English

 หน้าแรก | ธรรมวิถีกวนอิม | อนุตราจารย์ชิงไห่ | ปาฐกถาธรรม | ถาม-ตอบ | ไข่มุกแห่งปัญญา | อาจารย์เล่าเรื่องตลก | อาจารย์เล่านิทาน | รูปภาพ
 สิ่งพิมพ์ | เทปคาสเซทและซีดี | ดีวีดี | บทกวี | ศิลปะสูงสุด | ประสบการณ์มหัศจรรย์ | รายงานพิเศษ | ธรรมสาร | สูตรอาหาร
 
 
 
ธรรมวิถีกวนอิมคืออะไร
 

ธรรมวิถีกวนอิม  เป็นวิถีการทำสมาธิที่เก่าแก่ที่สุดที่จะช่วยทำให้เรากลับมาค้นพบพลังยิ่งใหญ่ภายใน ซึ่งปรากฏอยู่ในลักษณะของแสงและเสียง จงฉวยโอกาสอันหายากนี้เพื่อเรียนรู้ภูมิปัญญาลี้ลับโบราณ ซึ่งเป็นกุญแจสู่วิธีที่ง่ายที่สุด  เร็วที่สุด และจริงแท้วิธีเดียวในการ  "รู้จักตนเอง"

สมาคมนานาชาติอนุตราจารย์ชิงไห่  ได้ตั้งมั่นที่จะทำให้วิถีกวนอิมเป็นวิถีที่ใครๆ ก็เข้าถึงได้ เป็นจำนวนมากเท่าที่จะเป็นไปได้ทั่วโลก  คำสอนอาจารย์มีไว้เฉพาะเพื่อเป็นประโยชน์ต่อมวลสรรพสัตว์  ดังนั้น  คำสอนจึงถูกถ่ายทอดโดยไร้ค่าใช้จ่ายใดๆ  ท่านอาจารย์ไม่ได้มาเพื่อทำให้ท่านเป็นศิษย์ของอาจารย์  แต่มาเพื่อช่วยให้ท่านเป็นอาจารย์ของตัวท่านเอง

 
 
 

"วิถีกวนอิมไม่ใช่ศาสนา อย่างไรก็ตามทุกศาสนาล้วนกำเนิดจากวิถีกวนอิม ขณะนี้มีศาสนาอยู่ในโลกนี้มากมายเกินไปอยู่แล้ว ฉันไม่อยากจะเติมเพิ่มไปอีกศาสนาหนึ่งในรายการ ฉันมิได้มีความตั้งใจเช่นนั้นมาแต่แรก มิฉะนั้นฉันคงทำมาตั้งนานมาแล้ว มันคงดีที่จะได้ยินคนเอ่ยถึงท่านว่าเป็น “ผู้ก่อตั้งศาสนา”  แต่ด้วยการบำเพ็ญวิถีกวนอิม เรากำลังหันกลับมาฟื้นคืนตัวตนเดิมแท้ของเรา ศาสนาต่าง ๆ ทั่วไปแล้วจะเอ่ยถึงประสบการณ์ของคนในอดีตกาล เช่น พระเยซูคริสต์ เป็นต้น ประเด็นที่จะเอ่ยถึง มักจะเป็นความสามารถหรืออำนาจเหนือธรรมชาติที่พระองค์ได้รับจากการบำเพ็ญทางจิตวิญญาณว่า พระองค์กลับไปรวมตัวกับพระเจ้าอย่างไร ว่าศิษย์ของพระองค์สำเร็จอะไรในระหว่างการบำเพ็ญ และว่าในท้ายที่สุดพวกเขารวมตนกับพระเจ้าอย่างไร ในกรณีของพระศากยมุนีพุทธเจ้า ประเด็นคือว่า พระองค์บรรลุอะไรจากการบำเพ็ญทางจิตวิญญาณ ว่าพระองค์กลายเป็นพุทธะได้อย่างไร (เป็นอาจารย์ผู้รู้แจ้ง) และว่าสานุศิษย์ของพระองค์ได้บำเพ็ญและกลายเป็นพุทธะในลักษณะเดียวกันได้อย่างไร

