ถ: ข้าพเจ้าใคร่จะถามต่อคำถามที่ท่านประธานได้ถามไปเมื่อสักครู่นี้ก็คือว่า ท่านอนุตราจารย์เน้นเสมอว่า ท่านไม่รับของบริจาค แต่ท่านได้กระทำงานกุศลมากมายตามสถานที่ต่าง ๆ ทั่วโลก ซึ่งดูเหมือนว่าจำนวนเงินที่ท่านใช้จ่ายออกไปมิใช่ตัวเลขที่น้อย ๆ เมื่อสักครู่ท่านกล่าวว่า ท่านถักหมวก ออกแบบเสื้อผ้า ซึ่งสิ่งของเหล่านี้ได้จำหน่ายให้แก่ลูกศิษย์เท่านั้น หรือว่าจำหน่ายให้แก่ผู้คนทั่วไป? รายได้จากการจำหน่ายนี้เพียงพอหรือไม่ที่จะนำไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่มีจำนวนมาก หรือปัญหาอุทกภัยที่สหรัฐอเมริกา หรือภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นในเอเชียอาคเนย์ ท่านสามารถอธิบายได้ไหมเกี่ยวกับความเป็นมาของเงินทองเหล่านี้ ขอให้ท่านช่วยอธิบายให้พวกเราเข้าใจอีกสักเล็กน้อย
ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่:
ฉันไม่รับของถวายใด ๆ อย่างไรก็ตาม
หากเกิดภัยพิบัติและสานุศิษย์ของเราประสงค์จะส่งของบริจาคหรือของบรรเทาทุกข์ให้กับเหยื่อภัยพิบัติ
เมื่อนั้นพวกเขาสามารถนำของของเขามารวมกับของเราเป็นห่อหรือเป็นปริมาณใหญ่ ๆ
ได้ ด้วยวิธีนี้ เราทุกคน รวมทั้งสานุศิษย์ก็ได้บริจาคร่วมกัน ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่: เราติดตามการบำเพ็ญทางจิตวิญญาณในความเงียบสงบเพื่อที่จะช่วยตนเอง เราชื่นบานขึ้น และนิสัยเก่าและความคิดเก่า ๆ ของเราค่อย ๆ จางไป นั่นคือสาเหตุที่พระศากยมุนีพุทธเจ้าต้องบำเพ็ญเป็นเวลานานก่อนที่พระองค์จะบรรลุพุทธภูมิ พระองค์มิได้บรรลุในวันเดียว สิ่งต่าง ๆ จะเลวร้ายลงหากผู้คนไม่บำเพ็ญ ตามการสังเกตการณ์มานับสิบปี เพื่อนบำเพ็ญของเราพัฒนาเป็นอย่างยิ่งหลังจากบำเพ็ญทางจิตวิญญาณ นี่เยี่ยมยอดยิ่งนัก! ท่านอาจสังเกตว่า มิใช่เพียงพวกเราที่ได้รับประโยชน์ เรายังบริการสังคมด้วย แน่นอน
เราไม่สามารถพิสูจน์ความก้าวหน้าภายในของเราได้
บางทีหลังจากสังเกตการณ์เป็นเวลานาน
เราสามารถกล่าวได้ว่าใครคนหนึ่งซึ่งมักจะดุด่า ทะเลาะเบาะแว้ง
หรือกระทั่งทำร้ายผู้อื่น กลายเป็นมีความเมตตากรุณามากขึ้น
และกล่าวได้ว่าเป็นเพราะพัฒนาด้วยการบำเพ็ญทางจิตวิญญาณ
แต่เราไม่สามารถกล่าวเช่นนั้นได้โดยง่ายนัก อย่างไรก็ตาม
เรามีประโยชน์ต่อสังคมด้วย ดูอย่างคำถามสุดท้ายของท่าน เป็นต้น
เกี่ยวกับว่าเราสามารถรวบรวมคนได้เป็นจำนวนมากอย่างรวดเร็วเพื่อช่วยหลือผู้อื่น
นี่เป็นเพราะธรรมชาติแห่งความเป็นพระเจ้าของเราได้ปลุกตื่นขึ้นแล้ว
เรากลายเป็นมีความรักมากขึ้น และทราบอย่างชัดแจ้งว่าควรทำอะไร
เราเห็นความเดือดร้อนของผู้อื่นเป็นเสมือนของเราเอง
และเราไม่ลังเลที่จะช่วยเหลือสังคม เราทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม |
||||||||||||||
บางครั้งเมื่อเพื่อนประทับจิตของเราประสบกับความยากลำบากหรือประสบกับความทุกข์ยากเป็นอย่างยิ่งในระหว่างที่ทำงานอยู่ต่างประเทศ พวกเขาก็จะทำสมาธิด้วยกัน เมื่อนั้นพวกเขาก็จะมีขวัญกำลังใจที่ดีขึ้นและมีความสุข บางครั้ง เมื่อพวกเขายังไม่ค่อยก้าวหน้าในการบำเพ็ญทางจิตวิญญาณนัก พวกเขาอาจจะประสบความยากลำบาก เมื่อนั้น ก็จะมีประโยชน์ที่จะพูดคุยกับคนอื่น ๆ และให้ความช่วยเหลือกันและกันแน่นอน ท่านย่อมประสบกับความยากลำบากในงานทุกประเภทที่ท่านทำ พวกเขามิใช่ผู้ผูกขาดของกลุ่มศาสนา หรือกลุ่มเหมือนเราที่แบ่งปันสัจธรรม ตัวอย่างเช่น
พวกท่านซึ่งเป็นศาสตราจารย์ บางครั้งก็ประสบกับนักศึกษาซึ่งสอนยาก
บางครั้งท่านก็งานยุ่งจนมีผลต่อสุขภาพ ท่านอาจต้องสละเวลานอนตอนกลางคืน
