในอดีตที่ผ่านมาแล้วเราทำผิดก็ไม่เป็นไร  เรายังสามารถเลือกอนาคตของเราเพื่อชดเชยความผิดของเราโดยการทำดี  วันนี้เราได้รับการประทับจิตอาจารย์จะช่วยล้างกรรมในทุกภพทุกชาติของเราให้หมดไปในทางที่ไร้รูป ซึ่งเปรียบเสมือนเราได้กดปุ่มไฟและล้างมันออกให้หมด ถ้าเรายังทำอีกก็จะต้องมีการบันทึกอีก ดังนั้นเพื่อป้องกันมิให้เกิดกรรมผูกพันในอนาคตเราต้องถือศีลอย่างเคร่งครัด  เรารับประทานมังสวิรัติเพื่อที่จะได้ไม่สร้างกรรมผูกพันกับสรรพสัตว์ ฉะนั้นการที่เราทำดีก็เพื่อให้ตนเองได้ดี การรักเห็นใจผู้ที่ตกทุกข์ลำบากก็คือการที่เรารักและเห็นใจตนเองสร้างกรรมที่ดีไว้  แต่แม้ว่าเราสร้างกรรมดีไดผลกรรมดีหรือได้รับผลกรรมเลว เราก็ไม่ควรยึดติดกับมันเราก็จะได้ไม่ต้องถูกมันตอบสนอง  ไม่ว่ากรรมที่ดีหรือไม่ดีก็ทำให้ต้องกลับมาอีก  ทางที่ดีควรจะไม่มีดี ไม่มีชั่วเราก็จะกลับไปสู่อาณาจักรของพระเจ้าได้

การได้เสมือนไม่ได้

พวกเธออยู่นี่สามารถนั่งสมาธิได้นานขนาดนี้และไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย ก็ควรจะทราบว่ามีพลังแห่งความสงบและพลังแห่งพระโพธิสัตว์ในอนาคตซ่อนอยู่ พลังของพระเจ้าไม่เหมือนกับกระแสไฟฟ้าช๊อตทำให้เรารู้สึกได้  โดยตื่นเต้นจนตะโกนออกมาว่า "มาเร็วๆ พรพลังมาแล้ว" (ท่านอาจารย์แสดงท่าทีของการที่เราถูกกระแสไฟฟ้าช๊อต)  ท่านสงบมาก เป็นเพราะว่าสิ่งนี้คือพลังของตัวเราที่แท้จริงแล้วเหตุใดเราจึงไม่คุ้นเคยเล่า ซึ่งเป็นสิ่งที่มีความสุขมากมีความเป็นธรรมชาติมากแม้กระทั่งตัวเรายังไม่รู้สึก  ตัวเราเองจะสัมผัสตัวเราเองได้อย่างไรซึ่งต้องไม่ได้แน่นอน  เราเคยชินกับตัวเราไปแล้วเมื่อมีคนแปลกหน้าเข้ามาเราจึงรู้สึกบรรยากาศเปลี่ยนไป

ดังนั้นการที่เรานั่งสมาธิแล้วเราจะได้รับผลประโยชน์มามาย  บางครั้งเราอาจจะไม่รู้ รู้สึกไม่มีอะไรแตกต่างเป็นเพราะพลังชนิดนี้เป็นธรรมชาติมากและอ่อนโยนมาก  ดังนั้นเราต้องมีสมาธิมากจึงจะทราบว่าเราได้อะไรมาดังที่คัมภีร์พระสูตรได้กล่าวไว้ว่าไม่มีอะไรจะได้มา  มีสภาพเป็นเช่นนี้จริงๆ มิได้หมายความว่าไม่มีความขัดแย้งกัน  คัมภีร์กับทฤษฎีจะไม่ขัดแย้งกันแน่นอนเพียงแต่ใช้ในการบอกกล่าวที่ต่างกันเท่านั้น  จะบอกได้มาก็ใช่ จะบอกว่าไม่ได้มาก็ใช่  เป็นสิ่งที่เราเรียกว่า"ได้" ไม่ใช่ที่เราสามารถนับออกมาได้หรือแสดงออกมาให้ผู้คนเห็นได้  ดังนั้นจึงเรียกว่าได้แต่เสมือนไม่ได้

