ถ: ข้าพเจ้าใคร่จะถามต่อคำถามที่ท่านประธานได้ถามไปเมื่อสักครู่นี้ก็คือว่า ท่านอนุตราจารย์เน้นเสมอว่า ท่านไม่รับของบริจาค แต่ท่านได้กระทำงานกุศลมากมายตามสถานที่ต่าง ๆ ทั่วโลก ซึ่งดูเหมือนว่าจำนวนเงินที่ท่านใช้จ่ายออกไปมิใช่ตัวเลขที่น้อย ๆ เมื่อสักครู่ท่านกล่าวว่า ท่านถักหมวก ออกแบบเสื้อผ้า ซึ่งสิ่งของเหล่านี้ได้จำหน่ายให้แก่ลูกศิษย์เท่านั้น หรือว่าจำหน่ายให้แก่ผู้คนทั่วไป? รายได้จากการจำหน่ายนี้เพียงพอหรือไม่ที่จะนำไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่มีจำนวนมาก หรือปัญหาอุทกภัยที่สหรัฐอเมริกา หรือภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นในเอเชียอาคเนย์ ท่านสามารถอธิบายได้ไหมเกี่ยวกับความเป็นมาของเงินทองเหล่านี้ ขอให้ท่านช่วยอธิบายให้พวกเราเข้าใจอีกสักเล็กน้อย

ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่: ฉันไม่รับของถวายใด ๆ อย่างไรก็ตาม หากเกิดภัยพิบัติและสานุศิษย์ของเราประสงค์จะส่งของบริจาคหรือของบรรเทาทุกข์ให้กับเหยื่อภัยพิบัติ เมื่อนั้นพวกเขาสามารถนำของของเขามารวมกับของเราเป็นห่อหรือเป็นปริมาณใหญ่ ๆ ได้ ด้วยวิธีนี้ เราทุกคน รวมทั้งสานุศิษย์ก็ได้บริจาคร่วมกัน

ประธาน: ทุกท่าน ผมคิดว่า รอบแรกของเราใช้เวลานานไปสักนิดหนึ่ง ซึ่งก็ได้ทำเนื้อหาข้างในได้ข้อมูลที่ชัดเจนมากขึ้น ต่อจากนี้จะเป็นรอบที่ 2 ในรายการของเรา ซึ่งจะเป็นธรรมวิถีกวนอิมและชาวจีนเอเชียอาคเนย์โดยเฉพาะ สาเหตุสำคัญในการผลักดันให้เกิดผลสำเร็จคืออะไร? นี่เป็นข้อแรก ข้อที่ 2 จะเป็นอุปสรรคที่สำคัญคืออะไร? ข้อที่ 3 จะเป็นความหวังในแนวทางการพัฒนาในอนาคตคืออะไร? ขอเชิญท่านอนุตราจารย์ช่วยบอกถึงสิ่งสำคัญเกี่ยวกับการสัมฤทธิ์ผลในการเผยแพร่ธรรมแก่ชาวจีนในเอเชียอาคเนย์คืออะไร รวมถึงการพบอุปสรรคที่สำคัญมีอะไรบ้าง จะแก้ไขปัญหาอุปสรรคทั้งหลายได้อย่างไร ความหวังและแนวทางการพัฒนาในอนาคตเป็นเช่นไร ขอเชิญครับ!

ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่: เราติดตามการบำเพ็ญทางจิตวิญญาณในความเงียบสงบเพื่อที่จะช่วยตนเอง เราชื่นบานขึ้น และนิสัยเก่าและความคิดเก่า ๆ ของเราค่อย ๆ จางไป นั่นคือสาเหตุที่พระศากยมุนีพุทธเจ้าต้องบำเพ็ญเป็นเวลานานก่อนที่พระองค์จะบรรลุพุทธภูมิ พระองค์มิได้บรรลุในวันเดียว สิ่งต่าง ๆ จะเลวร้ายลงหากผู้คนไม่บำเพ็ญ ตามการสังเกตการณ์มานับสิบปี เพื่อนบำเพ็ญของเราพัฒนาเป็นอย่างยิ่งหลังจากบำเพ็ญทางจิตวิญญาณ นี่เยี่ยมยอดยิ่งนัก! ท่านอาจสังเกตว่า มิใช่เพียงพวกเราที่ได้รับประโยชน์ เรายังบริการสังคมด้วย

แน่นอน เราไม่สามารถพิสูจน์ความก้าวหน้าภายในของเราได้ บางทีหลังจากสังเกตการณ์เป็นเวลานาน เราสามารถกล่าวได้ว่าใครคนหนึ่งซึ่งมักจะดุด่า ทะเลาะเบาะแว้ง หรือกระทั่งทำร้ายผู้อื่น กลายเป็นมีความเมตตากรุณามากขึ้น และกล่าวได้ว่าเป็นเพราะพัฒนาด้วยการบำเพ็ญทางจิตวิญญาณ แต่เราไม่สามารถกล่าวเช่นนั้นได้โดยง่ายนัก อย่างไรก็ตาม เรามีประโยชน์ต่อสังคมด้วย ดูอย่างคำถามสุดท้ายของท่าน เป็นต้น เกี่ยวกับว่าเราสามารถรวบรวมคนได้เป็นจำนวนมากอย่างรวดเร็วเพื่อช่วยหลือผู้อื่น นี่เป็นเพราะธรรมชาติแห่งความเป็นพระเจ้าของเราได้ปลุกตื่นขึ้นแล้ว เรากลายเป็นมีความรักมากขึ้น และทราบอย่างชัดแจ้งว่าควรทำอะไร เราเห็นความเดือดร้อนของผู้อื่นเป็นเสมือนของเราเอง และเราไม่ลังเลที่จะช่วยเหลือสังคม เราทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม
 

 

 

หลังจากเกิดแผ่นดินไหวในฟอร์โมซาเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2542 เพื่อนประทับจิตรีบเร่งดำเนินการช่วยเหลือไปยังพื้นที่ที่ประสบภัยในทุกวิถีทาง

 

 

ผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวชาวฟอร์โมซาร์ได้ใช้เต็นท์ที่จัดหาโดยสมาคมปฏิบัติธรรมอนุตราจารย์ชิงไห่นานาชาติ

 

บางครั้งเมื่อเพื่อนประทับจิตของเราประสบกับความยากลำบากหรือประสบกับความทุกข์ยากเป็นอย่างยิ่งในระหว่างที่ทำงานอยู่ต่างประเทศ พวกเขาก็จะทำสมาธิด้วยกัน เมื่อนั้นพวกเขาก็จะมีขวัญกำลังใจที่ดีขึ้นและมีความสุข บางครั้ง เมื่อพวกเขายังไม่ค่อยก้าวหน้าในการบำเพ็ญทางจิตวิญญาณนัก พวกเขาอาจจะประสบความยากลำบาก เมื่อนั้น ก็จะมีประโยชน์ที่จะพูดคุยกับคนอื่น ๆ และให้ความช่วยเหลือกันและกันแน่นอน ท่านย่อมประสบกับความยากลำบากในงานทุกประเภทที่ท่านทำ พวกเขามิใช่ผู้ผูกขาดของกลุ่มศาสนา หรือกลุ่มเหมือนเราที่แบ่งปันสัจธรรม

