เหตุใดจึงต้องนั่งสมาธิ?

 

ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ ณ ฮ่องกง

20 กุมภาพันธ์ 2535 (ต้นฉบับเป็นภาษาจีน)

 

 

ในโลกของเราทางนี้มีภัยสงคราม ทางนั้นประสบปัญหาอุทกภัย อีกด้านหนึ่งมีทุพภิขภัย และอีกฝ่ายหนึ่งมีผู้ลี้ภัย ทั้งนี้เป็นเพราะว่าพวกเรามิได้กระทำสิ่งต่างๆ ด้วยสติปัญญา แต่กระทำด้วยอัตตาและสมอง กระทำด้วยความทนงตนอันเป็นความเคยชินของเรา คิดว่าสิ่งนี้กับสิ่งนั้นเหมือนกันไม่มีความแตกต่าง แท้จริงมันมีความแตกต่าง บางครั้งแม้กระทั่งเสื้อผ้ากับเสื้อผ้ายังมีความแตกต่างกันภายในตัว ใส่เสื้อผ้าชิ้นนี้กับผ้าอีกชิ้นหนึ่งไม่เหมือนกัน และผลที่มีต่อร่างกายก็ต่างกัน ความเย็นที่มาจากเครื่องปรับอากาศกับความเย็นของอากาศที่เป็นโดยธรรมชาติก็ต่างกัน มิใช่อยู่ในระดับความเย็นเดียวกันก็ถือว่าเหมือนกัน จะเหมือนกันได้อย่างไร

สิ่งต่างๆ ล้วนแต่มีความแตกต่างกัน สมมติว่าเราได้ขึ้นไปบนภูเขาสูงซึ่งมีอากาศหนาวเย็น แม้กระทั่งหิมะตกแต่เราจะไม่มีความรู้สึกเหนื่อย เป็นเพราะว่าอากาศเป็นธรรมชาติ แม้ว่าจะหนาวมากแต่เราได้สูดออกซิเจนในอากาศเข้าไป ทำให้ร่างกายของเราผลิตไอร้อนออกมาการปรับสภาพของร่างกายอยู่ในขั้นที่ดี

 

แต่หากเราไปอยู่ในที่ที่ใช้เครื่องปรับอากาศ อากาศจะขาดการถ่ายเทที่ดี แม้จะเย็นมาก แต่ก็ทำให้เรารู้สึกเหนื่อยมากและไม่ดีสำหรับร่างกาย เวลาออกจากห้องปรับอากาศออกไปข้างนอกร่างกายจะปรับสภาพไม่ทัน จากนั้นเวลานอนตื่นหน้าตาเราจะดูซีดเซียว  ถ้าหากเราอยู่ที่บ้านหรือสถานที่ทำงานที่เป็นห้องปรับอากาศเป็นเวลานานใบหน้าของเราจะดูเขียวคล้ำไป หากเราไปอยู่บนภูเขาที่มีอากาศหนาวเย็นแม้อากาศจะหนาวมากใบหน้าของเราก็ยังแดงเป็นสีชมพู

แม้ว่าเราจะต้องพัฒนาตนให้มีความอิสระ แต่ก็ควรเข้าใจว่าสิ่งใดควรจะกระทำและได้ผลดีกว่า มิใช่เพราะเรามีความเป็นอิสระจากนั้นเราจะทำสิ่งใดก็ได้ เป็นต้นว่า เรากระทำสิ่งต่างๆ ควรใช้สมอง ความคิด ใช้สติปัญญา เมื่อเรามีพร้อมแล้ว ก็ควรใช้ให้เป็นประโยชน์ มิใช่ทำแบบหลับหูหลับตา จะทำสิ่งใดก็ทำตามใจชอบ ซื้อของดีมีคุณภาพกับการซื้อของไม่ดีด้อยคุณภาพ เราต้องใช้เวลาในการซื้อเหมือนๆ กัน อาจต้องเสียเงินเท่าๆ กันหรือเสียเงินมากกว่า เพราะฉะนั้นไม่ว่าเราจะทำอะไร ขอให้ใช้สมอง ใช้สติปัญญา จากนั้นเราจะประหยัดเวลา ประหยัดพลัง และเป็นผลดีต่อตนเองและผู้อื่น ฉะนั้นการบำเพ็ญจะมีลักษณะเป็นเช่นนี้ดังที่กล่าวมา มิได้เป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลแต่อย่างใด