ทุกวันนี้วิถีกวนอิมของเรานั้นจะสอนให้เราเดินในสายทางเดียวกัน ดังนั้นทุก ๆ ศาสนากำเนิดมาจากวิถีกวนอิม ผู้คนจะเรียกมันว่า “ความเป็นคริสต์” เพราะพระเยซูคริสต์ได้มา  ผู้คนจะเรียกมันว่า “ความเป็นพุทธะ” เพราะพระพุทธเจ้าได้มา นี่คือวิธีที่ศาสนาจำนวนมากได้บังเกิดมา ฉันขอร้องท่าน อย่าเรียกเราว่าศาสนาชิงไห่เมื่อฉันสิ้นชีวิตไปแล้ว! "

~ อนุตราจารย์ชิงไห่~

 

ฉันเคยอธิบายแล้วว่ามันไม่มีศาสนาใดมาแต่ต้น  ก่อนพระพุทธเจ้าจะมาก็ไม่มีศาสนาพุทธ  ก่อนพระเยซูคริสต์มาก็ไม่มีศาสนาคริสต์  ก่อนพระมะหะหมัดมาก็ไม่มีศาสนาอิสลาม ผู้รู้แจ้งทั้งมวลมาที่นี่เพื่อกระทำผ่านความประสงค์ของพระเจ้าและถ่ายทอดวิถีแห่งความหลุดพ้นนี้สู่ผู้คนซึ่งพร้อมที่จะกลับบ้าน หลังจากที่เหล่าอาจารย์และสานุศิษย์ของท่านสิ้นชีวิตไป ผู้คนในยุคสมัยต่อมาทราบเกี่ยวกับคำสอนของเหล่าอาจารย์นั้นเพียงเล็กน้อยยิ่งนัก ดังนั้นสายธารก็ขาดสะบั้นไป ผู้คนบูชาพระรูปหรือคำสอนทางวาจาโดยไร้พลังการถ่ายทอดจากจิตสู่จิต ดังนั้นนาน ๆ ไปจึงเกิดศาสนาขึ้น อย่างไรก็ตาม วิถีกวนอิมเป็นวิถีที่เก่าแก่ที่สุดและเป็นหนทางเดียวที่จะกลับบ้าน ท่านมีทางเดียวที่จะนำท่านไปสู่บ้านของท่าน มันก็เป็นเช่นนั้น

~ อนุตราจารย์ชิงไห่~

 
 
 
การประทับจิต : ธรรมวิถีกวนอิม
 

อาจารย์ชิงไห่จะทำการประทับจิตเข้าสู่ธรรมวิถีกวนอิมให้แก่ผู้ที่มีความจริงใจที่ปรารถนาจะได้รู้จักสัจธรรม คำภาษาจีนว่า “กวนอิม” หมายถึง การเพ่งแรงสั่นสะเทือนของเสียง  ธรรมวิถีนี้มีการทำสมาธิต่อทั้งแสงภายในและเสียงภายใน  ประสบการณ์ภายในเหล่านี้ได้รับการบรรยายไว้หลายครั้งหลายหน ในหนังสือธรรมะของศาสนาต่างๆในโลกตั้งแต่โบราณกาลมาแล้ว

 

ตัวอย่างเช่น พระโพธิสัตว์มัญชูศรีได้กล่าวไว้ในศูรางคมสูตรว่า ธรรมวิถีนี่ดีเลิศ สามารถนำเราไปสู่การรู้แจ้งได้ดีกว่าธรรมวิถีใดๆทั้งหมด และในคัมภีร์ไบเบิลของศาสนาคริสต์ก็มีกล่าวว่า “ในปฐมกาลก็มีพระวจนะอยู่แล้ว และพระวจนะนั้นอยู่กับพระเจ้า และพระวจนะนั้นก็คือพระเจ้า” (จอห์น 1:1)  พระวจนะนี้ก็คือเสียงภายใน และมันยังถูกเรียกว่า Logos, Shabd, เต๋า, กระแสเสียง, นาม หรือดนตรีแห่งสวรรค์ อาจารย์ชิงไห่กล่าวว่า “มันสั่นสะเทือนอยู่ภายในชีวิตทั้งมวล และรักษาค้ำจุนทั้งจักรวาล เสียงดนตรีภายในนี้จะสามารถรักษาบาดแผลทั้งหมดทุกอย่าง , สนองความปรารถนาทุกอย่าง และดับความกระหายทั้งปวงทางโลก มันทรงพลังและเป็นความรักทั้งหมด เนื่องจากว่าเราถูกสร้างขึ้นจากเสียงนี้ การติดต่อกับมันจึงนำความสงบและความพอใจมาสู่หัวใจของเรา หลังจากที่เราฟังเสียงนี้ เราจะเปลี่ยนแปลงไปหมด การมองโลกของเราจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นอย่างมาก