ตัวอย่างเช่น พวกท่านซึ่งเป็นศาสตราจารย์ บางครั้งก็ประสบกับนักศึกษาซึ่งสอนยาก บางครั้งท่านก็งานยุ่งจนมีผลต่อสุขภาพ ท่านอาจต้องสละเวลานอนตอนกลางคืน แล้วยังคงต้องดูแลครอบครัวของท่าน ในขณะที่ประสบกับความยากลำบากในการศึกษา ท่านอาจต้องดูแลครอบครัวของท่าน และบางทีต้องทำหน้าที่อื่น ๆ อีก การเป็นผู้ปกครองก็มีด้านที่ยากเย็น การเป็นศาสตราจารย์ก็มิใช่การงานที่ไร้ซึ่งความยากลำบาก แน่นอน เราผู้บำเพ็ญทางจิตวิญญาณควรช่วยเหลือผู้อื่นและในหนทางการบำเพ็ญของเรา เราจะประสบกับอุปสรรคและความเข้าใจต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม เรายอมรับความจริงว่า สังคมก็เป็นเช่นนี้ เราจะทำงานของเราโดยไม่คาดหวังคำเยินยอหรือการยอมรับจากผู้อื่น ดังนั้นเราจึงไม่ผิดหวัง

เราจะพัฒนาไปอย่างไรในอนาคตนั้นขึ้นอยู่กับความประสงค์ของพระเจ้า ฉันจะมีชีวิตอยู่ต่อไป หากพระองค์ต้องการให้ฉันมีชีวิตอยู่ และหากพระองค์ไม่ต้องการ ฉันก็ “บ๊ายบาย” ง่าย ๆ เช่นนั้น พวกท่านบางคนถามว่า เราจัดแจงองค์กรและพัฒนาได้ดีเช่นนี้ได้อย่างไร ทุกอย่างเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ ฉันมิได้ตั้งใจทำอะไรลงไปสักเท่าใด ฉันเพียงแต่กล่าวว่า “ตกลง ไม่ตกลง โอเค ฉันจะมา” หรือ “ฉันมาไม่ได้” ก็มีแค่นี้ ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย ทั้งฉันก็ไม่ได้บอกให้ใครทำอะไรหรือมีอำนาจเหนือใคร น้อยนักที่ฉันจะโทรศัพท์ไปหาพวกเขา ฉันจะเพียงโทรไปเป็นครั้งคราวเมื่อเกิดภัยพิบัติ เช่น ในกรณีพี่ชายหลิน เป็นต้น

ฉันมิได้โทรไปหาเขาหรือผู้บำเพ็ญผู้มีหน้าที่ติดต่อทุก ๆ วัน ถามเพื่อนบำเพ็ญและผู้ติดต่อของเราและดูว่า พวกเขาเคยได้รับโทรศัพท์จากฉันเท่าไร ไม่มี นอกจากเมื่อมีภัยพิบัติหรือเมื่อมีงานจะทำแล้วฉันก็จะขอให้เขาขอความช่วยเหลือจากเพื่อนประทับจิตในทันใด หากพวกเขามีเงินไม่พอ เราก็จะบริจาคอะไรก็ตามที่เราให้ได้จากศูนย์ใหญ่ เฉพาะเมื่อนั้นฉันจึงจะโทรศัพท์ไป มิฉะนั้นฉันก็จะไม่โทร พวกเขากระทั่งไม่ทราบเมื่อฉันมาถึงที่นี่ (ในฟอร์โมซา) เพียงเมื่อฉันปรากฏ ณ เวทีบรรยายธรรม พวกเขาจึงทราบ (โอ้! ท่านอาจารย์มาแล้ว) ก่อนหน้านั้นพวกเขาไม่ทราบว่า ฉันอยู่ที่ไหนหรือทำอะไร ฉันจะไม่ก่อความยุ่งยากหรือวางอำนาจเหนือใคร หรือออกคำสั่งอะไรต่อพวกเขา ฉันจะไม่ทำเช่นนั้น! พวกเขากระทำสิ่งต่าง ๆ โดยอัตโนมัติ เนื่องจากพวกเขาเคยได้ลิ้มชิมรสชาติของความสุข พวกเขาจึงประสงค์จะแบ่งปันให้กับผู้อื่นด้วยความรัก สิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้นดังนี้โดยธรรมชาติ ฉันไม่มีแผนการใด ๆ
 

 ความแตกต่างระหว่างความเข้าใจของความสำคัญของศาสนา
 


ประธาน: ความล้าหลังในทางการยอมรับของศาสนา ผมคิดว่า สมาคมปฏิบัติธรรมคงจะเข้าใจท่านอนุ-ตราจารย์ชิงไห่ลึกซื้งยิ่งกว่าพวกเราซึ่งเป็นคนทั่วไป ดังนั้นหน้า 29-30 ที่เป็นข้อมูลที่อยู่ในมือของทุกท่าน ได้กล่าวการสัมฤทธิ์ผลที่สำคัญหลายประการ ผมคิดว่า ทุกท่านจะสามารถอ่านพบอย่างรวดเร็ว “ปลุกมนุษย์ให้ตื่นในระดับที่สูงแห่งกาย ใจและจิตวิญญาณ” ข้อแรกคือ ลูกศิษย์ที่ผ่านวิถีชีวิตแห่งการบำเพ็ญมาเป็นเวลา 10 กว่าปี เริ่มรวมเป็นพลังชนิดหนึ่งเข้าสู่สหัสวรรษใหม่ ซึ่งเป็นผลสำเร็จประการที่ 1

ผลสำเร็จประการที่ 2 คือการร่วมกันกระทำงานการกุศลและปฏิบัติงานกู้ภัยทางด้านมนุษยธรรมโลก เมื่อสักครู่ก็ได้ฟังการยืนยันจากท่านอดีตนายกสมาคมเคอ ประการที่ 3 คือการเป็นผู้นำทางและสนับสนุนการรับประทานอาหารมังสวิรัติ ประการที่ 4 แน่นอนจะต้องเป็นการเสนอแนะคติธรรมเกี่ยวกับแนวทางแห่งชีวิตที่เป็นความจริง ความงาม และความดี แล้วต่อจากนี้จะเป็นเกี่ยวกับปัญหาหรืออุปสรรคต่าง ๆ ที่สำคัญ ประการแรกคือ เกี่ยวกับการยอมรับทางศาสนา ประการที่ 2 คือทางด้านวิถีชีวิต การยอมรับของศาสนา คือการยอมรับและทำความเข้าใจในความหมายที่แท้จริงของศาสนา ณ ที่นี้ได้กล่าวถึงความล้าหลังบางประการ ซึ่งความล้าหลังนี้ท่านอนุตราจารย์ทำการอธิบายเพิ่มเติมได้หรือไม่? ในที่นี้มีการกล่าวถึงประสบการณ์แห่งการรวมเป็นหนึ่งเดียวกันของพระเจ้า ซึ่งสิ่งนี้จะกระทำได้อย่างไร ซึ่งนี่เป็นด้านหนึ่ง

ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่: สมมุติท่านออกไปรับประทานอาหารในภัตตาคาร และท่านทราบอย่างดีว่า อาหารร้านนี้อร่อยหรือไม่ ถ้าหากท่านกล่าวกับใครบางคนซึ่งกำลังอ่านรายการอาหารอยู่นอกร้านว่า น้ำซุปอร่อยเพียงใด และผัดผักรวมรสดีขนาดไหน และว่าท่านจะต้องกลับมาที่ภัตตาคารนี้อีกอย่างแน่นอน เขาจะเข้าใจสิ่งที่ท่านกล่าวหรือไม่? ก็น่าจะไม่ นี่คือปัญหา ทุก ๆ คนพูดเกี่ยวกับพระเจ้าและเทิดทูนพระองค์ แต่มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถติดต่อและคุยกับพระองค์ได้ หรือถามคำถามพระองค์ได้ บัดนี้พวกเราสามารถทำเช่นนั้นได้ เพราะพวกเราได้ระลึกตัวตนเดิมแท้ของเรา เรามิใช่ร่างกายมนุษย์ธรรมดานี้ เรามีตัวตนมาก่อนที่จะกลายมาเป็นกายเนื้อนี้ และเราก็จะมีตัวตนต่อไปหลังจากที่ออกจากร่างกายนี้ไปแล้ว นั่นคือตัวตนเดิมแท้ของเรา เราได้สร้างการติดต่อและความสัมพันธ์กับตัวตนเดิมแท้นี้ ซึ่งเราเรียกว่า “พระเจ้าภายใน” หรือ “ธรรมชาติพุทธะภายใน”