รวบรวมพลังลมปราณเอาไว้

บางครั้งเราใช้กล้องขยายเพื่อรวมแสงอาทิตย์ จากนั้นภายใต้ของมันจะมีไฟ เนื่องจากเราได้มีการรวมแสงอาทิตย์ มิฉะนั้นแม้จะมีแสงอาทิตย์มากมายเราก็ไม่สามารถนำมันมาใช้ประโยชน์ได้ เช่นเดียวกัน พลังของเราถูกเราถูกกระจัดกระจายไปทั่วร่างกาย และกระจายไปข้างนอกด้วย ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราสนใจมัน เราก็ต้องกระจายพลังให้มัน กระจายลมปราณให้มัน ดังนั้น ถ้าหากเรารวบรวมสมาธิไว้กับจุดใดจุดหนึ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างจะสามารถแก้ไขได้หมด สามารถใช้ไฟเผาอุปสรรคต่างๆ ทิ้งให้หมดไป ซึ่งเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลมาก มิใช่ความลับอะไร

การบำเพ็ญไม่ควรงมงาย ควรทำความเข้าใจว่าเราทำไมถึงบำเพ็ญวิถีนี้ ทำไมเราจึงต้องรวบรวมสมาธิไว้ตรงนี้ (ท่านอาจารย์ชี้ที่ตาปัญญา) เวลาพวกเธอคิดอะไรบางอย่างก็จะใช้ที่นี่ใช่ไหม? การที่เราขมวดคิ้วก็เพราะว่าเราต้องการรวบรวมสมาธิ ธรรมชาติมันสร้างมาเป็นแบบนี้ ดังนั้น เราควรทราบดีว่าเราต้องรวบรวมสมาธิไว้ตรงนี้ พลังจึงจะไม่ถูกกระจายออกไป ไม่ถูกสิ้นเปลืองกับเรื่องภายนอก เราเอามันรวมอยู่ ณ ที่นี้ พลังจะมีมากใช่ไหม?  จากนั้นเราฝ่าฟันอุปสรรคอะไรก็จะเร็วใช่ไหม ยกตัวอย่างเช่น บางครั้งพวกเธอใช้มือข้างเดียวสามารถเปิดประตูบานหนึ่งได้เท่านั้น ถ้าหากเราเอามือ 2 ข้างมารวมเข้าด้วยกัน ก็จะสามารถพังประตูเข้าไปได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลและง่ายมากไม่มีอะไรลึกลับ เป็นเรื่องที่สอดคล้องกับทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ เพราะฉะนั้นไม่ต้องสงสัย 

บางทีพวกเธออาจคัดค้านอาจารย์ว่า ทำไมมองสิ่งภายนอกแล้วจะทำให้เราถูกกระจายพลัง มันถูกกระจายพลังจริงๆ บุคคลที่สอนวิธีกล่อมคนให้นอนหลับ เขาทำอย่างไรจึงจะให้คนนอนหลับ พวกเธอทราบไหม? เป็นเพราะเขาได้ส่งพลังของเขาออกไปควบคุมคนๆ นั้น ดังนั้น พวกเธอจะบอกว่าเขามิได้ใช้พลังของตนเองอย่างไร มีแน่นอน มีบางคนฝึกสมาธิรวบรวมความคิดของตนเอง จากนั้นจะเรียกให้มันลงมาก็ได้ มีบางคนสามารถใช้ความคิดของตนเองไปฆ่าคนทั้งๆ ที่เขาทั้งสองอยู่ห่างไกลกันมาก เรื่องแบบนี้ปัจจุบันยังมีเกิดขึ้น ที่ทิเบต ในประเทศจีนก็อาจจะมี สมาธิของเราเป็นสิ่งที่ร้ายกาจมาก จงอย่าบอกว่าเราแยกสมาธิไปดูหรือทำเรื่องนั้นเรื่องนี้ แล้วจะไม่สิ้นเปลืองพลังงานของเราไป มันสิ้นเปลืองพลังไปแน่นอน และสิ้นเปลืองสติปัญญา

ยกตัวอย่างเช่น ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราสนใจมัน คิดถึงมัน จากนั้นเราจึงจะทำให้มันสวยงามได้ ซึ่งเป็นแบบนี้แทบทุกอย่าง แม้กระทั่งเธอเล่นดนตรีหรือซักเสื้อผ้า เวลาซักเสื้อผ้า เราต้องสังเกตว่าจุดไหนดำ เราต้องจ้องมองมัน มองดูแล้วเราจึงจะทราบว่าจะจัดการกับมันอย่างไร เราจึงจะทราบว่าต้องใช้แรงขยี้มันเพื่อทำให้มันสะอาด การเป็นจิตรกรคนหนึ่งก็เหมือนกัน เขาจะต้องมีสมาธิมากจึงวาดภาพออกมาได้สวย หรือบางครั้งพวกเธอมองคนบางคน สมมติว่าเธอมองผู้หญิงหรือผู้ชายคนหนึ่งที่เธอชอบ พวกเธอคิดว่าจะไม่สิ้นเปลืองพลังของตนเองหรือ สิ้นเปลืองแน่นอน เธอจ้องมองเขาเรื่อยๆ ทำให้เขามีความรู้สึกที่แตกต่างไป อีกไม่นานเขาอาจจะหลงเธอก็ได้ ทั้งนี้เป็นเพราะเธอใช้พลังของเธอดูดเขาเข้ามาหาเธอ ซึ่งเราไม่อาจพูดได้ว่าการกระทำแบบนี้จะไม่ทำให้เราสูญเสียพลัง 