แล้วยังคงต้องดูแลครอบครัวของท่าน ในขณะที่ประสบกับความยากลำบากในการศึกษา
ท่านอาจต้องดูแลครอบครัวของท่าน และบางทีต้องทำหน้าที่อื่น ๆ อีก
การเป็นผู้ปกครองก็มีด้านที่ยากเย็น
การเป็นศาสตราจารย์ก็มิใช่การงานที่ไร้ซึ่งความยากลำบาก แน่นอน
เราผู้บำเพ็ญทางจิตวิญญาณควรช่วยเหลือผู้อื่นและในหนทางการบำเพ็ญของเรา
เราจะประสบกับอุปสรรคและความเข้าใจต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม เรายอมรับความจริงว่า
สังคมก็เป็นเช่นนี้
เราจะทำงานของเราโดยไม่คาดหวังคำเยินยอหรือการยอมรับจากผู้อื่น
ดังนั้นเราจึงไม่ผิดหวัง ฉันมิได้โทรไปหาเขาหรือผู้บำเพ็ญผู้มีหน้าที่ติดต่อทุก ๆ วัน
ถามเพื่อนบำเพ็ญและผู้ติดต่อของเราและดูว่า
พวกเขาเคยได้รับโทรศัพท์จากฉันเท่าไร ไม่มี นอกจากเมื่อมีภัยพิบัติหรือเมื่อมีงานจะทำแล้วฉันก็จะขอให้เขาขอความช่วยเหลือจากเพื่อนประทับจิตในทันใด
หากพวกเขามีเงินไม่พอ เราก็จะบริจาคอะไรก็ตามที่เราให้ได้จากศูนย์ใหญ่
เฉพาะเมื่อนั้นฉันจึงจะโทรศัพท์ไป มิฉะนั้นฉันก็จะไม่โทร
พวกเขากระทั่งไม่ทราบเมื่อฉันมาถึงที่นี่ (ในฟอร์โมซา) เพียงเมื่อฉันปรากฏ ณ
เวทีบรรยายธรรม พวกเขาจึงทราบ (โอ้! ท่านอาจารย์มาแล้ว) ก่อนหน้านั้นพวกเขาไม่ทราบว่า
ฉันอยู่ที่ไหนหรือทำอะไร ฉันจะไม่ก่อความยุ่งยากหรือวางอำนาจเหนือใคร
หรือออกคำสั่งอะไรต่อพวกเขา ฉันจะไม่ทำเช่นนั้น! พวกเขากระทำสิ่งต่าง ๆ
โดยอัตโนมัติ เนื่องจากพวกเขาเคยได้ลิ้มชิมรสชาติของความสุข
พวกเขาจึงประสงค์จะแบ่งปันให้กับผู้อื่นด้วยความรัก สิ่งต่าง ๆ
เกิดขึ้นดังนี้โดยธรรมชาติ ฉันไม่มีแผนการใด ๆ |
||||||||||||||
ความแตกต่างระหว่างความเข้าใจของความสำคัญของศาสนา | ||||||||||||||
ผลสำเร็จประการที่ 2 คือการร่วมกันกระทำงานการกุศลและปฏิบัติงานกู้ภัยทางด้านมนุษยธรรมโลก เมื่อสักครู่ก็ได้ฟังการยืนยันจากท่านอดีตนายกสมาคมเคอ ประการที่ 3 คือการเป็นผู้นำทางและสนับสนุนการรับประทานอาหารมังสวิรัติ ประการที่ 4 แน่นอนจะต้องเป็นการเสนอแนะคติธรรมเกี่ยวกับแนวทางแห่งชีวิตที่เป็นความจริง ความงาม และความดี แล้วต่อจากนี้จะเป็นเกี่ยวกับปัญหาหรืออุปสรรคต่าง ๆ ที่สำคัญ ประการแรกคือ เกี่ยวกับการยอมรับทางศาสนา ประการที่ 2 คือทางด้านวิถีชีวิต การยอมรับของศาสนา คือการยอมรับและทำความเข้าใจในความหมายที่แท้จริงของศาสนา ณ ที่นี้ได้กล่าวถึงความล้าหลังบางประการ ซึ่งความล้าหลังนี้ท่านอนุตราจารย์ทำการอธิบายเพิ่มเติมได้หรือไม่? ในที่นี้มีการกล่าวถึงประสบการณ์แห่งการรวมเป็นหนึ่งเดียวกันของพระเจ้า ซึ่งสิ่งนี้จะกระทำได้อย่างไร ซึ่งนี่เป็นด้านหนึ่ง ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่: สมมุติท่านออกไปรับประทานอาหารในภัตตาคาร และท่านทราบอย่างดีว่า อาหารร้านนี้อร่อยหรือไม่ ถ้าหากท่านกล่าวกับใครบางคนซึ่งกำลังอ่านรายการอาหารอยู่นอกร้านว่า น้ำซุปอร่อยเพียงใด และผัดผักรวมรสดีขนาดไหน และว่าท่านจะต้องกลับมาที่ภัตตาคารนี้อีกอย่างแน่นอน เขาจะเข้าใจสิ่งที่ท่านกล่าวหรือไม่? ก็น่าจะไม่ นี่คือปัญหา ทุก ๆ คนพูดเกี่ยวกับพระเจ้าและเทิดทูนพระองค์ แต่มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถติดต่อและคุยกับพระองค์ได้ หรือถามคำถามพระองค์ได้ บัดนี้พวกเราสามารถทำเช่นนั้นได้ เพราะพวกเราได้ระลึกตัวตนเดิมแท้ของเรา เรามิใช่ร่างกายมนุษย์ธรรมดานี้ เรามีตัวตนมาก่อนที่จะกลายมาเป็นกายเนื้อนี้ และเราก็จะมีตัวตนต่อไปหลังจากที่ออกจากร่างกายนี้ไปแล้ว นั่นคือตัวตนเดิมแท้ของเรา เราได้สร้างการติดต่อและความสัมพันธ์กับตัวตนเดิมแท้นี้ ซึ่งเราเรียกว่า พระเจ้าภายใน หรือ ธรรมชาติพุทธะภายใน ดังนั้นเราจึงตระหนักว่า