ดังนั้นเราจึงตระหนักว่า พระเจ้ารักและปกป้องเราอย่างไร สอนเราทุก ๆ วัน และช่วยเราแก้ปัญหาอย่างไร และพัฒนาความเมตตากรุณาของเราอย่างไร เราสามารถปรึกษาพระองค์ได้เมื่อเรามีปัญหา บุคคลที่อ่านรายการอาหารอยู่ภายนอก เชิดชูพระเจ้าอยู่ตลอดเวลา แต่เขาไม่เคยพูดกับพระองค์ ดังนั้น แน่นอน จึงเป็นการยากที่เขาจะเข้าใจคำบรรยายของเรา ก่อนที่เขาจะได้ลิ้มชิมรสอาหาร มันเป็นการยากสำหรับเราที่จะพิสูจน์ให้เขาว่า อาหารอร่อยเพียงใด ฉันอาจจะไม่รอบรู้เท่าท่านศาสตราจารย์ เพียงสามารถกล่าวคำง่าย ๆ
 

 คำจำกัดความแท้ของ"การถ่ายทอดเหนือคำสอน"
 


พราะ “เรากลายเป็นหนึ่งกับพระเจ้า” อย่างไรนั้นไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ ในระหว่างเวลาถ่ายทอด เรา 2 คนเพียงนั่งในความเงียบ ในขณะที่การถ่ายทอดถูกกระทำจากจิตสู่จิต พระเจ้าคุยกับพระเจ้าภายในเรา และไร้ที่สำหรับคำพูด เราพูดจริงก่อนนั้น แต่เพียงจะบอกเธอว่า เธอควรนั่งอย่างไร ว่ามันไม่สำคัญว่า เธอนั่งขัดสมาธิหรือไม่ในขณะอยู่ในการทำสมาธิ และวิธีผ่อนคลายและว่าจะรวบรวมความคิดของเธอไว้ที่ไหน ดังนั้นเธอจึงเห็นพระเจ้าและสื่อสารกับพระองค์ได้ เหล่านี้เป็นเพียงคำสอนทางวาจา ต่อมา เมื่อการประทับจิตจริงเกิดขึ้น ไม่มีใครพูดสักคำ เช่นนี้คือการประทับจิต การถ่ายทอดจิตสู่จิต และ “การถ่ายทอดเหนือคำสอน” มันถูกเรียกว่าเช่นนั้นเพราะมันไม่สามารถพบได้ในคำสอน เรามีพระเจ้าและพุทธะภายในเราจากตอนแรกทีเดียว ดังนั้นใครมีสิทธิ์สอนพุทธะหรือพระเจ้าว่าจะทำอะไร? มันเป็นไปได้เฉพาะหลังจากตัวตนเดิมของเราตื่น นี่เหมือนเอาเทียน 2 เล่ม เล่มหนึ่งจุดแล้ว พอเราแตะเทียนอีกเล่มหนึ่งกับเล่มนี้ มันก็เป็นประกายแจ่มใสด้วย คุณภาพของแสงแฝงอยู่เดิมในเทียน มันเพียงต้องการใครคนหนึ่งจุดมัน วิธีปฏิบัตินี้ไม่ต้องการคำพูดหรือคำสอน ไม่สำคัญว่าเธอพูดเกี่ยวกับมันหรือขอมันนับร้อยปีอย่างไรก็ตาม มันยังจะไม่เป็นประกายแจ่มใส

ประธาน: ขอขอบคุณ เราจะกล่าวถึงปัญหาอุปสรรคที่เกี่ยวข้องอีกสิ่งหนึ่งคือทางด้านการดำรงชีวิต เนื่องจากท่านอนุตราจารย์ชิงไห่อาจจะเรียกร้องให้รับประทานอาหารมังสวิรัติโดยบริสุทธิ์ (ท่านท่านอนุตราจารย์ชิงไห่: ใช่) ดังนั้น ถ้าหากต้องการรับประทานอาหารมังสวิรัติบริสุทธิ์ บุคคลที่จะมาเข้าร่วมก็จะเกิดความลังเลใจ เนื่องจากการดำรงชีวิตของเขา อาจจะทำมิได้ ซึ่งนี่คืออุปสรรคข้อหนึ่ง ถ้าหากกล่าวว่า “ไม่เป็นไร เธอพยายามให้รับประทานอาหารมังสวิรัติก็เพียงพอแล้ว” หากเป็นเช่นนี้ บุคคลที่เข้าร่วมจะมีจำนวนมาก ดังนั้นในการเผยแพร่ในอนาคตจะฝ่าฟันอุปสรรคข้อนี้ได้อย่างไร?

ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่: เราไม่ได้ต้องการที่จะเอาชนะเรื่องนี้สักเท่าใด! (เสียงหัวเราะ) เขาเป็นพุทธะและเป็นพระเจ้า หากเขาประสงค์จะตื่น เราจะยื่นมือช่วยเหลือ เขาเป็นลำเทียนที่สมควรจะเปล่งแสง ถ้าเขาประสงค์จะเปล่งแสง เขาก็ควรจะเข้ามาใกล้ขึ้น เราจะได้จุดไฟให้เขา หากเขาไม่ทำเช่นนั้น เขาก็สามารถอยู่ที่นั่นต่อไปในความมืดอีกสักสองสามพันปี เราจะไม่รบกวนเขา มันเป็นเงื่อนไขของพุทธะว่าจะต้องทานอาหารมังสวิรัติ การเป็นพุทธะ เราควรปฏิบัติเช่นพระศากยมุนีพุทธเจ้าคือ ต้องเมตตากรุณา รักสรรพสัตว์ทั้งมวลและรับประทานเพียงอาหารมังสวิรัติ เรารับประทานผักลงไปบ้างเพียงเพราะเราไม่มีทางเลือกอื่น

ดังนั้นเราจึงไม่รับประทานมากนัก ทานเพียงให้พออิ่มที่ประมาณ 80% ไม่ใช่อิ่มเต็มถึงคอ ฉันรับประทานเพียง 1 หรืออย่างมาก 2 มื้อ/วัน ฉันทานมากขึ้นเพียงเฉพาะเมื่อเหนื่อยจริง ๆ ดังนั้นจึงเป็นทางเลือกของตัวบุคคลเองว่าจะหันมารับประทานมังสวิรัติหรือไม่ ฉันเพียงกล่าวว่า เราไม่ต้องการควบคุมผู้ใด เราจะยืนอยู่ข้าง ๆ พร้อมจะให้ความช่วยเหลือ หากพวกเขาต้องการจะมา เราจะบอกเขาว่าให้ทำเช่นไร หากไม่ประสงค์จะมาก็ไม่เป็นไร มาในคราวต่อไปก็ได้ และใช้เวลาย้อนคิดมันมากขึ้น พวกเขาคือพระเจ้า พวกเขาเป็นผู้ที่ตัดสินใจว่า พวกเขาต้องการตื่นเมื่อใด

ประธาน: ผมคิดว่า ตอนต่อไปนี้จะเป็นตอนที่สั้นหน่อย หลักสำคัญคือต้องการกล่าวความคาดหวังของพวกเราอีกก้าวหนึ่งโดยความคิดเห็นในเชิงวิชาการและศาสนา หวังว่ามีหัวข้อบางอย่างสามารถทำให้เกิดความชัดเจน ขอบคุณการให้คำตอบของท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ พวกเราจะเข้าสู่รอบที่ 2 ขอเชิญท่านศาสตราจารย์หร่วนมาทำการวินิจฉัยหรือให้การวิจารณ์แก่เรา