ดังนั้น เราควรจะนำพลังที่กระจัดกระจายออกไปเหล่านั้นมารวบรวมเอาไว้ ยิ่งประหยัดพลังเท่าใดยิ่งดีเท่านั้นเหมือนกับเงินทองของเรา ถ้าเราใช้มันทางนี้หน่อย ใช้มันทางนั้นหน่อย สิ่งที่ไม่ควรจะจ่ายไปมีเงินเท่าไหร่ก็ไม่พอจ่าย ถ้าหากเราใช้ในสิ่งที่จำเป็นเท่านั้น อันที่ควรประหยัดเราก็ประหยัดไว้ถ้าหากทำเช่นนี้เมื่อเราหามาได้ 1 บาท เงินก็จะเพิ่มขึ้น 1 บาท จากนั้น เรายิ่งประหยัดยิ่งมีเงินสะสมมาก การดำรงชีวิตของเราก็ยิ่งมีความราบรื่นและไม่ต้องทำงานหนัก จากนั้นเราเอาเงินที่สะสมไว้มารวมกัน เราก็สามารถซื้ออะไรก็ได้ เวลาไม่มีเงิน แม้กระทั่งของที่ไม่ดีเราก็ยังซื้อไม่ได้ เพราะฉะนั้น เราต้องประหยัดการใช้เงินก่อน จากนั้นเราจะซื้ออะไรก็ได้

ทำนองเดียวกัน ทุกวันเราเอาพลังของเรากระจายออกไปกับเรื่องทางโลก เมื่อถึงเวลานั่งสมาธิเราใช้โอกาสนี้ออกไปกับเรื่องทางโลก เมื่อถึงเวลานั่งสมาธิเราใช้โอกาสนี้เอามันกลับมา เมื่อใดที่เราสามารถประหยัดเวลาได้เท่าไหร่ เราก็ควรประหยัดเท่านั้น ซึ่งจะเป็นการดีกว่า ถ้าหากเราไม่ทำเลย เวลาของเรามี 24 ชั่วโมง ประหยัดเวลาเพียง 2 ชั่วโมงครึ่งเท่านั้น ใช้เวลา 1/10 เพื่อประจุพลังของเราคืนและรวมสมาธิเอาไว้ จากนั้นเราจึงจะนำมันไปใช้ได้ทั้งวันเสมือนตอนที่เรามีเงิน แต่ก็ต้องมีเวลาไว้สำหรับหาเงิน เราทำงานวันละ 8 ชั่วโมงเพื่อการกินการอยู่ใน 24 ชั่วโมงของตนเอง

แม้ว่าเราจะต้องพัฒนาตนให้มีความอิสระ แต่ก็ควรเข้าใจว่าสิ่งใดควรจะกระทำและได้ผลดีกว่า มิใช่เพราะเรามีความเป็นอิสระจากนั้นเราจะทำสิ่งใดก็ได้ เป็นต้นว่า เรากระทำสิ่งต่างๆ ควรใช้สมอง ความคิด ใช้สติปัญญา เมื่อเรามีพร้อมแล้วก็ควรใช้ให้เป็นประโยชน์ มิใช่ทำแบบหลับหูหลับตา จะทำสิ่งใดก็ทำตามใจชอบ ซื้อของดีมีคุณภาพกับการซื้อของไม่ดีด้อยคุณภาพ เราต้องใช้เวลาในการซื้อเหมือนๆ กัน อาจต้องเสียเงินเท่าๆ กัน หรือเสียเงินมากกว่า เพราะฉะนั้นไม่ว่าเราจะทำอะไร ขอให้ใช้สมอง ใช้สติปัญญา จากนั้นเราจะประหยัดเวลา ประหยัดพลัง และเป็นผลดีต่อตนเองและผู้อื่น ฉะนั้นการบำเพ็ญจะมีลักษณะเป็นเช่นนี้ดังที่กล่าวมา มิได้เป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลแต่อย่างใด

เวลานี้เราเพียงแต่ประหยัดเวลา 2 ชั่วโมงครึ่งเพื่อนั่งสมาธิ และเพื่อนำไปปฏิบัติการได้ 24 ชั่วโมง ฉันไม่คิดว่าจะเป็นการไม่สมเหตุสมผลฉันคิดว่าเวลาน้อยเกินไปด้วยซ้ำ ดังนั้น มิได้หมายความว่าเวลาประทับจิตเสร็จทุกอย่างก็จบลง หลังจากที่เรากลับแล้วเรายังต้องบำเพ็ญต่อไป

 
     
1 2 3