พระเจ้ารักและปกป้องเราอย่างไร สอนเราทุก ๆ วัน และช่วยเราแก้ปัญหาอย่างไร
และพัฒนาความเมตตากรุณาของเราอย่างไร
เราสามารถปรึกษาพระองค์ได้เมื่อเรามีปัญหา บุคคลที่อ่านรายการอาหารอยู่ภายนอก
เชิดชูพระเจ้าอยู่ตลอดเวลา แต่เขาไม่เคยพูดกับพระองค์ ดังนั้น แน่นอน
จึงเป็นการยากที่เขาจะเข้าใจคำบรรยายของเรา ก่อนที่เขาจะได้ลิ้มชิมรสอาหาร
มันเป็นการยากสำหรับเราที่จะพิสูจน์ให้เขาว่า อาหารอร่อยเพียงใด
ฉันอาจจะไม่รอบรู้เท่าท่านศาสตราจารย์ เพียงสามารถกล่าวคำง่าย ๆ |
||||||||||||||
คำจำกัดความแท้ของ"การถ่ายทอดเหนือคำสอน" | ||||||||||||||
ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่: เราไม่ได้ต้องการที่จะเอาชนะเรื่องนี้สักเท่าใด! (เสียงหัวเราะ) เขาเป็นพุทธะและเป็นพระเจ้า หากเขาประสงค์จะตื่น เราจะยื่นมือช่วยเหลือ เขาเป็นลำเทียนที่สมควรจะเปล่งแสง ถ้าเขาประสงค์จะเปล่งแสง เขาก็ควรจะเข้ามาใกล้ขึ้น เราจะได้จุดไฟให้เขา หากเขาไม่ทำเช่นนั้น เขาก็สามารถอยู่ที่นั่นต่อไปในความมืดอีกสักสองสามพันปี เราจะไม่รบกวนเขา มันเป็นเงื่อนไขของพุทธะว่าจะต้องทานอาหารมังสวิรัติ การเป็นพุทธะ เราควรปฏิบัติเช่นพระศากยมุนีพุทธเจ้าคือ ต้องเมตตากรุณา รักสรรพสัตว์ทั้งมวลและรับประทานเพียงอาหารมังสวิรัติ เรารับประทานผักลงไปบ้างเพียงเพราะเราไม่มีทางเลือกอื่น
ดังนั้นเราจึงไม่รับประทานมากนัก ทานเพียงให้พออิ่มที่ประมาณ 80%
ไม่ใช่อิ่มเต็มถึงคอ ฉันรับประทานเพียง 1 หรืออย่างมาก 2 มื้อ/วัน
ฉันทานมากขึ้นเพียงเฉพาะเมื่อเหนื่อยจริง ๆ
ดังนั้นจึงเป็นทางเลือกของตัวบุคคลเองว่าจะหันมารับประทานมังสวิรัติหรือไม่
ฉันเพียงกล่าวว่า เราไม่ต้องการควบคุมผู้ใด เราจะยืนอยู่ข้าง ๆ
พร้อมจะให้ความช่วยเหลือ หากพวกเขาต้องการจะมา เราจะบอกเขาว่าให้ทำเช่นไร
หากไม่ประสงค์จะมาก็ไม่เป็นไร มาในคราวต่อไปก็ได้
และใช้เวลาย้อนคิดมันมากขึ้น พวกเขาคือพระเจ้า พวกเขาเป็นผู้ที่ตัดสินใจว่า
พวกเขาต้องการตื่นเมื่อใด ศาสตราจารย์หร่วน: เมื่อสักครู่ได้ฟังจบ 1 ตอนเกี่ยวกับการถามการตอบนี้ ทำให้มีความรู้สึกว่า ข้างในยังมีความล้าหลังอยู่สิ่งหนึ่ง คือคำกล่าวจากประสบการณ์ของตนของผู้บำเพ็ญท่านหนึ่ง อีกสิ่งหนึ่งคือมีการยอมรับในสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยคตินิยมของคนทั่วไป การศึกษาเสาะหาความรู้ ซึ่งดูเหมือนว่า ข้างในจะมีปัญหาอะไรอยู่ ประตูในประตูนอก (ภายนอกกับภายใน) ซึ่งมีระยะความห่างอยู่ตรงกลาง (อาจารย์และผู้คนหัวเราะ) ส่วนตอนที่ 2
สิ่งที่ส่วนตัวผมมีความสนใจเป็นพิเศษคือ
การหวนนึกอดีตและความหวังการพัฒนาในอนาคต
เนื่องจากส่วนนี้มีการอธิบายด้วยตัวหนังสือ
ข้างในซึ่งมีความคิดและคติธรรมบางอย่าง ผมเองเป็นผู้ศึกษาวิจัยประวัติศาสตร์
ผมรู้สึกว่า ตั้งแต่มีการบันทึกประวัติศาสตร์มา มนุษย์ชาติได้ทำสงครามกัน
การทำสงครามนั้นนำความทุกข์และภัยอันยิ่งใหญ่มาให้กับมนุษยชาติ
แต่จนถึงปัจจุบันมนุษยชาติยังไม่สามารถพ้นสงครามได้ แม้มองจากรูปการภายนอกสงครามคือการขัดแย้งในด้านการทหาร เมื่อมองให้ลึกซึ้งสงครามเป็นการขัดแย้งทางด้านผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและอำนาจทางการเมือง
เมื่อมองลึกเข้าไปข้างในอีกสงครามเป็นการขัดแย้งทางด้านความก้าวหน้า
ซึ่งความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในความก้าวหน้า