ศาสตราจารย์หร่วน: เมื่อสักครู่ได้ฟังจบ 1 ตอนเกี่ยวกับการถามการตอบนี้ ทำให้มีความรู้สึกว่า ข้างในยังมีความล้าหลังอยู่สิ่งหนึ่ง คือคำกล่าวจากประสบการณ์ของตนของผู้บำเพ็ญท่านหนึ่ง อีกสิ่งหนึ่งคือมีการยอมรับในสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยคตินิยมของคนทั่วไป การศึกษาเสาะหาความรู้ ซึ่งดูเหมือนว่า ข้างในจะมีปัญหาอะไรอยู่ ประตูในประตูนอก (ภายนอกกับภายใน) ซึ่งมีระยะความห่างอยู่ตรงกลาง (อาจารย์และผู้คนหัวเราะ)

ส่วนตอนที่ 2 สิ่งที่ส่วนตัวผมมีความสนใจเป็นพิเศษคือ การหวนนึกอดีตและความหวังการพัฒนาในอนาคต เนื่องจากส่วนนี้มีการอธิบายด้วยตัวหนังสือ ข้างในซึ่งมีความคิดและคติธรรมบางอย่าง ผมเองเป็นผู้ศึกษาวิจัยประวัติศาสตร์ ผมรู้สึกว่า ตั้งแต่มีการบันทึกประวัติศาสตร์มา มนุษย์ชาติได้ทำสงครามกัน การทำสงครามนั้นนำความทุกข์และภัยอันยิ่งใหญ่มาให้กับมนุษยชาติ แต่จนถึงปัจจุบันมนุษยชาติยังไม่สามารถพ้นสงครามได้ แม้มองจากรูปการภายนอกสงครามคือการขัดแย้งในด้านการทหาร เมื่อมองให้ลึกซึ้งสงครามเป็นการขัดแย้งทางด้านผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและอำนาจทางการเมือง เมื่อมองลึกเข้าไปข้างในอีกสงครามเป็นการขัดแย้งทางด้านความก้าวหน้า ซึ่งความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในความก้าวหน้า ความแตกต่างทางศาสนาหรือความขัดแย้งที่เกิดขึ้นกับศาสนาก็เคยเป็น  อย่างน้อยที่สุดเคยเป็นสาเหตุความขัดแย้งของศาสนา
 

 แท้จริงมนุษย์ชาติมีศาสนาหนึ่งเดียวเท่านั้น
   
 

พวกได้สังเกตว่าหลายปีที่ผ่านมาท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ได้ส่งเสริมคติความคิดเกี่ยวกับความกลมเกลียวของศาสนาและโลกหนึ่งเดียวกัน ทุกท่านในงานอาจมีคนเคยเฝ้าสังเกตการเคลื่อนไหวของท่านอาจารย์ชิงไห่มาโดยตลอดหรืออาจจะได้อ่านข้อความจากบทวิจารณ์เมื่อสักครู่ที่ผ่านมา สิ่งที่ข้าพเจ้าได้สังเกตเห็นคือคติความคิดแห่งความกลมเกลียวของศาสนาและโลกหนึ่งเดียวกันที่ท่านอาจารย์ชิงไห่ได้ส่งเสริมมาเป็นเวลาหลายปี ท่านมีวิธีการกล่าวแบบหนึ่ง ท่านคิดว่า แท้จริงมนุษย์ชาติมีศาสนาหนึ่งเดียวเท่านั้น

เมื่อหลายวันที่ผ่านมา พวกเราอ่านหนังสือพิมพ์ไช่น่านิวสไทม์ ซึ่งมีการลงข่าวการสัมภาษณ์ท่านอนุตราจารย์ของสถานีโทรทัศน์แอฟริกาใต้ ซึ่งข้อความดังกล่าว ท่านได้กล่าวว่า แท้จริงมนุษย์ชาติมีศาสนาหนึ่งเดียวเท่านั้น ศาสนาต่าง ๆ แท้จริงบูชาพระเจ้าองค์เดียวกัน เพียงแต่นามของพระเจ้าเมื่อไปอยู่ในวัฒนธรรมที่ต่างกันจะมีภาษาการเรียกชื่อที่ต่างกัน เป็นเพราะว่าความแตกต่างของภาษามนุษย์ ผมคิดว่า ความคิดแบบนี้มีความก้าวหน้าล้ำเลิศมาก ถ้าหากทุกศาสนายอมรับความคิดแบบนี้ พวกเขาจะเคารพ ให้เกียรติกันซึ่งกันละกัน ซึ่งยิ่งนับวันยิ่งจะมีความสามัคคีกลมเกลียวกัน เช่นนั้นจึงจะเป็นความสุขของมนุษย์ชาติ ดังนั้นท่านอนุตราจารย์จึงได้ส่งเสริมให้มีการประชุมศาสนาโลกและการประชุมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของผู้นำศาสนาของโลก เพื่อร่วมกันวางแผนในการอธิษฐานเพื่อความสันติภาพของโลก ซึ่งจะช่วยให้บรรยากาศแห่งความกลมเกลียวของศาสนาและความสันติภาพของโลกให้ดีขึ้นได้อย่างมาก

ไม่นานที่ผ่านมาได้ดูการรายงานข่าวต่างประเทศ วันที่ 12 มีนาคมปีนี้ สมเด็จพระสันตะปาปาโป๊ปจอห์นปอล ที่ 2 แห่งศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก เมื่อตอนที่ท่านได้ทำพิธีขอขมาที่โบสถ์นักบุญเปาโลในวาติกัน ท่านได้กล่าวคำอธิบายต่อสาธารณชน โดยทางศาสนายอมรับอย่างเปิดใจว่า เมื่อ 2,000 ปีที่แล้วได้กระทำความผิดไว้ ขอให้พระเจ้าให้อภัยผู้นำแห่งศาสนาที่ใหญ่ที่สุดในโลก ท่านยอมเป็นตัวแทนของมนุษย์โลกในการยอมรับผิดอย่างเปิดเผยและขออภัยทาน ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เคยมีมาก่อนในอดีตกาล 2,000 ปีที่ผ่านมา ซึ่งการกระทำเช่นนี้จะต้องมีความจริงใจ มีความกล้าหาญและมีสติปัญญาอย่างมาก เมื่อพวกเราได้ทราบข่าวนี้แล้ว มิเพียงไม่เกิดความคิดที่นึกตำนิและดูถูก แต่กลับรู้สึกมีความซาบซึ้งมากและได้รับการกระตุ้นอย่างแรงในฤดูใบไม้ผลิฤดูแรกแห่งศตวรรษที่ 21 สามารถรับฟังข่าวสารเช่นนี้สำหรับอนาคตของมนุษย์ชาติแล้ว ซึ่งจะมีเหตุผลเพียงพอที่จะตั้งความหวังที่งดงามไว้ ท่านอนุตราจารย์มักจะกล่าวถึงสหัสวรรษใหม่เสมอว่า ยุคทองจะมาถึงแล้ว ซึ่งคิดว่าคงมิได้เป็นความฝันอย่างแน่นอน