ซึ่งพลังสิ่งนี้ก็มิได้สะเทือนตัวเราเหมือนกับถูกฟ้าช็อตและตกใจเช่นนั้น  บางครั้งอาจจะเป็นไปได้ถ้าหากอุปสรรคของเรามีมาก  มีกลิ่นไอของมารซ่อนอยู่ค่อนข้างรุนแรง  พระโพธิสัตว์จะมาให้พรเราทำให้เราถูกสะเทือนเพื่อที่จะไล่พลังทางลบออกไป  ดังนั้นเราจึงรู้สึกสะเทือนบ้างเพราะเป็นสิ่งที่เราไม่คุ้นเคย  พลังของพุทธะพระโพธิสัตว์จะไม่คุ้นเคยกับพลังของมารเพราะมารเป็นพลังภายนอก จิตภายนอก  ดังนั้นพลังของตัวเราเองจะรู้สึกไม่คุ้นเคยจึงทำให้รู้สึกถูกสะเทือน  เหมือนกับได้ไปทำศึกสงครามมาแล้วครั้งหนึ่ง  ถ้าหากตัวตนที่แท้จริงของเราไม่มีอุปสรรคมากไม่มีพลังภายนอก จิตภายนอก ไม่มีบรรยากาศภายนอกเราก็จะรู้สึกสบายเมื่อได้รัพลังนี้รู้สึกไม่มีอะไร  เพียงแต่สงบมากเท่านั้นเกือบจะแยกไม่ออกด้วยซ้ำ  แต่เราก็ต้องแยกออกแน่นอน เช่น เห็นแสง ได้ยินเสียง

บางครั้งพอเราได้ยินเสียง เราก็จะรอคอยสิ่งที่มหัศจรรย์ปรากฏยกตัวอย่างเช่น เวลาประทับจิตได้บอกเธอว่าสามารถได้ยินเสียงฟ้าร้อง  เธอก็จะต้องรอคอยฟังเสียงฟ้าร้องตลอดเวลาที่เธอนั่งอยู่ในระหว่างที่ประทับจิตอยู่  คิดสงสัยว่าทำไมจึงไม่ได้ยินเสียงฟ้าร้องเมื่อเธอได้ยินเสียงอย่างอื่นเหมือนกัน  เสียงฟ้าจะไม่เหมือนเสียงฟ้าร้องทางปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ทำให้เราสะเทือนกัน  เพียงแต่จะเหมือนเสียงฟ้าร้องมาก ฮอง...ฮอง...เช่นนี้เท่านั้น  ซึ่งจะดังมากแต่ก็ไม่เหมือนและไม่สามารถนำสิ่งของอื่นทางโลกมาเปรียบเทีบ  ดังนั้นพวกเธอจึงคิดว่าน่าแปลกจริงที่เขาบอกเราว่าเป็นเสียงฟ้าร้อง  แล้วเสียงที่เราได้ยินจะเป็นเสียงฟ้าร้องหรือไม่?  จากนั้นก็คิดสงสัยไปเรื่อยเปื่อยไม่มีสมาธิ เสียงฟ้าร้องก็หายไปด้วย (อาจารย์และผู้คนหัวเราะ)

เหมือนเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา เพื่อนประทับจิตบอกว่าไม่ได้ยินอะไรเลย  ได้ยินแต่ ออง...เท่านั้น แล้วนี่มิใช่หรือ? อันนี้ก็ใช่ เพียงแต่บางครั้งพวกเธอคาดหวังมากเกินไป  เราค่อยเป็นค่อยไปเพิ่งวันแรกเท่านั้น  ต่อไปยังมีสิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้นอีกเยอะ  พวกเธอบำเพ็ญให้มาก ประหยัดพลังให้ตนเองจะมิสิ่งมหัศจรรย์ทั้งหลายเกิดขึ้นอีกมากมาย  จากนั้นพวกเธอจะเข้าสู่สภาวะดังที่คัมภีร์ผู่เหมินผิงของท่านกวนอิมโพธิสัตว์ได้กล่าวไว้ว่า ไฟไม่สามารถไหม้ได้ ดาบไม่สามารถแทงได้นั้นมีความที่แท้จริงอย่างไร?  ทุกวันนี้พวกเธอได้ท่องทุกวันว่าไฟไม่สามารถไหม้ได้ ดาบไม่สามารถแทงได้ แต่เมื่อเธอเข้าใกล้ไฟเมื่อนั้นเธอก็ถูกไหม้ตาย  เมื่อเอาดาบมาแทงเธอก็ถูกแทงตาย  เราไม่ทราบอันดับชั้นดังที่กล่าวมาซึ่งแท้จริงคือสัญลักษณ์ที่แสดงถึงอันดับชั้นใดอันดับชั้นหนึ่งที่ไม่สามารถใช้ภาษามนุษย์อธิบายได้  เนื่องจากคนบำเพ็ญสมัยโบราณได้บำเพ็ญเข้าถึงอันดับชั้นแบบนั้นและได้บันทึกไว้