ความแตกต่างทางศาสนาหรือความขัดแย้งที่เกิดขึ้นกับศาสนาก็เคยเป็น อย่างน้อยที่สุดเคยเป็นสาเหตุความขัดแย้งของศาสนา |
||||||||||||||
แท้จริงมนุษย์ชาติมีศาสนาหนึ่งเดียวเท่านั้น | ||||||||||||||
พวกได้สังเกตว่าหลายปีที่ผ่านมาท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ได้ส่งเสริมคติความคิดเกี่ยวกับความกลมเกลียวของศาสนาและโลกหนึ่งเดียวกัน ทุกท่านในงานอาจมีคนเคยเฝ้าสังเกตการเคลื่อนไหวของท่านอาจารย์ชิงไห่มาโดยตลอดหรืออาจจะได้อ่านข้อความจากบทวิจารณ์เมื่อสักครู่ที่ผ่านมา สิ่งที่ข้าพเจ้าได้สังเกตเห็นคือคติความคิดแห่งความกลมเกลียวของศาสนาและโลกหนึ่งเดียวกันที่ท่านอาจารย์ชิงไห่ได้ส่งเสริมมาเป็นเวลาหลายปี ท่านมีวิธีการกล่าวแบบหนึ่ง ท่านคิดว่า แท้จริงมนุษย์ชาติมีศาสนาหนึ่งเดียวเท่านั้น เมื่อหลายวันที่ผ่านมา
พวกเราอ่านหนังสือพิมพ์ไช่น่านิวสไทม์ ซึ่งมีการลงข่าวการสัมภาษณ์ท่านอนุตราจารย์ของสถานีโทรทัศน์แอฟริกาใต้
ซึ่งข้อความดังกล่าว ท่านได้กล่าวว่า
แท้จริงมนุษย์ชาติมีศาสนาหนึ่งเดียวเท่านั้น ศาสนาต่าง ๆ
แท้จริงบูชาพระเจ้าองค์เดียวกัน
เพียงแต่นามของพระเจ้าเมื่อไปอยู่ในวัฒนธรรมที่ต่างกันจะมีภาษาการเรียกชื่อที่ต่างกัน
เป็นเพราะว่าความแตกต่างของภาษามนุษย์ ผมคิดว่า
ความคิดแบบนี้มีความก้าวหน้าล้ำเลิศมาก ถ้าหากทุกศาสนายอมรับความคิดแบบนี้
พวกเขาจะเคารพ ให้เกียรติกันซึ่งกันละกัน
ซึ่งยิ่งนับวันยิ่งจะมีความสามัคคีกลมเกลียวกัน
เช่นนั้นจึงจะเป็นความสุขของมนุษย์ชาติ ดังนั้นท่านอนุตราจารย์จึงได้ส่งเสริมให้มีการประชุมศาสนาโลกและการประชุมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของผู้นำศาสนาของโลก
เพื่อร่วมกันวางแผนในการอธิษฐานเพื่อความสันติภาพของโลก
ซึ่งจะช่วยให้บรรยากาศแห่งความกลมเกลียวของศาสนาและความสันติภาพของโลกให้ดีขึ้นได้อย่างมาก เมื่อตอนที่ 1 ผมได้กล่าวแล้ว ซึ่งในงานคงจะมีนักวิจัยและนักวิชาการที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องการค้นคว้าวิจัยสังคมชาวจีนอยู่เป็นจำนวนมาก และยังมีนักวิชาการที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านศาสนาอีก พวกเขาอาจจะตั้งคำถามที่ดียิ่งกว่าออกมาได้ เมื่ออยู่ ณ ที่นี่ ผมจะขอเป็นตัวแทนตั้งคำถาม 2 ข้อที่คิดว่าเป็นคำถามที่ผู้คนมักจะคิดถามเพื่อขอคำชี้แนะจากท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ ซึ่งข้าพเจ้าจะต้องเน้นไปในเรื่องเกี่ยวกับธรรมวิถีกวนอิมอย่างแน่นอน
|
||||||||||||||
การสร้างบุญสัมพันธ์อย่างกว้างขวาง | ||||||||||||||
คำถามข้อที่ 1 พวกเราได้สังเกตถึงเดือนธันวาคมปี 2542 ท่านได้กล่าวคำพูดในงานประชุมศาสนาโลกที่เคปเทาน์ แอฟริกาใต้ ซึ่งหัวใจสำคัญในการกล่าวของท่านมิได้เน้นเรื่องคำสอนของศาสนา แต่ท่านได้เน้นวิธีการอันหนึ่งที่ซึ่งสามารถสัมผัสได้ว่า ตนเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าทุก ๆ วัน คำถามของพวกเราคือ จากข้อมูลทางประวัติศาสตร์ทำให้ทราบว่า ในอดีตกาลมีมหาอาจารย์ผู้รู้แจ้งน้อยท่านที่สามารถถ่ายทอดธรรมวิถีที่รู้แจ้งฉับพลันนี้ได้ ถ้าหากมี ท่านก็คงจะถ่ายทอดให้กับลูกศิษย์เพียงไม่กี่คนเท่านั้นใช่หรือไม่? พวกเราทราบมาว่า ยุคก่อนหน้าท่านสังฆปรินายกองศ์ที่ 6 ของจีน ล้วนมีแต่การถ่ายทอดให้เพียงผู้เดียวเท่านั้น ส่วนท่านสังฆปรินายกองศ์ที่ 6 ท่านได้มีการถ่ายทอดให้บุคคลจำนวนที่มากกว่า อาจจะมีหลาย 10 คน ตัวเลขที่แน่ชัดข้าพเจ้าไม่ทราบ ดังนั้น มหาอาจารย์ผู้รู้แจ้งในอดีตจะถ่ายทอดธรรมให้ลูกศิษย์กลุ่มคนจำนวนน้อยเท่านั้น และลูกศิษย์มักจะต้องลุยน้ำ ข้ามป่าโดยผ่านความทุกข์ยากอย่างมากจึงจะสามารถได้ธรรมที่ล้ำค่านี้มา แต่สำหรับปัจจุบัน ธรรมวิถีกวนอิมที่ท่านกล่าวถึงคือธรรมวิถีแบบเดียวกัน แต่ท่านกลับมีการสร้างบุญสัมพันธ์อย่างกว้างขวาง ไม่ว่าผู้ใดมาขอธรรม เพียงแต่เขามีความจริงใจในการเรียกร้อง ท่านก็จะถ่ายทอดให้อย่างมีความโอบอ้อมอารีโดยไม่เก็บค่าใช้จ่ายใด ๆ ทำให้พวกเขาสามารถได้ธรรมมาอย่างง่ายดาย ผมอยากทราบเหตุผลของเรื่องนี้ว่าเป็นอย่างไร และเหตุใดจึงมีความแตกต่างกันมากเช่นนี้? ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่: ในโบราณกาล พวกเขาก็ยังสอนสานุศิษย์จำนวนมาก ตัวอย่างเช่น พระศากยมุนีพุทธเจ้ามีสานุศิษย์อยู่นับหมื่น ๆ คน อย่างไรก็ตาม มีศิษย์หลัก 2-3 คน เช่น พระอานนท์และพระราหุล มีหน้าที่รับผิดชอบเพื่อสืบสายธรรมต่อไป ศิษย์หลักเหล่านี้ก็เป็นดั่งเช่นนักบวชกวนอิม จะต้องได้รับการฝึกฝนเป็นพิเศษและต้องจดจำคำสอนภายนอก ซึ่งจะได้นำไปถ่ายทอดให้กับผู้คน อย่างไรก็ตาม สานุศิษย์อื่น ๆ ส่วนมากเป็นฆราวาส และพวกเขาเช่นกัน มิได้มีปัญหาใด ๆ ตัวอย่างเช่น
มีผู้บำเพ็ญฆราวาสคนหนึ่งชื่อวิมลเกียรติ ท่านมิได้ออกไปแสดงธรรม แต่ทุก ๆ
คนก็เกรงกลัวท่าน ท่านมิได้ออกไปสอนธรรม
เพราะว่าทำอยู่ที่บ้านก็มีพลังเพียงพอแล้ว จริง ๆ
แล้วพระเยซูคริสต์ก็มีสานุศิษย์มากมาย แต่มีอยู่ 12
คนติดตามพระองค์ตลอดเวลาและได้รับการฝึกฝนซึ่งทำให้พวกเขาสามารถช่วยพระองค์บรรลุที่จะถ่ายทอดคำสอนได้ในภายหลังจริง
ๆ แล้ว หากสิ่งที่ท่านกล่าวเป็นจริง เราจะอยู่ในยุคสมัยที่น่าพึงพอใจน้อยกว่า
เราควรจะแบ่งปันสัจธรรมอย่างรวดเร็ว มิฉะนั้นก็จะสายเกินไป
ฉันมิใช่คนขี้เหนียว ฉันแบ่งปันเงินและทุก ๆ อย่างที่ฉันทราบ
บางทีมันอาจจะเป็นนิสัยของฉันก็ได้ ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่:
เมื่อมีข่าวดีอะไร เราก็ควรจะกระจายออกไป
แต่นี่เป็นหน้าที่ที่เหน็ดเหนื่อยแน่นอน
ฉันก็อยากจะกระทำตนอย่างที่ท่านแนะนำมากกว่า
แอบอยู่ในมุมหนึ่งและรอให้ผู้คนมาพบฉัน
มันจะทำให้ฉันรู้สึกมีคุณค่ามากกว่านี้
เมื่อเราแบ่งปันสัจธรรมในสังคมในลักษณะนี้ ผู้คนจะประณามฉันและจะเข้าใจฉันผิด
เราจะรู้สึกเสียหน้า อย่างไรก็ตาม ไม่เป็นไร นี่มิใช่ หน้าเดิมแท้ของเรา
เราเสียหน้านี้ไป แต่เราจะมีหน้าที่ดีกว่าภายใน เป็นความต้องการของมนุษยชาติ แต่เราจะคิดว่า ประชากรทั่วโลกรักสันติภาพ แต่สงครามมักจะเกิดขึ้นโดยบุคคลที่มีอิทธิพลทางด้านการเมือง ดังนั้นเมื่อมองในแง่ของแนวทฤษฎีตรรกศาสตร์แล้ว ควรจะให้บุคคลที่มีอิทธิพลทางด้านการเมืองรู้แจ้งก่อน (ผู้คนหัวเราะ) ซึ่งเป็นวิธีการที่รวดเร็วที่สุดและได้ผลที่สุดที่จะนำพาโลกให้เข้าสู่สภาวะแห่งสันติภาพ ดังนั้นผมจึงอยากเรียนถามท่านอนุตราจารย์ชิง-ไห่ ท่านคิดว่า แนวความคิดนี้สอดคล้องกับสัจธรรมหรือไม่ (ท่านท่านอนุตราจารย์ชิงไห่: ถูกต้องตามหลักสัจธรรม) สำหรับเรื่องนี้ท่านมีวิธีการอะไรที่เป็นกลไกพิเศษหรือไม่? ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่: เพียงมีเหตุผลมากเกินไป ปัญหาคือว่าพวกเขาไม่ประสงค์จะให้ความร่วมมือ ดูฉันสิ ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ง่ายไหมล่ะที่ฉันจะได้ไปพบพวกเขา? ท่านนำพวกเขามาที่นี่ แล้วฉันจะให้ความรู้แจ้งกับพวกเขา เราทั้งสองมาร่วมงานกันได้ (เสียงหัวเราะ) โลกนี้ให้ความเคารพยำเกรงผู้ชายมากกว่าผู้หญิง บุคคลซึ่งได้รับเลือกให้อยู่ในอำนาจ ไม่ใส่ใจหรอกที่จะพบเรา เราควรรู้สึกเป็นบุญคุณแล้วที่เขาไม่ฆ่าเรา! บางรัฐบาลกลัวคนที่มีผู้รู้จักดีและมีการสนับสนุนของประชาชน และผู้ที่พวกเขาเห็นว่าเป็นผู้แข่งขัน นักการเมืองคิดว่า