อันดับต่อมา คือส่วนที่ผมได้อ่านจบเนื้อหาข้อความการบรรยายส่วนที่เกี่ยวข้องกับการบรรยายธรรมที่เอเชียอาคเนย์ แม้เนื้อหาส่วนนี้จะเป็นการสรุปโดยสังเขป แต่มีข้อความกว้างหลายหน้า เมื่อข้าพเจ้าอ่านจบ ทำให้ความเกิดความรู้สึกว่าไม่อยากจะเชื่อเลยว่า สตรีที่ดูรูปร่างเล็กคนหนึ่ง กลับสมารถมีพลังในการกระทำที่ยิ่งใหญ่ในการนำพา ผลักดันและรวบรวมภายในเวลาอันสั้นมาก ซึ่งสิ่งดังกล่าวเป็นเพียงกิจกรรมส่วนหนึ่งที่กระทำที่เอเชียอาคเนย์ของอนุตราจารย์เท่านั้น ซึ่งยังมิได้รวมถึงกิจกรรมการงานประเภทเดียวกันที่ท่านอนุตราจารย์ได้กระทำตามพื้นที่อื่น ๆ นอกอาณาเขตเอเชียอาคเนย์ ถ้าหากสิ่งทั้งหมดนี้เป็นความจริงแล้วก็ คงต้องใช้ความรักและความมีกำลังใจที่ยิ่งใหญ่มากจึงจะสามารถทำได้เกี่ยวกับปัญหาความศรัทธาทางด้านศาสนาของชาวจีนเอเชียอาคเนย์

เมื่อตอนที่ 1 ผมได้กล่าวแล้ว ซึ่งในงานคงจะมีนักวิจัยและนักวิชาการที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องการค้นคว้าวิจัยสังคมชาวจีนอยู่เป็นจำนวนมาก และยังมีนักวิชาการที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านศาสนาอีก พวกเขาอาจจะตั้งคำถามที่ดียิ่งกว่าออกมาได้ เมื่ออยู่ ณ ที่นี่ ผมจะขอเป็นตัวแทนตั้งคำถาม 2 ข้อที่คิดว่าเป็นคำถามที่ผู้คนมักจะคิดถามเพื่อขอคำชี้แนะจากท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ ซึ่งข้าพเจ้าจะต้องเน้นไปในเรื่องเกี่ยวกับธรรมวิถีกวนอิมอย่างแน่นอน

 

 การสร้างบุญสัมพันธ์อย่างกว้างขวาง
   
 

คำถามข้อที่ 1 พวกเราได้สังเกตถึงเดือนธันวาคมปี 2542 ท่านได้กล่าวคำพูดในงานประชุมศาสนาโลกที่เคปเทาน์ แอฟริกาใต้ ซึ่งหัวใจสำคัญในการกล่าวของท่านมิได้เน้นเรื่องคำสอนของศาสนา แต่ท่านได้เน้นวิธีการอันหนึ่งที่ซึ่งสามารถสัมผัสได้ว่า ตนเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าทุก ๆ วัน คำถามของพวกเราคือ จากข้อมูลทางประวัติศาสตร์ทำให้ทราบว่า ในอดีตกาลมีมหาอาจารย์ผู้รู้แจ้งน้อยท่านที่สามารถถ่ายทอดธรรมวิถีที่รู้แจ้งฉับพลันนี้ได้ ถ้าหากมี ท่านก็คงจะถ่ายทอดให้กับลูกศิษย์เพียงไม่กี่คนเท่านั้นใช่หรือไม่? พวกเราทราบมาว่า ยุคก่อนหน้าท่านสังฆปรินายกองศ์ที่ 6 ของจีน ล้วนมีแต่การถ่ายทอดให้เพียงผู้เดียวเท่านั้น ส่วนท่านสังฆปรินายกองศ์ที่ 6 ท่านได้มีการถ่ายทอดให้บุคคลจำนวนที่มากกว่า อาจจะมีหลาย 10 คน ตัวเลขที่แน่ชัดข้าพเจ้าไม่ทราบ

ดังนั้น มหาอาจารย์ผู้รู้แจ้งในอดีตจะถ่ายทอดธรรมให้ลูกศิษย์กลุ่มคนจำนวนน้อยเท่านั้น และลูกศิษย์มักจะต้องลุยน้ำ ข้ามป่าโดยผ่านความทุกข์ยากอย่างมากจึงจะสามารถได้ธรรมที่ล้ำค่านี้มา แต่สำหรับปัจจุบัน ธรรมวิถีกวนอิมที่ท่านกล่าวถึงคือธรรมวิถีแบบเดียวกัน แต่ท่านกลับมีการสร้างบุญสัมพันธ์อย่างกว้างขวาง ไม่ว่าผู้ใดมาขอธรรม เพียงแต่เขามีความจริงใจในการเรียกร้อง ท่านก็จะถ่ายทอดให้อย่างมีความโอบอ้อมอารีโดยไม่เก็บค่าใช้จ่ายใด ๆ ทำให้พวกเขาสามารถได้ธรรมมาอย่างง่ายดาย ผมอยากทราบเหตุผลของเรื่องนี้ว่าเป็นอย่างไร และเหตุใดจึงมีความแตกต่างกันมากเช่นนี้?

ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่: ในโบราณกาล พวกเขาก็ยังสอนสานุศิษย์จำนวนมาก ตัวอย่างเช่น พระศากยมุนีพุทธเจ้ามีสานุศิษย์อยู่นับหมื่น ๆ คน อย่างไรก็ตาม มีศิษย์หลัก 2-3 คน เช่น พระอานนท์และพระราหุล มีหน้าที่รับผิดชอบเพื่อสืบสายธรรมต่อไป ศิษย์หลักเหล่านี้ก็เป็นดั่งเช่นนักบวชกวนอิม จะต้องได้รับการฝึกฝนเป็นพิเศษและต้องจดจำคำสอนภายนอก ซึ่งจะได้นำไปถ่ายทอดให้กับผู้คน อย่างไรก็ตาม สานุศิษย์อื่น ๆ ส่วนมากเป็นฆราวาส และพวกเขาเช่นกัน มิได้มีปัญหาใด ๆ

ตัวอย่างเช่น มีผู้บำเพ็ญฆราวาสคนหนึ่งชื่อวิมลเกียรติ ท่านมิได้ออกไปแสดงธรรม แต่ทุก ๆ คนก็เกรงกลัวท่าน ท่านมิได้ออกไปสอนธรรม เพราะว่าทำอยู่ที่บ้านก็มีพลังเพียงพอแล้ว จริง ๆ แล้วพระเยซูคริสต์ก็มีสานุศิษย์มากมาย แต่มีอยู่ 12 คนติดตามพระองค์ตลอดเวลาและได้รับการฝึกฝนซึ่งทำให้พวกเขาสามารถช่วยพระองค์บรรลุที่จะถ่ายทอดคำสอนได้ในภายหลังจริง ๆ แล้ว หากสิ่งที่ท่านกล่าวเป็นจริง เราจะอยู่ในยุคสมัยที่น่าพึงพอใจน้อยกว่า เราควรจะแบ่งปันสัจธรรมอย่างรวดเร็ว มิฉะนั้นก็จะสายเกินไป ฉันมิใช่คนขี้เหนียว ฉันแบ่งปันเงินและทุก ๆ อย่างที่ฉันทราบ บางทีมันอาจจะเป็นนิสัยของฉันก็ได้

ศาสตราจารย์หร่วน: เราอาจต้องขยายวิสัยทัศน์ให้กว้างไกลออกไปสักนิด มิเพียงเป็นการมองเห็นสภาพการณ์ของจีนเท่านั้น ควรจะมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลไปสู่ทั่วโลก

ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่: เมื่อมีข่าวดีอะไร เราก็ควรจะกระจายออกไป แต่นี่เป็นหน้าที่ที่เหน็ดเหนื่อยแน่นอน ฉันก็อยากจะกระทำตนอย่างที่ท่านแนะนำมากกว่า แอบอยู่ในมุมหนึ่งและรอให้ผู้คนมาพบฉัน มันจะทำให้ฉันรู้สึกมีคุณค่ามากกว่านี้ เมื่อเราแบ่งปันสัจธรรมในสังคมในลักษณะนี้ ผู้คนจะประณามฉันและจะเข้าใจฉันผิด เราจะรู้สึกเสียหน้า อย่างไรก็ตาม ไม่เป็นไร นี่มิใช่ “หน้าเดิมแท้ของเรา เราเสียหน้านี้ไป แต่เราจะมีหน้าที่ดีกว่าภายใน