เวลานี้เราได้แต่ท่องตามคัมภีร์ผู่เหมินผิงว่าไฟไม่สามารถไหม้ได้ ดาบไม่อาจแทงได้ซึ่งไม่เป็นความจริงเลย  เพราะว่าสิ่งดังกล่าวมิได้เป็นประสบการณ์ของตนเอง  เราจึงท่องแบบนี้ไม่ได้ท่องก็ไม่ได้ประโยชน์เพราะเป็นประสบการณ์ของผู้อื่น  เปรียบเสมือนเวลาเขารับประทานขนมเขาได้ชมว่าขนมชิ้นนี้หวานมาก อร่อยมากน่ารับประทานมาก  แล้วเราก็ได้ทำตามเขาโดยบอกว่าขนมชิ้นนี้หวานมาก อร่อยมากน่ารับประทานมาก ซึ่งดูจะเป็นเรื่องที่ตลกใช่ไหม?  คนอื่นเขาประทานเขาก็ทราบรสชาดและได้ทำการบันทึกไว้เพื่อทำการบรรยาย  ส่วนเราไม่ได้รับประทานไม่ทราบสภาพที่แท้จริงแล้วเราจะบรรยายได้อย่าไร? ท่องประสบการณ์ของผู้อื่นจะได้ประโยชน์อะไร?  ฉะนั้นการท่องสวดตามคัมภีร์มิได้ประโยชน์

ปัจจุบันพวกเธอท่องคัมภีร์ผู่เหมินผิงได้ประโยชน์เพราะว่าเธอเข้าใจความหมายที่แท้จริงของเนื้อหาข้างใน  ซึ่งในนั้นมีการบันทึกไว้ว่าได้เห็นท่านกวนอิมโพธิสัตว์ได้เห็นอันดับชั้นเบื้องบน  ในคัมภีร์มีตอนหนึ่งที่ชื่อว่าอานิสงส์ของกวนอิมโพธิสัตว์ซึ่งด้านบน  ในคัมภีร์มีตอนหนึ่งที่ชื่อว่าอานิสงส์ของกวนอิมโพธิสัตว์ซึ่งด้านบนได้บันทึกเกี่ยวกับประสบการณ์เสียง เป็นต้นว่าได้ยินเสียงพรหม เสียงคลื่นทะเล ซึ่งเป็นเสียงที่มีความไพเราะมากกว่าเสียงทางโลก เสียงวิเศษ เสียงกวนอิม  ด้านบนจะมีบันทึกเกี่ยวกับแสงส่วนด้านล่างจะบันทึกเกี่ยวกับเสียง  ซึ่งได้บันทึกไว้อย่างชัดเจนและสมบูรณ์แต่ว่าอนุชนรุ่นหลังได้แต่ท่องตามตัวอักษรเท่านั้น โดยที่ไม่เข้าใจสาเหตุที่แท้จริง