เราก็อยู่ในธุรกิจการเมืองเช่นกัน พยายามที่จะให้ได้ชื่อเสียงและกำไร
ดังนั้นผู้บำเพ็ญทางจิตวิญญาณอย่างเช่นเรา ซึ่งเปิดเผยและมีชื่อเสียงมากกว่า
จะพบว่าชีวิตจะอยู่ในอันตราย หากรัฐบาลใดสามารถยอมรับและเข้าใจเรา
และปล่อยให้เราสอนได้อย่างอิสระ เราก็รู้สึกเป็นบุญคุณอย่างยิ่งแล้ว
เราไม่เคยฝันใฝ่ว่า พวกเขาจะมาหาเรา
ดังนั้นความฝันของท่านนี้นั้นสวยงามยิ่งนัก (เสียงหัวเราะ) ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่:
เป็นเรื่องไม่ง่ายนักที่จะจัดการกับโลกนี้ ดังที่ท่านทราบ
เป็นเรื่องยากที่จะสร้างการติดต่อกับคนที่อยู่ในอำนาจ
พวกเขาได้รับการคุ้มกันดียิ่งจนยากสำหรับพวกเขาที่จะติดต่อเรา
แม้นว่าพวกเขาต้องการเช่นนั้น ผู้คนที่อยู่รายรอบบุคคลในอำนาจ จะป้องกันเขา
ไม่ให้ติดต่อกับใครที่พวกเขาคิดว่า เขาไม่ควรจะพบ
พวกเขาจะให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องกับเขา และให้มุมมองที่แตกต่างไป
เขาเองจะไม่สามารถทะลวงผ่านเกราะอันนี้เพื่อติดต่อกับผู้คนได้
ดังนั้นเขาจึงถูกจำกัดเช่นกัน เป็นเรื่องค่อนข้างยาก แต่เราจะพยายามคิดหาวิธี
ถึงแม้ว่าฉันไม่ค่อยประสงค์จะทำเช่นนั้นสักเท่าใด เราควรจะปล่อยให้สิ่งต่าง ๆ
ดำเนินไปตามธรรมชาติ ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่: บุคคลที่ยิ่งใหญ่สมควรจะอ่อนน้อมถ่อมตน ท่านอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นยิ่งนัก นั่นคือสาเหตุที่ท่านเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ ผู้จัดการเคอกล่าว: ท่านประธาน ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ ท่านศาสตราจารย์ สุภาพบุรุษ สุภาพสตรีทุกท่าน รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ท่านอนุตราจารย์อาจจะเคยไปที่เมืองผิงตง ซึ่งเป็นบ้านเกิดของผม และที่เมืองผิงตง มีศูนย์ที่เฉาโจวแห่งหนึ่ง เฉาโจวคือสถานที่เกิดของผม (ท่านอนุตราจารย์: ฉันชอบผิงตงมาก ในฤดูหนาวก็ยังมีความอบอุ่นมาก) ศูนย์แห่งนั้นผมเคยไป เพราะศูนย์แห่งนี้เป็นศูนย์ที่ให้โดยท่านกำนันหงเจิ้นจั่ง แห่งตำบลเฉาโจว ซึ่งกำนันหงเจิ้นจั่ง ดำรงตำแหน่งเป็นกำนันแห่งตำบลเฉาโจว ตอนนั้นผมเองกำลังดำรงตำแหน่งเป็นนายอำเภอแห่งเมืองนั้นอยู่ จึงมีความสนิทสนมกันเสมือนพี่น้องกัน แต่น่าเสียดายที่เวลานี้ท่านไม่อยู่อีกแล้ว ผมเคยไปไหว้สุสานของท่าน และผมเคยไปดู เยี่ยมชมที่ศูนย์ปฏิบัติธรรม ปัจจุบันยังอยู่ที่นั่น ยังมีคนคอยดูแลรักษา รู้สึกว่าจะตกแต่งดูแลรักษาได้ไม่เลวทีเดียว ผมคิดว่า การที่ท่านอนุตราจารย์จากฟอร์โมซาไป
การกล่าวโดยตามในสิ่งที่ผมเคยเห็นมา ซึ่งรู้สึกจะเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก
เพราะศูนย์ปฏิบัติที่ดีเช่นนั้นเมื่อตอนที่ท่านอยู่
ที่นั่นก็เสมือนดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งศาสนาพุทธแห่งหนึ่ง
หรือดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งลัทธิศาสนาแห่งหนึ่ง ผมคิดว่า
ศาสนานี้พยายามที่จะชำระล้างจิตใจคนให้บริสุทธิ์และนำพาคนให้เดินทางไปในหนทางที่ดีงาม
ซึ่งเป็นพลังอันหนึ่งที่สังคมของเราต้องการมากที่สุดในปัจจุบัน คำถามของผมคือ
ท่านได้เดินทางออกไปจากฟอร์โมซา จะมีโอกาศได้กลับมาที่ฟอร์โมซาอีกหรือไม่?