ศาสตราจารย์หร่วน: คำถามที่ 2 และเป็นคำถามสุดท้าย ผมอ่านบทความบทนี้แล้ว ทราบท่านนอกจากจะเป็นอาจารย์ทางจิตวิญญาณ ที่ซึ่งนำพาสรรพสัตว์ให้ค้นพบพระเจ้าและรวมเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าแล้ว ท่านก็มีความฝันเกี่ยวกับโลกมนุษย์ คือท่านหวังอยากให้โลกนี้มีความสันติภาพ การที่โลกมีสันติภาพ

เป็นความต้องการของมนุษยชาติ แต่เราจะคิดว่า ประชากรทั่วโลกรักสันติภาพ แต่สงครามมักจะเกิดขึ้นโดยบุคคลที่มีอิทธิพลทางด้านการเมือง ดังนั้นเมื่อมองในแง่ของแนวทฤษฎีตรรกศาสตร์แล้ว ควรจะให้บุคคลที่มีอิทธิพลทางด้านการเมืองรู้แจ้งก่อน (ผู้คนหัวเราะ) ซึ่งเป็นวิธีการที่รวดเร็วที่สุดและได้ผลที่สุดที่จะนำพาโลกให้เข้าสู่สภาวะแห่งสันติภาพ ดังนั้นผมจึงอยากเรียนถามท่านอนุตราจารย์ชิง-ไห่ ท่านคิดว่า แนวความคิดนี้สอดคล้องกับสัจธรรมหรือไม่ (ท่านท่านอนุตราจารย์ชิงไห่: ถูกต้องตามหลักสัจธรรม) สำหรับเรื่องนี้ท่านมีวิธีการอะไรที่เป็นกลไกพิเศษหรือไม่?

ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่: เพียงมีเหตุผลมากเกินไป ปัญหาคือว่าพวกเขาไม่ประสงค์จะให้ความร่วมมือ ดูฉันสิ ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ง่ายไหมล่ะที่ฉันจะได้ไปพบพวกเขา? ท่านนำพวกเขามาที่นี่ แล้วฉันจะให้ความรู้แจ้งกับพวกเขา เราทั้งสองมาร่วมงานกันได้ (เสียงหัวเราะ) โลกนี้ให้ความเคารพยำเกรงผู้ชายมากกว่าผู้หญิง บุคคลซึ่งได้รับเลือกให้อยู่ในอำนาจ ไม่ใส่ใจหรอกที่จะพบเรา เราควรรู้สึกเป็นบุญคุณแล้วที่เขาไม่ฆ่าเรา! บางรัฐบาลกลัวคนที่มีผู้รู้จักดีและมีการสนับสนุนของประชาชน และผู้ที่พวกเขาเห็นว่าเป็นผู้แข่งขัน

นักการเมืองคิดว่า เราก็อยู่ในธุรกิจการเมืองเช่นกัน พยายามที่จะให้ได้ชื่อเสียงและกำไร ดังนั้นผู้บำเพ็ญทางจิตวิญญาณอย่างเช่นเรา ซึ่งเปิดเผยและมีชื่อเสียงมากกว่า จะพบว่าชีวิตจะอยู่ในอันตราย หากรัฐบาลใดสามารถยอมรับและเข้าใจเรา และปล่อยให้เราสอนได้อย่างอิสระ เราก็รู้สึกเป็นบุญคุณอย่างยิ่งแล้ว เราไม่เคยฝันใฝ่ว่า พวกเขาจะมาหาเรา ดังนั้นความฝันของท่านนี้นั้นสวยงามยิ่งนัก (เสียงหัวเราะ)

ศาสตราจารย์หร่วน: ความฝันอันนี้คงต้องฝากไว้ที่ตัวท่านอนุตราจารย์แล้วครับ!

ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่: เป็นเรื่องไม่ง่ายนักที่จะจัดการกับโลกนี้ ดังที่ท่านทราบ เป็นเรื่องยากที่จะสร้างการติดต่อกับคนที่อยู่ในอำนาจ พวกเขาได้รับการคุ้มกันดียิ่งจนยากสำหรับพวกเขาที่จะติดต่อเรา แม้นว่าพวกเขาต้องการเช่นนั้น ผู้คนที่อยู่รายรอบบุคคลในอำนาจ จะป้องกันเขา ไม่ให้ติดต่อกับใครที่พวกเขาคิดว่า เขาไม่ควรจะพบ พวกเขาจะให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องกับเขา และให้มุมมองที่แตกต่างไป เขาเองจะไม่สามารถทะลวงผ่านเกราะอันนี้เพื่อติดต่อกับผู้คนได้ ดังนั้นเขาจึงถูกจำกัดเช่นกัน เป็นเรื่องค่อนข้างยาก แต่เราจะพยายามคิดหาวิธี ถึงแม้ว่าฉันไม่ค่อยประสงค์จะทำเช่นนั้นสักเท่าใด เราควรจะปล่อยให้สิ่งต่าง ๆ ดำเนินไปตามธรรมชาติ

ประธาน: ขอขอบพระคุณการสนทนาทั้ง 2 ท่าน ผมคิดว่า เราคงควรดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ท่านผู้มีเกียรติทุกท่านที่มาร่วมในงานนี้มีคำถามอะไรจะถามไหม? งานของเราวันนี้มีอาคันตุกะสำคัญยิ่งท่านหนึ่ง ท่านมีความเกรงใจมาก เชื้อเชิญท่านขึ้นมานั่ง ท่านก็มิได้ขึ้นมา ท่านคือคุณเคอเหวินหู ซึ่งเป็นอดีตนายอำเภอเมืองผิงตงของเรา และดำรงตำแหน่งเป็นรองนายกสมาคมแห่งสมาคมชาวจีนโพ้นทะเล ท่านนั่งอยู่ด้านหลังสุดของผู้คน ทางทีดีควรจะเชิญท่านเคอเข้ามา ท่านเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทการสื่อสารแห่งหนึ่ง ไม่ทราบว่าท่านมีอะไรจะกล่าวกับผู้คนหรือไม่? ขอเชิญครับ

ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่: บุคคลที่ยิ่งใหญ่สมควรจะอ่อนน้อมถ่อมตน ท่านอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นยิ่งนัก นั่นคือสาเหตุที่ท่านเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่

ผู้จัดการเคอกล่าว: ท่านประธาน ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ ท่านศาสตราจารย์ สุภาพบุรุษ สุภาพสตรีทุกท่าน รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ท่านอนุตราจารย์อาจจะเคยไปที่เมืองผิงตง ซึ่งเป็นบ้านเกิดของผม และที่เมืองผิงตง มีศูนย์ที่เฉาโจวแห่งหนึ่ง เฉาโจวคือสถานที่เกิดของผม (ท่านอนุตราจารย์: ฉันชอบผิงตงมาก ในฤดูหนาวก็ยังมีความอบอุ่นมาก) ศูนย์แห่งนั้นผมเคยไป เพราะศูนย์แห่งนี้เป็นศูนย์ที่ให้โดยท่านกำนันหงเจิ้นจั่ง แห่งตำบลเฉาโจว ซึ่งกำนันหงเจิ้นจั่ง ดำรงตำแหน่งเป็นกำนันแห่งตำบลเฉาโจว ตอนนั้นผมเองกำลังดำรงตำแหน่งเป็นนายอำเภอแห่งเมืองนั้นอยู่ จึงมีความสนิทสนมกันเสมือนพี่น้องกัน แต่น่าเสียดายที่เวลานี้ท่านไม่อยู่อีกแล้ว ผมเคยไปไหว้สุสานของท่าน และผมเคยไปดู เยี่ยมชมที่ศูนย์ปฏิบัติธรรม ปัจจุบันยังอยู่ที่นั่น ยังมีคนคอยดูแลรักษา รู้สึกว่าจะตกแต่งดูแลรักษาได้ไม่เลวทีเดียว