 

"การประทับจิต"  หมายถึง การเริ่มต้นของชีวิตใหม่เข้ามาสู่แนวทางใหม่  หมายความว่าผู้เป็นอาจารย์ได้รับเธอ ให้เข้ามาเป็นผู้หนึ่งในวงการของนักบุญ  เธอจะไม่ใช่ปุถุชนธรรมดาอีกต่อไป  เธอจะได้รับการยกระดับให้สูงขึ้น  ในสมัยก่อนพวกเขาเรียกมันว่า "การล้างบาป" หรือ "การถืออาจารย์เป็นที่พึ่ง"

~ อนุตราจารย์ชิงไห่~

 
 
 
แสงและเสียงภายใน
 

แสงภายใน หรือ แสงของพระเจ้า ก็คือ แสง (light) แบบเดียวกับที่พูดถึงในคำว่า “การรู้แจ้ง” (Enlightenment) ความเข้มของแสงนี้สามารถจะมีได้ตั้งแต่ระดับแสงเรืองๆไปจนกระทั่งเป็นราวกับแสงที่สว่างเจิดจ้าของดวงอาทิตย์หลายล้านดวง และโดยอาศัยแสงและเสียงภายในนี่เอง ที่ทำให้เราได้รู้จักพระเจ้า  การประทับจิตเข้าสู่ธรรมวิถีกวนอิมไม่ได้เป็นพิธีที่ลึกลับ หรือพิธีการเข้าสู่ศาสนาใหม่แต่อย่างไรเลย ในระหว่างการประทับจิตจะมีการสอนเป็นการเฉพาะบางประการในการทำสมาธิถึงแสงภายในและเสียงภายใน  และท่านอาจารย์ชิงไห่จะเป็นผู้ถ่ายทอดธรรม รสชาติครั้งแรกสุดของการมีอยู่ของพระเจ้านี้จะถูกมอบให้ในความเงียบ ในการที่จะเปิดประตูนี้ให้แก่ท่านนั้นท่านอาจารย์ชิงไห่ไม่จำเป็นจะต้องอยู่ที่นั่นด้วยตนเองก็ได้ การถ่ายทอดนี้เป็นส่วนที่สำคัญของธรรมวิถี  แต่สำหรับเรื่องเทคนิควิธีการต่างๆ นั้นจะมีประโยชน์น้อยมากถ้าปราศจากพรของผู้เป็นอาจารย์

 
เนื่องจากว่าเราอาจจะได้ยินเสียงภายในและได้เห็นแสงภายในทันที ในขณะที่กำลังประทับจิต เหตุการณ์นี้บางครั้งจึงถูกเรียกว่า “การรู้แจ้งฉับพลัน” หรือ “ในทันที”
 

ท่านอาจารย์ชิงไห่จะรับทุกคน ทุกสถานภาพ โดยไม่เลือกเชื้อชาติศาสนา ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนศาสนาหรือความเชื่อและขนบธรรมเนียมประเพณี ทุกคนจะไม่ถูกขอร้องให้เข้าร่วมองค์กรใดๆ หรือให้ทำการใดๆ ที่ไม่เหมาะสมกับวิถีการดำรงชีวิตของตนในปัจจุบัน  อย่างไรก็ตาม ทุกคนจะได้รับการขอร้องให้เป็นมังสวิรัติ เงื่อนไขอย่างหนึ่งที่จำเป็นสำหรับการรับการประทับจิตก็คือ การให้คำมั่นสัญญาว่าจะรับประทานอาหารมังสวิรัติไปตลอดชีวิต

 

การประทับจิตจะถูกมอบให้โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น หลังจากประทับจิตแล้วทุกคนจำเป็นต้องปฏิบัติสมาธิแบบธรรมวิถีกวนอิมเป็นประจำทุกวัน และต้องรักษาศีลห้าโดยตลอดด้วย ศีลห้าจะเป็นเครื่องชี้แนวทางที่ช่วยให้ทุกคนไม่ทำร้ายหรือทำอันตรายต่อตนเอง และสิ่งมีชีวิตอื่นใด การบำเพ็ญปฏิบัติดังนี้จะทำให้ประสบการณ์ของการรู้แจ้งที่ได้รับในตอนต้นมีความลึกซึ้งและแข็งแรงมั่นคงขึ้น และทำให้ผู้ปฏิบัติได้บรรลุถึงระดับที่สูงสุดของการตื่นขึ้นเป็นผู้ตื่น หรือได้พบความเป็นพุทธะของตนเองในที่สุด หากไม่บำเพ็ญปฏิบัติทุกวันการรู้แจ้งก็จะถูกลืมเลือนไป แล้วผู้นั้นก็จะกลับคืนสู่ระดับของจิตสำนึกของปุถุชนธรรมดาๆ

 

เป้าหมายของท่านอาจารย์ชิงไห่ก็คือการสอนให้เราพึ่งพาตนเอง มีความเพียงพอโดยลำพังตนเอง ดังนั้น ท่านจึงสอนธรรมวิถีที่ทุกคนสามารถปฏิบัติได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องมีผู้สนับสนุนหรือทรัพย์สินอุปกรณ์ต่างๆ ท่านไม่ได้แสวงหาผู้มานับถือตาม หรือผู้มาเคารพบูชา หรือลูกศิษย์ ท่านไม่ได้ตั้งองค์กรที่จะต้องจ่ายค่าสมาชิก ท่านไม่รับเงินทอง, การกราบไหว้บูชา หรือของขวัญบรรณาการอะไรจากผู้ใด ดังนั้นจึงไม่จำเป็นจะต้องมอบสิ่งเหล่านี้แก่ท่าน

 

ท่านจะรับความจริงใจของทุกคนในการบำเพ็ญสมาธิและในการบำเพ็ญปฏิบัติในชีวิตประจำวัน เพื่อความก้าวหน้าไปสู่ความเป็นนักบุญของทุกคนเองท่านจะรับความจริงใจของทุกคนในการบำเพ็ญสมาธิและในการบำเพ็ญปฏิบัติในชีวิตประจำวัน เพื่อความก้าวหน้าไปสู่ความเป็นนักบุญของทุกคนเอง

 
 
 
ศีลห้า
 

1. ละเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต*

2. ละเว้นจากการพูดเท็จ หรือสิ่งที่ไม่เป็นความจริง

3. ละเว้นจากการลักทรัพย์ หรือถือเอาสิ่งใดมาโดยไม่ได้รับการอนุญาต

4. ละเว้นจากการประพฤติผิดในกาม

5. ละเว้นจากการเสพสิ่งที่โทษ**

 

*ผู้รักษาศีลห้านี้ พึงสังวรว่าจะต้องเป็นผู้บริโภคอาหารวีแก้น (มิให้รับประทานเนื้อสัตว์ต่างๆ ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม ปลา สัตว์ปีก หรือไข่ (ไม่ว่าจะเป็นไข่ที่ได้รับการผสมแล้วหรือไม่ก็ตาม)

**ข้อนี้รวมถึงการหลีกเลี่ยงสิ่งที่เป็นโทษทุกชนิด เช่น เหล้า ยาเสพติด ยาสูบ การพนัน สื่อทางเพศ และภาพยนตร์ หนังสือ หรือวิดีโอที่สื่อความรุนแรงสูง

 
 
 