และมาปฏิบัติงานหน้าที่ที่มีความหมายยิ่งนี้อีกหรือไม่? (ผู้คนปรบมือ) ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่:
มันขึ้นอยู่กับการจัดการของพระเจ้า คนในทุก ๆ ประเทศขอให้ฉันอยู่
ซึ่งทำให้ฉันยากจะตัดสินใจ ฉันจะต้องเคลื่อนย้ายได้ตลอดเวลา
เพื่อฉันจะได้แบ่งเวลาให้กับทุก ๆ คน
บางทีฉันอาจปล่อยเรื่องราวไปก่อนจนฉันอายุมากขึ้น หากฉันไม่มีสถานที่จะไป
เมื่อนั้นฉันจะกลับมาร้องขอสถานที่อยู่อาศัย
ขอบคุณมากสำหรับความห่วงใยอันเปี่ยมด้วยรักของท่านและคำแนะนำ
ฉันคิดถึงประเทศบ้านเกิดเป็นอย่างยิ่ง
แต่บางครั้งดวงชะตาของเราก็ไม่เหมือนกัน เราจะต้องทำเท่าที่เราทำได้ ฉันคิดถึงฟอร์โมซามากนัก
ที่นี่ฉันรู้สึกเหมือนเป็นคนพื้นเมือง และทุก ๆ คนก็รักฉันมาก
ดังนั้นหากมีโอกาสในอนาคต แน่นอนฉันจะกลับมา ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่:
ยินดีต้อนรับ! แน่นอน ในลักษณะนี้ฉันดูเป็นมิตรมากกว่า
แต่ก่อนฉันไม่แต่งกายเช่นนี้ ทั้งยังไม่แต่งหน้า
ฉันจะรู้สึกสบายกว่านี้มากนัก เวลาที่ฉันแต่งตัว
ฉันจะรู้สึกราวกับว่ามีอะไรติดอยู่บนใบหน้าฉัน แต่ฉันก็เคยชินแล้ว ดีที่ทุก ๆ
คนชอบมัน ในลักษณะนี้ มันง่ายที่จะติดต่อสื่อสารกับท่าน ขอบคุณ! ฉันสามารถรู้สึกถึงความเมตตาอันเปี่ยมด้วยรักของท่าน หากมีโอกาสในอนาคตฉันจะมาอีกครั้งหนึ่ง ฉันมาที่นี่ได้ 3 วันแล้ว และมีคนประมาณ 30,000
คนเห็นฉันเมื่อวานนี้ คนทั้งฟอร์โมซาเห็นฉัน
ขอบคุณที่มีการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ ถ้าคิดเช่นนี้ ก็กล่าวได้ว่าฉันกลับมาฟอร์โมซาแล้ว
ฉันใช้เวลาเล็กน้อยในแต่ละประเทศ อย่างไรก็ตาม ขอบคุณมาก ฉันจะหาวิธี ฉันชอบฟอร์โมซามากที่สุด
ฉันอาศัยอยู่ที่นี่มากกว่า 10 ปี และมันเป็นเสมือนบ้านของฉัน
ฉันไม่เคยอยู่ที่ใดเป็นเวลานานเช่นนั้น ยกเว้นในเอาหลัก ในโลกนี้ฉันอยู่ที่ฟอร์โมซาเป็นระยะเวลานานที่สุด จากการสนทนาในวันนี้ ทุกท่านสามารถสัมผัสได้เกี่ยวกับการอบรมสั่งสอนของธรรมวิถีกวนอิมเช่นที่ศาสตราจารย์หร่วนกล่าว คือเป็นทิศทางแห่งบุคคลบำเพ็ญยุคปัจจุบันแห่งโลกาภิวัตน์ ซึ่งเป็นท่านอนุตราจารย์ชิงไห่เน้นในเรื่องนี้ กล่าวโดยประโยคสำคัญประโยคหนึ่งคือการย้อนกลับสู่จิตพุทธะธรรมชาติของตนเอง โดยอาศัยทิศทางนี้มาเป็นการบำเพ็ญ ส่วนทางด้านการจัดตั้งหน่วยงานและองค์การ เราได้สังเกตเห็นว่า กล่าวโดยภาพรวมแล้วยังเป็นสิ่งที่มีความดีเลิศเป็นพิเศษเหนือมนุษย์ พลังที่สามารถทำให้บุคคลที่อยู่ตามสถานที่ต่าง ๆ ช่วยเหลือซึ่งกันและกันโดยมิได้นัดหมายมาก่อน พลังชนิดนี้แท้จริงแล้วอยู่ที่ใด? ผมคิดว่า นอกจากเราจะศึกษาวิจัยจากความเห็นในเชิงศรัทธาและความรู้ทางวิชาการแล้ว ซึ่งข้างในนี้ยังมีสิ่งมากมายที่ควรแก่การไตร่ตรองพิจารณาให้ลึกซึ้งมากขึ้น ส่วนทางด้านการเผยแพร่ก็มีความเป็นพิเศษมาก ซึ่งผู้นำแห่งสมาคมปฏิบัติธรรมที่มาร่วมงาน พวกเขาได้กล่าวออกมา พวกเขาใช้วิธีการกระทำเพื่อผลักดันให้เป็นไปโดยเงียบ ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่านับถือยิ่ง ทุกท่าน ซึ่งเดิมเราหวังไว้ว่าจะเป็นการสนทนาเพื่อวิจัยเกี่ยวกับชาวจีนเอเชียอาคเนย์เท่านั้น แต่เราได้สังเกตเห็นว่า ศาสนาที่ไร้พรมแดน เรามิอาจที่จะควบคุมให้ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่กล่าวถึงสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเอเชียอาคเนย์เท่านั้น ซึ่งอาจเป็นจุดดีเด่นอย่างหนึ่ง มิอาจกล่าวว่าเป็นจุดบกพร่อง จะกล่าวเช่นนั้นอย่างไร? เพราะแท้จริงแล้ว ชาวจีนทั่วโลกในอนาคตอาจกล่าวรวมไปถึงเป็นชาวจีนโพ้นทะเลที่มีอยู่ จิตสำนึกของชาวจีนโพ้นทะเล จิตสำนึกซึ่งเป็นจิตสำนึกที่ศูนย์วิจัยชาวจีนของเราปลูกฝังให้เกิดคติแห่งจิตสำนึกแบบนี้ในอนาคต โดยใช้เป็นทิศทางของชาวจีนโพ้นทะเล กิจกรรมทางด้านศาสนา เราสามารถพิสูจน์ได้ก้าวหน้าไปอีกขั้นหนึ่งว่า ชาวจีนเป็นชนชาติที่ไร้พรมแดน ดังนั้น ในดินแดนที่ไร้พรมแดนนี้ได้มีภาพพจน์ที่อยู่เหนือความก้าวหน้าทางด้านตะวันออกและตะวันตก ซึ่งทำให้เรามองเห็นว่า พลังนำทางด้านวัฒนธรรมเป็นผู้นำทางพลังทางด้านเศรษฐกิจ โดยอยู่เหนือการควบคุมของการเมือง ซึ่งเป็นภาพพจน์ที่ดีงามแห่งสังคมที่มีมากมายหลายองค์กร ดังนั้นการเมืองจึงไม่สามารถควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างได้อีกต่อไป ในสังคมที่มีหลากหลายองค์กรนี้ ทุก ๆ องค์กรของสังคมได้พัฒนาและสร้างโลกที่แตกต่างของตนขึ้นมา วันนี้รู้สึกมีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมจัดงานภายใต้การสนับสนุนจากเพื่อนร่วมงานจากศูนย์วิจัยส่วนกลางทุกๆ ด้าน ซึ่งช่วยผลักดันให้การสนทนาในวันนี้ดำเนินไปโดยราบรื่น เป็นการแน่นอนที่เราต้องขอขอบคุณกลุ่มนักวิจัยของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านผู้ช่วยเลขานุการ เนื่องจากท่านจัดการวางแผนได้ผล โดยได้ทำงานอย่างเป็นระบบและทุ่มเทอย่างยิ่งกับสมาคมปฏิบัติธรรม ดังนั้นวันนี้จึงได้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างยิ่ง เราก็ขอขอบคุณนักวิชาการที่มาร่วมงานทุกท่าน นักหนังสือพิมพ์ทุกแห่งและบุคคลที่มีความสนใจจากทุกสาขาอาชีพทุกท่าน ซึ่งเป็นการแน่นอน เราควรจะขอบคุณผู้วินิจฉัยของเราเป็นอย่างยิ่ง คำถาม การสัมผัสและคำวินิจฉัยที่มีความประทับใจยิ่งและเปี่ยมล้นด้วยปัญญาของท่าน สุดท้ายเราต้องขอขอบพระคุณท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ ขอบพระคุณท่านที่สละเวลาจากภารกิจอันมากมายของท่านมายังศูนย์วิจัยส่วนกลางของเรา (ทุกคนปรบมือ) วาจาที่มีความประทับใจและเป็นเครื่องชี้นำของท่านในวันนี้ทำให้เราเกิดช่องทางในการพิจารณาไตร่ตรองเพิ่มมากขึ้น วันนี้ขอขอบพระคุณทุกท่าน ขอขอบพระคุณ ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่:
ขอบคุณมาก! ขอบคุณทุกๆคน! (เสียงปรบมือ) ประธาน: อ้าว! ยังมีคำถามอีกหรือ? ถ: เมื่อตอนที่ท่านเผยแพร่ไปที่เอเชียอาคเนย์ ลูกศิษย์ส่วนใหญ่จะเป็นชาวจีนหรือไม่? ได้ข่าวว่ามีชนพื้นเมืองอีก ยกตัวอย่างเช่น ชาวอินโดนีเซียหรือชาวมลายู? ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่:
มีทั้งชาวจีนและคนในประเทศ ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่: ไม่ ๆ
เราจะแนะนำวิถีของเราต่อไปให้ทุกคนที่มามีชาวท้องถิ่นมากมาย
และเราจำนวนมากต้องการฟังการแปลผ่านหูฟังที่ไหนก็ตามที่เราไปเรามักจะต้องการคนมากมายที่จะแปลการบรรยายของเราเป็นภาษาต่าง
ๆ ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่:
เราขายไป ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่:
ให้กับใครก็ตามที่อยากจะซื้อ นี่คืออิสระเสรี เรายังมีบูติคในไทเป
ใครก็ได้สามารถเข้าไปและซื้อสิ่งที่เขาต้องการ ประธาน: ถ้าอย่างนั้นวัดตัวอย่างไรเล่า? (เสียงหัวเราะ) ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่:
เราจะต้องวัดตัว แล้วท่านจะต้องรอสักระยะหนึ่ง เนื่องจากเราเน้นคุณภาพ
ไม่ใช่ปริมาณ เราจึงต้องวัดตัวอย่างละเอียดให้กับลูกค้าแต่ละคน นอกจากนี้
เรามีอยู่เพียงอย่างมาก 2-3 ชุดของแต่ละแบบ
เราไม่สามารถผลิตได้จำนวนมากเกินไป |
||||||||||||||
|