ผมคิดว่า การที่ท่านอนุตราจารย์จากฟอร์โมซาไป การกล่าวโดยตามในสิ่งที่ผมเคยเห็นมา ซึ่งรู้สึกจะเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก เพราะศูนย์ปฏิบัติที่ดีเช่นนั้นเมื่อตอนที่ท่านอยู่ ที่นั่นก็เสมือนดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งศาสนาพุทธแห่งหนึ่ง หรือดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งลัทธิศาสนาแห่งหนึ่ง ผมคิดว่า ศาสนานี้พยายามที่จะชำระล้างจิตใจคนให้บริสุทธิ์และนำพาคนให้เดินทางไปในหนทางที่ดีงาม ซึ่งเป็นพลังอันหนึ่งที่สังคมของเราต้องการมากที่สุดในปัจจุบัน คำถามของผมคือ ท่านได้เดินทางออกไปจากฟอร์โมซา จะมีโอกาศได้กลับมาที่ฟอร์โมซาอีกหรือไม่? และมาปฏิบัติงานหน้าที่ที่มีความหมายยิ่งนี้อีกหรือไม่? (ผู้คนปรบมือ)

ประธาน: ท่านจะกลับมาที่ฟอร์โมซาอีกหรือไม่?

ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่: มันขึ้นอยู่กับการจัดการของพระเจ้า คนในทุก ๆ ประเทศขอให้ฉันอยู่ ซึ่งทำให้ฉันยากจะตัดสินใจ ฉันจะต้องเคลื่อนย้ายได้ตลอดเวลา เพื่อฉันจะได้แบ่งเวลาให้กับทุก ๆ คน บางทีฉันอาจปล่อยเรื่องราวไปก่อนจนฉันอายุมากขึ้น หากฉันไม่มีสถานที่จะไป เมื่อนั้นฉันจะกลับมาร้องขอสถานที่อยู่อาศัย ขอบคุณมากสำหรับความห่วงใยอันเปี่ยมด้วยรักของท่านและคำแนะนำ ฉันคิดถึงประเทศบ้านเกิดเป็นอย่างยิ่ง แต่บางครั้งดวงชะตาของเราก็ไม่เหมือนกัน เราจะต้องทำเท่าที่เราทำได้ ฉันคิดถึงฟอร์โมซามากนัก ที่นี่ฉันรู้สึกเหมือนเป็นคนพื้นเมือง และทุก ๆ คนก็รักฉันมาก ดังนั้นหากมีโอกาสในอนาคต  แน่นอนฉันจะกลับมา

ผู้จัดการเคอ: ผมขอเพิ่มเติมอีก 1 ประโยค ผมชอบรูปแบบลักษณะปัจจุบันของท่านอนุตราจารย์ เนื่องจากภาพพจน์ที่ผมเคยเห็นในอดีตดูเหมือนจะไม่ประทับใจซาบซึ้งเหมือนอย่างวันนี้ให้กับผมไว้ อาจมีสักวันหนึ่งผมจะขอติดตามท่านก็ยังไม่แน่ (ผู้คนหัวเราะและปรบมือ)

ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่: ยินดีต้อนรับ! แน่นอน ในลักษณะนี้ฉันดูเป็นมิตรมากกว่า แต่ก่อนฉันไม่แต่งกายเช่นนี้ ทั้งยังไม่แต่งหน้า ฉันจะรู้สึกสบายกว่านี้มากนัก เวลาที่ฉันแต่งตัว ฉันจะรู้สึกราวกับว่ามีอะไรติดอยู่บนใบหน้าฉัน แต่ฉันก็เคยชินแล้ว ดีที่ทุก ๆ คนชอบมัน ในลักษณะนี้ มันง่ายที่จะติดต่อสื่อสารกับท่าน ขอบคุณ!  ฉันสามารถรู้สึกถึงความเมตตาอันเปี่ยมด้วยรักของท่าน หากมีโอกาสในอนาคตฉันจะมาอีกครั้งหนึ่ง ฉันมาที่นี่ได้ 3 วันแล้ว และมีคนประมาณ 30,000 คนเห็นฉันเมื่อวานนี้ คนทั้งฟอร์โมซาเห็นฉัน ขอบคุณที่มีการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ ถ้าคิดเช่นนี้ ก็กล่าวได้ว่าฉันกลับมาฟอร์โมซาแล้ว ฉันใช้เวลาเล็กน้อยในแต่ละประเทศ อย่างไรก็ตาม ขอบคุณมาก ฉันจะหาวิธี ฉันชอบฟอร์โมซามากที่สุด ฉันอาศัยอยู่ที่นี่มากกว่า 10 ปี และมันเป็นเสมือนบ้านของฉัน ฉันไม่เคยอยู่ที่ใดเป็นเวลานานเช่นนั้น ยกเว้นในเอาหลัก ในโลกนี้ฉันอยู่ที่ฟอร์โมซาเป็นระยะเวลานานที่สุด

ประธาน: ขอขอบคุณท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ ทุกท่าน ผมคิดว่า โลกนี้ไม่มีงานเลี้ยงอะไรที่ไม่เลิกลา วันนี้รู้สึกมีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้เชิญท่านอนุตราจารย์มาร่วมงาน จากการสนทนาเกือบ 2 ชั่วโมงเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา คิดว่าทุกท่านสามารถได้รับความรู้จากบทสนทนาเกี่ยวกับศาสนา วิชาการและความศรัทธา ซึ่งแม้ข้างในนี้จะยังคงมีข้อบกพร่องบางประการอยู่ก็ตาม แต่การปฏิบัติงานของเราคือการดำเนินงานทางด้านการวิจัยแห่งศูนย์วิจัยส่วนกลาง ดังนั้นเราจึงเน้นการค้นหาคำตอบที่เกี่ยวกับความรู้ทางด้านวิชาการและความรู้ทางด้านแนวทฤษฎี ผมคิดว่า จากการสนทนาเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา ท่านอนุตราจารย์ได้ฝากถ้อยคำซึ่งเปี่ยมล้นไปด้วยปัญญาอันล้ำเลิศมากแก่เรา ซึ่งสามารถนำไปเป็นสิ่งพิจารณาในการวิจัยในอนาคตของเรา

จากการสนทนาในวันนี้ ทุกท่านสามารถสัมผัสได้เกี่ยวกับการอบรมสั่งสอนของธรรมวิถีกวนอิมเช่นที่ศาสตราจารย์หร่วนกล่าว คือเป็นทิศทางแห่งบุคคลบำเพ็ญยุคปัจจุบันแห่งโลกาภิวัตน์ ซึ่งเป็นท่านอนุตราจารย์ชิงไห่เน้นในเรื่องนี้ กล่าวโดยประโยคสำคัญประโยคหนึ่งคือการย้อนกลับสู่จิตพุทธะธรรมชาติของตนเอง โดยอาศัยทิศทางนี้มาเป็นการบำเพ็ญ ส่วนทางด้านการจัดตั้งหน่วยงานและองค์การ เราได้สังเกตเห็นว่า กล่าวโดยภาพรวมแล้วยังเป็นสิ่งที่มีความดีเลิศเป็นพิเศษเหนือมนุษย์ พลังที่สามารถทำให้บุคคลที่อยู่ตามสถานที่ต่าง ๆ ช่วยเหลือซึ่งกันและกันโดยมิได้นัดหมายมาก่อน พลังชนิดนี้แท้จริงแล้วอยู่ที่ใด? ผมคิดว่า นอกจากเราจะศึกษาวิจัยจากความเห็นในเชิงศรัทธาและความรู้ทางวิชาการแล้ว ซึ่งข้างในนี้ยังมีสิ่งมากมายที่ควรแก่การไตร่ตรองพิจารณาให้ลึกซึ้งมากขึ้น ส่วนทางด้านการเผยแพร่ก็มีความเป็นพิเศษมาก ซึ่งผู้นำแห่งสมาคมปฏิบัติธรรมที่มาร่วมงาน พวกเขาได้กล่าวออกมา พวกเขาใช้วิธีการกระทำเพื่อผลักดันให้เป็นไปโดยเงียบ ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่านับถือยิ่ง