ยกตัวอย่างเช่น เพื่อนบำเพ็ญผู้หนึ่งที่เมื่อสักครู่ได้เล่าประสบการณ์ว่าเห็นนิรมาณกายอาจารย์เมื่อคืน  และเขาฝันเห็นอาจารย์ทั้งคืน เมื่อตอนเช้าตื่นขึ้นมาก็คิดจะวิ่งมาหาอาจารย์  เมื่อตอนที่เขารับการประทับจิต เขาก็ได้เห็นนิรมาณกายอาจารย์ซึ่งเป็นนิรมาณกายที่ดูสว่างไสวมาก  และดูเหมือนกายเนื้อของอาจารย์มากเพียงแต่จะสวยกว่านิดหน่อย เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็ดูสวยกว่า (ผู้คนปรบมือ)  ก่อนที่อาจารย์จะมาปรากฏให้เห็นเขาก็ได้ดูรูปของอาจารย์ เขาได้บอกกับตนเองว่าเหมือนเคยเห็นอาจารย์มาก่อน  แต่อาจารย์ก็ไม่สวมใส่เสื้อผ้าแบบนั้น  เขาได้บอกว่าเคยเห็นอาจารย์ใส่เสื้อผ้าสีแดงพออาจารย์เข้ามาอีกก็ได้สวมใส่สีเหลือ  เขารู้สึกว่ามันไม่ใช่   ในที่สุดวันนี้เขาก็ได้เห็นอาจารย์ใส่ชุดนี้จริงๆ เขาจึงจำได้  ซึ่งชุดนี้เขาเคยเห็นมาก่อน  ฉันมีเสื้อผ้ามากมายหลายแบบ  มีเสื้อผ้าที่ทำให้ผู้อื่นตกตะลึงได้  และให้รสนิยมที่แตกต่างกันกับผู้ที่เข้าสัมผัส 

ทั้งนี้เป็นเพราะพวกเขาแต่ละคนในบางครั้งได้เห็นนิรมาณกายอาจารย์ที่มีลักษณะต่างกัน  เสื้อผ้าไม่มีความสำคัญเพียงบางครั้งต้องใส่ออกมาเพื่อให้เขาจำอาจารย์ได้  เพราะมีบางคนบางครั้งยังไม่เคยพบตัวจริงของอาจารย์แต่ได้เห็นนิรมาณกายอาจารย์จากภายในแล้ว  ถ้าหากครั้งที่เขาเข้าพบอาจารย์แล้วอาจารย์ไม่ใส่เสื้อผ้าชุดที่เขาเคยเห็นในนิรมาณกาย  พวกเขาจะไม่รู้และจำไม่ได้พวกเขาจะไม่สามารถสื่อกับอาจารย์ได้  เพราะลืมบุญสัมพันธ์ในอดีตชาติไปแล้ว  เมื่อเขาได้เห็นเสื้อผ้าที่อาจารย์ใส่ความทรงจำของพวกเขาถูกเรียกคืนกลับมาอีก   พวกเขาจะมาบำเพ็ญได้เร็วและมีความมั่นคง  ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นเหมือนๆ กับที่เกิดขึ้นกับเพื่อนบำเพ็ญผุ้ที่กล่าวมายังมีอีกมาก  เรายกตัวอย่างคนเดียวก็พอเพราะอยู่ที่นี่เราไม่มีเวลามากพอที่จะนั่งฟัง

ถ้าหากเรามิได้เห็นแสงแต่เรานั่งสมาธิรู้สึกมีความสุขมาก  สงบมากเสมือนได้เข้าฌานไปแล้วนั่นเป็นประสบการณ์ที่ดีเหมือนกัน  ทุกๆ วันเราได้พัฒนาความรักความเมตตาของเราและพัฒนาความฉลาด ความมีสติปัญญาของเรา  ชีวิตของเรามีความราบรื่นยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ไป  จนตนเองรู้สึกมีที่พึ่งและมีกำลังใจ มีความปลอดภัย นั่นก็เป็นประสบการณ์ที่ดีเหมือนกันซึ่งเป็นผลแห่งการบำเพ็ญของเราที่ได้มา  การบำเพ็ญมิใช่เพื่อเพียงแต่ต้องการเห็นแสงเท่านั้น  การที่เราเพ่งแสงเพื่อที่ให้ตนเองทราบว่าเราบำเพ็ญ  เราได้รับการสื่อสารจากภายในทำให้จิตใจเราสงบและมีกำลังใจ  ถ้าหากไม่เห็นแสงแต่จิตสงบและรู้สึกปลอดภัย  รู้สึกว่ามีสถานที่ๆ หนึ่งที่เราสามารถกลับไปได้ก็เป็นประสบการณ์ที่ดีเช่นกัน  ไม่จำเป็นต้องมาเปรียบเทียบกับผู้อื่น  ดังนั้นอาจารย์จึงได้บอกว่าประสบการณ์ห้ามบอกเล่าสู่กันฟัง  เพื่อนบำเพ็ญด้วยกันก็ไม่ควรเล่านอกจากอาจารย์อนุญาตเป็นกรณีพิเศษเท่านั้น

 
     
1 2 3