"ผู้ที่ประเสริฐบริบูรณ์ก็คือ  ผู้ที่เป็นมนุษย์สมบูรณ์เต็มตัว  ผู้ที่เป็นมนุษย์เต็มตัวจะประเสริฐบริบูรณ์  ขณะนี้  เราเป็นมนุษย์เพียงครึ่งเดียว  เราทำสิ่งต่างๆ ด้วยความลังเลใจ  เราทำสิ่งต่างๆ ด้วยอัตรา  เราไม่เชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้ที่จัดทุกสิ่งทุกอย่างทั้งหมดนี้  เพื่อความเพลิดเพลิน  และเพื่อประสบการณ์ของเรา  เราแบ่งแยกบาปและบุญ เราถือทุกอย่างเป็นเรื่องสำคัญใหญ่โต แล้วก็ตัดสินตัวเองและคนอื่นไปตามนั้น  เราทุกข์ทรมานจากการตั้งข้อจำกัดของตัวเอง  ว่าพระเจ้าควรจะทำอะไร  เข้าใจไหม?  ที่จริงแล้วพระเจ้าอยู่ภายในตัวเราและเราจำกัดพระองค์ไว้ เราอยากเล่น อยากจะสนุกสนานเพลิดเพลิน แต่เราไม่รู้ว่าจะทำอะไร  เราจึงได้แต่พูดกับคนอื่นว่า "อา!  เธอไม่ควรจะทำอย่างนั้นนะ "  และก็พูดกับตัวเองว่า "ฉันไม่ควรจะทำอย่างนั้น  ฉันต้องไม่ทำอย่างนั้น  ฉันต้องไม่ทำอย่างนี้  แล้วฉันควรจะเป็นมังสวิรัติไปทำไมกัน? นั่นแหละ ! ฉันก็รู้อย่างนั้น  แต่ฉันเป็นมังสวิรัติเพราะว่าพระเจ้าภายในตัวฉันต้องการแบบนั้น"

~ อนุตราจารย์ชิงไห่~

 

"เวลาที่เรามีความบริสุทธิ์ในการกระทำ  คำพูด และความคิดของเรา  แม้เพียงชั่ววินาทีเดียว บรรดาเทพเจ้า พระเจ้า และเทวดาอารักษ์ทั้งมวลก็จะสนับสนุนเรา ในเวลานั้น  ทั้งจักรวาลจะเป็นของเราและสนับสนุนเราและบัลลังก์ก็จะอยู่ตรงนั้นให้เราได้ขึ้นครอง"

~ อนุตราจารย์ชิงไห่~

 
 
 
เพราะ “เรากลายเป็นหนึ่งกับพระเจ้า” อย่างไรนั้นไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ ในระหว่างเวลาถ่ายทอด เรา 2 คนเพียงนั่งในความเงียบ ในขณะที่การถ่ายทอดถูกกระทำจากจิตสู่จิต พระเจ้าคุยกับพระเจ้าภายในเรา และไร้ที่สำหรับคำพูด เราพูดจริงก่อนนั้น แต่เพียงจะบอกเธอว่า เธอควรนั่งอย่างไร ว่ามันไม่สำคัญว่า เธอนั่งขัดสมาธิหรือไม่ในขณะอยู่ในการทำสมาธิ และวิธีผ่อนคลายและว่าจะรวบรวมความคิดของเธอไว้ที่ไหน ดังนั้นเธอจึงเห็นพระเจ้าและสื่อสารกับพระองค์ได้ เหล่านี้เป็นเพียงคำสอนทางวาจา ต่อมา เมื่อการประทับจิตจริงเกิดขึ้น ไม่มีใครพูดสักคำ เช่นนี้คือการประทับจิต การถ่ายทอดจิตสู่จิต และ “การถ่ายทอดเหนือคำสอน” มันถูกเรียกว่าเช่นนั้นเพราะมันไม่สามารถพบได้ในคำสอน เรามีพระเจ้าและพุทธะภายในเราจากตอนแรกทีเดียว ดังนั้นใครมีสิทธิ์สอนพุทธะหรือพระเจ้าว่าจะทำอะไร? มันเป็นไปได้เฉพาะหลังจากตัวตนเดิมของเราตื่น นี่เหมือนเอาเทียน 2 เล่ม เล่มหนึ่งจุดแล้ว พอเราแตะเทียนอีกเล่มหนึ่งกับเล่มนี้ มันก็เป็นประกายแจ่มใสด้วย คุณภาพของแสงแฝงอยู่เดิมในเทียน มันเพียงต้องการใครคนหนึ่งจุดมัน วิธีปฏิบัตินี้ไม่ต้องการคำพูดหรือคำสอน ไม่สำคัญว่าเธอพูดเกี่ยวกับมันหรือขอมันนับร้อยปีอย่างไรก็ตาม มันยังจะไม่เป็นประกายแจ่มใส
 

~ อนุตราจารย์ชิงไห่~

 
 
 
ประโยชน์ของการทานมังสวิรัติ