ทุกท่าน ซึ่งเดิมเราหวังไว้ว่าจะเป็นการสนทนาเพื่อวิจัยเกี่ยวกับชาวจีนเอเชียอาคเนย์เท่านั้น แต่เราได้สังเกตเห็นว่า ศาสนาที่ไร้พรมแดน เรามิอาจที่จะควบคุมให้ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่กล่าวถึงสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเอเชียอาคเนย์เท่านั้น ซึ่งอาจเป็นจุดดีเด่นอย่างหนึ่ง มิอาจกล่าวว่าเป็นจุดบกพร่อง จะกล่าวเช่นนั้นอย่างไร? เพราะแท้จริงแล้ว ชาวจีนทั่วโลกในอนาคตอาจกล่าวรวมไปถึงเป็นชาวจีนโพ้นทะเลที่มีอยู่ จิตสำนึกของชาวจีนโพ้นทะเล จิตสำนึกซึ่งเป็นจิตสำนึกที่ศูนย์วิจัยชาวจีนของเราปลูกฝังให้เกิดคติแห่งจิตสำนึกแบบนี้ในอนาคต โดยใช้เป็นทิศทางของชาวจีนโพ้นทะเล กิจกรรมทางด้านศาสนา เราสามารถพิสูจน์ได้ก้าวหน้าไปอีกขั้นหนึ่งว่า ชาวจีนเป็นชนชาติที่ไร้พรมแดน

ดังนั้น ในดินแดนที่ไร้พรมแดนนี้ได้มีภาพพจน์ที่อยู่เหนือความก้าวหน้าทางด้านตะวันออกและตะวันตก ซึ่งทำให้เรามองเห็นว่า พลังนำทางด้านวัฒนธรรมเป็นผู้นำทางพลังทางด้านเศรษฐกิจ โดยอยู่เหนือการควบคุมของการเมือง ซึ่งเป็นภาพพจน์ที่ดีงามแห่งสังคมที่มีมากมายหลายองค์กร ดังนั้นการเมืองจึงไม่สามารถควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างได้อีกต่อไป ในสังคมที่มีหลากหลายองค์กรนี้ ทุก ๆ องค์กรของสังคมได้พัฒนาและสร้างโลกที่แตกต่างของตนขึ้นมา

วันนี้รู้สึกมีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมจัดงานภายใต้การสนับสนุนจากเพื่อนร่วมงานจากศูนย์วิจัยส่วนกลางทุกๆ ด้าน ซึ่งช่วยผลักดันให้การสนทนาในวันนี้ดำเนินไปโดยราบรื่น เป็นการแน่นอนที่เราต้องขอขอบคุณกลุ่มนักวิจัยของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านผู้ช่วยเลขานุการ เนื่องจากท่านจัดการวางแผนได้ผล โดยได้ทำงานอย่างเป็นระบบและทุ่มเทอย่างยิ่งกับสมาคมปฏิบัติธรรม ดังนั้นวันนี้จึงได้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างยิ่ง เราก็ขอขอบคุณนักวิชาการที่มาร่วมงานทุกท่าน นักหนังสือพิมพ์ทุกแห่งและบุคคลที่มีความสนใจจากทุกสาขาอาชีพทุกท่าน ซึ่งเป็นการแน่นอน เราควรจะขอบคุณผู้วินิจฉัยของเราเป็นอย่างยิ่ง คำถาม การสัมผัสและคำวินิจฉัยที่มีความประทับใจยิ่งและเปี่ยมล้นด้วยปัญญาของท่าน

สุดท้ายเราต้องขอขอบพระคุณท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ ขอบพระคุณท่านที่สละเวลาจากภารกิจอันมากมายของท่านมายังศูนย์วิจัยส่วนกลางของเรา (ทุกคนปรบมือ) วาจาที่มีความประทับใจและเป็นเครื่องชี้นำของท่านในวันนี้ทำให้เราเกิดช่องทางในการพิจารณาไตร่ตรองเพิ่มมากขึ้น วันนี้ขอขอบพระคุณทุกท่าน ขอขอบพระคุณ

ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่: ขอบคุณมาก! ขอบคุณทุกๆคน! (เสียงปรบมือ)

ถ: จะถามคำถามสุดท้ายได้อีก 1 คำถามหรือไม่?

ประธาน: อ้าว! ยังมีคำถามอีกหรือ?

ถ: เมื่อตอนที่ท่านเผยแพร่ไปที่เอเชียอาคเนย์ ลูกศิษย์ส่วนใหญ่จะเป็นชาวจีนหรือไม่? ได้ข่าวว่ามีชนพื้นเมืองอีก ยกตัวอย่างเช่น ชาวอินโดนีเซียหรือชาวมลายู?

ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่: มีทั้งชาวจีนและคนในประเทศ

: แต่ส่วนใหญ่จะเป็นชาวจีนใช่ไหม?

ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่: ไม่ ๆ เราจะแนะนำวิถีของเราต่อไปให้ทุกคนที่มามีชาวท้องถิ่นมากมาย และเราจำนวนมากต้องการฟังการแปลผ่านหูฟังที่ไหนก็ตามที่เราไปเรามักจะต้องการคนมากมายที่จะแปลการบรรยายของเราเป็นภาษาต่าง ๆ

ถ: คำถามของฉันเกี่ยวกับเสื้อผ้าสวรรค์ เราทุกคนต่างก็ได้ให้ความสนใจกัน เมื่อสักครู่ท่านได้กล่าวถึงเสื้อผ้าสวรรค์ที่ท่านออกแบบ ยิ่งมายิ่งมีความล้ำค่า หลังจากที่ผลิตเสื้อผ้าสวรรค์และเสื้อผ้าดีเด่นออกมาแล้ว เสื้อผ้าเหล่านี้ถูกนำไปไว้อยู่ที่ใด จำหน่ายออกไปหรือเก็บไว้แสดงหรือจัดการอย่างไร?

ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่: เราขายไป

ถ: แล้วนำไปจำหน่ายให้แก่ผู้ใด?

ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่: ให้กับใครก็ตามที่อยากจะซื้อ นี่คืออิสระเสรี เรายังมีบูติคในไทเป ใครก็ได้สามารถเข้าไปและซื้อสิ่งที่เขาต้องการ

ถ: โอเค ขอบคุณ

ประธาน: ถ้าอย่างนั้นวัดตัวอย่างไรเล่า? (เสียงหัวเราะ)

ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่: เราจะต้องวัดตัว แล้วท่านจะต้องรอสักระยะหนึ่ง เนื่องจากเราเน้นคุณภาพ ไม่ใช่ปริมาณ เราจึงต้องวัดตัวอย่างละเอียดให้กับลูกค้าแต่ละคน นอกจากนี้ เรามีอยู่เพียงอย่างมาก 2-3 ชุดของแต่ละแบบ เราไม่สามารถผลิตได้จำนวนมากเกินไป

ประธาน: เราจะกล่าวปิดประชุมเป็นทางการแล้ว ขอขอบคุณทุกท่าน ขอขอบคุณ (ผู้คนปรบมือ)

หน้า 1 2 3